สันตะสำนักออกหนังสือ คู่มือการสอนคำสอน พร้อมกับคำแนะนำใหม่ในการสอนคำสอน

สันตะสำนักออกหนังสือ คู่มือการสอนคำสอน
พร้อมกับคำแนะนำใหม่ในการสอนคำสอน

สมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ได้ออกคู่มือการสอนคำสอนโดยให้คำแนะนำสำหรับพันธกิจของพระศาสนจักรในการประกาศพระวรสารโดยการสอนคำสอน และการประกาศข่าวดี

        คู่มือใหม่อันทันสมัยเพื่อการสอนคำสอนที่พวกเรารอคอยกันมาเป็นเวลานานได้มีการประกาศออกมาแล้วจากวาติกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2020 คู่มือใหม่ฉบับนี้ ได้มีการร่างเนื้อหาภายใต้การควบคุมดูแลของสมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ และได้รับการอนุมัติจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงนักบุญตูริบิอุส (Saint Turibius of Mongrovejo) ในคริสตศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประกาศพระวรสาร และการสอนคำสอนที่เข้มแข็ง การแก้ไขคู่มือฉบับล่าสุดนี้เกิดจากการติดตาม”คู่มือการสอนคำสอนทั่วไป” ของปี ค.ศ. 1971 และปี ค.ศ. 1997 ซึ่งคู่มือทิ้งสองฉบับออกโดยสมณกระทรวงเพื่อสมณะ (พระสงฆ์)

        คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่พยายามเน้นถึงการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดระหว่างการประกาศพระวรสารและการสอนคำสอน ซึ่งมีการเน้นว่าทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปล้วนเป็นธรรมทูต ผู้ถูกเรียกให้แสวงหาหนทางใหม่เพื่อถ่ายทอดความเชื่อซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบและเป็นหน้าที่ ในบริบทนี้คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่เสนอหลักใหญ่แห่งการปฏิบัติสามประการด้วยกัน: 1) การเป็นประจักษ์พยาน 2) ความเมตตา และ 3)การเสวนา คู่มือนี้มี 300 กว่าหน้า แยกออกเป็นสามส่วนกอปรด้วย 12 บท

การอบรมครูสอนคำสอน

ภาคแรกชื่อว่า “การอบรมคำสอนในการประกาศพันธกิจของพระเยซูคริสต์” ซึ่งพูดถึงการอบรมการเรียนการสอนคำสอน

คู่มือการสอนคำสอนนี้ชี้ให้เห็นว่า เพื่อที่จะเป็นพยานต่อความเชื่อที่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นครูสอนคำสอนจะต้องเป็น “ผู้ที่ได้รับความรู้เกี่ยวกับคำสอนก่อนที่จะเป็นครูสอนคำสอน”   นี่หมายถึงการทำงานแบบไม่มีสินจ้างหรือค่าตอบแทนเป็นเพียงเชิงสัญญลักษณ์ ต้องเสียสละ และต้องมีพฤติกรรมดีงามตามเจตนารมย์แห่งธรรมทูต กล่าวคือต้องไม่ยอมแพ้ต่อ “ความเหนื่อยหน่ายในการอภิบาลแม้แลดูไร้ผล”

ครูสอนคำสอนยังถูกเรียกร้องให้ต้องเฝ้าระวังในการทำหน้าที่จำเพาะของตน “เพื่อประกันว่าทุกคนจะต้องได้รับการปกป้อง พิทักษ์คุ้มครองโดยเฉพาะผู้เยาว์ และบุคคลที่มีความเปราะบาง”

กระบวนการสอนคำสอน

ภาคที่สอง – “กระบวนการสอนคำสอน”  จะเน้นถึงความสำคัญของ “รูปแบบของการสื่อที่ล้ำลึกและมีประสิทธิภาพ” มีการเสนอให้ใช้ศิลปะโดยอาศัยการพิศเพ่งความงดงามเพื่อเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงกับพระเจ้า และใช้ดนตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นหนทางในปลูกฝังให้มีความปรารถนาเข้าถึงพระเจ้าในหัวใจของประชาชน

        บทบาทของครอบครัวก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ภายในครอบครัวผู้ที่ได้รับการประกาศพระวรสารสามารถดำเนินชีวิตในความเชื่อในทำนองที่เรียบง่าย โดยเป็นไปตามธรรมชาติ และครอบครัวเป็นสถานที่ซึ่งประชาชนสามารถรับการศึกษาในวิธีการที่สุภาพและน่าเอ็นดู

        ในรูปโฉมของครอบครัวใหม่ในสังคมร่วมสมัย คริสตชนถูกเรียกร้องให้ติดตามผู้อื่นอย่างใกล้ชิดลักษณะกัลยาณมิตร ฟังและเข้าใจพวกเขาเพื่อที่จะฟื้นฟูความหวัง และความไว้ใจให้กับทุกค

วัฒนธรรมแห่งการผนึกเข้าไว้ด้วยกัน

คู่มือการสอนคำสอนเล่มนี้ยังชี้ให้เห็นถึงควมสำคัญของ “การให้การต้อนรับและการยอมรับ” ซึ่งกันแกกันแม้จะมีความแตกต่าง  โดยเน้นย้ำว่าศิษย์พระเยซูคริสต์ต้องเป็นประจักษ์พยานต่อความจริงเที่ยงแท้แห่งชีวิตมนุษย์ และต้องให้การต้อนรับกับของขวัญที่ยิ่งใหญ่นี้ ครอบครัวของพวกเขายังสมควรที่จะได้รับ “ความเคารพ และความชื่นชม” ด้วย

        ในทำนองเดียวกันการเรียนการสอนคำสอนต้องเน้นที่การยอมรับ ความไว้ใจ และความเอื้ออาทรต่อผู้อพยพ ซึ่งพวกเขาจำต้องอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนซึ่งอาจมีประสบการณ์กับวิกฤตแห่งความเชื่อ ผู้อพยพควรได้รับการสนับสนุนในการต่อสู้กับความลำเอียง การถูกเอารัดเอาเปรียบ และอันตรายต่างๆที่พวกเขาต้องเผชิญ เช่นการค้ามนุษย์เป็นต้น

การเลือกเข้าข้างคนยากจน การสอนคำสอนให้กับนักโทษ ผู้ต้องกัก

คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้นี้ยังเรียกร้องให้ผู้สอนคำสอนต้องเอาใจใส่ต่อสถานเรือนจำ ซึ่งเนื้อหาในคู่มือชี้ว่า สถานผู้ต้องกักเป็น “ดินแดนแห่งพันธกิจที่แท้จริง” มีการเสนอสำหรับผู้ที่ถูกจองจำว่า เนื้อหาของการประกาศข่าวดีควรเน้นถึงการไถ่กู้ในพระเยซูคริสต์รวมถึงการตั้งใจฟัง ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าของพระศาสนจักร  สำหรับคนยากจน  การสอนคำสอนควรอบรมพวกเขาเกี่ยวกับความยากจนตามเจตนารมย์แห่งพระวรสาร  นอกนั้นควรส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความเป็นภราดรภาพพร้อมกับสนับสนุนพวกเขาให้รังเกียจสถานการณ์ที่น่าสมเพช และความอยุติธรรมที่คนยากจนต้องรับทุกข์

วัด โรงเรียน และสถาบันต่างๆของพระศาสนจักร

ภาคที่สามที่ชื่อว่า “การสอนคำสอนในแต่ละภาคส่วนพระศาสนจักร” อุทิศให้กับการสอนคำสอนตามวัด สถาบันการศึกษา และสถาบันต่างๆของพระศาสนจักร

วัดมีความสำคัญในฐานะที่เป็น “แบบฉบับแห่งการแพร่ธรรมของชุมชน”  ซึ่งควรอบรมคำสอนที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตของผู้คน  หน่วยงานอื่นๆของพระศาสนจักรควรรับรู้ว่ามี “ความสามารถอันยิ่งใหญ่ในการประกาศพระวรสาร” ซึ่งเพิ่ม “ความมั่งคั่งให้กับพระศาสนจักร”

        เกี่ยวกับโรงเรียนคาทอลิก และสถาบันการศึกษา คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ เสนอการขับเคลื่อนจาก “สถาบันการศึกษา” ให้กลายเป็น “ชุมชนขององค์ความรู้” แห่งความเชื่อ โดยโครงการการศึกษาที่มีพื้นฐานจากคุณค่าแห่งพระวรสาร นอกนั้นคู่มือฉบับนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การสอนเรื่องราวศาสนาอื่นๆ  จะต้องเป็นการเอื้อต่อการสอนคำสอนคาทอลิกด้วย

        เมื่อย้ำว่า “ปัจจัยทางศาสนาเป็นมิติที่ต้องมีอยู่ ซึ่งจะต้องไม่มีการมองข้าม” คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ยืนยันว่า “เป็นสิทธิของบิดามารดาและนักเรียน” ที่ต้องได้รับการอบรมแบบองค์รวมที่ต้องมีการสอนศาสนาที่แตกต่างด้วย    

ความหลากหลายแห่งวัฒนธรรมและศาสนา

คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ ชี้ให้เห็นว่าความเป็นเอกภาพของคริสตชน และการเสวนาระหว่างศาสนา กับศาสนายูดาย กับศาสนาอิสลาม กับพุทธศาสนา และกับศาสนาอื่นๆที่ได้รับการยอมรับ อันเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับการสอนคำสอน  การสอนคำสอนคาทอลิกจะต้อง “ส่งเสริมความปรารถนาที่จะมีความเป็นเอกภาพ” เพื่อที่จะเป็นเครื่องมือของการประกาศพระวรสารที่แท้จริง

        ในสภาวะเช่นนี้เรียกร้องให้ต้องมีการเสวนาเพื่อป้องกันการต่อต้านการเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนายูดาย ในขณะเดียวกันเรียกร้องให้ประชาสัตบุรุษหลีกเลี่ยงการมองศาสนาอื่นอย่างผิวเผิน เพื่อที่จะส่งเสริมการเสวนากับศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นๆ (traditional religions)

        ในบริบทแห่งศาสนาหลากหลายร่วมสมัย คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้เรียกร้องการสอนคำสอนที่สามารถ “สร้างความล้ำลึก และพลังให้กับอัตลักษณ์ของผู้ที่มีความเชื่อ” ส่งเสริมแรงบันดาลใจในงานธรรมทูตด้วยการเป็นประจักษ์พยานรวมทั้งการเสวนา “ที่เป็นกัลยาณมิตรและจริงใจ”

เทคโนโลยีและโลกดิจิตอล

คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ ยืนยันว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีไว้เพื่อรับใช้มวลมนุษย์ และควรใช้เพื่อพัฒนาสภาพการดำเนินชีวิตของมนุษย์

คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ เสนอว่าการสอนคำสอนควรเน้นไปที่สอนให้ประชาชนรู้จักใช้วัฒนธรรมดิจิตอลอย่างเหมาะสม ซึ่งระบบดิจิตอลนั้นมีทั้งปัจจัยที่ดีและที่เลว การสอนคำสอนจึงควรเน้นที่จะช่วยเยาวชน บรรดาคนรุ่นใหม่ให้รู้จักแยกแยะความจริงและคุณภาพท่ามกลางวัฒนธรรมที่ผุดขึ้นมาอย่างกระทันหัน”

        เรื่องอื่นๆที่คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้กล่าวถึงเป็นการเรียกร้องให้ “มีการกลับใจเกี่ยวกับระบบนิเวศ”  การสอนคำสอนส่งเสริมการกลับใจนี้ด้วยการใส่ใจในการปกป้อง พิทักษ์คุ้มครองสิ่งสร้าง และหลีกเลี่ยงลัทธิบริโภคนิยม

        นอกนั้นคู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้เน้นว่าการสอนคำสอนยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับแรงงานตามคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักดร โดยใส่ใจเป็นพิเศษต่อการปกป้องสิทธิของผู้ที่อ่อนแอมากที่สุด นอกนั้นยังส่งเสริมการพัฒนาการผลิดอุปกรณ์ในการสอนการเรียนคำสอนที่ผลิตขึ้นในระดับท้องถิ่น เพื่อรับใช้การการเรียนการสอนคำสอนรวมถึงการประชุมซีน็อดของบรรดาบิชอป และสภาของบิชอปแต่ละประเทศอีกด้วย

Credit to By Vatican News

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บข่าวเรื่องการสอนคำสอนมาแบ่งปัน)

สมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ แนวคำสอนใหม่คือ “เหตุการณ์น่าชื่นชมในชีวิตพระศาสนจักร”

สมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ แนวคำสอนใหม่คือ “เหตุการณ์น่าชื่นชมในชีวิตพระศาสนจักร”

สมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารแบบใหม่เปิดเผยคำแนะนำในการสอนคำสอนยุคใหม่ต่อผู้สื่อข่าวที่วาติกัน

คู่มือการสอนคำสอนเป็นเหตุการณ์น่าชื่นชมยินดีในชีวิตของพระศาสนจักร”  นี่เป็นคำพูดของอาร์ชบิชอป ริโน ฟิสิเกลล่า (Rino Fisichella) ประธานสมณสภาเพื่อส่งเสริมการประกาศพระวรสารใหม่ ในช่วงของการให้สัมภาษณ์นักข่าวในโอกาสของการแถลงข่าวคู่มือในการสอนคำสอนเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 25 มิถุนายน 2020  ในการแถลงข่าวอาร์ชบิชอปฟิสิเกลล่า กล่าวว่าคู่มือฉบับใหม่นี้เป็นฉบับที่สามตั้งแต่สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 นั้น เป็นผลจากการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก  คู่มือการสอนคำสอนฉบับใหม่นี้ออกต้นฉบับเป็นภาษาอิตาเลียน แต่จะพิมพ์เป็นภาษาสำคัญอื่นๆด้วย  ผู้แถลงข่าวร่วมอื่นๆ ได้แก่ อาร์ชบิชอปอ็อคตาวิโอ รูอิซ อาเรนาส (Octavio Ruiz Arenas) และบิชอปฟรานซ์ ปีเตอร์ เตบาร์ทซ์ (Franz-Peter Tebartz-van Elst) เลขาธิการแห่งสมณสภาเพื่อส่งเสริมการประกาศพระวรสารใหม่

ภูมิหลัง

        อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา ตั้งข้อสังเกตว่า “ความจำเป็นสำหรับคู่มือฉบับใหม่เกิดขึ้นจากกระบวนการปรับวัฒนธรรม ซึ่งทำให้การสอนคำสอนมีคุณสมบัติจำเพาะ โดยเฉพาะสำหรับสมัยนี้ที่เรียกร้องให้ต้องมีการตั้งเป้าเป็นพิเศษ”

        ท่านยกตัวอย่างแห่งปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ของวัฒนธรรมดิจิตอลโดยชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือที่มีการสร้างขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้นแสดงให้เห็นถึง “การเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนแห่งพฤติกรรม” ซึ่งมีอิทธิพลต่อ “การอบรมความเป็นอัตลักษณ์แห่งบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างกัน”  ระบบใหม่แห่งการสื่อสารข้อมูล “ยังมีผลกระทบต่อพระศาสนจักรในโลกที่มีความยุ่งยากสลับทับซ้อนแห่งการศึกษาอีกด้วย”

        เหตุผลเชิงเทวศาสตร์และพระศาสนจักรก็มีส่วนในการเตรียมคู่มือฉบับใหม่ด้วย อาร์ชบิชอปฟิสิเกลล่า กล่าวว่า ณ ที่ประชุมสภาซีน็อดหลายครั้งได้มีการพูดกันเกี่ยวกับการประกาศพระวรสาร และการเรียนคำสอนเสมอ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเองก็ทรงนำเรื่องนี้ไปลงในสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” (Evangelii Gaudium) ในโอกาสครบ 25 ปีของการพิมพ์หนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก

        “เพราะฉะนั้นการสอนคำสอนต้องเป็นหนึ่งเดียวกันภายในกับงานประกาศพระวรสาร และไม่สามารถที่จะแยกออกจากกัน” อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลายืนยันว่า  “การประกาศพระวรสารเป็นพันธกิจที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ มอบให้กับพระศาสนจักรของพระองค์ เพื่อในทุกยุคทุกสมัยจะทำการประกาศประวรสารของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์”

 

“การสอนคำสอนเพื่อการประกาศพระวรสาร”

        “หัวใจของการสอนคำสอนคือการประกาศพระเยซูคริสต์” อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา กล่าวว่า  พระเยซูคริสต์ “ก้าวข้ามเวหาและกาลเวลาเพื่อเผยพระองค์แก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ในฐานะที่เป็นข่าวดีที่ทรงประทานให้ถึงความหมายแห่งชีวิต”

        ท่านชี้ให้เห็นว่าในแสงสว่างแห่งสมณสาส์นเตือนใจ “Evangelii Gaudium” คู่มือเล่มนี้สนับสนุน “การสอนคำสอนเพื่อการประกาศพระวรสาร” เพราะว่า “ความสำคัญสุดยอดคือการประกาศพระวรสารไม่ใช่เพื่อการเรียนคำสอน” ดังนั้นการประกาศพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็น kerygma) จึงจำต้องเป็นการประกาศพระเมตตาของพระเจ้าที่มุ่งไปยังคนบาปด้วย ผู้ซึ่งที่ไม่ถูกตัดออกไป แต่เป็นแขกรับเชิญผู้มีอภิสิทธิ์ ณ โต๊ะการเลี้ยงแห่งความรอด

เนื้อหาต่างๆ

อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา (Fisishella) อธิบายว่าคู่มือเล่มนี้จะพูดถึงเนื้อหาที่มีความหลากหลายด้วยกัน ประการแรกคือ “mystagogs” (การสอนก่อนที่จะรับศีลศักดิ์สิทธิ์) จะมีการชี้นำด้วย 2 ปัจจัย: ฟื้นฟูการประเมินเครื่องหมายด้านพิธีกรรมแห่งการรับสมาชิกคริสตชนใหม่ และวุฒิภาวะที่เจริญขึ้นในกระบวนการอบรมซึ่งรวมถึงทั้งชุมชนด้วย

        เนื้อหาอีกประการหนึ่งคือการเชื่อมโยงระหว่างการประกาศพระวรสารกับผู้ที่เรียนคำสอน นี่ชี้ให้เห็นถึงความเร่งด่วนของการ “กลับใจเชิงอภิบาล” เพื่อทำให้การสอนคำสอนเป็นอิสระจากปัจจัยอื่นที่เป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพ

        เมื่ออธิบายพระกระแสดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” (Evangelii Gaudium) พระองค์สนับสนุนการสอนและอบรมโดยใช้ “วิธีแห่งความสวยงาม” (via pulchritudinis) อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา (Fisishella) ชี้ให้เห็นว่าคู่มือดังกล่าว “ได้ใช้วิธีแห่งความสวยงามเป็นแหล่งสำคัญประการหนึ่งแห่งการสอนคำสอน”

        อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา (Fisishella) ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าคู่มือเล่มนี้พยายามที่จะ ค่อยๆแทรกให้พวกเราเข้าไปในพระธรรมล้ำแห่งความเชื่อ”  ท่านบอกว่าคุณสมบัตินี้ไม่อาจที่จะจำกัดอยู่แค่มิติเดียว ตรงกันข้าการสอนคำสอนสามารถชี้นำพวกเราให้ยอมรับและดำเนินชีวิตในพระธรรมล้ำลึก “อย่างสิ้นเชิงในความเป็นอยู่ประจำวันของพวกเรา”

        ในการเสริมแทรกดังกล่าวบิชอปฟรานซ์ ปีเตอร์ เตบาร์ทซ์ (Franz-Peter Tebartz-van Elst) กล่าวว่า หนังสือคู่มือเล่มนี้ใส่ใจเป็นพิเศษถึงเครื่องหมายของกาลเวลาและตีความไปตามแสงสว่างแห่งพระวรสาร ท่านชี้ให้เห็นว่านี่เป็นกำลังใจให้กับความเชื่อพร้อมกับชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสอนคำสอนในกระบวนการที่กว้างขึ้นแห่งการประกาศพระวรสาร ท่านยังหวังด้วยว่าคู่มือเล่มใหม่จะเป็นแรงบันดาลใจให้พระศาสนจักรท้องถิ่นพัฒนาคู่มือของตนเองขึ้นมาโดยยึดเอาคู่มือใหม่นี้เป็นแนวทาง

        อาร์ชบิชอปฟิสิเกลลา (Fisishella) กล่าวสรุปว่า ท่านหวังว่าคู่มือใหม่นี้จะช่วยให้มี “การฟื้นฟูการสอนคำสอนเพื่อกระบวนการประกาศพระวรสาร ซึ่งพระศาสนจักรไม่เคยหยุดยั้งที่จะปฏิบัติ”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บข่าวนี้มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ยุวธรรมทูต (พระคัมภีร์ที่ฉันรัก) หมู่บ้านนาเกียน อ.อมก๋อย

ยุวธรรมทูต (พระคัมภีร์ที่ฉันรัก) หมู่บ้านนาเกียน อ.อมก๋อย

วันที่ 27 มิถุนายน 2020

วันที่ 27 มิถุนายน 2020 PMS รับผิดชอบโดย คุณพ่อสิริชัย บุหงาสวรรค์ ได้ไปจัดกิจกรรมยุวธรรมทูต ที่หมู่บ้านนาเกียน อ. อมก๋อย จ.เชียงใหม่ มีเด็กๆ ยุวธรรมทูต จำนวน 31 คน และพี่เลี้ยงที่เป็นเยาวชนในหมู่บ้านอีก 3 คน ช่วยกันจัดกิจกรรมให้กับเด็กๆ ยุวธรรมทูต ทั้งวันเลย โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคเช้าและภาคบ่าย
ภาคเช้าให้เด็กได้ดูวีดิทัศน์เกี่ยวกับการประกาศข่าวดีและประวัติยุวธรรมทูต เสร็จต่อด้วยให้เด็กได้ร่วมกันเขียนเป็นกลุ่ม หัวข้อ คือ “เพื่อนช่วยเพื่อน” และให้เด็กแบ่งปันกัน และต่อด้วยหัวข้อ ยุวธรรมทูต Laudato si’ ให้เด็กเขียนแบ่งปันกันถึงการรักธรรมชาติ
ส่วนภาคบ่าย ได้จัดกิจกรรมเล่นเกมส์พระคัมภีร์ และให้เด็กรู้จักรักพระคัมภีร์ และการสวดภาวนา สวดให้เพื่อนๆ และคนยากจน ที่อยู่ห่างไกล อยู่หมู่บ้านอื่นๆ สรุป คือให้เด็กๆ รักพระคัมภีร์และรักการภาวนา เข้าวัดสวดภาวนาสม่ำเสมอ

คุณพ่อ สิริชัย บุหงาสวรรค์

แบ่งปันเรื่องสมณสาส์น Laudato Si’ ที่บ้านนิรมล จอมทอง ศูนย์แพร่ธรรมฯ

แบ่งปันเรื่องสมณสาส์น Laudato Si' ที่บ้านนิรมล จอมทอง ศูนย์แพร่ธรรมฯ

วันเสาร์ 27 มิถุนายน 2020

ณ บ้านนิรมล จอมทอง ศูนย์แพร่ธรรมฯได้เกียรติรับเชิญจากซิสเตอร์แม่ปอนให้มาแบ่งปันกับน้อง ๆ ผู้สนใจในคณะเรื่อง “สมณสาส์น Laudato Si’ (จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า)” กับ “องค์ความรู้ท้องถิ่นชนเผ่าปกาเกอะญอในการดูแลรักษาสิ่งสร้าง” หลังจากแบ่งปันแล้ว ซิสเตอร์ขอให้น้อง ๆ ลงสู่ภาคปฏิบัติด้วยการร่วมกันปลูกต้นไม้บริเวณภายในบ้านนิรมล 👍🌹🍏🍎

คำปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ช่วงการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวในวันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2020

คำปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ช่วงการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวในวันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล

“ข้าพเจ้าขอสวมกอดสมเด็จพระอัยกาบาร์โธโลมิว พี่น้องของข้าพเจ้าด้วยดวงจิต”

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2020

ต่อไปนี้เป็นคำปราศรัยของพระสันตะบิดรฟรานซิส ในช่วงสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวเมื่อในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2020 ในวันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโลองค์อุปถัมภ์แห่งกรุงโรม

        ในโอกาสนี้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเสนอความคิดบางประการด้วยความเคารพต่อสมเด็จพระอัยกาบาร์โธโลมิว

        “ในโอกาสนี้เป็นธรรมเนียมที่สำนักพระอัยกาแห่งนครคอนสตันติโนเปิ้ล (นครอิสตันลุล ประเทศตุรกี) ส่งคณะผู้แทนมายังกรุงโรม  แต่ปีนี้เป็นไปไม่ได้เนื่องจากโรคระบาดโควิด19 ดังนั้นข้าพเจ้าขอสวมกอดสมเด็จพระอัยกาบาร์โธโลมิวพี่น้องที่รักของข้าพเจ้าด้วยจิต โดยหวังว่าการเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันจะกลับมาใหม่ในไม่ช้านี้”

คำปราศรัยเต็มที่เผยแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆและพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        วันนี้พวกเราเฉลิมฉลองอัครสาวกเปโตรและเปาโล องค์อุปถัมภ์แห่งกรุงโรม นี่เป็นของขวัญที่พวกเรามีโอกาสมาสวดภาวนาที่นี่ใกล้กับสถานที่ซึ่งเปโตรตายเป็นมรณะสักขี แล้วร่างกายถูกฝังไว้ที่นี่ ทว่าจารีตพิธีในวันนี้รำลึกถึงเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งบอกพวกเราว่าก่อนหน้านั้นหลายปี เปโตรเป็นอิสระรอดพ้นจากความตาย  ท่านถูกจับ ถูกขังคุก และกลุ่มคริสตชนของพระศาสนจักรเริ่มแรกต่างก็หวั่นใจ หวั่นกลัวว่าท่านจะต้องตาย ดังนั้นบรรดาคริสตชนพากันสวดภาวนาโดยไม่หยุดหย่อนสำหรับเปโตร ครั้นแล้วทูตสวรรค์ก็ลงมานำท่านออกจากคุก (เทียบ กจ. 12: 1-11) แล้วต่อมาอีกหลายปีก็เช่นเดียวกันเมื่อเปโตรเป็นนักโทษคนหนึ่งในกรุงโรม พระศาสนจักรคงจะสวดสำหรับเขาเช่นเดียวกัน แต่ในโอกาสหลังนี้เปโตรเอาชีวิตไม่รอด เป็นไปได้อย่างไรเมื่อครั้งแรกสวรรค์ช่วยให้ท่านรอด แต่ครั้งที่สองกลับไม่รอด?

        เนื่องจากว่าการเดินทางในชีวิตของเปโตร ที่สามารถให้ความสว่างแก่หนทางเดินของพวกเรา  พระเจ้าประทานพระหรรษทานหลายประการให้แก่เปโตรและทำให้ท่านพ้นภัยจากความชั่วร้ายทั้งปวง พระองค์ทรงกระทำกับพวกเราแบบนี้เช่นเดียวกัน  อันที่จริงบ่อยครั้งพวกเราพึ่งพาพระองค์ในยามที่พวกเรามีความทุกข์เดือดร้อนเท่านั้น เพื่อขอความช่วยเหลือ  แต่พระเจ้ามองไกลกว่านั้น พระองค์เชื้อเชิญพวกเราให้ไปไกลกว่านั้น โดยให้พวกเราไม่เพียงแต่จะขอของขวัญของพระองค์ แต่ขอให้แสวงหาพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งของขวัญทุกชนิด เพื่อให้พวกเรามอบความไว้วางในในพระองค์ไม่จำเพาะแต่ปัญหาของพวกเราเท่านั้น แต่มอบชีวิตของพวกเราให้พระองค์  โดยอาศัยวิธีนี้ ในที่สุดพระองค์จะทรงประทานของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่พวกเรา นั่นคือ “ชีวิต” ใช่แล้ว พระองค์จะทรงประทานชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือทำชีวิตให้เป็นของขวัญพิเศษ นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับทุกคน สำหรับบิดามารดาต่อบุตรของตน ต่อพ่อแม่ที่ชราของตน ตรงนี้พวกเราจะรำลึกถึงคนชราที่ถูกครอบครัวทิ้งให้อยู่ตามลำพัง พ่อกล้าพูดได้ว่า ราวกับว่าบุคคลผู้ชราเป็นสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ นี่คือวิบัติในยุคของพวกเราซึ่งได้แก่การอยู่อย่างสันโดษของคนชรา  ชีวิตของลูกหลานมิได้ถูกมอบให้เป็นของขวัญสำหรับคนชรา การมอบตัวเราให้กับผู้ที่แต่งงานแล้ว และผู้ที่ถวายตัวฐานะนักบวช  เป็นความจริงทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานต่อทุกคนที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้พวกเราเจริญเติบโตขึ้นในการไห้  มีแต่ด้วยวิธีนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะสามารถกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้  พวกเราเติบโตขึ้นหากพวกเรามอบตัวเราให้กับผู้อื่น จงมองไปยังนักบุญเปโตร ท่านไม่ได้เป็นวีรบุรุษเพราะท่านเป็นอิสระจากคุก แต่เป็นเพราะว่าท่านได้เขามอบชีวิตไว้ที่นี่ ของขวัญของท่านได้เปลี่ยนแปลงสถานที่จากลานประหารเป็นสถานที่สวยงามแห่งความหวัง  ซึ่งพวกเราเป็นผู้โชคดีที่ได้อยู่และมาเยือน ณ ที่นี้

        นี่คือสิ่งที่พวกเราควรขอจากพระเจ้า:  ไม่เพียงแต่พระหรรษทานในยามที่พวกเราถูกทดลองเท่านั้น แต่ต้องเป็นพระหรรษทานแห่งชีวิต  พระวรสารของวันนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงการเสวนาที่ท้าทายชีวิตของเปโตร ท่านได้ยินพระเยซูคริสต์ถามว่า “ท่านคิดว่าเราเป็นผู้ใด?”  เปโตรตอบว่า “พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” แล้วพระเยซูคริสต์กล่าวต่อไปว่า “ท่านเป็นผู้มีบุญ ซีมอนบุตรแห่งโยนาห์” (มธ.16: 16-17)  พระเยซูคริสต์ตรัสคำว่า “มีบุญ” ซึ่งตามลายลักษณ์อักษรแปลว่ามีความสุข ท่านมีความสุขแท้เพราะพูดเช่นนี้ ให้สังเกตว่า: พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ท่านเป็นผู้มีบุญ” กับเปโตร เพราะเปโตรกล่าวกับพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” มีความลับอะไรสำหรับชีวิตที่มีบุญ และอะไรเป็นความลับของชีวิตที่เป็นสุข?  การรู้จักกับพระเยซูคริสต์ต้องอยู่ในฐานะที่เป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นรูปปั้น รูปวาด เพราะนั่นไม่มีความสำคัญที่รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์  ไม่สำคัญว่าจะชอบสิ่งที่พระองค์พูดหรือกระทำ สิ่งสำคัญคือพื้นที่ที่พวกเราให้พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตของพวกเรา  สถานที่ที่พวกเราให้พระเยซูคริสต์ประทับอยู่ในหัวใจของพวกเรา  ณ จุดนี้เองที่เปโตรได้ยินพระเยซูคริสต์ตรัส “ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา” (ข้อ 18) ท่านถูกเรียกว่า “เปโตร” แปลว่า “ศิลา” เพราะท่านเป็นคนที่เข้มแข็ง และไว้วางใจได้ จริงๆหรือ? เปล่าเลย ท่านทำผิดหลายประการในภายหลัง ท่านเป็นคนที่เชื่อใจไม่ค่อยได้ ท่านจะทำผิดหลายอย่าง ถึงขั้นปฏิเสธพระอาจารย์ แต่ท่านก็เลือกที่จะสร้างชีวิตในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นศิลาแท้จริง ไม่ใช่อย่างที่พระคัมภีร์บอกว่า “บนเนื้อและเลือด” กล่าวคือบนตนเอง บนความสามารถของตนเอง แต่บนพระเยซูคริสต์ (เทียบ ข้อ 17)  ผู้ทรงเป็นศิลา  และพระเยซูคริสต์ก็ทรงเป็นศิลาที่ซีมอนกลายเป็นศิลา พวกเราอาจกล่าวได้เช่นเดียวกันกับอัครสาวกเปาโลซึ่งมอบตนเองอย่างสิ้นเชิงให้กับพระวรสาร โดยถือว่าสิ่งอื่นๆทุกสิ่งล้วนไร้ค่าเพื่อที่ท่านจะได้พระเยซูคริสต์มาเป็นกรรมสิทธิ์

        วันนี้ต่อหน้าอัครสาวกทั้งสองท่าน พวกเราอาจถามตัวเราเองว่า “แล้วฉันเล่า ฉันเตรียมชีวิตอย่างไร? ฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องความต้องการในปัจจุบัน หรือฉันเชื่อว่าความต้องการแท้จริงของชีวิตฉันคือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงทำให้ฉันเป็นของขวัญล้ำค่า?  แล้วฉันสร้างชีวิตอย่างไร ตามความสามารถของฉันเองหรือกับพระเจ้าผู้ทรงชีวิต?”  ขอให้พระแม่มารีย์ ผู้ทรงมอบทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าโปรดช่วยให้พวกเรายึดมั่นในพระองค์เป็นฐานของการเจริญชีวิตทุกวัน และขอพระแม่มารีย์ทรงเสนอวิงวอนให้พวกเรา โดยอาศัยพระหรรทานของพระเจ้าจะได้สามารถทำให้ชีวิตของพวกเราเป็นของขวัญอันประเสริฐ

คำปราศรัยหลังการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตรัสต่อไป

ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        พ่อขอต้อนรับพี่น้องชาวโรมทุกคน และผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในนครหลวงแห่งนี้ ในวันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโลอัครสาวกองค์อุปถัมภ์แห่งกรุงโรม โดยอาศัยการวิงวอนของท่านนักบุญ พ่ออธิษฐานภาวนาให้ทุกคนที่อยู่ในกรุงโรมจงดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ได้พบการเป็นประจักษ์พยานแห่งพระวรสาร

โอกาสนี้เป็นธรรมเนียมที่สำนักพระอัยกาแห่งนครคอนสตันติโนเปิ้ล จะส่งคณะผู้แทนมายังกรุงโรม  แต่ในปีนี้สถานการณ์เป็นไปไม่ได้เพราะโรคระบาด เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอส่งการกอดทางจิตไปยังสมเด็จพระอัยกาบาร์โธโลมิว พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าโดยหวังว่าการเยือนกันและกันของเราทั้งสองจะมีขึ้นอีกภายในไม่ช้านี้

ในขณะที่พวกเราทำการเฉลิมฉลองนักบุญเปโตรและเปาโล  พ่อปรารถนาที่จะรำลึกถึงมรณะสักขีมากมายผู้ที่ถูกตัดศีรษะ ถูกเผาทั้งเป็น และถูกประหารชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของจักรพรรดิเนโร บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ซึ่งท่านกำลังยืนอยู่ในขณะนี้ นี่เป็นแผ่นดินที่เปื้อนเลือดแห่งบรรดาพี่น้องคริสตชนชนของพวกเรา พรุ่งนี้พวกเราจะระลึกถึงบรรดาปฐมมรณสักขีแห่งกรุงโรม (30 มิถุนายน)

ขอต้อนรับผู้แสวงบุญทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ พ่อมองเห็นธงชาติของประเทศแคนาดา เวนีซูเอลลา โคลัมเบีย ฯลฯ ขอต้อนรับอีกครั้ง ขอให้การเยือนหลุมศพของอัครสาวกเปโตรสร้างความเข้มแข็งให้กับความเชื่อของพวกท่านและการเป็นประจักษ์พยานของท่าน

พ่อขอส่งความปรารถนาดีมายังทุกคนในวันสมโภชนี้ โปรดอย่าลืมอธิษฐานภาวนาเพื่อพ่อด้วย ขอให้ทุกคนรับประทานอาหารเที่ยงด้วยความสุข แล้วพวกเราจะพบกันใหม่โอกาสต่อไป

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

บทเทศน์วันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล (29 มิถุนายน 2020) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานกล่าวถึงความเป็นเอกภาพและคำทำนาย

บทเทศน์วันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานกล่าวถึงความเป็นเอกภาพและคำทำนาย

พระสันตะปาปาทรงเสกผ้าคล้องคอพิเศษเป็นสมณยศอย่างหนึ่ง เรียกว่า “Pallium” เพื่อมอบให้กับคณะพระคาร์ดินัล และอาร์ชบิชอป ประจำเขตศาสนปกครองปกครองแห่งมหานคร ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งปีที่แล้ว (ค.ศ. 2019)

วันที่ 29 มิถุนายน 2020

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นเรื่องความเป็นเอกภาพ (unity) และ คำทำนายหรือคำพยากรณ์ (prophecy) ในบทเทศน์ระหว่างพิธีบูชามิสซาในวันที่ 29 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล พิธีกรรมจัดขึ้นในมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งมีสัตบุรุษเข้าร่วมไม่มากนัก เนื่องจากกฏระเบียบสุขภาพอนามัยเพราะโรคระบาด ระหว่างพิธีมีการเสกปัลลีอุม (Pallium) เพื่อมอบให้กับคณะพระคาร์ดินัลและอาร์ชบิชอป แห่งอัครสังฆมณฑลมหานคร ที่ได้รับการแต่งตั้งมื่อปีที่แล้ว

เมื่อพูดถึงความเป็นเอกภาพ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตั้งข้อสังเกตว่าในการฉลองวันนี้ พระศาสนจักรทำการฉลอง “บุคคลสองคนที่มีลักษณะแตกต่างกัน เปโตรผู้เป็นชาวประมง ซี่งใช้วันๆอยู่กับเรือและอวน ส่วนเปาโลเป็นฟาริสีที่เรียนสูงและเป็นนักเทศน์สอนในศาลาธรรม เมื่อเขาทั้งสองออกไปทำพันธกิจเปโตรจะพูดกับชาวยิว  ส่วนเปาโลจะพูดกับชนต่างศาสนา และเมื่อหนทางของเขาทั้งสองมาบรรจบกันก็มักจะมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเสมอ…”แต่เขาทั้งสองก็สนิทกันและเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

และ เกี่ยวกับการทำนายหรือพยากรณ์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเชิญให้พวกเราคิดถึงคำถามที่ท้าทายของพระเยซูคริสต์ต่อเปโตร “ท่านคิดว่าเราเป็นใคร?” เปโตรก็ตอบแบบนักพยากรณ์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  การประกาศของเปโตรทำให้พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระองค์จะสร้างพระศาสนจักรบนอัครสาวกท่านนี้ ซึ่งทำให้ทิศทางของชายผู้นี้เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน  ขณะที่เซาโลถูกทำให้ตาบอดและเขาได้พบปะกับพระเยซูคริสต์ ในทำนองที่ทำให้เขากลายเป็นเปาโล อาจารย์และผู้ประกาศพระวรสารที่ยิ่งใหญ่

“ทุกวันนี้พวกเราต้องการการพยากรณ์ แต่ต้องเป็นพยากรณ์ที่แท้จริง ไม่ใช่นักคุยโม้ที่สัญญาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  แต่เป็นพยานว่าพระวรสารนั้นทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้” สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสอีกว่า “สิ่งที่พวกเราต้องการไม่ใช่การแสดงที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งทำให้พ่อรู้สึกเศร้าใจ เมื่อพ่อได้ยินบางคนพูดว่า พวกเราต้องการพระศาสนจักรที่เป็นนักพยากรณ์” ก็ได้ แต่ท่านมัวทำอะไรอยู่เพื่อที่พระศาสนจักรจะได้เป็นนักพยากรณ์? พวกเราต้องการชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงอัศจรรย์แห่งความรักของพระเจ้า”

ต่อไปนี้เป็นบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเผยแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน

ในโอกาสสมโภชอัครสาวกทั้งสองแห่งกรุงโรม พ่อปรารถนาที่จะแบ่งปันกับพวกท่านกับคำว่า” ความเป็นเอกภาพและการพยากรณ์

ความเป็นเอกภาพ พวกเราทำการฉลองปัจเจกบุคคลสองท่านพร้อมกัน  แต่แตกต่างกันมาก เปโตรเป็นชาวประมงที่วันๆอยู่กับเรือและอวน ส่วนเปาโลเป็นฟาริสีคงแก่เรียนและทำการสอนในศาลาธรรม เมื่อทั้งสองออกไปทำพันธกิจ เปโตรพูดกับพี่น้องชาวยิว ส่วนเปาโลจะพูดกับคนต่างศาสนา เมื่อเขาทั้งสองพบกันไม่ว่าเวลาใดก็มักจะมีการโต้แย้งกันอย่างเผ็ดร้อนเสมอ ดังที่เปาโลไม่อายที่จะยอมรับในจดหมายฉบับหนี่งของเขา (เทียบ กท. 2: 11)   พูดสั้นๆก็คือเขาทั้งสองแตกต่างกัน แต่เขาถือว่าเป็นพี่น้องกันเฉกเช่นครอบครัวที่มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งอาจมีการโต้ถึยงกัน แต่เขาทั้งสองก็มีความรักซึ่งกันและกันเสมอ ทว่าความใกล้ชิดที่เชื่อมระหว่างเปโตรและเปาโลไม่ได้เกิดจากความพอใจตามธรรมชาติ แต่จากพระเยซูคริสต์ พระองค์มิได้ทรงบังคับให้พวกเราชื่นชอบกันและกัน แต่ให้พวกเรารักซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเราโดยที่ไม่ทรงทำให้พวกเรามีความเหมือนกัน พระองค์ทรงทำให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางความแตกต่างระหว่างพวกเรา

บทอ่านที่หนึ่งของวันนี้นำพวกเราไปสู่ต้นตอแห่งความเป็นเป็นเอกภาพนี้  ซึ่งเกี่ยวกับพระศาสนจักรที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ที่กำลังมีประสบการณ์กับเวลาแห่งวิกฤต กษัตริย์เฮร็อดโกรธเคืองมากจึงสั่งให้มีการเบียดเบียน อัครสาวกยาก็อบถูกฆ่าตาย และช่วงเวลานั้นเปโตรถูกจับ ชุมชนคริสตชนไม่รู้ว่าจะต้องทำประการใด ทุกคนสับสน ทุกคนห่วงชีวิตของเปโตร ทว่าในช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไม่มีผู้ใดหลบหนีลี้ภัยเลย ไม่มีใครคิดที่จะรักษาชีวิตของตนให้รอด ไม่มีผู้ใดทอดทิ้งผู้อื่น แต่ว่าทุกคนรวมตัวกันสวดภาวนา จากการสวดภาวนานี้แหละพวกเขาได้รับพลังพิเศษ จากการสวดภาวนาพวกเขามีเอกภาพซึ่งมีพลังมากกว่าการถูกขู่เข็นใดๆ พระวรสารกล่าวว่า “ขณะที่เปโตรอยู่ในคุกพระศาสนจักรสวดภาวนาด้วยความร้อนรนสำหรับเขา” (กจ. 12: 5) เอกภาพเป็นผลพวงจากการสวดภาวนา เพราะการสวดภาวนาเป็นการยอมให้พระจิตทรงเข้ามาเป็นแรงผลักดัน พระองค์ทรงเปิดหัวใจของพวกเราสู่ความหวัง สำหรับย่นระยะทางการรอคอย และพระองค์ผนึกให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันในเวลาที่ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก

ขอให้พวกเราสังเกตสิ่งอื่นอีก ณ เวลาแห่งความโกลาหลนั้นไม่มีผู้ใดบ่นถึงความชั่วร้ายของเฮร็อดและการเบียดเบียนของเขา ไม่มีผู้ใดล่วงเกินเฮร็อด ซึ่งปกติพวกเรามักจะกล่าวร้ายต่อผู้ที่มีอำนาจ  ไร้ซึ่งความหมายแม้กระทั่งเป็นสิ่งน่ารำคาญใจอย่างยิ่งสำหรับคริสตชนที่มัวไปเสียเวลาบ่นเกี่ยวกับโลก กับสังคม กับทุกสิ่งที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง การบ่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ขอให้พวกเราจำไว้ว่าการบ่นเป็นประตูที่สองที่จะปิดกั้นตัวพวกเราจากพระจิตเจ้า ดังที่พ่อได้กล่าวไปแล้วในวันอาทิตย์สมโภชพระจิต สิ่งแรกนั้นคือลัทธิการบูชาตนเอง  สิ่งที่สองคือการสิ้นหวัง สิ่งที่สามคือการมองโลกในแง่ร้าย ลัทธิการบูชาตนเองทำให้พวกท่านต้องมองตนเองในกระจกเงาบ่อยๆ การสิ้นหวังจะนำไปสู่การบ่น และการมองโลกในแง่ร้ายจะทำให้พวกเรามองทุกสิ่งว่ามืดมนไปหมด ทัศนคติสามประการนี้จะปิดกั้นประตูสู่พระจิต คริสตชนเหล่านั้นมิได้กล่าวตำหนิผู้ใดเลย ตรงกันข้ามพวกเขาสวดภาวนา ในชุมชนดังกล่าวไม่มีผู้ใดพูดว่า “ถ้าเปโตรระมัดระวังตัวมากขึ้น พวกเราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้”  หากจะพูดตามภาษามนุษย์ มีเหตุผลที่จะตำหนิเปโตร แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิเขาเลย  พวกเขาไม่ได้บ่นเกี่ยวกับเปโตร พวกเขาสวดภาวนสำหรับเปโตร พวกเขาไม่นินทาลับหลังเปโตร พวกเขาสนทนากับพระเจ้า  วันนี้พวกเราสามารถถามว่า “พวกเราสามารถปกป้องความเป็นเอกภาพของพวกเรา และความเป็นเอกภาพกับพระศาสนจักรด้วยคำภาวนาได้หรือไม่? พวกเราสวดภาวนาสำหรับกันและกันหรือไม่?”  อะไรจะเกิดขึ้นหากพวกเราสวดภาวนาให้มากขึ้นแล้วบ่นน้อยลง หากพวกเรารู้จักควบคุมลิ้นที่เงียบสงบ?  สิ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นดังที่เกิดกับเปโตรขณะที่อยู่ในคุก บางครั้งบางคราวประตูหลายบานที่ปิดอยูจะถูกเปิดออก โซ่ตรวนที่รัดอยู่จะแตกหัก พวกเราคงจะประหลาดใจดุจสาวใช้ที่เห็นเปโตร ณ ประตู และไม่เปิดให้ แต่กลับวิ่งกลับเข้าไปภายในอย่างประหลาดใจพร้อมกับชื่นชมยินดีที่ได้เห็นเปโตร (เทียบ กจ. 12: 10-17) ขอให้พวกเราขอพระหรรษทานเพื่อที่จะสามารถสวดภาวนาสำหรับกันและกัน นักบุญเปาโลขอร้องคริสตชนให้สวดภาวนาสำหรับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำการปกครอง (เทียบ 1 ทธ. 2: 1-3) “แต่ผู้ปกครองคนนี้เป็นคนประเภท…” ที่มีคุณศัพท์ขยายมากมาย พ่อไม่ขอเอ่ยถึงจะดีกว่า เพราะนี่ไม่ใช่เวลาและสถานที่ที่จะเอ่ยถึงคุณศัพท์ที่ให้กับนักปกครอง ขอให้พระเจ้าพิพากษาพวกเขาก็แล้วกัน ทว่าเวลานี้ขอให้เราสวดสำหรับผู้ที่เป็นนักปกครอง เพราะพวกเขาต้องการคำภาวนา นี่เป็นพันธกิจที่พระเจ้ามอบให้พวกเรา พวกเราได้ปฏิบัติตามหรือไม่?  หรือว่าพวกเราได้แต่พูด ได้แต่วิจารณ์ ได้แต่บ่น ได้แต่ละเมิด แล้วไม่ทำอะไรเลย?  พระเจ้าทรงคาดหวังว่าเมื่อพวกเราสวดภาวนา พวกเราจะรำลึกถึงผู้ที่ไม่คิดอย่างที่พวกเราคิด ผู้ที่ปิดประตูใส่หน้าพวกเรา ผู้ที่พวกเราพบว่ายากมากที่จะให้อภัย  มีแต่การสวดภาวนาเท่านั้นที่จะทำลายโซ่ตรวนดังที่เกิดขึ้นกับเปโตร มีแต่การสวดภาวนาเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความเป็นเอกภาพ

                                        ผ้าคล้องคอ Pallium

        ในพิธีบูชามิสซามีการเสกผ้าคล้องคอเครื่องหมายสมณยศพิเศษที่เรียกว่า “Pallium” เพื่อมอบให้กับคณะพระคาร์ดินัลและอาร์ชบิชอปที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีที่แล้ว  ปัลลีอุม (Pallium) เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเอกภาพระหว่างลูกแกะและผู้เลี้ยงแกะที่ดี ดุจดังพระเยซูคริสต์ทรงแบกลูกแกะไว้บนบ่าเพื่อที่จะไม่มีวันพรากจากกัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตามประเพณีที่ดี พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันในวิธีพิเศษกับสมเด็จพระอัยกาแห่งนครคอนสตันติโนเปิ้ล (ปัจจุบันเมืองอีสตันบุน) เปโตรและอันดรูว์เป็นพี่น้องกัน และเมื่อใดก็ตามที่เอื้ออำนวยพวกเราก็แลกเปลี่ยนการเยือนฉันพี่น้องกันในโอกาสวันฉลองสำคัญของทั้งสองฝ่าย เหตุที่พวกเราทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะด้วยมารยาท แต่เป็นหนทางแห่งการเดินทางร่วมกันสู่เป้าหมายที่พระเยซูคริสต์ทรงกำชับพวกเรา กล่าวคือความเป็นเอกภาพ วันนี้พวกเราไม่สามารถทำได้เพราะความยุ่งยากในการเดินทางเนื่องจากไวรัสโคโรนา แต่เมื่อพ่อไปสักการะพระธาตุของเปโตรในใจของพ่อรู้สึกคิดถึงพระอัยกาบาร์โธโลมิวกัลยาณมิตร พี่น้องที่รักของพ่อ วันนี้คณะของท่านอยู่ที่นี่โดยการร่วมจิตใจพร้อมกับพวกเรา

        คำที่สองคือว่า คำพยากรณ์ เอกภาพและพยากรณ์ อัครสาวกถูกท้าทายจากพระเยซูคริสต์ เปโตรได้ยินคำถามของพระเยซูคริสต์ว่า “ท่านคิดว่าเราเป็นใคร?” (เทียบ มธ. 16: 15) ณ เวลานั้นเขารับรู้ว่าพระอาจารย์เจ้าไม่สนใจในสิ่งที่คนอื่นคิด แต่ในการตัดสินใจส่วนตัวของเปโตรที่จะติดตามพระองค์ ชีวิตของเปาโลเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ได้รับการท้าทายจากพระเยซูคริสต์ในทำนองเดียวกัน “เซาโล เซาโล ทำไมท่านจึงเบียดเบียนเรา?”  (กจ. 9: 4) พระเยซูคริสต์ทรงกระตุ้นเปาโลอย่างแรงถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจมากกว่าทำให้เขาตกจากหลังม้าในขณะที่เดินทางไปยังดามัสคัส พระองค์ขยี้ความหลงผิดของเปาโลว่าตนเป็นผู้มีศรัทธาที่น่าเคารพ   ผลที่ตามมาคือเซาโลผู้ทรนงเปลี่ยนเป็นเปาโล ชื่อที่แปลว่า “เล็กๆ” การท้าทายเหล่านี้และการผกผันตามมาด้วยคำพยากรณ์ “ท่านเป็นศิลาและบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา” (มธ. 16: 18)   และสำหรับเปาโล “เขาเป็นเครื่องมือของเราที่จะนำเอาพระนามของเราไปสู่ชนต่างศาสนา กษัตริย์ และลูกหลานของชนชาติอิสราเอล” (กจ. 9: 15)  คำพยากรณ์เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อพวกเรายอมให้ตนถูกท้าทายจากพระเจ้า ไม่ใช่เมื่อพวกเรามัวแต่ห่วงในการรักษาทุกสิ่งไว้อย่างเงียบเชียบภายใต้การควบคุมของพวกเรา  คำพยากรณ์ไม่ได้เกิดจากความนึกคิดของพวกเราจากดวงใจที่ปิดของพวกเรา  ทว่าะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราเปิดใจยอมรับการท้าทายจากพระเจ้า เมื่อพระวรสารทำให้บางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป  คำพยากรณ์จะปรากฏขึ้น มีแต่การเปิดใจสู่ความประหลาดของพระเจ้าเท่านั้น ผู้นั้นจึงจะเป็นประกาศกได้  และพวกเรามีเปโตรและเปาโลผู้เป็นประกาศกที่ทำนายถึงอนาคต เปโตรเป็นคนแรกที่ประกาศว่าองค์พระเยซูคือ “พระคริสตเจ้า พระบุตรแห่งพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ. 16: 16) เปาโลซึ่งทราบถึงความตายของตนที่กำลังจะมาถึง “จากบัดนี้เป็นต้นไป มีการเตรียมมงกุฎไว้แล้วสำหรับผู้ชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าจะประทานให้เป็นรางวัลสำหรับข้าพเจ้า” (2 ทธ. 4: 8)

        ทุกวันนี้พวกเราต้องการคำพยากรณ์หรือว่าความสามารถในการทำนาย  แต่ต้องเป็นพยากรณ์ที่แท้จริงไม่ใช่แบบนักขี้คุยขี้โม้ที่สัญญาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ความสามารถทำนายจะต้องเป็นประจักษ์พยานว่าพระวรสารนั้นทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้  สิ่งที่พวกเราต้องการไม่ใช่การแสดงแบบอัศจรรย์  พ่อรู้สึกเศร้าใจเมื่อพ่อได้ยินบางคนกล่าวว่า “พวกเราต้องการพระศาสนจักรที่เป็นนักพยากรณ์ สามารถทำนายล่วงหน้า” ซึ่งจะให้เป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านกำลังทำอะไรเพื่อที่จะทำให้พระศาสนจักรเป็นนักพยากรณ์?  พวกเราต้องการชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงอัศจรรย์แห่งความรักของพระเจ้า ไม่ใช่การใช้อำนาจบังคับแต่ใช้ความถูกต้อง ไม่ใช่การเสวนากันที่ยืดยาวแต่เป็นการสวดภาวนา ไม่ใช่เป็นการปาฐกถาที่ดีแต่พูดแต่เป็นการรับใช้  ท่านต้องการพระศาสนจักรที่เป็นนักพยากรณ์ หรือมีความสามารถทำนายใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็จงรับใช้ผู้อื่นและหุบปากพูดให้น้อยลง  ไม่ใช่ใช้เพียงทฤษฎีแต่ต้องเป็นประจักษ์พยาน พวกเราต้องไม่เป็นคนโลภมุ่งความร่ำรวยแต่ต้องรักคนยากจน พวกเราต้องไม่สั่งสมเงินทองเพื่อตนเอง แต่ใช้ตัวเราเองเพื่อผู้อื่น  พวกเราต้องไม่แสวงหาความชื่นชมของโลกนี้หรือความปลื้มที่มีพรรคพวกมากและสามารถประสานเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับทุกคน คล้ายๆอยากบอกว่า “ขอให้สบายใจเราประสานได้ทั้งกับพระเจ้าและกับปิศาจ” การอยู่ได้อย่างสุขสบายกับทุกคน… ไม่เลย… นี่ไม่ใช่ความสามารถในการพยากรณ์  พวกเราต้องการความชื่นชมยินดีของโลกให้กลับมาใหม่  ไม่ใช่แผนการอภิบาลที่ดีกว่า ซึ่งดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในตัวตนเองราวกับว่าตัวเองเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์:  บางคนเก่งมากในการวางแผนการอภิบาลที่มีประสิทธิภาพ  แต่ไม่ใช่เลย!  พวกเราต้องการผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้ที่ที่อุทิศชีวิตตนเองเป็นบุคคลที่รักพระเจ้า  นั่นคือสิ่งที่เปโตรและเปาโลสอนเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีความรักต่อพระเจ้า ในการตรึงบนไม้กางเขนเปโตร ท่านไม่ได้คิดถึงตนเองแต่จะคิดถึงพระเยซูคริสต์โดยถือว่าตนเองไม่สมควรที่จะตายดุจพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระอาจารย์ เปโตรจึงขอให้เอาไม้กางเขนของท่านปักหัวลง  ก่อนที่เปาโลจะถูกตัดศีรษะ เปาโลคิดแต่การมอบชีวิตของตนเอง ท่านเขียนว่า ท่านต้องการที่จะ “หลั่งเลือดดุจเครื่องบูชา” (2 ทธ. 4: 6) นั่นแหละคือความสามารถในการทำนายและยืนยันความจริง การพยากรณ์ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดลอยๆ แต่คำพยากรณ์ที่มีพลังเปลี่ยนประวัติศาสตร์

        ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ได้ทำนายกับเปโตรว่า “ท่านคือศิลาและบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา”  ณ จุดนี้มีการพยากรณ์เช่นเดียวกันสำหรับพวกเรา ซึ่งพบได้ในคัมภีร์ฉบับสุดท้ายคือหนังสือวิวรณ์ ซึ่งพระเยซูคริสต์ให้สัญญากับประจักษ์พยานผู้ซื่อสัตย์ว่า “ณ ศิลาสีขาวซึ่งบนศิลานั้นจะมีการบันทึกชื่อ” (วว. 2: 17) ดุจดังที่พระเยซูคริสต์เปลี่ยนชื่อจากซีมอนให้เป็นเปโตร ดังนั้นพระองค์จึงทรงเรียกร้องพวกเราทุกคน เพื่อว่าพวกเราจะได้เป็นศิลาทรงชีวิต เพื่อสร้างพระศาสนจักรที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และมนุษยชาติที่กลับใจใหม่ ในสถานการณ์จริงของพระศาสนจักรมีผู้ที่คอยทำลายความเป็นเอกภาพอยู่เสมอ แล้วพยายามที่จะทำนาย อ้างอิงสารพัด แต่พระเยซูคริสต์ทรงเชื่อถือในพวกเราและถามพวกเราว่า “ท่านต้องการที่จะเป็นผู้สร้างความเป็นเอกภาพไหม?  ท่านต้องการที่จะเป็นประกาศกแห่งสวรรค์บนแผ่นดินของเราไหม?”  ลูกๆและพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเรารับการท้าทายของพระเยซูคริสต์และมีความกล้าหาญที่จะตอบพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

29 มิถุนายน สมโภชนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล อัครสาวก (SS. Peter and Paul, Apostles, solemnity)

29 มิถุนายน สมโภชนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล อัครสาวก

(SS. Peter and Paul, Apostles, solemnity)

วันสมโภชนี้ พระศาสนจักรหวนกลับมาดูจุดกำเนิดของตน และเฉลิมฉลองความจำที่มีต่อบุคคลสำคัญสองท่าน ที่เป็นเหมือนแม่พิมพ์ให้กับชีวิตพระศาสนจักรในระยะเริ่มต้น ที่ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยสำคัญที่ลบเลือนไม่ได้ในรากฐานและลักษณะเฉพาะ ทั้งสองท่านต่างกันโดยสิ้นเชิง (as different as chalk and cheese) แต่ท่านนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลก็ได้รับขนานนามว่า “เป็นเสาหลักสองต้นของพระศาสนจักร” เป็นดัง “ตะเกียงหรือดวงไฟสองดวง” ที่กำลังลุกโชติช่วงเพื่อพระคริสต์ เพื่อส่องสว่างหนทางไปสู่สวรรค์

นักบุญเปโตร – “ซีมอน บุตรของโยนาห์” เป็นชาวเบธไซดา ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี แต่งงานและตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับน้องชาย “อันดรูว์” หาเลี้ยงตนด้วยอาชีพจับปลา จนกระทั่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเรียกเขา จากชาวประมงจับปลา มาเป็นชาวประมงจับมนุษย์ เมื่อเขาประกาศความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสต์ พระบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้าจึงทรงประกาศตั้งพระศาสนจักรบนหินก้อนนี้ ที่มีเปโตรเป็นรากฐาน [เพราะชื่อเปโตร หรือ Petrus ภาษาลาติน หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เคฟา(ส) ภาษาอาราเมอิค แปลว่า “หิน”] สำนวนที่พระองค์มอบกุญแจแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ให้แก่นักบุญเปโตร และสำนวนที่ว่าถึงการผูกและการแก้ มีความหมายทางกฎหมายชัดแจ้งถึงตำแหน่งสูงสุดในการปกครองที่พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้นมา

หลังการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ นักบุญเปโตรเป็นหนึ่งในพวกแรกๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงปรากฏองค์ให้เห็น เป็นนักบุญเปโตรที่เป็นประธานในการเลือก มัทธีอัสมาแทน ยูดาส อิสคาริโอท (กจ 1:15-20) นักบุญเปโตรเป็นผู้เทศน์สอนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันเปนเตกอสเตที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา (กจ 2:14-40) ให้คำปราศรัยกับสภาซันเฮดริน (กจ 4:5-22) เป็นผู้รับชาวยิวพวกแรกมาเป็นคริสตชน (กจ 2:41) และต่อมารับคนต่างชาติพวกแรก (กจ 10:44-48) เข้ามาในพระศาสนจักร นักบุญเปโตรได้ทำอัศจรรย์ครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชน (กจ 3:1-11) และเป็นผู้ให้คำตัดสินชี้ขาดในสภาสังคายนาครั้งแรกของพระศาสนจักร (กจ 15:7-11)

นักบุญเปาโล – นักบุญเปาโล ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีอัจฉริยภาพทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของคริสตศาสนา (ต่อจากนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร) ท่านมาจากดินแดนที่ชาวยิวกระจัดกระจายไปอยู่ (Diaspora) คือเมืองทาร์ซัส ซึ่งทำให้ท่านคุ้นเคยทั้งวัฒนธรรมของชาวยิวและชาวกรีก น่าชื่นชมที่ท่านได้รับการปูพื้นฐานความรู้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเหมาะกับงานที่พระเจ้าทรงมอบให้ท่านในอนาคต ในการที่จะต้องเป็น “อัครสาวกสำหรับคนต่างศาสนา” และเป็นผู้ช่วยพระศาสนจักรซึ่งเพิ่งเริ่มต้นให้ก้าวเดินอย่างเป็นอิสระพ้นจากลัทธิของชาวยิว จากการที่ท่านได้มีประสบการณ์พิเศษที่ได้พบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพในระหว่างการเดินทางไปเมืองดามัสกัส เป็นสิ่งพิสูจน์ถึงแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ท่านเป็นหนึ่งในผู้ร้อนรน เปี่ยมด้วยพลัง และเป็นผู้แทนที่กล้าหาญของพระคริสตเจ้าเท่าที่มีมา

จดหมายต่างๆของนักบุญเปาโล (นับได้ 7 ฉบับที่แท้จริง และอีก 6 ฉบับที่อ้างว่าท่านได้เขียนทั้งทางตรงและทางอ้อม) ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นเหมือนบ่อน้ำพุแห่งความจริง การเป็นพยานยืนยัน และเป็นคำเทศน์สอนที่มาถึงเราจนทุกวันนี้ เราจะเห็นลักษณะการเขียนของท่านที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม และพลังใจที่ล้นปรี่ ท่านเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ที่อุทิศตนอย่างลุกร้อนด้วยไฟแห่งความรักที่มากล้น ชนิดที่สามารถเห็นว่าทุกสิ่งอยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นการเบียดเบียน การถูกลบหลู่ หรือความอ่อนแอก็ไม่สามารถจะหันเหท่านไปจากข้อตั้งใจที่จะกลายเป็น “ทุกสิ่งสำหรับทุกคน” (1คร 9:22) งานที่ยากลำบากต่างๆเหล่านี้ที่ท่านทำอย่างแข็งขัน ช่วยสร้างรูปแบบของพระศาสนจักรต่างๆที่ท่านตั้งขึ้นให้อยู่ใน “พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า” ท่านตระหนักตนว่าเป็นเหมือน “เด็กที่คลอดก่อนกำหนด” ชื่อเปาโล ซึ่งหมายถึง “เล็ก” จึงสุภาพที่จะเรียกตนว่าเป็นผู้รับใช้ (servant) “เป็นผู้น้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวก” และแม้แต่ “เป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์” (อฟ 3:8)

บทสรุป :

นักบุญทั้งสองเป็น “มนุษย์กิจกรรม” (men of action) งานของท่านทั้งสองส่งเสริมกันและกัน ทั้งสองรักองค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นสุดจิตใจ ทั้งสองสามารถกล่าวได้เต็มปากว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้ารักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม จะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น…” (2 ทธ 4:7-8)

ที่น่าประหลาดใจยิ่ง ท่านทั้งสองได้รับ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ช่วงราวปี ค.ศ. 67 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้ๆกัน ในสมัยของจักรพรรดิเนโร ซึ่งต้องการทำลายล้างกลุ่มคริสตชนให้หมดสิ้นไป นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขนที่เนินวาติกัน (ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตรในปัจจุบันนี้) แต่ท่านได้ขอให้กลับหัวลง เพราะคิดว่าตนไม่สมควรจะตายแบบที่พระคริสต์ทรงถูกตรึง ส่วนนักบุญเปาโลซึ่งมีสัญชาติโรมัน ถูกตัดศีรษะแถวบริเวณเส้นทาง Ostian ตรงบริเวณน้ำพุ 3 แห่ง (Tre Fontane) ซึ่งบัดนี้เป็นที่ตั้งบาสิลิกานักบุญเปาโลที่สง่างามนอกกำแพงเมือง

วันที่ 29 มิถุนายน (C. 268) ร่างของมรณสักขีทั้งสองท่านได้ถูกนำมาไว้ด้วยกันที่คาตาคอมบ์นักบุญเซบาสเตียน ดังนั้น วันสมโภชของท่านทั้งสอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิบสองของการเฉลิมฉลองทางพิธีกรรมที่มีความสำคัญมากของพระศาสนจักรคาทอลิก จึงเลือกสมโภชท่านในวันที่ 29 มิถุนายน ตามเหตุการณ์นี้

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ฉลองวัดนักบุญเปาโล นาเกียน 2020

ฉลองวัดนักบุญเปาโล นาเกียน

28 มิถุนายน 2020

เช้าวันเสาร์พ่อเดินทางออกจากสำนักมิสซังเชียงใหม่ 9.00 น. ไปศูนย์พระเมตตาที่อมก๋อย  ( 3 ชั่วโมง ) คุณพ่อบุญเลิศ สร้างกุศลในพัสุธา ได้จัดประชุมผู้ปกครองเด็ก  และเยาวชนในศูนย์  ซึ่ง  มี 39 คน ระดับมัธยมต้น-ปลายต้องมีการเตรียมตัว  มิให้มีการระบาดของไวรัสโคโรน่า  มิฉะนั้นต้องปิดโรงเรียน  แล้วเดินทางต่ออีก  2 ชั่วโมง  จึงไปถึงวัดนักบุญเปาโล นาเกียน  จังหวัดเชียงใหม่

          คุณพ่อสิริชัย  บุหงาสวรรค์  จัดกิจกรรม  ยุวธรรมทูต  แก่บรรดาเด็กๆ  ในวันเสาร์  เตรียมฉลองวัด  และหลังมิสซาเย็น   มีการฉายประวัตินักบุญเปาโล  ประมาณ 1 ชั่วโมงด้วย

          เช้าวันอาทิตย์ที่  28  มิถุนายน  ฝนตกปรอยๆ  มา 2-3 วัน ชาวบ้านปลูกข้าวแล้ว  ต้องการน้ำ  แต่ระหว่างมิสซา  ฝนหยุดตก  มิสซาเวลา 10 โมง

          ชาวบ้านมาอยู่ที่นี่  ตั้งแต่ ค.ศ.1987 มีการฉลอง 25 ปี ของชุมชนคริสตชนที่นี่   เมื่อมีจำนวนมากขึ้น  ประมาณ 70 ครอบครัว  จึงสร้างวัดใหม่  โดยขอความช่วยเหลือจากพี่น้องสัตบุรุษ  เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว  จนมีพิธีเสกวัด  เมื่อวันที่ 30  ธันวาคม  ค.ศ. 2016  สมัยคุณพ่อธงชัย  วิวัฒน์เชาว์พันธ์ ปัจจุบันคุณพ่อ  ศตวรรษ   ใฝ่หาคุณธรรม  เป็นเจ้าอาวาส  จัดฉลองวัด  หลังจากทั่วประเทศมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า  จึงปิดวัดประมาณ 3 เดือน

          วันนี้มีชาวบ้านมาร่วมพิธีประมาณ 300-350 คน  มีสังฆานุกรเปาโล  พิชิต จำปาพยุง  มาร่วมพิธี  และแปลบทเทศน์เป็นภาษาปกาเกอะญอ  โพล่ง  หลังพิธีการแต่งตั้งสภาภิบาลระดับวัด   และรับประทานอาหารร่วมกัน  ผมเพิ่งสังเกตว่า  ชาวบ้านเอาข้าวใส่กระติกมาที่วัดด้วย  ส่วนแม่บ้านที่วัด  ทำกับข้าว  รับประทานร่วมกัน… ดีจังเลย

          หลังรับประทานอาหารเที่ยง  คุณแม่เซซีลีอา   พาผมไปเยี่ยม  และสวดให้ผู้ป่วยติดเตียง 1 คนบ้านอยู่ใกล้วัด    จึงเดินทางกลับเชียงใหม่

          การจัดอบรมยุวธรรมทูต  และแต่งตั้งสภาภิบาลระดับ

 

 ช่างมีความหมายดีในโอกาสฉลองนักบุญเปโตร  และนักบุญเปาโล เป็นพิเศษ ธรรมทูตของปวงชน

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา ปี A

เพราะเป็นศาสนาแห่งไม้กางเขน

เมื่อปีศาจล่อลวงเอวาในสวนสวรรค์ ปีศาจพูดกับเธอว่า “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า ถ้าท่านกินผลไม้นั้น” เราลองจินตนาการดูนะครับว่าเอวาคิดอะไรเมื่อได้ยินคำว่า “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า” เธออาจจะคิดและพูดออกมาว่า “คุณหมายถึงว่าฉันจะได้เป็นนายของตัวเองหรือ ฉันไม่ต้องคอยรับคำสั่งใดๆแล้วหรือ ฉันสามารถเป็นดังพระเจ้าหรือ” ปีศาจก็อาจจะตอบว่า “ใช่เลย จะเป็นเช่นนั้น” เอวาอาจถามคำถามต่อไปว่า “คุณหมายถึงว่าฉันไม่ต้องกังวลกับความมั่นคงปลอดภัยอีกต่อไปหรือ ฉันไม่ต้องไปร้องขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเหลือฉันแล้วใช่ไหม” ปีศาจคงจะรีบตอบว่า “ใช่แล้ว ใช่ที่สุด” เอวายังคงพูดต่อ “คุณหมายถึงว่าฉันจะได้อะไรก็ตามที่ต้องการหรือ เมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องการหรือ และเป็นเวลานานเท่านานที่ฉันต้องการใช่ไหม” “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ” ปีศาจรีบตอบ “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า ไม่ต้องขึ้นกับใคร ไม่มีสิ่งใดที่ให้กังวล จะได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา” เมื่อได้ยินทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เอวาจึงเด็ดผลไม้นั้นมากิน

มีอาดัมและเอวาอีกมากมายในสมัยปัจจุบันนี้ที่อยากเป็นเหมือนพระเจ้าไหม แน่นอนครับว่ามี พวกเขาอาจจะไม่ใช้คำตรงๆว่า “ฉันอยากเป็นพระเจ้า” แต่พวกเขาได้กระทำเหมือนพวกเขาต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาต้องการความมีชื่อเสียง มีอำนาจมากจนกระทั่งผู้คนมาโค้งคำนับต่อหน้า และคอยทำตามคำพูดทุกอย่างของพวกเขา พวกเขาต้องการหลักประกันชีวิตที่แสนมั่นคง และการปกป้องกันภัยชั้นเลิศ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่มีวันวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาจะสะสมเงินไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้สามารถมีทุกสิ่งได้ พวกเขาไม่พูดคำว่า “ฉันต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า” แต่นี่คือความฝันที่ซ่อนเร้นไว้ว่าจะเป็นเหมือนพระเจ้าให้ได้ พวกเขาไม่ต้องการภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และไม่ต้องการทำตามคำที่บอกให้ทำ

ในบทอ่านที่สองของวันนี้ นักบุญเปาโลบอกกับชาวโรมันว่า “เราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์ อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่(เหมือนพระคริสตเยซู)ด้วยฉันนั้น” นักบุญเปาโลกำลังบอกเราว่า เมื่อเรารับศีลล้างบาป เราได้หยุดความพยายามที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า เพื่อว่า เราจะได้ดำเนินชีวิตแบบใหม่เหมือนพระเยซูเจ้า จนกระทั่ง เราสามารถกราบทูลพระเจ้าได้ว่า “ลูกต้องการขึ้นอยู่กับพระองค์ ต้องการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ต้องการกราบนมัสการพระองค์ ต้องการเป็นบุตรของพระองค์”

แต่การจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสตเจ้าได้นั้น เราต้องทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ พระวรสารของวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งในคำสั่งสอนสำหรับบรรดาอัครสาวก คำสอนเหล่านี้เหมาะสำหรับเราทุกคนที่ต้องการติดตามพระองค์ด้วย ประการแรกคือ “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา” ณ ที่นี้ พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เรา “เลือก” และบางครั้งคนเราต้องเลือกระหว่างความผูกพันที่ใกล้ชิดตามประสาของโลกนี้ กับความจงรักภักดีต่อพระเยซูคริสตเจ้า ขอยกตัวอย่างนักบุญโทมัส โมร์ ก่อนจะถูกนำไปประหารชีวิตเพราะยืนหยัดความเชื่อในพระศาสนจักรคาทอลิก ท่านได้เขียนจดหมายถึงลูกสาวสุดที่รักว่า “เม็ก…ลูกรัก พ่อจะไม่หมดความไว้วางใจในพระเจ้า แม้จะรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากเพียงไร และเกือบพ่ายแพ้ต่อความหวาดกลัว พ่อจะจำในสิ่งที่นักบุญเปโตรได้ทำในขณะที่เผชิญกับลมพายุและรู้สึกว่ากำลังจะจมลงเพราะขาดความเชื่อ พ่อจะทำเช่นเดียวกับท่าน คือร้องเรียกหาพระคริสต์และขอความช่วยเหลือจากพระองค์… ดังนั้นลูกสาวที่น่ารักของพ่อ อย่าให้จิตใจของลูกวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดกับพ่อในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระ และพ่อแน่ใจว่าอะไรที่เกิดขึ้น แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ที่สุดแล้วจะเป็นสิ่งดีที่สุด”

ประการที่สอง คือ “ผู้ที่ไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรามา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” ณ ที่นี้พระเยซูเจ้าทรงเสนอ “ไม้กางเขน” ให้เรา ผู้คนในแคว้นกาลิลีต่างก็รู้ดีว่ากางเขนหมายถึงอะไร ในสมัยนั้น แม่ทัพชาวโรมันที่ชื่อ Varus ได้ปราบกองทัพกบฏที่นำโดย Judas of Galilee เขาได้ตรึงกางเขนชาวยิวสองพันคน และตั้งกางเขนไว้สองข้างทางถนนที่มุ่งสู่กาลิลี ในสมัยโบราณผู้ที่ถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกรจะต้องแบกกางเขนของตนไปยังที่ถูกตรึงกางเขน และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสถึงเรื่องนี้ ต่างก็เคยเห็นผู้คนที่เดินซวนเซเพราะน้ำหนักของไม้กางเขน และตายอย่างเจ็บปวดอยู่บนไม้กางเขนนั้น ดังนั้น การจะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าหรือการจะเป็นเหมือนพระองค์ คริสตชนก็จะต้องอุทิศตนเป็นบูชา ต้องยอมสูญเสียความอยากจะมีอยากจะเป็น ยอมละความสะดวกสบาย หรืออาชีพที่นำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ทางฝ่ายโลกนี้เท่านั้น อาจต้องละทิ้งความฝัน เสียสละน้ำใจ เพราะคริสตชนจะไม่สามารถทำอะไรตามที่ตนชอบได้ เขาต้องทำในแบบที่พระคริสตเจ้าทรงชอบ ในชีวิตของคริสตชนจะมีกางเขนอยู่เสมอ เพราะเป็นศาสนาแห่งไม้กางเขน

ประการที่สาม คือ “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก” ณ ที่นี้พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้เรา “ผจญภัย” มีเรื่องมากมายที่พิสูจน์ได้ว่า หลายๆคนได้พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ แต่กลับสูญเสียไป เพราะจะไม่มีใครได้ยินชื่อเสียงของเขา และไม่มีที่สำหรับเขาในประวัติศาสตร์ แต่คนที่กล้าหาญ ยอมเสี่ยงภัย สู้กับภยันตรายต่างๆ กลับเป็นที่จดจำ แม้เขาล่วงลับไปแล้ว สรุปง่ายๆว่า ชีวิตคริสตชนไม่มีที่สำหรับวางนโยบายว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” คนที่แสวงหาความมั่นคง ความปลอดภัย ความสะดวกสบายในชีวิต อาจได้พบกับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาจะไม่ใช่คนที่มีความสุข เพราะเขาถูกส่งมาในโลกนี้เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและให้บริการเพื่อนพี่น้อง วิถีทางแห่งความสุขแท้จริงของมนุษย์ คือ การดำเนินชีวิตโดยไม่คิดถึงตนเอง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะพบกับองค์ชีวิตที่แท้จริงตลอดไป

ประการสุดท้ายที่พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ใครที่ต้อนรับประกาศก… ใครที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม… ใครที่ทำให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆเหล่านี้… จะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” ที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสมานี้ พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการพูดแบบที่ชาวยิวทั่วๆไปใช้กัน ชาวยิวจะรู้สึกเสมอว่าการต้อนรับผู้แทนหรือทูตของใคร ก็ต้องทำให้เท่ากับท่านผู้นั้นเอง การแสดงความเคารพต่อทูต ก็จะทำเสมอเท่ากับการแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงส่งทูตมา ดังนั้นข้อความที่ตรัสเช่นนี้ เป็นความน่ารัก เรียบง่าย และบรรเทาใจเรา กล่าวคือ อันที่จริงแล้ว ถ้าเราไม่สามารถเป็นประกาศกได้ ไม่สามารถเทศน์สอน ประกาศพระวาจาของพระได้ แต่ถ้าเราต้อนรับผู้ที่ทำหน้าที่นี้อย่างดี เราก็จะได้รับรางวัลในแบบที่เท่าเทียมกับเขา คือรางวัลของประกาศก และเช่นเดียวกันถ้าเราต้อนรับผู้ชอบธรรมอย่างดี แม้เราเป็นคนบาป มีข้อขาดตกบกพร่องมากมายจนอาจพูดได้ว่า ยังอยู่ห่างไกลมากๆจากคำว่า ชอบธรรม แต่เราก็จะได้รับรางวัลของผู้ชอบธรรม และสุดท้ายเมื่อพูดถึงคนธรรมดาๆ หรือเด็กๆ เราอาจจะไม่สามารถไปสอนอะไรเขาได้ แต่เราให้ความช่วยเหลือเขาได้ บริการเขาได้ และการทำเช่นนี้ก็เป็นการทำเหมือนพระคริสตเจ้านั่นเอง และพระองค์ทรงสัญญาว่า แม้เป็นความดีเล็กๆน้อยๆ และทำให้กับคนเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่ขาดรางวัลเลย บางทีอาจจะเป็นรางวัลไม่เล็กไม่น้อยด้วยซ้ำ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2020
Based on : (1) With Eyes Fixed on Jesus – Cycle A ; by John Chambers, S.J.
(2) The Daily Study Bible – The Gospel of Matthew ; by William Barclay)

คู่มือการสอนคำสอนคาทอลิก (ฉบับใหม่)

คู่มือการสอนคำสอนคาทอลิก (ฉบับใหม่)

วาติกัน 25 มิถุนายน 2020 (CNA)

อาร์บิชอป ริโน ฟิซิเคลล่า ได้แถลงข่าวที่วาติกัน ถึงหนังสือคู่มือสำหรับการสอนคำสอนฉบับล่าสุด เพราะมีการพัฒนาหลายอย่างทางด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เราจึงต้องปรับปรุงคู่มือนี้ เพื่อให้เคารพพระประสงค์สร้างสรรค์ของพระเจ้า และศักดิ์ศรีมนุษย์

หนังสือ 300 หน้า ให้ข้อกำหนดสากลแก่บรรดาผู้อภิบาล และครูคำสอนในงานการประกาศข่าวดี หนังสือนี้ถูกเขียนโดยต่อเนื่องกับคู่มือของพระศาสนจักร ตั้งแต่ ค.ศ. 1971 และ 1997 เสนอการสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ในประเด็นที่กำลังเผชิญในสังคมปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาด้านชีวจริยศาสตร์ใหม่ๆ ที่ไม่มีกล่าวถึงในคู่มือฉบับก่อนนี้

ปัญหาด้านชีวจริยศาสตร์ท้าทายการสอนคริสตศาสนธรรม และหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจ ดังนั้นในการสอน ผู้สอนจำเป็นต้องรับการอบรมที่ดีในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชีวิต

เราจำเป็นต้องให้ความสนใจต่อการพัฒนาต่างๆในวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี่ ต้องรับมือกับเรื่องเพศ (gender) และชีวจริยศาสตร์ในย่อหน้าที่ 373-378 และตอนท้ายของภาคนี้ก็ให้ “องค์ประกอบพื้นฐาน” 4 ประการ สำหรับการช่วยตัดสินที่เกี่ยวกับเรื่องชีวจริยศาสตร์

“พระเจ้าเป็นจุดอ้างอิงของชีวิตเริ่มต้น และจุดสุดท้าย ตั้งแต่การปฏิสนธิ จนถึงความตายแบบธรรมชาติ บุคคลเป็นหนึ่งเดียวเสมอของจิต และร่างกาย วิทยาศาสตร์ก็เพื่อรับใช้มนุษย์ เราต้องยอมรับเงื่อนไข เพราะธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้าช่วยไถ่กู้เรา

สมณกระทรวงเพื่อส่งเสริมการประกาศข่าวดีใหม่ได้เสนอคู่มือฉบับนี้ใน วันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2020 อาร์คบิชอปริโน ฟิซิเคลล่า ได้บอกบรรดานักข่าวว่า คู่มือนี้ต้องตอบ “ทุกเรื่องในสถานการณ์เหล่านี้” ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวจริยศาสตร์ เพราะสัมพันธ์ต่อมนุษย์ในมิติมนุษย์วิทยา คู่มือนี้มิได้ตอบทุกปัญหาที่ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงเสนอปัญหาทั่วๆไป

จุดมุ่งหมายของคู่มือนี้ เพื่อบรรดาบิชอป ผู้อภิบาล และชาวคาทอลิกทุกคนที่เกี่ยวข้องในการสอนความเชื่อ ยืนยันได้ว่าการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และข้อประยุกต์ มิใช่เป็นกลางด้านศีลธรรม

กิจการด้านศีลธรรมไม่สามารถยึดหลักด้านประสิทธิผลด้านเทคนิคอย่างเดียว คือจากผลประโยชน์ หรือจากแนวคิดที่มีอิทธิพล เพราะมันขัดแย้งกับศักดิ์ศรีมนุษย์

คู่มือนี้รวมเรื่องชีวจริศาสตร์ด้วย เช่น ฐานะบุคคลของทารกก่อนคลอด การช่วยให้กำเนิดโดยอาศัยการแพทย์ คำนิยามเรื่องความตาย การุณยฆาต การดูแลแบบผ่อนคลาย สุขภาพและการทดลองเกี่ยวกับมนุษย์ เช่น การจัดการด้านพันธุศาสตร์ และชีวเทคโนโลยี….

ข้อมูลเกี่ยวกับการสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเรื่องชีวจริยศาสตร์ ท่านสามารถค้นคว้าจากหนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC 2373 – 2379) และสภาประมุขบาทหลวงสามารถพิจารณาสภาพแวดล้อมเฉพาะในแต่ละประเทศได้

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
26/6/2020