ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี A

พระวาจาประจำอาทิตย์นี้เน้นเรื่อง พระวาจาของพระเจ้า ซึ่งทรงพลังในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง และยังพูดถึงสภาพพื้นดิน หรือสภาพจิตใจที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อก่อให้เกิดผลผลิตในระดับไหน

บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ ข้อความนี้เขียนขึ้นระหว่างช่วงปลายของการเนรเทศ คือประมาณ 538 ปีก่อนคริสตกาล เป็นข้อความที่ให้กำลังใจบรรดาผู้ถูกจำจองในถิ่นเนรเทศที่กรุงบาบิโลน ว่าจะได้รับการปลดปล่อย จะได้รับความรอดพ้นใหม่ จะได้กลับไปที่ภูเขาซีออน คือได้กลับไปกรุงเยรูซาเล็มนั่นเอง โดยชี้ให้เห็นว่า คำสัญญาของพระเจ้าจะไม่ไร้ผล ตรงข้าม กลับจะมีอานุภาพมากขึ้น “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และจะไม่กลับขึ้นไปที่นั่น ถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และทำให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล”

ข้อความของพระวาจาตอนนี้ ถือเป็นหนึ่งในข้อความที่งดงามที่สุดในพันธสัญญาเดิม ที่เน้นถึงพระวาจาอันทรงอำนาจของพระเจ้า เราคงสังเกตเห็นว่าหลังจากฤดูแล้งที่ยาวนาน ทันทีที่ฝนตกลงมา ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน พื้นดินที่เคยแห้งเป็นสีน้ำตาลดำ กลับกลายเป็นความชุ่มชื่น ชอุ่มเขียว ภายในไม่กี่ชั่วโมง นี่คือสิ่งที่สายฝนทำให้บังเกิดขึ้น เฉกเช่นเดียวกับพระวาจาของพระ ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลได้ชั่วข้ามคืน

ส่วนในพระวรสาร นักบุญมัทธิวได้เล่าอุปมาเรื่องผู้หว่าน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจ็ดอุปมา ที่บรรจุอยู่ในบทที่ 13 ของนักบุญมัทธิว ท่านเล่าโดยมีจุดประสงค์ที่จะอธิบายถึงพระอาณาจักรสวรรค์ ทำให้เรามองเห็นภาพของพระอาณาจักรสวรรค์ และประชากรที่แท้ของอาณาจักรนั้น แต่ก่อนอื่น เราต้องมาพิจารณาดูว่า พระวาจาของพระต่างกับคำพูดของมนุษย์อย่างไร “พระเจ้ามิใช่มนุษย์ที่จะมุสาได้ มิใช่บุตรของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนใจได้ พระองค์ตรัสแล้วไม่ทรงกระทำหรือ พระองค์ทรงสัญญาแล้วไม่ทรงทำตามหรือ” (กดว 23:19) สรุปคือสำหรับพระเจ้า สิ่งที่ตรัสกับสิ่งที่ทรงกระทำ เป็นสิ่งเดียวกัน ลองย้อนไปดูเรื่องการสร้างโลกจักรวาลในหนังสือปฐมกาลบันทึกไว้ดังนี้ “พระเจ้าตรัสว่า จงมีความสว่าง และความสว่างก็อุบัติขึ้น… ฯลฯ …” (เทียบ ปฐก 1:3-31)

พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระวจนาตถ์(วจนะ)ของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ตรัสก็ทรงพลานุภาพเช่นกัน ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร หรือเมื่อทรงทำอัศจรรย์ เช่น ทรงรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายให้หาย ก็มาจากพระวาจาที่พระองค์ตรัสเสมอ ผู้คนพากันบอกว่า “คนๆนี้สอนด้วยพระวาจาอันทรงอำนาจ” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด มีนายร้อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ขอให้ทรงรักษาผู้รับใช้ของเขาที่เป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้านเขา เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค” บทสรุปคือ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามความเชื่อนั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคในเวลานั้นเอง (เทียบ มธ 8:5-13)

มีตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แม้คำพูดของมนุษย์บางทีก็ยังมีอำนาจมากทีเดียว มีเรื่องเล่าว่า ชายชาวนาอินเดียคนหนึ่งมีที่นา อยากปลูกถั่ว แต่เขาแก่มากแล้ว จะขุดดินเพื่อเตรียมการเพาะปลูกก็ไม่ไหว ความหวังอยู่ที่ลูกชายคนเดียวที่จะทำให้ได้ แต่ลูกเขาก็มาถูกจำคุกด้วยข้อหาร้ายแรง คือการซ่องสุมอาวุธ พ่อเขียนจดหมายไปรำพึงรำพันกันลูกในปัญหาเรื่องนี้ ลูกเขียนจดหมายตอบกลับมาว่า “อย่าไถพื้นดินที่ทุ่งนาของเราเด็ดขาด เพราะลูกฝังอาวุธไว้ใต้ดิน” วันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและรถแทร็คเตอร์ไปขุดผืนนาของชายชราทั้งผืน แต่ไม่พบอาวุธ พ่อเขียนจดหมายไปรายงานลูกว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน ลูกตอบกลับมาว่า “คุณพ่อครับ เดินหน้าปลูกถั่วได้แล้วครับ นี่เป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่ลูกทำให้พ่อได้จากในคุก” จะเห็นได้ว่า บางครั้ง คำพูดของมนุษย์ก็มีอำนาจมากพอควร แต่เปรียบไม่ได้เลยกับของพระเจ้า

แต่ในอุปมาเรื่องนี้ ยังมีส่วนที่สองที่เกี่ยวกับการผลิดอกออกผล คือสภาพของพื้นดิน หรือ คือความร่วมมือของเรา เราจะพูดถึงสภาพดินในแบบสุดท้าย ที่เปรียบไว้ว่าเป็นเนื้อดินดี นี่คือรูปแบบของคริสตชนที่แท้ คือเปิดใจรับพระวาจา เก็บรักษาไว้ในจิตใจ รำพึงไตร่ตรอง ร่วมมือกับพระองค์ในการนำไปปฏิบัติจริง ความเป็นศิษย์ที่แท้ คือการทำให้พระวาจาที่มาถึงเรานั้นบังเกิดผลทวีขึ้น จึงมิอยู่แค่เพียงเฉพาะคำพูด แต่ออกมาเป็นการกระทำ

ทุกวันนี้ พระวาจาของพระยังคงแจกจ่ายออกไปด้วยพระทัยกว้างขวาง ไปในที่ต่างๆ พระองค์ยังทรงหวังว่า ประชาชนจะรับพระวาจาของพระองค์ไว้ จะต้อนรับด้วยความยินดี และนำพระวาจานั้นไปทำให้บังเกิดผล เราลองคิดดูว่าเราได้ตอบสนองพระวาจาอย่างไร อีกประการหนึ่งที่ควรระลึกไว้ คือเราต้องอดทนรอคอยผลด้วย เหมือนเมล็ดพันธุ์ทั่วๆไป พระวาจาของพระเจ้าก็ต้องการเวลาในการเจริญเติบโต ชาวนารู้ว่าต้องทนคอยสภาพอากาศ การทำงานอย่างลับๆภายใต้ผืนดิน แล้วพืชนั้นจะค่อยๆโผล่ยอด และเจริญเติบโตต่อไป ในห้วงเวลาเหล่านี้ต้องรอคอยด้วยความไว้วางใจ

ดีนะครับที่ไม่มีการบอกเป็นสถิติว่า เพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่รับพระวาจาแล้วบังเกิดผล เรื่องอุปมานี้ก็เพียงแต่พูดถึงสภาพของดินในแบบต่างๆเท่านั้น เราจงปรับสภาพจิตใจของเราให้เป็นเหมือนดินดี แล้วพระวาจาของพระก็จะบังเกิดผลอย่างอุดม

“จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช”

ฯพณฯ พระอัครสังฆราช ยวง นิตโย เขียนหนังสือโดยใช้นามปากกาว่า “ผู้หว่าน” ครั้งหนึ่งท่านเคยบอกว่านามปากกานี้มีที่มาโดยคุณพ่อฝรั่งเศสองค์หนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าเป็นคุณพ่อ ยอลี หรือไม่) แนะนำท่านให้ใช้นามปากกานี้ เป็นนามปากกาที่มีเสน่ห์และทรงคุณค่า เพราะ ฯพณฯ ยวง นิตโย เป็นผู้คงแก่เรียน ได้แปลและเขียนหนังสือไว้มากพอสมควร นามปากกา ผู้หว่าน ของท่านก็มาจากอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าในวันอาทิตย์นี้นี่เอง

พระเยซูเจ้า ทรงเป็นนักเล่าเรื่องอุปมาชั้นยอด ทรงชำนาญและเชี่ยวชาญในการเล่า ประชาชนที่แสวงหาพระองค์อยากจะมาฟังคำพูดของพระองค์นั้น มักจะได้รับเรื่องน่าประทับใจกลับไป นี่เป็นการหว่านถ้อยคำ หรือหว่านพระวาจาลงในจิตใจของผู้ฟังนั่นเอง

ถ้าอย่างนั้น พระองค์ก็ทรงทำงานหว่านพระวาจาเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ทรงพระดำเนินไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวดีแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนด้วยพระเมตตารัก ทั้งนี้ เพราะทรงสงสารประชาชนที่เป็นเหมือนฝูงแกะที่ถูกทอดทิ้ง แต่บางที พระวาจาของพระองค์ก็สูญหายไประหว่างทาง เหมือนเมล็ดที่ตกลงริมทางเดิน บางเมล็ดก็ตกบนพื้นหิน สูญหายไปเพราะมีดินน้อย บางเมล็ดตกในพงหนาม สูญหายไปเพราะถูกครอบงำไว้จากสิ่งอื่นๆ เยอะแยะในโลกนี้ โชคดีที่มีส่วนหนึ่งตกลงบนดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง

เราต้องพิจารณาตัวเราในทันทีต่อพระวาจาของพระเจ้าที่หว่านลงมาในตัวของเรา อาจกล่าวได้ว่าเมื่อเราเป็นคริสตชนตอนที่รับศีลล้างบาป ส่วนประกอบของร่างกายเราไม่ใช่มีแค่อวัยวะ เซลส์ หรือยีนต่างๆ และจิตใจ จิตวิญญาณของเราเท่านั้น แต่เรามีพระวาจาของพระที่หว่านลงมาที่เราโดยทันทีด้วยเช่นกัน เป็นองค์ประกอบหรือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการเป็นประชากรของพระเจ้า ตอนเล็กๆ ที่เรารับศีลล้างบาปเราอาจจะยังมิรู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับพระวาจา แต่เราก็มีพ่อหรือแม่ทูนหัวรับไว้แทนเรา และจะสอนสั่งเราในเวลาต่อๆ มา สิ่งนี้อาจกล่าวได้ว่า เรามิอาจอยู่ได้โดยไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาในตัวเรา แล้วเราขานรับอย่างไรเมื่อเราโตแล้ว เราได้เปิดใจรับเมล็ดพันธุ์อย่างเต็มที่และเต็มใจหรือไม่ และเมื่อรับมาแล้ว เราได้ทำให้เมล็ดพันธุ์เจริญงอกงามหรือไม่ และนำมาปฏิบัติในชีวิตจริงๆ หรือเปล่า

หรือว่าเราชอบโลเล ไม่เป็นโล้เป็นพาย เราชอบแปรสภาพพื้นที่ให้พระวาจาตกไปไกลจากตัวของเรา ไม่ยึดพระวาจาเป็นหลักธรรมดำเนินชีวิต ไปแสวงหาความรู้แบบอื่นๆ และจากแหล่งอื่นๆ บางครั้งตรงข้ามกับพระวาจาเสียด้วย แต่ก็ไปหลงรัก หลงชอบ เหมือนกับใครๆ ทั้งหลาย ที่ยังไม่รู้ความจริงของชีวิต

เราควรเลียนแบบอย่างของนักบุญเปาโลในการประกาศพระวาจาคือ “ต้องประกาศพระวาจาทั้งเมื่อสบโอกาสเหมาะ และไม่สบโอกาสเหมาะ” นี่เป็นคำพูดของท่าน และท่านได้ปฏิบัติจริงด้วย แต่ก่อนที่จะประกาศพระวาจาได้ เราจะต้องรับพระวาจาก่อน โดยเตรียมจิตใจให้เป็นพื้นที่ดินดี เพื่อพร้อมรับพระวาจาสำหรับนำไปปฏิบัติ จากนั้นจึงประกาศพระวาจา ถ้าเราประกาศพระวาจาแล้วเราได้รับความยากลำบาก เราจงฟังคำของท่านที่ว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2008)

แผนกกลุ่มชาติพันธุ์ฯ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิด งานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุข

แผนกกลุ่มชาติพันธุ์ฯ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิด งานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุข

วันที่ 10 ก.ค. 2020 แผนกกลุ่มชาติพันธุ์ฯ ภายใต้ฝ่ายงานสังคมสังฆมณฑลเชียงใหม่
ร่วมกับ ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนเครือข่ายชาติพันธุ์จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความคิด งานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุข ร่วมกับ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ , สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ , เครือข่ายโรงพยาบาล 25 อำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาระบบคุณภาพบริการสาธารณสุขให้ดียิ่งขึ้น

แผนกสตรี พบปะแลกเปลี่ยนชีวิตและงานสตรี ( หลังโควิด-19 )

แผนกสตรี พบปะแลกเปลี่ยนชีวิตและงานสตรี ( หลังโควิด-19 )

วันที่ 7 กรกฏาคม 2563 ทางแผนกสตรีได้ประชุมคณะทำงานสตรี เพื่อการพบปะแลกเปลี่ยนชีวิตและงานสตรี ( หลังโควิด-19 ) พร้อมทั้ง พิจารณาการดำเนินงานแผนกสตรี สังฆมณฑลเชียงใหม่ อย่างต่อเนื่องร่วมกัน

โควิด-19 คำแนะนำฝ่ายจิต 10 ประการ ณ เวลาแห่งโรคระบาดไวรัสโคโรนา

พระเยซูคริสต์ผู้เยียวยารักษาผู้ป่วย

โควิด-19 คำแนะนำฝ่ายจิต 10 ประการ ณ เวลาแห่งโรคระบาดไวรัสโคโรนา

“บัดนี้การให้ความบรรเทาใจต้องเป็นหน้าที่ของทุกคน”

  1. วิบัติโรคระบาดครั้งนี้เป็นโอกาสดีสำหรับชีวิตจิตวิญญาณ ชายหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายคนพบพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้งกว่าในยามแห่งการสูญเสีย ความเจ็บปวด และการดิ้นรนต่อสู้เผชิญความทุกข์ ขอให้พวกเราจงดำเนินชีวิตโดยฉวยโอกาสพิเศษนี้เพื่อการเจริญก้าวหน้าในชีวิตจิต
  2. วันเหล่านี้สอนพวกเราว่า พวกเราควบคุมภัยธรรมชาติไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ ทรงเป็นบทเรียนที่ทรงพลังในการเยียวยารักษาสำหรับทุกชีวิต (มธ. 5: 3)
  3. ณ เวลานี้ยามที่ธุรกิจลดน้อยถอยลงเป็นโอกาสที่ค้นหาคุณค่าที่ยังมิได้ไตร่ตรองจริงจังในชีวิตของพวกเรา เหตุใดพวกเราจึงมีชีวิตอยู่ที่นี่ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คงไม้พ้นบุคคลธรรมดาๆในชีวิตของเรา จีงน่าไตร่ตรองในทำนองนี้ จะบังเกิดผลดีมาก
  4. ในหลายสัปดาห์นี้พวกเราคงมีเวลามากขึ้นในการพบปะกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรส ลูกๆ พ่อแม่ บุคคลที่มีความสำคัญอื่นๆในชีวิตของพวกเรา จงใช้เวลาและมีความสัมพันธ์กับพวกเขาที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเราให้มากขึ้น พวกเราจะรู้สึกได้ว่าชีวิตได้รับพระพรมากมายที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
  5. วันที่พวกเรามีความกังวลเหล่านี้เป็นเวลาแห่งปฎิกิริยาเล็กๆประจำวัน อันอบอุ่นและเป็นรูปธรรมแห่งการเอาใจใส่ผู้อื่น: ในการช่วยเหลือ โทรศัพท์หา ส่งบทความ ส่งอีเมล์ ช่วยซื้อของกินของใช้ฝาก คอยรับฟังผู้อื่น จงหาโอกาสเหล่านั้นแล้วพยายามตอบสนอง
  6. “บัดนี้การให้ความบรรเทาต้องเป็นหน้าที่ของทุกคน” (พระสันตะปาปาฟรานซิส) จงอยู่ในที่ซึ่งพวกท่านจะสามารถนำความบรรเทาไปสู่คนที่กังวล คนป่วย คนที่อยู่อย่างสันโดษ คนที่มีความหวาดกลัว วิตกจริต
  7. ขอให้ติดตามข้อคิดออนไลน์ทุกวัน ซึ่งพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ตรัสด้วยปรีชาญาณ ซึ่งสร้างความอบอุ่นและความเชื่อเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ โดยอาศัยวิธีนี้พวกเราจะผ่านชีวิตในช่วงนี้ไปได้พร้อมกับพระศาสนจักรสากลและพระศาสนจักรท้องถิ่น
  8. ในเวลาที่พระเจ้าทรงเห็นวิบัติภัยครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นช่วงเทศกาลมหาพรต พวกเรามีเวลามากขึ้น ขณะนี้จึงจำเป็นมากขึ้นที่ต้องเจริญชีวิตอย่างดี ขอให้พยายามเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้ และต่อๆไปในอนาคต จงเลือกว่าท่านจะดำเนินชีวิตอย่างไร
  9. จงสวด สวด แล้วก็สวด ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีทุกวันในการรำพึง พวกเรามีเวลา อาจเป็นไตร่ตรองพระคัมภีร์ (lectio divina) ทำวัตรเช้าเย็นจากหนังสือจารีตพิธี สวดสายประคำ รำพึงแบบอิกญาซีโอ หรือรำพึงจากพระคัมภีร์… แล้วแต่ว่าวิธีไหนจะช่วยให้ท่านสวดได้ดีที่สุด พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงลิขิตว่า “การสวดภาวนาเป็นโรงเรียนแห่งความหวัง”
  10. ขอให้หันไปหาพระแม่มารีย์ในทำนองใหม่และลึกซึ้งกว่าเดิม ณ เวลาแห่งการต่อสู้ดิ้นรน พระศาสนจักรจะหันหน้าไปหาพระแม่เสมอ เพราะว่าเฉกเช่นที่พวกเราสวดในบทโอ้พระชนนีของพระเป็นเจ้า “ไม่เคยปรากฏเลยว่าผู้ใดมาพึ่งการคุ้มครองของพระแม่ วิงวอนการทูนขอของพระแม่ และแสวงหาความช่วยเหลือของพระแม่ต้องผิดหวัง”

By Fr. Timothy Gallagher
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บข้อคิดนี้มาฝาก เพื่อความไม่ประมาทในสถานการณ์โรคระบาด)

คำวอนขอจากประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชีย FABC: พระคาร์ดินัลชาร์ลส โบ เตือนให้ระวังกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งประเทศจีนใช้บังคับกับฮ่องกง

คำวอนขอจากประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชีย FABC: พระคาร์ดินัลชาร์ลส โบ
เตือนให้ระวังกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งประเทศจีนใช้บังคับกับฮ่องกง

ประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชียกล่าวว่า กฎหมายใหม่อาจคุกคามเสรีภาพต่างๆรวมถึงการนับถือศาสนาและสิทธิมนุษยชนด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2020

พระคาร์ดินัลชาร์ล หม่อง โบ แห่งนครร่างกุ้งประเทศเมียนมาร์ ขอร้องให้บรรดาคริสตชนช่วยการสวดภาวนาโดยเตือนว่า ประเทศจีนอาจคุกคามเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

        ประธานสหพันธ์พระสังฆราชแห่งเอเชีย (FABC) มอบสาส์นเป็นภาษาอังกฤษให้กับสำนักข่าวเซนิท (zenith) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “กฎหมายแห่งสาธารณะประชาชนจีนเพื่อปกป้องความปลอดภัยแห่งชาติในเขตปกครองฮ่องกง ซึ่งเป็นพื้นที่ปกครองพิเศษ”

        เมื่อกล่าวถึงรัฐบาลจีน ที่กำลังออกกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศจีนสำหรับเขตปกครองฮ่องกง ท่านย้ำว่า “นี่เป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างเป็นระบบกับสาธารณะชนทั่วไป”

        พระคาร์ดินัลโบกล่าว “กฎหมายนี้ลดเสรีภาพของประชาชนชาวฮ่องกงอย่างหนักหน่วงและทำลายการปกครองตนเองเป็นอย่างมากของนครฮ่องกง” ที่มีสัญญาของลักษณะการกครองแบบ “ประเทศเดียว แต่สองระบบ” การกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายรัฐธรรมนูญของฮ่องกงอย่างสิ้นเชิง และขัดแย้งกับเจตนารมย์แห่งจดหมายของข้อตกลงในปี ค.ศ. 1997”

        “กฎหมายความปลอดภัยแห่งชาติคุกคามและขยายความตึงเครียด ไม่ใช่เป็นการแก้ไขสถานการณ์” พระคาร์ดินัลโบได้ปรารภ

        พระคาร์ดินัลประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชียยอมรับว่ากฎหมายความปลอดภัยแห่งชาติในตัวมันเองจะต้องไม่เป็นสิ่งเลวร้ายหรือสร้างปัญหา ทว่าด้วยเหตุผลต่างๆในกรณีนี้ ท่านคาร์ดินัลรู้สึกห่วงใยผลพวงที่จะตามมา

        “ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่ากฎหมายจะเป็นการคุกคามเสรีภาพขั้นพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง”  ท่านย้ำว่า “กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจจะไปจำกัดเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการสื่อสาร และเสรีภาพในการศึกษา”

        “หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว” ท่านกล่าว “เสรีภาพในการนับถือศาสนาและความเชื่อก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย”

        ตามรายงานจากหลายแห่งพระคาร์ดินัลโบกล่าวว่า “เสรีภาพในการนับถือศาสนาและความเชื่อในประเทศจีนผืนแผ่นดินใหญ่กำลังถูกจำกัดอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติด้านวัฒนธรรม”

        “แม้เสรีภาพในการนมัสการในเขตปกครองฮ่องกงยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือทันทีทันใด ทว่ากฎหมายความปลอดภัยฉบับใหม่และบทลงโทษกว้างๆของการสร้าง “ความไม่สงบ” “การแบ่งแยก” และ “การสมรู้ร่วมคิดกับพลังการเมืองต่างชาติ” อาจมีผลให้มีการควบคุมการเทศน์ การประกาศข่าวดี การสวดภาวนาที่มีการจุดเทียน และ การก่อกวนสถานที่นมัสการซึ่งเป็นสถานที่และพลังของพวกที่ต่อต้าน  ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาอย่าให้กฎหมายนี้ออกมา ซึ่งเป็นการแทรกแซงเรื่องราวภายในขององค์กรศาสนา และการรับใช้ที่ทางศาสนามอบให้กับสาธารณะชนทั่วไป”

        พระคาร์ดินัลยังขอร้องว่า ควรต้องมีความมั่นใจสำหรับบิชอป บาดหลวง รวมถึงศาสนบริกร ในการเตรียมบทเทศน์ และบรรดาศาสนาจารย์โปรเตสแตนต์ก็ต้องคิดให้ดีเกี่ยวกับการเทศนาของตน และสำหรับผู้นำศาสนาอื่นที่ต้องให้คำแนะนำแก่ชุมชนของตนก็เช่นเดียวกัน การมีส่วนร่วมขององค์กรศาสนาต่างๆไม่ควรที่จะได้รับการรบกวนจากกฎหมายดังกล่าว

        “ในข้อกำหนดกฎหมายของเขตปกครองฮ่องกงมีการรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา ผู้นำศาสนาบัดนี้จะมีการลงโทษหรือไม่ ที่มีการเทศนาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีของมนุษย์ ความยุติธรรม เสรีภาพ ความจริง?   พวกเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าไม่ว่าเมื่อใดที่เสรีภาพถูกคุกคามไม่เร็วก็ช้าเสรีภาพในการนับถือศาสนาก็จะได้รับผลกระทบด้วย”

        ด้วยเหตุผลดังกล่าวและ “ในเจตนารมย์แห่งประกาศก มรณะสักขีและนักบุญแห่งความเชื่อของพวกเรา” พระคาร์ดินัลกล่าว “ข้าพเจ้าวิงวอนให้ประชาสัตบุรุษอธิษฐานภาวนาให้กับเขตปกครองฮ่องกงด้วย”

        ขอให้สวดภาวนาสำหรับผู้นำประเทศจีนและฮ่องกง ให้พวกเขาเคารพต่อสัญญาที่ทำไว้ ณ ฮ่องกง อันเป็นข้อสัญญาที่ปกป้องเสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐาน  ข้าพเจ้าขอร้องให้ทุกคนภาวนาเพื่อสันติภาพ” พระคาร์ดินัลโบกล่าว

        ต่อไปนี้เป็นสาส์นของพระคาร์ดินัลชาร์ลส หม่อง โบ

“การประกาศกฎหมายของสาธารณะรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศในเขตปกครองฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษ”

การเรียกร้องให้มีการสวดภาวนาพิเศษ นำเสนอโดยพระคาร์ดินัลชาร์ลส โบ

ในนามของสมาชิกสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชีย  ข้าพเจ้าวิงวอนคริสตชนทุกคนทุกนิกาย และผู้ที่มีความเชื่อทั่วภาคพื้นเอเชียและโลกได้สวดภาวนาสำหรับเขตปกครองฮ่องกง และสำหรับประเทศจีนรวมถึงประชาชนทุกคนด้วบ

        เมื่อคืนนี้ (30 มิถุนายน 2020) รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายเรื่องความปลอดภัยแห่งชาติฉบับใหม่สำหรับเขตปกครองฮ่องกง นี่เป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปรึกษาหารือกับสาธารณะชน กฎหมายนี้ลดเสรีภาพของประชาชนฮ่องกงและทำลาย “การปกครองตนเอง” อย่างรุนแรง ซึ่งผิดต่อหลักการแบบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหราฬ ต่อรัฐธรรมนูญของฮ่องกงและขัดแย้งกับเจตนารมย์ของข้อตกลงในปี ค.ศ. 1997

        ฮ่องกงเป็นพลอยเม็ดงามเม็ดหนึ่งของเอเชีย เป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” เป็นจุดเชื่อมระหว่างภาคตะวันตกกับภาคตะวันออก เป็นประตูสู่ประเทศจีน เป็นศูนย์กลางแห่งการค้า และจนถึงกระทั่งบัดนี้ยังคงชื่นชมอยู่กับเสรีภาพ และความคิดสร้างสรรค์

        กฎหมายความปลอดภัยแห่งขาติในตัวมันเองก็ไม่มีอะไรผิด  ทุกชาติมีสิทธิที่จะออกกฎหมายปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ ทว่ากฎหมายดังกล่าวต้องมีความสมดุลกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีมนุษย์ และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน  การบังคับใช้กฎหมายของจีนทำให้สภากฎหมาย และการปกครองตนเองของฮ่องกงอ่อนแอลง ซึ่งเปลี่ยนอัตลักษณ์ของฮ่องกงอย่างสิ้นเชิง

        ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่ากฎหมายนั้นจะคุกคามเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพของการชุมนุม เสรีภาพของสื่อสารสังคม และเสรีภาพของการศึกษา เชื่อได้เลยว่าจะคาบเกี่ยวไปถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

        จากรายงานหลายสำนักข่าว เสรีภาพในการนับถือศาสนาในประเทศจีนยังต้องเผชิญกับทุกข์ยากลำบากต่อข้อกำหนดที่พวกเราประสบมา ตั้งแต่ที่มีการปฏิรูปด้านวัฒนธรรม แม้ว่าเสรีภาพในการนมัสการในเขตปกครองฮ่องกงจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือทันทีทันใด ทว่ากฎหมายความมั่นคงปลอดภัยฉบับใหม่ และการลงโทษแบบกว้างๆต่อ “ความไม่สงบ” “การแตกแยก” และ “การสมรู้ร่วมคิดกับการเมืองต่างชาติ”  มีการควบคุมการเผยแพร่ศาสนา การลงโทษการสวดภาวนาที่มีการจุดเทียน และการรบกวนสถานที่นมัสการ ที่เป็นสถานที่ตั้งของผู้ประท้วง ข้าพเจ้าภาวนาขอให้กฎหมายนี้จะไม่อนุญาตให้ภาครัฐเข้าไปแทรกแซงกับเรื่องราวขององค์กรศาสนา และการรับใช้ที่องค์กรดังกล่าวมอบให้กับสาธารณะชน

        บรรดาพี่น้องบิชอป เพื่อนๆบาดหลวง ศาสนบริกร ในการเตรียมบทเทศน์  รวมถึงบรรดาศาสนาจารย์ควรคิดให้ดีถึงการอบรมสอน และ ผู้นำศาสนาแห่งความเชื่ออื่นๆ ก็เช่นเดียวกันควรมีความมั่นใจในการอบรมชุมชนของตน  การมีส่วนร่วมในงานสังคมไม่ควรที่จะถูกรบกวน เพราะว่ากฎหมายพื้นฐานของเขตปกครองฮ่องกงได้รับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา ผู้นำศาสนาจะถูกลงโทษไหม หากจะเทศนาเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของมนุษย์  สิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการนับถือศาสนา ความยุติธรรม เสรีภาพ ความจริง?  พวกเราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าเมื่อใดที่มีการจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาจะเกิดผลกระทบในเชิงลบไม่เร็วก็ช้า

        ในช่วงปีที่แล้วมีการประท้วงกันหลายครั้งในเขตปกครองฮ่องกง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการประท้วงแบบสงบสันติ แต่เมื่อผู้ประท้วงราว 9,000 คนถูกจับซึ่งไม่มีตำรวจผู้ใดรับผิดชอบสำหรับการกระทำอย่างป่าเถื่อนของพวกเขา นี่เป็นความจำเป็นที่ต้นเหตุแห่งการชุมนุมนั้นควรที่จะต้องมีการจัดการ และการปฏิรูปที่มีความหมายรวมทั้งจะต้องมีการออมชอมกัน กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาตินี้ทำให้ความตึงเครียดดูเหมือนหนักยิ่งขึ้น และไม่ใช่เป็นการหาทางแก้ไขสถานการณ์

        ด้วยเหตุนี้และในเจตตารมย์แห่งประกาศก มรณะสักขี และนักบุญแห่งความเชื่อของพวกเรา  ข้าพเจ้าปรารถนาวิงวอนให้พวกเราช่วยกันภาวนาสำหรับเขตปกครองฮ่องกง ขอให้ภาวนาสำหรับผู้นำประเทศจีน และผู้นำเขตปกครองฮ่องกงให้รักษาข้อตกลงสัญญาซึ่งทำกัน ณ ฮ่องกง ในการรักษาเสรีภาพขั้นพื้นฐานและสิทธิมนุษยชน ขอให้ทุกคนอธิษฐานภาวนาเพื่อสันติภาพด้วย

พระคาร์ดินัลชาร์ลส หม่อง โบ
ประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชีย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 

 (วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสาส์นของประธานสหพันธ์บิชอปแห่งเอเชียมาแบ่งปันและภาวนา)

โควิด19 – สาส์นแห่งความรักจากผู้นำศาสนาต่อสถานการณ์โรคระบาด

การพบปะระหว่างมารีอา โวเช (Maria Voce) และอีหม่าม ไฟซาล อับดุล ราอูฟ (Imam Feisal Abdul Rauf)

โควิด19 – สาส์นแห่งความรักจากผู้นำศาสนาต่อสถานการณ์โรคระบาด

สถาบันการเสวนาระหว่างศาสนาเอลียาห์ (Elijah Interfaith)

วันที่ 2 กรกฎาคม 2020

ต่อไปนี้เป็นสาส์นให้กำลังใจเกี่ยวกับ “โรคระบาดไวรัสโคโรนา” ซึ่งนำผู้นำศาสนา 40 ท่านจากทั่วโลกมาไตร่ตรองถึงการท้าทายฝ่ายจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นเนื่องจากโควิด-19  รวมถึง “ความคิดเห็นจากศูนย์กลางพระศาสนจักร ณ กรุงโรม” ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และจากผู้นำศาสนายิว รับไบ ฟิการ์โด ดิ เซญี่ (Rabbi Ficardo Di Segni) ในสถานการณ์ที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่นี้ ทำให้พวกเราเห็นถึงความคิดเห็นของคริสตชนรวม และเห็นถึงการเชื่อมโยงกันกับความคิดเห็นที่สำคัญของพี่น้องชาวมุสลิม

        มารีอา โวเช (Maria Voce) ประธานของกระบวนการโฟโกลาเร ซึ่งเป็นกระบวนการขับเคลื่อนของฆราวาสคาทอลิกนี้มีอยู่ทั่วโลก และได้รับแรงบันดาลใจเบื้องต้นจากการรับรู้ถึงความรักของพระเจ้าในฐานะที่เป็นสิ่งตรงข้ามต่อชีวิตพลเรือนที่แตกสลายในเวลาที่เกิดสงคราม แก่นของเจตนารมย์คือวิสัยทัศน์แห่งความเป็นเอกภาพและภราดรภาพของมนุษยชาติ และเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเชื่อมโยงสาส์นของพระศาสนจักรกับสาส์นของอีหม่าม ไฟซาล อับดุล ราอูฟ (Imam Feisal Abdul Rauf) ซึ่งเป็นนักแต่งซูล์ฟี (Sulfi) ที่มีชื่อเสียงและเป็นนักกิจกรรมที่แสวงหาด้วยวิธีของตนเอง เพื่อที่จะรับรู้ถึงวิสัยทัศน์แห่งความเป็นเอกภาพของสังคมทั่วไป และระหว่างศาสนาต่างๆ ในทัศนวิสัยของทั้งสองฝ่าย พวกเราสามารถเรียนรู้ถึงการทำงานที่มีพื้นฐานร่วมกันในชีวิตฝ่ายจิตและชีวิตแห่งความรัก

        สำหรับมารีอา โวเช (Maria Voce) เธอยึดถือเรื่องของความรัก อันเป็นแก่นที่ผลักดันการทำงานของเธอและองค์กรของเธอ การตัดสินใจของเธอในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น เพราะหลักการแห่งความรักในความสว่างที่เธอแสวงหา เพื่อถ่ายทอดไปยังประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากที่ได้รับจากการตัดสินใจของเธอ  ความรักยังเป็นพลังฝ่ายจิต ซึ่งแต่ละบุคคลสามารถที่จะเผชิญกับการท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์โควิด19 ในการสัมภาษณ์กับผู้นำ ได้มีการตั้งคำถามว่าพวกเราจะเผชิญกับความหวาดกลัวและการตื่นตระหนกนี้อย่างไร โดยอาศัยการแนะนำของเคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) ผู้สถาปนาคณะโฟโกลาเร  มารีอา โวเชหันกลับไปไตร่ตรองคำสอนขั้นพื้นฐานที่สอนว่า ในที่สุดมีแต่เพียงความรักเท่านั้นที่จะขจัดความหวาดกลัวให้หมดสิ้นได้ ความรักเปรียบได้กับความรักของมารดา  ความรักของมารดาต่อเหล่าลูกนั้นทำให้เธอกล้าหาญที่จะรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายใหญ่ๆ  แม้ว่าจะมีความกลัวในหัวใจ การจำกัดเขตกักกัน ปิดเมือง ปิดประเทศ ในช่วงโควิด19 ระบาดถูกมองด้วยแว่นขยายแห่งความรัก การที่ต้องดำเนินชีวิตในสถานที่ปิด การท้าทายที่ตามมากลายเป็นโอกาส และการเชื้อเชิญให้ปฏิบัติความรัก ความรักควรเป็นสื่งที่สร้างสรรค์  ขอให้ความรักนำเสนอหนทางไม่ใช่ร้อยแต่นับพันโอกาส ที่พวกเราจะไปอยู่ที่นั่นเพื่อผู้อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกล อีกทั้งใช้เทคนิคทุกอย่างที่พวกเรามี  ปัญหาต่างๆอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตแม้ว่าโรคระบาดจะยุติไปแล้ว พวกเราต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ด้วยความเชื่อว่ามีใครบางคนที่นำประวัติศาสตร์ให้เดินไปข้างหน้าเพื่อคุณประโยชน์ของพวกเรา ใครบางคนนี้คือพระเจ้าผู้เป็นองค์แห่งความรัก ผู้ทรงรักทุกคนและผู้ที่ไม่สามารถละเลย แต่ที่จะนำเอาความดีเข้ามาจากสถานการณ์เหล่านี้ เป็นที่ชัดเจนว่าทัศนวิสัยของคริสตชนเกี่ยวกับพระเจ้าในฐานะเป็นองค์แห่งความรักจึงเป็นพื้นฐานแห่งการเป็นศูนย์กลางแห่งความรัก ในฐานะที่เป็นแก่นแห่งสาส์นของเธอ และเป็นหลักการพื้นฐานในการเผชิญกับการท้าทายต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดโควิด19 หรือปัญหาอื่นๆ ความรักยังเป็นพื้นฐานแห่งความหวัง วิสัยทัศน์ของเธอโดยพื้นฐานแล้วจะมองโลกในทางบวก การมองโลกในเชิงบวกนี้เกิดจากความเชื่อในความรักของพระเจ้า พระเจ้าทรงรักสิ่งสร้างทั้งมวล สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ของพระองค์และทุกคน เพราะพระเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก ดังนั้นประเด็นนี้จึงกลายเป็นพื้นฐานนำสู่วิสัยทัศน์แห่งชีวิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งความหวัง  ขณะที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเราต้องดำเนินชีวิตในความรัก เพื่อว่าพวกเราจะได้สามารถมอบสาส์นแห่งความรักไว้ให้กับชาวโลกซึ่งจะต้องดำเนินต่อไปตราบจนนิรันดร์

        หากความรักเป็นศูนย์กลางแห่งสาส์นสำหรับมารีอา โวเช นั่นก็ยังเป็นสาส์นสำคัญที่เป็นเสียงของอีหม่าม ไฟซาล อับดุล ราอูฟ (Imam Abdul Rauf) ด้วย  สาส์นของ ท่านราอูฟ พูดเกี่ยวกับความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งวิสัยทัศน์แห่งความจริงในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งที่ท่านเรียกว่าเป็นความคิดที่นำเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต นี่ก้าวไกลถึงแก่นของการให้คำนิยามกับความเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง  พวกเราจำเป็นต้องค้นหาส่วนที่ถาวรแท้จริงแห่งอัตลักษณ์ของตนเองเกี่ยวกับภาพลักษณ์และการหายใจของพระเจ้าในตัวเรา ความจริงเราทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แรงผลักดันเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพที่เป็นการแสวงหาของสมาชิกคณะโฟโกลาเร ซึ่งได้รับการยืนยัน ณ ที่นี้เฉกเช่นที่เป็นหลักการอยู่ในพื้นฐานที่มีความสำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าสิ่งใด – นั่นคือความเป็นเอกภาพของพระเจ้า ในทางกลับกันนี่เป็นการนำอีหม่ามอับดุล ราอูฟ (Abdul Rauf) ให้มีความรัก เมื่ออ้างถึงพระเยซูคริสต์อีหม่ามราอูฟ พูดถึงพระบัญญัตืที่ยิ่งใหญ่สองประการ กล่าวคือรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านขึ้นอยู่กับการรักตนเอง ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักใดๆคือความรักของพระเจ้าต่อพระองค์เอง พระองค์ทรงสร้างพวกเรามาในฐานะที่เป็นการแสดงออกถึงความรักตนเองของพระองค์ ท่านรักพระเจ้าด้วยการรักผู้อื่นพร้อมกับรักสิ่งสร้าง ไวรัสโคโรนากำลังทดสอบความสามารถว่าพวกเรารักกันและกันไหม  เมื่อท่านรักพระเจ้าท่านก็รักความสันโดษด้วย ซึ่งในตัวมันเองเป็นผลที่มาจากไวรัสโคโรนา  ดังนั้นพวกเราจึงเดินไปในสองหนทาง –รักพระเจ้าในความสันโดษ และรักผู้อื่นในพฤติกรรมและการกระทำที่ดี เฉกเช่นมารีอา โวเช และ อับดุล ณาอูฟ ซึ่งถือว่างานของผู้มีอาชีพในการดูแลรักษาพยาบาลเป็นการแสดงออกถึงความรัก ไม่ว่าจะในความสันโดษ ในการพิศเพ่ง ในการกระทำ และในการรับใช้ ทุกคนในชุมชนแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันแห่งความรักในการแสดงออกที่น่าสนใจสองประการนี้ – รักพระเจ้าและรักผู้อื่น

บทความ โดย Alon Goshen-Gottstein, ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเสวนาระหว่างศาสนา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทความนี้มาแบ่งปัน)

บรรดาบิชอปยุโรปขอสหภาพยุโรป (EU) สนับสนุนบรรดาคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนในประเทศในจีเรีย

บรรดาบิชอปยุโรปขอสหภาพยุโรป (EU) สนับสนุนบรรดาคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนในประเทศในจีเรีย

วาติกัน 3 กรกฎาคม 2020 (ข่าว CNA)

ประธานคณะกรรมการของบิชอปยุโรป   สัญญากับชาวคาทอลิกในประเทศไนจีเรียว่า  เขาจะสนับสุนนให้สหภาพยุโรป(EU) ให้ความช่วยเหลือมากขึ้น

            คาร์ดินัล จัง-โคลด์  ฮอลเลริก  ผู้นำคณะกรรมการของสหพันธ์สภาบิชอปของสหภาพยุโรป  ได้เขียนจดหมายถึงบรรดาบิชอปในประเทศไนจีเรีย  ยืนยันว่าคณะกรรมการจะผลักดันสหภาพยุโรปสนับสนุน  และร่วมมือกับรัฐบาลไนจีเรีย    ยุติความรุนแรง   และการเบียดเบียนคริสตชน  ขอร่วมเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกับชุมชนคริสตชนไนจีเรีย ที่ถูกผู้ก่อการร้ายโจมตีเรื่อยมา  และหลายกรณีย์เป็นการเบียดเบียนที่ร้ายแรงจริงๆ  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015  ชาวคริสต์ไนจีเรียประมาณ 6000 คนถูกฆ่าตาย  ส่วนใหญ่โดยพวกโบโกฮารัม  และทหารฟูลานี

            ในปี ค.ศ. 2020  ชาวคริสต์มากกว่า  600  คนถูกฆ่า  ตามรายงานเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2020 ชาวคริสต์ถูกตัดศีรษะ  ถูกเผา  พระสงฆ์ และ  สามเณร  เป็นเป้าหมายถูกจับลักพาตัว และเรียกค่าไถ่

            พวกโบโกฮารัมได้โจมตีหมู่บ้านรัฐ Borno  (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ของไนจีเรีย  อย่างน้อย 81  คน ถูกฆ่าตาย  เมื่อ  9 มิถุนายน  ชาวมุสลิมต่อต้าน  ชาวคริสต์    ต้นเดือนมิถุนายน  ผู้อภิบาลคริสเตียน   และภรรยาที่กำลังตั้งท้อง  ถูกฆ่าตายที่ฟาร์มของพวกเขาเอง

            ในเดือนมกราคม  สามเณรคาทอลิก  4 คน ถูกจับลักพาตัวจากบ้านเณรผู้เลี้ยงแกะที่ดี  เมืองกาดูนา  และฆ่าสามเณรคนหนึ่งชื่อมีคาแอล  นาดี    วันที่ 1 มีนาคม  บาทหลวงเดวิด  เอกีโอดา  ถูกมือปืนลักพาตัว  หลังมิสซาวันอาทิตย์  และหลังจากนั้นได้รับการปล่อยตัว

            บรรดาบิชอปยุโรปขอให้สหภาพยุโรปออกแรงพยายามมากขึ้น   เพื่อยุติความรุนแรงในไนจีเรีย  จับอาชญากร  มาสู่กระบวนการยุติธรรม   ให้ความช่วยเหลือเหยื่อ    และส่งเสริมการเสวนาและสันติภาพ

            ในเดือนพฤษภาคม 2020 บรรดาบิชอปได้ขอให้ชุมชนนานาชาติใช้เครื่องมือทางการทูต  การเมือง และการเงิน  นำอาชญากรมาสู่ความยุติธรรม   ช่วยเหลือเหยื่อ  และบรรดาคริสตชน (47% ของประชากรทั้งประเทศ)

            ขอผู้นำสหรัฐส่งทูตพิเศษไปไนจีเรีย   เพื่อร่วมมือพิทักษ์ชาวคริสต์   นายแซม  บราวน์แบ๊ค ทูตสหรัฐเรื่องเสรีภาพทางศาสนา ได้ยืนยันว่าในประเทศนี้มีการละเมิดเรื่องเสรีภาพทางศาสนารุนแรง  การเบียดเบียนนี้จะส่งผลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

            คาร์ดินัล  ฮอลเลริก   กล่าวว่าตนสนใจประชาชนที่ถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเกิด  เพราะความรุนแรงเพิ่มขึ้นในประเทศไนจีเรีย  เป็นเรื่องสำคัญที่ยุโรปต้องต้อนรับ  และปกป้องพวกเขา  เป็นพิเศษบรรดาเยาวชน

ฟ.วีระ   อาภรณ์รัตน์  แปล

4/7/2020

คาร์ดินัล จัง-โคลด์ ฮอลเลริก
คาร์ดินัล จัง-โคลด์ ฮอลเลริก

สภาบิชอปคาทอลิกแห่งประเทศไทย แถลงการณ์นโยบายมาตรฐานในการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์

สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
แถลงการณ์นโยบายมาตรฐานในการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์

1. สมาชิกทุกท่านของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยตระหนักและเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิของเด็ก/ผู้เยาว์ กล่าวคือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีและพร้อมที่จะสร้างหลักประกันให้พวกเขามีความปลอดภัยและชีวิตที่ดี สมาชิกทุกท่านของสภาพระสังฆราชฯ และผู้ร่วมงานในแต่ละสังฆมณฑลรวมทั้งคณะนักบวชชายหญิงแต่ละคณะในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องสร้าง หลักประกันว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก/ผู้เยาว์ และคนผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ (VULNERABLE PERSONS)*
เช่นคนพิการทุกประเภท จะต้องได้รับความเคารพ

2. ในหน่วยงานฝ่ายต่างๆ ที่สังกัดภายใต้สภาพระสังฆราชฯ และในองค์กรต่างๆของแต่ละสังฆมณฑลรวมถึงคณะนักบวชชายหญิงตระหนักและยืนยันว่าเด็กผู้เยาว์แต่ละคนควรได้รับ ความรักและเมตตาดุจของขวัญจากพระเจ้าซึ่งเด็ก/ผู้เยาว์เหล่านั้นมีสิทธิตามธรรมชาติในศักดิ์ศรีซึ่งจะต้องได้รับความเคารพ ได้รับการหล่อเลี้ยง และได้รับการปกป้องคุ้มครองจาก
ทุกคน

3. สภาพระสังฆราชคาทอลิกฯ และสังฆมณฑลทุกเขตปกครอง รวมทั้งคณะนักบวชชาย-หญิงทุกคณะพร้อมที่จะทําทุกอย่างเพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทําพันธกิจของตนที่นํามาซึ่งสวัสดิภาพของเด็ก/ผู้เยาว์ ตลอดจนคนผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถฯ ซึ่งอยู่ในสภาวะล่อแหลมอันอาจจะได้รับอันตราย

4. สําหรับผู้ที่ดูแลเด็ก/ผู้เยาว์ขั้นประถมวัยในแต่ละสังฆมณทล สภาพระสังฆราชคาทอลิกฯ สนับสนุนและให้คุณค่าการมีส่วนร่วมของเด็ก/ผู้เยาว์ในการร่วมศาสนพิธีและกิจกรรมต่างๆ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาชีวิตฝ่ายจิต สังคม อารมณ์ และสติปัญญาของพวกเขา

5. ณ ศาสนสถาน สถาบันการศึกษา อันได้แก่วัด โรงเรียน สถานสังคมสงเคราะห์ ศูนย์เด็กเยาวชนคาทอลิก และ สถานที่อํานวยความสะดวกฝ่ายสังคมต่างๆซึ่งเป็นพันธกิจในประเทศไทย สภาพระสังฆราชฯ ขอร้องให้ใส่ใจเป็นพิเศษต่องานอภิบาลและสวัสดิการของเด็กและผู้เยาว์ที่อยู่ภายใต้การแนะนําดูแลของพวกท่าน

6. นโยบายมาตรฐานฉบับนี้ยึดมั่นอยู่กับหลักการและเอกสารที่เกี่ยวข้องต่างๆของพระศาสนจักร ทั้งจากสันตะสํานักและจากผู้รับผิดชอบและมีอํานาจการตัดสินใจในพระศาสนจักรท้องถิ่น รวมถึงข้อกฎหมายและข้อแนะนําแนวทางปฏิบัติต่างๆของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และขณะเดียวกันก็ตื่นตัวอยู่เสมอกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านั้น

7. สภาพระสังฆราชคาทอลิกฯ และพระศาสนจักรท้องถิ่นในประเทศไทยตั้งใจที่จะปฏิบัติในเชิงรูปธรรม ดังนี้

7.1 ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะสร้างหลักประกันว่าเด็ก/ผู้เยาว์ และตลอดจน คนผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถฯ ซึ่งอยู่ในสภาวะเสี่ยงอันจะได้รับอันตรายต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นอันดับแรกและได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพโดยให้สิทธิของพวก เขาได้รับการปกป้องคุ้มครองและสวัสดิการของพวกเขาได้รับการส่งเสริม

7.2 ต้องลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของเด็ก/ผู้เยาว์และตลอดจนคนผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถฯ ซึ่งอยู่ในสภาวะล่อแหลมอันอาจจะได้รับอันตราย

7.3 ต้องสร้างหลักประกันว่าสมาชิกทุกคนของสภาพระสังฆราชคาทอลิกฯ และ ผู้ร่วมงานในสังฆมณฑลต่างๆ รวมทั้งนักบวชชาย-หญิงทุกคณะ จะได้รับการตรวจสอบ การรับสมัครเข้าทํางาน คัดเลือก อบรม สนับสนุน และมีการควบคุมดูแลด้วยความเอาใจใส่

7.4 ต้องให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างเหมาะสมต่อเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเพศ ทางร่างกาย ทางอารมณ์ หรือจากการถูกปล่อยปละละเลย

7.5 ต้องให้การอบรมที่เหมาะสมสําหรับสมาชิกและเพื่อนร่วมงานทุกคนในองค์การ

7.6 ต้องทํางานแบบมีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจเกี่ยวข้องเพื่อจัดการกับข้อกล่าวหาต่างๆอย่างรวดเร็ว ชอบธรรม และอย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะปฏิบัติตามกระบวนการสอบสวนซึ่งสอดคล้องกับประมวลกฎหมายพระศาสนจักร ในมาตรา 1717-1719 และ มาตรา 695 รวมทั้งข้อปฏิบัติที่ออกโดยสันตะสํานัก

7.7 ต้องทําให้นโยบายมาตรฐานนี้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง เข้าถึงภาคปฏิบัติได้ เข้าใจกันดีในสาระ และนําไปใช้ในกระบวนการและการดําเนินคดีซึ่งจะช่วยทําให้เด็ก/ผู้เยาว์ และตลอดจนคนผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในสภาวะเสี่ยงอัน อาจจะได้รับอันตราย มีความปลอดภัยซึ่งเรามีความเกี่ยวข้องในพันธกิจในพระศาสนจักรของพวกเรา

7.8 ต้องทํางานร่วมกันกับคณะกรรมาธิการการปกป้องคุ้มครองเด็ก/ผู้เยาว์ ระดับชาติที่ได้จัดตั้งขึ้น และปฏิบัติตามคู่มือหรือแนวทางที่สภาพระสังฆราชฯ ให้การรับรองตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2012 และประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016

7.9 ต้องจัดวันอธิษฐานภาวนาและจัดกิจกรรมอันเหมาะสมเพื่อการเยียวยารักษาผู้ที่เป็นเหยื่อของการถูกล่วงละเมิดประเภทต่างๆ ซึ่งสภาพระสังฆราชฯได้กําหนด ให้เป็นวันที่ 6 กรกฎาคม ของทุกปี โอกาสระลึกถึง นักบุญมารีอา กอเร็ตตี (Saint Maria Goreti)

ประกาศ วันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2016


CONFERENTIA EPISCOPALIS THAILANDIAE
(พระคาร์ดินัล ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช)
ประมุขแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และประธานสภาพระสังฆราชฯ

(พระอัครสังฆราช หลุยส์ จําเนียร สันติสุขนิรันดร์)
ประมุขแห่งอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง

(พระสังฆราชโยเซฟ ประธาน ศรีดารุณศีล)
ประมุขแห่งสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี และรองประธานสภาพระสังฆราชฯ

(พระสังฆราชยอแซฟ ชูศักดิ์ สิริสุทธิ์)
ประมุขแห่งสังฆมณฑลนครราชสีมา และเลขาธิการสภาพระสังฆราชฯ

(พระสังฆราช ยอห์น บอสโก ปัญญา กฤษเจริญ)
ประมุขแห่งสังฆมณฑลราชบุรี และเหรัญญิกสภาพระสังฆราชฯ

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A

นักบุญเปโตร

เดิมชื่อซีโมน มาจากเมืองเบธไซดา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆอยู่ในแคว้นกาลิลีตอนบน(The Upper Galilee) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี ในเวลาต่อมา อาจเป็นเพราะการแต่งงานของท่าน ทำให้ท่านย้ายไปอยู่ที่คาเปอรนาอุม โดยที่ยังประกอบอาชีพจับปลาจากทะเลสาบเดียวกันนั้นเอง แม้ว่านักบุญเปโตร และนักบุญอันดรูว์ผู้น้อง ต่างก็เป็นชาวประมง แต่ทั้งสองก็เป็นชาวยิวใจศรัทธา ที่เฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้ทรงให้คำมั่นสัญญาไว้

ส่วนกระแสเรียกของนักบุญเปโตร มาจากการที่นักบุญอันดรูว์ผู้เป็นน้องชาย กับนักบุญยอห์น ซึ่งทั้งคู่เป็นศิษย์ของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ได้ยินมาว่าอาจารย์ของเขาทั้งสองได้เรียกพระเยซูเจ้าว่า เป็น “ลูกแกะพระเจ้า” พวกเขาจึงไปพบพระเยซูเจ้า และขอไปใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์หนึ่งวัน เมื่อมั่นใจว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ที่รอคอยแน่แล้ว นักบุญอันดรูว์จึงกลับไปบ้านและบอกให้พี่ชายรู้ว่าเขาได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว ดูเหมือนนักบุญเปโตรจะเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ก่อนที่จะเห็นพระองค์เสียอีก แต่ท่านก็ไปและได้พบกับพระเยซูเจ้า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นท่าน พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อของท่านจากซีโมน เป็น เคฟาส ซึ่งในภาษาอาราเมอิค หมายถึง “ศิลา” และชื่อเดียวกันนี้ถ้าเป็นภาษากรีกก็คือ “Petros” (= เปโตร) นั่นเอง และดังนี้นักบุญเปโตรจึงเป็นศิษย์กลุ่มแรกๆที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกให้ติดตามพระองค์

เมื่ออ่านพระวรสารเราจะเห็นลักษณะนิสัยของนักบุญเปโตร ท่านมีหลายบุคลิกลักษณะ เช่น เป็นคนพูดจาโผงผาง หุนหันพลันแล่น บทจะอ่อนแอก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก ท่านจะแสดงถึงความรักที่มีต่อพระคริสตเจ้าอย่างแน่วแน่ แต่บางครั้งก็ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นผู้ที่เคยล้มเหลว อ่อนแอ และปฏิเสธพระคริสตเจ้า แต่ท่านก็เป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงแปรเปลี่ยนธรรมชาติที่ไม่มั่นคงเหมือนสายน้ำให้เป็นหลักศิลาที่เข้มแข็ง ที่พระองค์จะทรงสร้างพระศาสนจักรขึ้นมาบนเสาหลักนี้ เป็นที่พระคุณความดีของพระเยซูเจ้าโดยแท้ ที่ทรงเปลี่ยนให้ซีโมนที่ใจร้อน และอ่อนแอ ไปเป็นนักบุญเปโตร ผู้เป็นหินผา และผู้นำ และเป็นเสาหลักของพระศาสนจักร

นักบุญเปโตรเป็นแบบอย่างให้เราเห็นว่า แม้หลายๆครั้งที่ท่านล้มเหลว ท่านไม่เคยละสายตาและความสนใจไปจากพระคริสต์เลย ท่านวางความหวังไว้ในพระคริสต์ และพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือ โดยทรงพยุงท่านขึ้นมาใหม่ ดังนั้น แม้เราจะล้มไปบ้าง ผิดหวังไปบ้าง หรือล้มเหลวในบางสิ่ง เราต้องมอบความไว้ใจทั้งหมดในพระคริสต์ พระองค์จะทรงอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่อยกเราขึ้นมาในเวลาที่เราพลาดล้ม

หลังการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่นักบุญเปโตรก่อน แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกคนอื่นๆ (1คร 15:5) หลังจากวันเปนเตกอสเตที่พระจิตเจ้าเสด็จมายังที่ชุมนุมของบรรดาศิษย์แล้ว นักบุญเปโตรได้เริ่มเทศนาข่าวดีในเยรูซาเล็มและพื้นที่โดยรอบ ท่านทำให้คนกลับใจและรักษาพวกเขาให้หายเป็นจำนวนมาก ก่อนจะไปที่กรุงโรม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน ท่านได้ตั้งพระศาสนจักรขึ้นที่เมืองอันทิโอก และอาจจะอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ประมาณ 7 ปี หลังจากนี้ได้กลับไปเยรูซาเล็ม และเมื่อมีการแบ่งขอบข่ายงานประกาศพระวรสารแล้ว นักบุญเปโตรโดยการดลใจจากพระได้เลือกเดินทางไปโรม ท่านได้อยู่บนธรรมาสน์ของกรุงโรมในฐานะพระสังฆราชเป็นเวลา 25 ปี

เมื่อจักรพรรดิเนโรต้องการเบียดเบียนคริสตชน และต้องการทำลายล้างให้สิ้นซาก ให้หมดไปจากกรุงโรม บรรดาคริสตชนที่นั่นขอร้องนักบุญเปโตรให้เดินทางออกจากโรมไปอยู่ที่ปลอดภัยสักระยะเวลาหนึ่ง นักบุญเปโตรจึงทำตามคำรบเร้านั้น แม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก คืนนั้นขณะที่กำลังเดินทางหลบหนีจากกรุงโรมผ่านประตูเมืองออกไปแล้ว ท่านได้พบพระเยซูเจ้าทรงกำลังเดินเข้าไปในโรม จึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์กำลังเสด็จไปไหน” (Domine, quo vadis?) พระองค์ตรัสตอบว่า “เรากำลังไปโรม เพื่อถูกตรึงกางเขนอีกครั้งหนึ่ง” นักบุญเปโตรเข้าใจความหมายทันที รู้สึกละอายในความขี้ขลาดของตน จึงกลับเข้ากรุงโรม และถูกจับคุมขัง ท่านได้ถูกจับขังคุกเรียกว่า Mamertine พร้อมกับนักบุญเปาโลก็ถูกจับมาขังคุกเดียวกันนี้ เป็นเวลา 8 เดือน ก่อนจะถูกนำไปประหารในปี ค.ศ. 65 นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขนโดยท่านขอให้เอาศีรษะลงที่เนินวาติกัน ที่น่าสังเกตในคุกแห่งนี้ท่านทั้งสองได้ทำให้ผู้คุม 2 คน และนักโทษอีก 47 คนกลับใจ

นักบุญเปาโล

ชื่อเดิมของท่านคือ “เซาโล” ซึ่งเป็นชื่อในภาษาฮีบรู ส่วนชื่อ “เปาโล” เป็นชื่อในภาษาโรมัน ท่านเกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซีลิเซีย จากครอบครัวชาวยิวตระกูลเบนยามิน ท่านถือสัญชาติโรมันตั้งแต่เกิด และทำให้มีสิทธิพิเศษหลายประการที่ท่านก็นำมาใช้ในขณะทำงาน เช่นว่า สิทธิจะร้องให้มีการไต่สวนอย่างยุติธรรม ได้รับการยกเว้นจากการถูกลงโทษที่น่าอับอาย เช่นการถูกเฆี่ยน การถูกตรึงการเขน และที่น่าสังเกตคือสิทธิที่จะอุทธรณ์จากการตัดสินของศาลไปยังจักรพรรดิแห่งกรุงโรมได้ และแม้ว่าท่านจะถือกำเนิดมาในเมืองแบบชาวกรีก แต่ท่านถูกส่งไปศึกษาที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านเองเล่าไว้ว่า ได้ศึกษากับสำนักของอาจารย์กามาลิเอล ซึ่งเป็นพวกที่ตีความกฎหมายยิวอย่างเคร่งครัด

นักบุญเปาโลต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในการประกาศพระวรสาร การทนทุกข์นี้น่าจะเป็นส่วนใหญ่ในชีวิตของการทำงานประกาศพระวรสาร กระทั่งท่านได้อุทานออกมาว่า “ข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตอยู่ทุกวัน” (1คร 15:31) ท่านได้เข้าใจว่าส่วนที่สำคัญที่สุดในการเป็นอัครสาวกของท่าน คือ พระเจ้าได้ทรงนำท่านให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทนทุกข์ยากเสมอๆ เหมือนคนที่ถูกตัดสินให้ตายในสนามกีฬาของชาวโรมัน ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงตั้งเราซึ่งเป็นอัครสาวกไว้ตรงที่สุดท้าย เหมือนกับผู้ที่ถูกตัดสินปรับโทษถึงตาย เรากลายเป็นเป้าสายตาของโลก ทั้งของทูตสวรรค์ และของมนุษย์” (1คร 4:9) นักบุญเปาโลยังได้เล่าถึงเรื่องการทนทุกข์ต่างๆของท่านในจดหมายต่างๆ (เทียบ รม 8:35 ; 1คร 4:9-13 ; 2คร 4:8-9 ; 6:4-5 ; 11:23-29 ; 12:10) และที่ทำให้เราเห็นชัดๆอยู่ในรายชื่อการทนทุกข์ต่างๆที่สรุปไว้ใน 2คร 11:23-39 (= ต้องลำบากตรากตรำ ถูกจองจำมากกว่า ถูกโบยตีมากกว่า เผชิญความตายหลายครั้ง ถูกชาวยิวลงแส้ชุดใหญ่ ถูกชาวโรมันเฆี่ยนตีสามครั้ง ถูกขว้างด้วยหิน เรืออับปางสามครั้ง ฯลฯ)

สำหรับพันธกิจของนักบุญเปาโลนั้น ท่านได้ทำการเดินทางไปในที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องอันเป็นผลจากกระแสเรียกของท่านที่เป็น “อัครสาวกสำหรับคนต่างศาสนา” หลังจากการกลับใจของท่าน คือเหตุการณ์นิมิตที่ท่านได้ประสบใกล้เมืองดามัสกัสแล้ว ท่านได้ไปยังอาราเบียเพื่อรำพึงไตร่ตรองถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกท่าน แล้วจึงกลับมาที่เมืองดามัสกัสและอยู่ที่นี่ครบสามปี จึงได้ไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาส และยากอบ โดยอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบห้าเดือน ต่อจากนั้น ได้ไปที่ซีเรีย และซิลิเซีย แล้วก็เริ่มงานมิชชันนารีในการประกาศข่าวดี จนกระทั่งอีกสิบสี่ปีต่อมาจึงกลับไปเยือนเยรูซาเล็มอีก

การเดินทางแพร่ธรรมทั้งสามครั้งของนักบุญเปาโลครอบคลุมในหลายเมืองและหลายประเทศที่ท่านไปเริ่มก่อตั้งพระศาสนจักรขึ้น ช่วงระยะเวลาโดยประมาณสำหรับการเดินทางแพร่ธรรมคือ ครั้งที่หนึ่ง ในช่วงราวปี ค.ศ. 46-49 ครั้งที่สองราวปี ค.ศ. 50-52 และครั้งที่สามราวปี ค.ศ. 54-58

หลังจากจบภารกิจการเดินทางแพร่ธรรมครั้งที่สามแล้ว นักบุญเปาโลได้ไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปพบกับนักบุญยากอบ ที่นี่เองท่านได้ถูกจับกุมโดยชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเซียที่เห็นนักบุญเปาโลในพระวิหาร จึงยุยงประชาชนและจับกุมท่าน ข้อหาคือเทศน์สอนทุกคนในทุกสถานที่ต่อต้านประชากรอิสราเอล ต่อต้านธรรมบัญญัติ และต่อต้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย และยังนำชาวกรีกบางคนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นมลทิน เรื่องนี้ถูกร้องไปถึงผู้บัญชาการกองพันโรมัน จึงมาจับกุมเปาโลขังคุกไว้เป็นเวลาสองปี ต่อมาท่านอุทธรณ์ถึงซีซาร์ เพื่อขอให้พิจารณาคดีของท่านด้วยศาลของกรุงโรม เมื่อไปถึงโรมก็ได้ถูกนำตัวไปไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง โดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม แม้ในเวลาที่ถูกคุมตัวเช่นนี้ท่านก็ยังประกาศข่าวดีอย่างเต็มที่ให้กับชาวยิวที่อยู่ในโรมที่มาสนทนากับท่านที่บ้านนี้ หลังจากอยู่บ้านนี้ได้ 2 ปี ท่านถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระในปี ค.ศ. 63 เพราะขาดซึ่งพยาน

หลังจากเป็นอิสระ นักบุญเปาโลเดินทางไปทิศตะวันออก คือเมืองเอเฟซัส มาซิโดเนีย และกรีซ บางทีอาจไปถึงสเปนด้วย และแล้วท่านก็ถูกจับอีกครั้ง อาจเป็นที่เมืองโทรอัส และถูกส่งมาโรม หลังจากการไต่สวนแบบสั้นๆ เพราะช่วงนั้นอยู่ในยุคสมัยที่เนโรเป็นจักรพรรดิ ท่านก็ถูกตัดศีรษะในปี ค.ศ. 65 (บางตำราบอกว่าปี ค.ศ. 67) คาดว่าน่าจะเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับที่นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขน ตำนานเล่าว่าในขณะที่ตัดศีรษะของท่าน ศีรษะนั้นตกลงไปบนพื้นดิน และกระดอนไปสามครั้ง พื้นตรงนั้นมีน้ำพุเล็กๆพุ่งขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า Tre Fontane ยังมีน้ำไหลออกมาจนทุกวันนี้ ร่างท่านถูกฝังที่บริเวณ Via Ostiensis ใกล้สถานที่ตั้งบาสิลิกาของนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมืองนั่นเอง

บทสรุป : เราจะเห็นชีวิตของทั้งนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล ที่ต่างก็ถูกเรียกมาเป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ท่านทั้งสองได้อุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อทำงานตามกระแสเรียกของท่าน และทุ่มเทโดยไม่รู้สึกย่อท้อ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด จนเราเห็นได้ชัดในตอนท้ายๆช่วงชีวิตของท่าน ว่าทั้งสองลืมตัวตนของตัวเองไปจนหมดสิ้น แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสตเจ้าเท่านั้น แม้ความตายมาเยือน ก็ไม่ได้หวั่นกลัวสิ่งใด ยอมแม้กระทั่งสละชีพเพื่อองค์พระเยซูเจ้า ตามแบบฉบับของพระอาจารย์เจ้าของท่านทั้งสองนั่นเอง

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2020
Based on : John’s Homilies on Saints & Feat Days ; by John Rose)

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ปี A

การเป็นพยานด้วยความรักที่ไร้ขีดจำกัด (The witness of unreserved love)

การเบียดเบียนและนักบุญเปโตร

จากหนังสือกิจการอัครสาวกรายงานว่า

“เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารชีวิตยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย”

ขอเล่าย้อนประวัติศาสตร์ในช่วงนี้สักหน่อยนะครับ คือในปี ค.ศ. 43 กองทัพของจักรวรรดิโรมัน 4 กองพัน กำลังยกพลขึ้นบุกที่ชายฝั่งเมืองเค้นท์ เป็นภารกิจที่จะทำให้เกาะอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน หลังจากที่ยึดลอนดอนได้แล้ว และก่อนที่จะข้ามแม่น้ำเทมส์ บรรดากองพันทหารได้ต้อนรับแขกคนสำคัญที่มาเยี่ยม เขาคือ เคลาดิอุส ซึ่งจะเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของพวกเขานั่นเอง อันที่จริงเคลาดิอุสไม่ใช่สายทหาร เขาขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิโดยการไต่เต้ามาจากการเป็นองครักษ์ แต่เขากระตือรือร้นที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนกองทัพ จึงเดินทางมาเยี่ยมบรรดาทหารหาญ แต่ยิ่งกว่ากองทัพ มีคนๆหนึ่งที่ช่วยเขาให้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้สำเร็จ คนนี้คือเพื่อนชาวยิวที่ชื่อ เฮโรด อากริปปา เขาจึงให้รางวัลแก่อากริปปาอย่างงาม โดยให้ครอบครองเขตแดนทั้งหมดที่ปู่ของเขาเคยครอบครอง ปู่ของอากริปปา ก็คือ เฮโรด ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง

ดังนั้น ในขณะที่จักรพรรดิองค์ใหม่ของโรมกำลังตรวจแถวทหารของพระองค์ที่ยึดครองลอนดอนได้ กษัตริย์องค์ใหม่แห่งปาเลสไตน์ก็กำลังตรวจพลทหารที่กำลังเบียดเบียนบรรดาผู้นำคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็ม

เมื่อตัดศีรษะของยากอบได้แล้ว เป้าหมายต่อไป ก็คือเปโตร ซึ่งขณะนั้นถูกจับเข้าคุก และกำลังรอการตัดสินลงโทษ บรรดาคริสตชนต่างรู้สึกเศร้าใจและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อนาคตของพระศาสนจักรช่างมืดมนเสียนี่กระไร จึงประชุมกันภาวนาอย่างร้อนรนให้เปโตร และให้กับอนาคตของพระศาสนจักรด้วย

พระเจ้าทรงสดับคำภาวนาของพวกเขา และทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยเปโตร ซึ่งกำลังหลับอยู่ในคุก (เปโตรซึ่งดูเหมือนจะชอบนอนหลับเสมอ ในช่วงวิกฤต) เขาถูกปลุกโดยทูตสวรรค์ และถูกนำตัวผ่านประตูคุกไปสู่อิสรภาพ เปโตรคิดว่ากำลังฝันไป ดังนั้นทูตสวรรค์จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเขาเดินไปจนสุดปลายถนน เขาจึงตื่นขึ้นรู้ตัวและตระหนักว่า อำนาจของพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่า อำนาจของเฮโรด (+จักรพรรดิโรมัน)

การเบียดเบียนและนักบุญเปาโล

ประมาณ 2 ปี ก่อนที่เปโตรจะถูกจับคุมขัง พระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มถูกมาเยือนโดยผู้ที่กลับใจใหม่คนหนึ่ง เขาคือ เปาโล แห่งทาร์ซัส ชายผู้นี้เคยทำการเบียดเบียนผู้ติดตามพระเยซูเจ้ามาก่อน และเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนยิ่งนัก แต่เขาได้รับประสบการณ์ตรงกับพระเยซูเจ้าผู้ตรัสกับเขาในภาพนิมิต เขากลายเป็น เปาโลผู้กลับใจ และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นเครื่องมือที่ทรงเลือกให้ไปสอนคนต่างศาสนา เปาโลได้ไปที่เยรูซาเล็มเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของเขานี้ให้กับบรรดาอัครสาวกได้ทราบ แต่เขาก็อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้เพียง 15 วันเท่านั้น เกิดอะไรขึ้นกับเขา นักบุญลูกาเล่าไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวก ว่าดังนี้ “เมื่อเซาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็พยายามเข้าร่วมกับบรรดาศิษย์ แต่ทุกคนกลัวเขา เพราะไม่เชื่อว่าเขาเป็นศิษย์ที่แท้จริง” (กจ 9:26)

อย่างไรก็ตาม เปาโลเริ่มเทศนาในเมือง แต่เขาทำให้พวกยิวที่พูดภาษากรีกโกรธ และหาทางที่จะฆ่าเขา น่าสังเกตว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่ทุ่มหินสเตเฟนจนถึงตาย และได้เอาเสื้อผ้าของสเตเฟนมาวางไว้ที่เท้าของเปาโลผู้ไล่ล่าคริสตชน บัดนี้ ผู้ที่ไล่ล่าคนอื่นกลับมาถูกไล่ล่าซะเอง ดังนั้น สมาชิกอื่นๆ ของพระศาสนจักรต้องเข้าไปช่วยชีวิตของเปาโล โดยพาเขาลงเรือส่งกลับไปที่ทาร์ซัส ตั้งแต่นั้นมา พระศาสนจักรทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียก็กลับมามีสันติอีกครั้งหนึ่ง

ตลอดเวลาที่ประกาศข่าวดีของพระคริสต์ นักบุญเปาโลย้ำเสมอว่าท่านเป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ท่านเขียนจดหมายถึงคริสตชน โดยเน้นว่า ท่านไม่ได้รับแต่งตั้งจากมนุษย์คนใด แต่ได้รับแต่งตั้งโดยพระเยซูคริสตเจ้า บางที การถูกจำจอง ถูกโบยตี ยังเจ็บปวดน้อยกว่าการที่ท่านตระหนักว่าไม่ได้รับการยอมรับจากใครๆ ว่าเป็นอัครสาวกที่แท้จริงคนหนึ่งด้วย ท่านจึงต้องดิ้นรนพิสูจน์ตลอดชีวิตว่าท่านก็เป็นอัครสาวกที่แท้จริง
ความรักโดยไร้ขีดจำกัด (Love without reserve)

แม้นักบุญเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่ก็กลับเป็นหินผาที่หนักแน่นเข้มแข็ง เป็นผู้นำพระศาสนจักร

แม้นักบุญเปาโลเคยเบียดเบียนพระเยซูเจ้า แต่ก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นอัครสาวกที่มีพลังล้นเหลือในการประกาศพระวรสารไปสู่คนต่างศาสนา

ทั้งสองนักบุญเคยล้มแต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยก้าวที่มั่นคง และสูงส่งขึ้นกว่าเดิม

ที่สุด ทั้งสองนักบุญได้เป็นมรณสักขีที่กรุงโรม ในสมัยการเบียดเบียนของจักรพรรดิเนโร ในการเป็นพยานด้วยลมหายใจสุดท้ายนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยในเรื่องของความรักที่ท่านทั้งสองมีต่อพระเยซูเจ้า ที่สุดแล้ว ทั้งคู่ก็เท่าเสมอกันในความรักที่มีต่อพระเจ้า

ขอให้เราทั้งหลายได้รับพลังจากการมาสมโภชท่านนักบุญทั้งสอง คือ พลังแห่งการเป็นผู้นำ และพลังแห่งการประกาศพระวรสาร และให้เราฉลองท่านทั้งสองด้วยลมหายใจเดียวกัน

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2011
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)