หนังสือสถิติประจำปีของพระศาสนจักร 2018

หนังสือสถิติประจำปีของพระศาสนจักร 2018

สำนักเลขาของวาติกันได้ออก Statistical Yearbook of the Church 2018 หนังสือสถิติของพระศาสนจักรคาทอลิกประจำปี 2018 ปกติจะออกปลายเดือนเมษายน ของทุกปี  พิมพ์ 3 ภาษา คือ ลาติน อังกฤษ และฝรั่งเศส

เป็นข้อมูลที่ใช้เวลารวบรวมจากสังฆมณฑลต่างๆ ทั่วโลก 2 ปี ดังนั้น สถิติปี 2018 จึงส่งมาถึงเราต้นเดือนพฤษภาคม 2020 เพื่อเราจะได้เห็นภาพรวมทั่วไปของทุกทวีป และทุกประเทศ ในปี 2018

เป็นข้อมูลเกี่ยวกับ

  1. ประชาชน  คาทอลิก  สังฆมณฑล
  2. งานอภิบาล : จำนวนบิชอป  บาทหลวง  นักบวชชายหญิง  ครูคำสอน
  3. ศูนย์อบรม : สถาบันการศึกษา  สามเณรใหญ่ – เล็ก
  4. การปฏิบัติศาสนา : ศีลล้างบาป  การแต่งงาน
  5. สถาบันสาธารณสุข : โรงพยาบาล  บ้านเด็ก  บ้านพักฟื้น ฯลฯ
  6. สถาบันนักพรต(นักบวช)ที่สันตะสำนักรับรอง
  7. สำนักงานวินิจฉัยคดีของพระศาสนจักร ระดับสังฆมณฑล และระดับเขต

จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์วาติกัน หนา 512 หน้า

 

สังฆราช

บาทหลวง

สังฆานุกรถาวร

นักบวช

ธรรมทูตฆราวาส

ครูคำสอน

พื้นเมือง

นักบวช

ชาย

หญิง

แอฟริกา

715

33,384

14,428

433

8,996

76,219

7,436

432,411

อเมริกา

2,023

85,318

37,065

30,917

14,125

160,032

314,932

1,737,433

เอเซีย

815

39,108

29,157

217

12,280

174,165

42,120

378,069

ยุโรป

1,687

121,305

49,631

14,775

14,274

224,246

11,556

514,308

โอเชียเนีย

137

2,759

1,910

471

1,266

6,999

144

14,403

รวม

5,377

281,874

132,191

46,813

50,941

641,661

376,188

3,076,624

หวังว่าท่านคงรู้จักหนังสือเล่มนี้แล้วนะครับ

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ปี A

"ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย"

จากบทอ่านแรก เราได้ทราบช่วงหนึ่งของประวัติชีวิตของประกาศกเอลียาห์

ประกาศกเอลียาห์ในปีประมาณ 860 ปีก่อนคริสตกาล ภายใต้การปกครองของกษัตริย์อาหับ ซึ่งกษัตริย์อาหับนั้น ทรงถูกปกครองด้วยพระมเหสีเยซาเบลอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่หญิงอิสราเอล พระมเหสีนำพระบาอัลเข้ามา นำเอาประกาศกของพระบาอัลซึ่งมีจำนวนมากเข้ามา ภายใต้อิทธิพลของพระมเหสีมีการสร้างวิหารมากมายให้แก่พระของคนต่างชาติ ดูเหมือนพระของคนต่างชาติจะเข้ามาแทนที่พระยาเวห์ ประกาศกเท็จเทียมจะมาแทนที่ประกาศกจริงของพระยาเวห์

สถานการณ์เช่นนี้แหละที่ทำให้ประกาศกเอลียาห์ลุกขึ้นมาสู้ วันหนึ่งมเหสีเยซาเบลเสด็จไปท่องเที่ยว ประกาศกเอลียาห์ก็เลยเข้ามาท้าดวลกับประกาศกของพระบาอัลหมู่ใหญ่ที่ภูเขาคาร์เมล เพื่อพิสูจน์ว่าพระเจ้าของฝ่ายใดจะเที่ยงแท้กว่ากัน โดยผ่าสัตว์วางไว้เป็นเครื่องถวายบูชา และให้วิงวอนขอให้ไฟมาจากฟ้าเผาสัตว์บูชานั้นจากพระของตน ผู้คนมากมายมาดูการต่อสู้ครั้งนี้ ปรากฏว่าประกาศกของพระบาอัลทำไม่สำเร็จ แต่เอลียาห์ทำได้สำเร็จ ท่านจึงใช้มวลชนที่พากันมาดูนั้น ช่วยกันสำเร็จโทษโดยฆ่าทิ้งประกาศกของพระเท็จเทียมทั้ง 450 คน

แต่เมื่อมเหสีเยซาเบลผู้ทรงอิทธิพลเสด็จกลับมาและทรงทราบเรื่อง ก็ขู่เอาชีวิตของเอลียาห์ ท่านหนีหัวซุกหัวซุน ต้องผ่านถิ่นทุรกันดาร จนถึงภูเขาซีนาย ที่พระเจ้าเคยประทานพระบัญญัติให้กับโมเสส ถึงบัดนี้ เอลียาห์หมดกะจิตกะใจทำงานแล้ว ท่านเห็นว่าการต่อสู้เพื่อเอาชนะความอธรรมช่างลำบากแสนเข็ญ และดูเหมือนไม่มีทางเอาชนะ คนที่เคยกล้าหาญอย่างท่านกลับขอให้พระเจ้าทรงเอาชีวิตของท่านไปเถิด ท่านยอมแพ้แล้ว

แต่พระเจ้าเสด็จมาหาท่าน ไม่ใช่ด้วยไฟที่ลุกโชติช่วง ไม่ใช่ด้วยแผ่นดินไหว ไม่ใช่ลมพายุ แต่เป็นเสียงกระซิบเบาๆ เอลียาห์เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ท่านกลับไปต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ต่อไปนี้ไม่ใช่ด้วยความรุนแรงร้อนลุกดังเปลวไฟแล้ว แต่ด้วยความสงบสุขุมคัมภีรภาพ

ตัดกลับมาเรื่องที่เกิดขึ้นในพระวรสารของอาทิตย์นี้ บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้ากำลังอยู่ในเรือที่แล่นอยู่ในทะเลสาบ และกำลังเจอพายุลมมีกำลังแรงมาก เรือไม่ถึงฝั่งสักที มีแต่ทำท่าจะจมลงไปในทะเล ขณะที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน ขณะที่กำลังรู้สึกอันตรายถึงชีวิต พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนผิวน้ำมุ่งหน้ามาทางพวกเขา แรกๆพวกเขาร้องกันเอ็ดอึง เพราะคิดว่าเห็นผี ก็ใครจะไปคิดว่ามีมนุษย์ธรรมดาคนใดคนหนึ่งมาเดินเล่นบนผิวน้ำที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นที่รุนแรงอย่างนั้นได้ แต่พระองค์ตรัสว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย”

เมื่อบอกว่าไม่ต้องกลัว และเป็นพระอาจารย์เอง พวกสานุศิษย์ก็ใจชื้นขึ้นมามาก เปโตรอยากลองเดินบนคลื่นดูบ้าง พระองค์ก็ทรงอนุญาต เปโตรก็เริ่มต้นได้สวย สายตาจ้องเป๋งไปที่พระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรงและเขาละสายตาไปจากพระองค์ เขารู้สึกเริ่มจมลง จึงขอให้ทรงช่วย “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาจับเขา และพาเขามาในเรือ ลมก็สงบ

บางครั้งเราพบพายุแห่งชีวิต
บางครั้งเราพบพายุแห่งความเชื่อ
บางครั้งเราละสายตาไปจากพระเยซูเจ้า
บางครั้งเราท้อแท้อย่างถึงที่สุด

ขอให้เราภาวนาร้องขอต่อพระเยซูเจ้าด้วยคำของนักบุญเปโตรที่ว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” แล้วเราจะพบว่าพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาให้เรา ถ้าเรายังมีความเชื่อน้อยเกินไป ก็ให้เราสวดภาวนามากขึ้น แล้วเราจะได้ยินเสียงว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวไปเลย”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2008
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride, C.SS.R.)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ปี A

จงอย่าละสายตาไปจากพระเยซูเจ้า

มีเรื่องเล่าไว้โดย นาย เดล คาร์เนกี ในหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขาชื่อว่า “ทำอย่างไรจะหยุดความกังวลและเริ่มต้นชีวิตใหม่” โดยพูดถึงชายคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น อาร์ แอนโทนี (John R Antony) เขามีอาชีพเป็นนักขายหนังสือกฎหมายให้กับบรรดาทนายความทั้งหลาย แน่นอนเขามีความสามารถและรู้งานของเขาเป็นอย่างดี แต่จะอย่างไรก็ตาม กลับไม่สามารถทำยอดขายได้เท่าที่ควร ยิ่งนานวัน เขาก็เกิดความไม่มั่นใจและหมดความกล้าไปเลย เขาสงสัยตัวเขาเองว่าได้พยายามเต็มที่หรือยัง ก็พบว่าพยายามเต็มที่แล้ว แต่ความพยายามของเขาไม่มีผลตอบรับ ความรู้สึกกลัวและหวั่นวิตกเข้ามาครอบงำเขา เขากลายเป็นคนกลัวที่จะเข้าไปหาคนอื่น บางครั้งเมื่อนัดพบจะขายหนังสือ เขาก็เดินไปเดินมาอยู่ที่ประตูไม่ค่อยกล้าเข้าไป แม้บางครั้งเขาเดินเข้าไปในห้องแล้ว บางทีเขาแอบหวังว่าลูกค้าของเขาจะไม่อยู่ในห้องนั้น

ผู้จัดการแผนกขายขู่ว่า ถ้าเขาไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ ก็ไม่สามารถก้าวหน้าทางนี้ได้ต่อไป ภรรยาเขาเริ่มบ่นว่า เธอไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้าน และเธอยังต้องดูแลลูกๆ อีก 3 คน เขากลุ้มใจอย่างใหญ่หลวง และด้วยยอดขายที่ลดลงไปเรื่อยๆ แอนโทนีไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าโรงแรมและไม่มีเงินกลับบ้านด้วย เขาอยู่ในสภาพจิตตกที่สุด และไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ที่เขาไม่ฆ่าตัวตาย เพราะไม่กล้าจะทำเช่นนั้น

เนื่องจากเขาไม่รู้จะหันไปหาใคร เขาจึงหันเข้าพึ่งพระเจ้า เขาเริ่มภาวนาขอพระองค์ประทานความสว่าง ความเข้าใจ และนำทางเขาจากสภาพที่มืดมิด ที่ว่างเปล่า และที่หมดหวังเช่นนี้

หลังจากภาวนาเขาลืมตาขึ้น และเห็นหนังสือพระคัมภีร์ที่อยู่ในลิ้นชักของโต๊ะในโรงแรม เขาหยิบพระคัมภีร์มาอ่าน พบข้อความที่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า

“ฉะนั้น อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ากว่านกหรือ”

ในขณะที่อ่านและภาวนาจากถ้อยคำของพระเยซูเจ้า เขารู้สึกว่าอัศจรรย์เกิดขึ้น ความตึงเครียดประสาทของเขาหายไป ความกังวล ความกระวนกระวาย และความกลัวแปรเปลี่ยนไปเป็นความกล้าหาญ ความหวัง และความเชื่อในชัยชนะเข้ามาสู่เขาอย่างอบอุ่นหัวใจ คืนนั้นเขานอนหลับสนิท

รุ่งเช้า เขาลุกขึ้นแต่งตัวอย่างดี และตรงไปหาลูกค้าด้วยความกล้าหาญและความคิดเชิงบวก เขายืดตัวตรงและแนะนำตัวเองอย่างมั่นใจ และวันนั้นเขาก็เริ่มขายหนังสือได้ ขายได้มากกว่าที่เขาเคยขายมาตลอดทั้งสัปดาห์ด้วยซ้ำ

แต่นั้นมา เขาก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ 22 ปีต่อมา เขาสารภาพความจริงนี้ว่า

“ในคืนนั้น ผมตระหนักได้ทันทีถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า มนุษย์เพียงคนเดียวย่อมจะพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย แต่มนุษย์ที่อาศัยพลังของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเขา จะไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ ผมรู้ข้อนี้ดี ผมเห็นการทำงานนี้ในชีวิตของผมเอง”

ในพระวรสารของอาทิตย์นี้เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ลงเรือ แล้วพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา เพื่อภาวนาตามลำพัง ทรงภาวนาไปจนกระทั่งถึงยามที่สี่ แล้วทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ขณะนั้นเรือกำลังอยู่ในน้ำลึกและกำลังโต้คลื่นอย่างหนัก เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาในเวลาทันท่วงทีในขณะที่บรรดาศิษย์กำลังเสียขวัญ และต่อสู้กับพายุอย่างหนักหน่วง พระองค์ทรงทำให้พวกเขาสงบลง และไม่ต้องกลัวอีกต่อไป

นักบุญเปโตรอยากจะเดินบนน้ำเหมือนพระองค์บ้าง จึงร้องขอ พระองค์ทรงอนุญาต และเปโตรก็เดินไปหาพระองค์ ตอนแรกตาเขาจับจ้องไปที่พระเยซูเจ้า แต่พอละสายตาไปจากพระองค์ หันไปมองคลื่นและน้ำ ก็รู้สึกตัวว่ากำลังจมลง จึงร้องขอให้ทรงช่วย พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง”

ที่จริงการที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนน้ำในเวลากลางคืนมีความหมายเป็นสัญลักษณ์หลายอย่างเช่น หมายความว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนืออำนาจของความชั่วและความมืดทั้งปวง เพราะว่าทะเลนั้นตามที่ธรรมประเพณีเชื่อกันมาว่าเป็นบ้านของจิตชั่ว (เทียบ วว 13:1) พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความชั่วและทรงมอบอำนาจนั้นให้กับบรรดาศิษย์ด้วย

แต่ที่สำคัญก็คือพระองค์ทรงช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาพึ่งพระองค์ พระศาสนจักรก็เปรียบเหมือนเรือที่พวกสาวกนั่งอยู่ จะมีคลื่นลมแรง จะต้องต่อสู้กับอำนาจของความชั่ว และความมืด ถ้าเมื่อไรพระศาสนจักรละสายตาไปจากพระเยซูเจ้า จะพบวิกฤติอย่างยิ่ง แต่เมื่อร้องหาพระองค์ให้ทรงช่วย ดังเช่นนักบุญเปโตรที่กำลังจะจมน้ำ ก็จะทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยทันที และพายุก็จะสงบ เหมือนแอนโทนีในตอนต้นเรื่องที่เมื่อไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว ก็ภาวนาขอพระองค์ให้ทรงช่วย ก็ทรงช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากชีวิตที่กำลังจมดิ่งลง

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2011
Based on : John’s Sunday Homilies – Cycle A ; by John Rose)

ฉลองอารามกลาริส (สารภี)

ฉลองอารามกลาริส (สารภี)

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2020

เนื่องจากทุกวันที่  11 สิงหาคม  เป็นวันฉลองนักบุญกลารา  พรหมจารี (16 กรกฎาคม  ค.ศ. 1193 –  11 สิงหาคม  ค.ศ. 1253 )  สังฆมณฑลเชียงใหม่ได้ต้อนรับซิสเตอร์กลารีส  มาอยู่ที่อำเภอสารภี  จังหวัดเชียงใหม่  ตั้งแต่วันที่  23 พฤษภาคม ค.ศ.2019

เนื่องจากฝนตกน้ำท่วมบริเวณรอบบ้าน  เราจึงฉลองอารามกลารีส  แบบภายใน 

มีคุณพ่อเบเนดิกติน ชาวเวียดนาม 2 คน, อิตาเลี่ยน 2 คน, คุณพ่ออัตตีลีโอ, คุณพ่อโยวันนี เรงโก, ชาวอิตาเลี่ยน 2 คน, มีซิสเตอร์อุร์สุลิน 2 คน, ซิสเตอร์พระหฤทัย 2 คน, ซิสเตอร์สุรางค์ (แม่ปอน ), มาเซอร์เซนต์ปอล จากบ้านดินขาว 3 คน, ครอบครัวชาวเม็กซิกัน 7 คน และสัตบุรุษ รวม 70 คน มาร่วมฉลองอาราม

10.00 พิธีมิสซา  และรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน  เนื่องจากมีซิสเตอร์อิตาเลี่ยน 2 คน  บรรดาพระสงฆ์ที่มา  พูดภาษาอิตาเลี่ยนได้  เพื่อสนทนากัน  ซิสเตอร์จะได้คลายเหงา  

ขอบคุณพี่น้องจากอาสนวิหารที่ช่วยสนับสนุนซิสเตอร์  3,600 บาท และช่วยทำอาหารมาเลี้ยงวันนี้

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์

คณะกรรมการผู้สูงอายุสังฆมณฑลได้ประชุมพบปะครั้งที่ 2/2020

คณะกรรมการผู้สูงอายุสังฆมณฑลได้ประชุมพบปะครั้งที่ 2/2020

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2020
คณะกรรมการผู้สูงอายุสังฆมณฑลได้ประชุมพบปะครั้งที่ 2/2020 ณ ห้องประชุมศูนย์สังฆมณฑล เพื่อแลกเปลี่ยนแบ่งปันกิจกรรมที่ดำเนินการก่อนสถานการณ์ COVID-19 และพิจาณากิจกรรมที่จะดำเนินการต่อหลังจากสถานการณ์ COVID-19 นำสวดเปิดการประชุมโดยคุณพ่อศราวุธ แฮทู จิตตาธิการแผนกสุขภาพอนามัยสังฆมณฑล และ ดำเนินการประชุมโดยคุณทัศนีย์ ทุมกานนท์ ประธานกรรมการผู้สูงอายุฯ โอกาสนี้ขอ ขอบคุณกรรมการทุกท่านที่เสียสละและมาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน

แด่คุณพ่อมีคาแอล อดุลย์เกษม (ซดบ)

แด่คุณพ่อมีคาแอล อดุลย์เกษม (ซดบ)

มีหนังสือชุดบาปต้นเจ็ดประการ  โครงการจัดพิมพ์คบไฟ  เล่มที่  6  ตะกละ  ฟรานซิส  โฟรสเขียน   บาทหลวง  มีคาแอล  อดุลย์เกษม  แปล จัดพิมพ์  ภาษาไทย  เดือน  พฤศจิกายน 2549  (ค.ศ. 2006) หน้า 104 หน้า

ในโอกาสครบรอบ  25 ปีของการบวชเป็นพระสงฆ์ของ คุณพ่อ  มีคาแอล  อดุลย์เกษม  คณะซาเลเซียน พ.ศ. 2554  (ค.ศ. 2011)  คุณพ่อได้จัดทำหนังสือ 3 เล่ม คือ

1.บทเทศน์ของนักบุญคุณพ่อโยเซฟ  กาฟาสโซ  เป็นที่  ระลึกสำหรับพระสงฆ์ (หนา 263 หน้า)

2.วิถีแห่งไข่มุก  (หนา 146  หน้า) ที่ระลึกสำหรับซิสเตอร์

3. การเรียก จากสารแม่พระฟาติมา (หนา  400 หน้า ) สำหรับพี่น้องสัตบุรุษที่สนใจ

คุณพ่อสนใจการแปล และ เขียนความในใจ “ หวังว่าหนังสือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านทุกท่าน  และจะช่วยกันในการเผยแผ่ ความรักความศรัทธาต่อแม่พระ  นำข่าวสารของแม่พระที่ให้แก่เราทั้งหลายไปปฏิบัติได้เกิดผลเพื่อความรอดของตัวเราเอง และของโลก ….ขอถวายเกียรติแด่พระมารดาผู้เป็นแม่…เพื่อน.. และสตรีในดวงใจของข้าพเจ้าตลอดมา…คุณพ่อมีคาแอล  อดุลย์เกษม ซดบ.”

เมื่อพ่อได้ทราบข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของคุณพ่อไมเกิ้ล มีคาแอล  อดุลย์เกษม  เช้าวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2020 ขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดนักบุญอันนา  เกาะสมุย  จ.สุราษฎร์  ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว  จึงคิดถึงคุณพ่อ เพราะเวลาไปฉลองวัดนักบุญยอแซฟ กรรมกร  จังหวัดแพร่  จะถือโอกาสไปเยี่ยมครอบครัว “อดุลย์เกษม”  คุณพ่อคุณโยเซฟ ครอบครัว และหลานๆเสมอ

จึงขอร่วมอาลัย  ร่วมใจภาวนาแด่ดวงวิญญาณของคุณพ่อมีคาแอล  และเป็นกำลังใจให้สมาชิกทุกคนใน  ครอบครัว “อดุลย์เกษม”

 ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  (3 สิงหาคม 2020)

บทภาวนา เมื่อเผชิญปัญหาการเงิน

บทภาวนา เมื่อเผชิญปัญหาการเงิน

จงขอพระนางพรหมจารีมารีย์ให้ช่วย เมื่อคุณเผชิญปัญหาการเงินในชีวิต

ไม่ว่าเราชอบเงินหรือไม่  บ่อยครั้งเงินควบคุมชีวิตของเรา   เราไม่เคยมีเงินพอใช้  และนานๆที เราจะมีเงินตามที่เราปรารถนา       เราควบคุมการเงินได้ยาก  บ่อยๆมันเป็นเหตุทำให้เราวุ่นวายใจ  และเครียด ตราบที่เราพยายามให้อยู่รอดในสังคมปัจจุบัน

ไม่ว่าเราต้องแคร์อะไร  และกังวลใจ  เราสามารถหันไปหาพระเจ้า  และพระนางพรหมจารีมารีย์  เพื่อความบรรเทาใจ  และสันติสุข  ทั้งสองอาจไม่ขจัดอุปสรรคด้านการเงินตามความต้องการของเราเสมอ   แต่ทั้งสองสามารถช่วยเราให้อดทน   และพบสมบัติที่ยั่งยืนจริงๆ   ต่อไปนี้เป็นบทภาวนาสั้นๆ ต่อพระนางพรหมจารีมารีย์  ในเวลาที่เราลำบากด้านการเงิน   ปรับปรุงมาจากหนังสือภาวนา  และรำพึง  ภาษาอังกฤษ    ขอพระนางวิงวอนให้พระเจ้าทรงช่วยเรา  และพบสันติสุขในพระจ้า.. ครับ

“ข้าแต่พระมารดาผู้เมตตา  ผู้นำความหวัง  และความบรรเทาแก่ทุกคนที่เศร้าใจ  และรู้สึกถูกทอดทิ้ง   ลูกวอนขอพระแม่โปรดสงสารลุกในยามทุกข์ยาก   และขาดสิ่งจำเป็นในชีวิต    โปรดเห็นใจลูกในยามกังวล    โปรดช่วยเหลือและบรรเทาใจ  ในความอ่อนแอ และน่าเวทนา… พระแม่ ผู้เมตตา  ที่หลบภัยของผู้ขัดสนและเจ็บปวด   โปรดฟังคำภาวนาของลูก… (คิดถึงสิ่งท่านที่ต้องการ… แต่ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ผู้ทรงเห็นว่าอะไรเหมาะสมสำหรับความดีทางจิตวิญญาณของท่าน)

พระแม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า  ขอให้ลูกได้รับผลแห่งการเสนอวิงวอนของพระแม่โดยเร็ววันด้วยเถิด  อาเมน”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์ 

(แปลวันที่ 1 สิงหาคม  2020 จาก  Aleteia.org 31 กรกฎาคม 2020)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน”

พระวรสารโดยนักบุญมัทธิวของวันอาทิตย์นี้ เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัว เลี้ยงผู้คนเป็นจำนวนหลายพันคน

อาจกล่าวได้ว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั้นเมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซูเจ้าก็กลับกลายเป็นสิ่งที่มากๆ ได้

หรือเราอาจพูดได้ว่า พระองค์อาจจะทรงรับเอาสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปจากมือของเรา แต่เวลาที่พระองค์ทรงคืนให้กับเรา ทรงมอบให้เราอย่างอุดมบริบูรณ์

คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เคยเขียนบทภาวนาบทหนึ่งไว้ว่าดังนี้
“ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย พระเยซูเจ้าทรงเป็นทุกสิ่ง
ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่ง
ข้าพเจ้าคือดินสอของพระเจ้า
เป็นดินสอแท่งเล็กๆ ที่พระองค์ทรงใช้เขียน
พระองค์ทรงชอบสิ่งใด ก็ทรงเขียนผ่านทางเรา
และแม้ว่าเราจะเป็นเครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์เพียงใด
พระองค์ทรงเขียนออกมาอย่างงดงามเสมอ”

เป็นความจริงที่คุณแม่เทเรซาเขียนว่า “แม้เราจะเป็นเครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์เพียงใด แต่พระองค์ก็ทรงเขียนออกมาอย่างงดงาม” และพระเยซูเจ้าก็ทรงเขียนให้ชีวิตของเธองดงามและเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก

คุณแม่เทเรซาได้เริ่มงานรับใช้เพื่อนมนุษย์ ตั้งแต่ต้นแทบจะเริ่มจากเลขศูนย์ เว้นแต่ความเต็มอกเต็มใจเท่านั้นที่มีเกินร้อย แต่ปัจจุบันนี้ คณะของคุณแม่มีซิสเตอร์และบราเดอร์มากกว่า 5,000 คน ที่กำลังทำงานสานฝันของคุณแม่ต่อไป มีศูนย์ของคณะอยู่ทั่วโลกมากกว่า 500 แห่ง ซึ่งทำให้คนมากกว่าห้าล้านคนได้กินอิ่มและช่วยคนที่เป็นโรคเรื้อนประมาณเก้าหมื่นคนในแต่ละปี จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงทวีคูณให้มากขึ้นจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณแม่ได้มอบไว้ให้กับพระองค์

เพราะได้เห็นความจริงที่ปรากฏแก่ตาเช่นนี้ ทำให้ผู้มีชื่อเสียงทางโทรทัศน์ชาวอังกฤษผู้หนึ่งที่ชื่อว่า มัลคอม มักเกริดจ์ (Malcome Muggeridge) ได้ทำสิ่งหนึ่งที่เขาเคยสาบานไว้ว่าจะไม่มีวันทำเลย คือ การเปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก เขากล่าวว่าที่เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ เพราะอิทธิพลของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา

“คำพูดใดๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเธอมากเท่าไร เธอแสดงความเป็นคริสตชนให้ผมเห็นในการปฏิบัติ เธอแสดงถึงพลังแห่งความรัก เธอแสดงให้ผมเห็นว่า คนที่น่ารักคนหนึ่งสามารถก่อให้เกิดระลอกคลื่นแห่งความรัก ที่สามารถแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลกได้อย่างไร”

นี่เป็นเรื่องเดียวกับที่พระวรสารวันนี้สอนเรา เป็นข่าวดีที่บอกเราว่า คนๆ หนึ่งก็มีความสำคัญ เป็นข่าวดีที่บอกเราว่าคนๆ หนึ่งก็ถูกนับให้เห็นถึงความสำคัญ เป็นข่าวดีที่บอกเราว่า ถ้าเราแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับพระเยซูเจ้า เหมือนเด็กคนนั้นที่มีขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว โดยที่เขายินยอมให้อัครสาวกนำมามอบให้พระเยซูเจ้า พระองค์ก็จะทรงสามารถทวีคูณให้บังเกิดผลมากมาย เกินกว่าสุดปลายฝันของเราทีเดียว

วันนี้ พระวรสารบอกเราอีกว่า ถ้าเราทูลเสนอความสามารถและพรสวรรค์ต่างๆ ของเราให้กับพระเยซูเจ้าสำหรับงานของพระองค์ พระองค์จะทำกระทำมหัศจรรย์ต่างๆ ขึ้นมาจากสิ่งที่เรานำถวายนั้น

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2011)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”

ความตายของยอห์นบัปติสต์ มีผลกระทบต่อจิตใจของพระเยซูเจ้าหรือไม่

เชื่อว่ามี เพราะเมื่อทราบข่าวความตายของยอห์นบัปติสต์ พระองค์ได้เสด็จลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพัง

อาจจะทรงอยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพังเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น

อาจจะทรงเศร้าสลดใจ เพราะทรงอาลัยต่อการจากไปของคนของพระเจ้า ที่อุทิศทุ่มเททั้งกายและจิตวิญญาณรวมทั้งชีวิต เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าให้พร้อมน้อมรับพระผู้ไถ่

อาจจะทรงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในภายภาคหน้าที่พระองค์จะต้องทรงประสบ นั่นคือ ความตายที่รอคอยพระองค์อยู่

แต่ความสงัดเงียบที่พระองค์ทรงมีความปรารถนานั้นมลายหายไปกับคลื่นของประชาชนที่พากันเดินเท้ามาดักเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือและทรงเห็นประชาชนมากมายเช่นนั้น ก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค

นอกจากรักษาโรคทางฝ่ายกายแล้ว พระองค์ก็ทรงเทศน์สั่งสอนพวกเขา เพราะผู้คนมากหลายเหล่านั้นติดตามมาเพื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์

พระองค์ทรงเทศน์ เทศน์ และเทศน์ ทุกคนนั่งเงียบตั้งใจฟังคำเทศน์สอนของพระองค์

พระองค์ทรงเทศน์สอนเรื่องข่าวดี เรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระองค์เอง และเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขาด้วย ทรงเผยให้พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ในตัวพวกเขา ความเป็นมนุษย์ ความมีศักดิ์ศรี ต้นกำเนิด และจุดหมายของมนุษย์

แรกๆ พวกเขาฟังแล้วประหลาดใจ ต่อมาก็มีความตื่นเต้น และบัดนี้พวกเขาติดใจ รวมทั้งเริ่มเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ที่มาพูดให้พวกเขาฟัง

เวลาก็คงจะเคลื่อนคล้อยไปมาก แต่ทุกคนฟังอย่างเพลิดเพลิน จนลืมเวลา จนลืมนาที จนถึงเวลาเย็น พวกศิษย์จึงมาบอกให้พระองค์ทรงปล่อยประชาชนกลับไปบ้าน พวกเขาคงจะต้องหิวกว่าจะถึงบ้าน และที่นั่นก็เป็นที่เปลี่ยว กว่าประชาชนจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านที่ใกล้เคียงเพื่อจะซื้ออาหารได้ ก็ต้องใช้เวลานานพอควร

แต่พระเยซูเจ้ามิทรงเห็นด้วยกับบรรดาศิษย์ที่ผลักดันให้ประชาชนออกไป ทรงบอกให้พวกเขาจัดเตรียมอาหารให้ประชาชนกินที่นี่ แต่สานุศิษย์เห็นว่ามีอาหารน้อยเหลือเกิน คือมีขนมปังเพียงห้าก้อน กับปลาสองตัวเท่านั้น (ที่จริงนี่เป็นอาหารของเด็กชายคนหนึ่งตามที่ยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสารได้บอกไว้) เด็กคนนั้นยอมมอบให้พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง แล้วทรงสั่งให้ศิษย์ไปแจกให้กับประชาชน ทุกคนได้รับและส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ทุกคนได้กินจนอิ่ม มีเหลืออีกด้วย

ในเย็นวันนั้น ประชาชนทั้งหลายที่นั่นได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในขณะที่ทรงเทศน์สอน โดยทางพระองค์พระเจ้าได้แสดงพระทัยดีของพระองค์ให้ปรากฏ เป็นองค์พระเจ้าเองผู้ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา ที่ทรงค้ำจุนชีวิตของเขา ที่ทรงเข้ามาอยู่ในชีวิตพวกเขา

ค่ำนั้นพวกเขากลับบ้านโดยที่อิ่มทั้งกาย สุขทั้งใจ คงจะหัวเราะ และร้องเพลงกันไปตลอดทาง สิ่งหนึ่งที่จารึกในจิตใจของเขาไม่มีวันลืมเลยคือ ในช่วงเวลาแห่งความสุขของเย็นวันนั้น พวกเขาเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือ (sacraments) ของการประทับอยู่ของพระเจ้า ในท่ามกลางพวกเขา

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2008)

29 กรกฏาคม ระลึกถึงนักบุญมารธา (St. Martha, memorial)

29 กรกฏาคม ระลึกถึงนักบุญมารธา (St. Martha, memorial)

ในบรรดามิตรสหายที่ใกล้ชิดที่สุดของพระเยซูเจ้า ที่พระองค์เสด็จไปเป็นแขกที่บ้านนี้บ่อยๆ ในช่วงเวลาที่ประทับอยู่แคว้นยูเดีย ก็คือสองศรีพี่น้อง มารธา และมารีย์ และพี่ชายคือลาซารัส ดังที่นักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสารได้บันทึกไว้ว่า “พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาว และลาซารัส” (ยน 11:5) และพระองค์ทรงใช้เวลากับพวกเขาสองสามวันก่อนจะทรงรับทนทรมาน วันนี้พระศาสนจักรจึงเทิดเกียรติแก่นักบุญมารธา

คาดเดาว่ามารธาเป็นพี่สาวของมารีย์ และเป็นผู้ซึ่ง “วุ่นวายอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้” คอยสาละวนเอาใจใส่ที่จะทำให้แขกของเธอได้รับความสะดวกสบาย เธอเป็นหนึ่งในคนที่มีใจโอบอ้อมอารี ขยันขันแข็งในการทำงานหนัก ต้องการให้ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางอย่างถูกต้องไม่สะดุด เธอจึงเป็น “รูปแบบ” ของคริสตชนที่เน้นการกระทำหรือกิจกรรม และแสวงหาความร่วมมือร่วมแรงจากคนอื่นๆที่อยู่โดยรอบ จริงๆนี่เป็นคุณธรรมเก่าแก่มากของชาวคริสต์ ในขณะที่มารีย์น้องสาวกลับได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตรำพึงภาวนา อย่างไรก็ดี มารธาก็ยังเป็นสตรีที่มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งที่เห็นได้เด่นชัด และมีความไว้วางใจในฤทธานุภาพแบบพระในองค์พระเยซูเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เธอได้ทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” (ยน 11:21-22)

และก็เป็นเพราะมารธาที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย” (ยน 11:25-26) คำตรัสนี้เรานำมาใช้ในพิธีฝังศพของบรรดาคริสตชนผู้ที่ล่วงลับ และคำประกาศที่แสดงความเชื่อของเธอในเรื่องนี้ก็เป็นแบบฉบับที่คลาสสิกของผู้ที่เชื่อในพระองค์แบบหมดใจ “มารธาทูลตอบว่า – เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้ -” (ยน 11:27)

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

บาทหลวงต้องลาออกจากวัด หลังจากประกอบพิธีแต่งงานให้เลสเบี้ยน

บาทหลวงต้องลาออกจากวัด
หลังจากประกอบพิธีแต่งงานให้เลสเบี้ยน

            บาทหลวงผู้ประกอบพิธีให้เลสเบี้ยน  ต้องใช้เวลาที่เหมาะสม  สำหรับไตร่ตรองเพื่อหาความชัดเจน  และความยินดี  ในการปฏิบัติศาสนบริการสงฆ์  ให้เป็นรูปธรรม  สำหรับสังคมโลกปัจจุบัน

            ที่ซานโอเรสเต  ประเทศอิตาลี  23 กรกฎาคม  2020  สำนักข่าว LifesiteNews  รายงานว่า บาทหลวง  เอมมานูแอล  มอสกาเตลลี่  เจ้าอาวาสได้ประกอบพิธีแต่งงานทางบ้านเมือง  ระหว่างผู้หญิง 2 คน(เลสเบี้ยน)  เมื่อวันที่  11 กรกฎาคม ที่หอประชุมเทศบาล

            พระสังฆราช  โรมาโน  รอสซี่  ของสังฆมณฑลชีวีตา  กัสเตลาน่า  ได้ตกลงกับคุณพ่อมอสกาเตลลีให้พ้นจากหน้าที่เจ้าอาวาส  ในวันที่ 14  กรกฎาคม

            “เราตกลงให้คุณพ่อพักระยะเวลาหนึ่ง  เพื่อไตร่ตรองค้นหาความชัดเจน  และความยินดีในการปฏิบัติของศาสนบริการสงฆ์ สำหรับการให้เป็นรูปธรรมในสังคมโลกปัจจุบัน

            วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม   เราถวายมิสซาด้วยกันที่วัด  และพ่อได้ประกาศเรื่องนี้ให้ชุมชนทราบ  มันเป็นเรื่องสำคัญ  เราต้องชัดเจนต่อข้อความเชื่อ  ความสัมพันธ์ในด้านอภิบาล   เราต้องใส่ใจในเรื่องละเอียดอ่อนนี้กับบรรดาพี่น้องที่อยู่ในความลำบาก” พระสังฆราชกล่าว

            บาทหลวง  มอสกาเตลลี่  จะไม่กลับมาเป็นพระสงฆ์เจ้าอาวาส ที่วัดนักบุญโอเรสเตสอีก  แต่อาจจะกลับมาทำหน้าที่สงฆ์ได้  เมื่อถึงเวลาเหมะสม

            ตามกฎหมายพระศาสนจักร (CIC)  มาตรา 1369  ของประมวลกฎหมาย  ปี ค.ศ.1983   กล่าวว่า “บุคคลซึ่งในสถานที่หรือการชุมนุม  ในการเขียน พิมพ์โฆษณา  หรือในการใช้สื่อสารมวลชนอื่น  กล่าวคำผรุสวาท  ทำร้ายศีลธรรมอันดีงามอย่างรุนแรง กล่าวร้าย  หรือยุยงให้มีความเกลียดชัง  หรือการสบประมาทต่อศาสนา  หรือต่อพระศาสนจักร  ต้องถูกทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม”

เคยมีสังฆราชคาทอลิกบางองค์ได้สนับสนุนการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันทางบ้านเมือง  สมณกระทรวงข้อความเชื่อ (CDF) ได้สั่งสอนใน ค.ศ. 2003 ว่าเราคาทอลิกไม่ยอมรับพฤติกรรม”คู่ชีวิต”   แม้กฎหมายบ้านเมืองอาจยอมรับ  แต่เพราะมันขัดแย้งกับหน้าที่   เป็นกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง  ใครปฏิบัติเรื่องนี้ก็ขัดต่อคำสอนคาทอลิก… ทุกคนมีสิทธิคัดค้านแบบที่สมควร

            คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ( CCC 2357 ) สอนว่า “พฤติกรรมความใคร่ต่อเพศเดียวกันเป็นพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติในตัวเอง เป็นพฤติกรรมที่ขัดกับกฎธรรมชาติ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ยอมให้กิจกรรมทางเพศเป็นการให้ชีวิต…พฤติกรรมนี้จึงไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ว่าในกรณีใดๆ”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล

นักบวชเหล่านี้ แม้ตาบอด…

นักบวชเหล่านี้ แม้ตาบอด...

(ข่าว CNA 29 ธันวาคม 2017)

93  ปีมาแล้ว  ดอนโอรีโอเน  ชาวอิตาเลี่ยนได้ตั้งคณะซิสเตอร์แห่งศีลศักดิ์สิทธิ์  (Sacramentine  Sisters of  Don  Orione)  ถวายการตาบอดของพวกเขา  เพื่อความรอดของโลก

            คณะซิสเตอร์ที่ตาบอดได้ตั้งใจนมัสการศีลมหาสนิท  ตลอดวัน (24 ชั่วโมง)  และสวมชุดนักบวชสีขาว  เสื้อคลุมสีแดง  และสัญลักษณ์ศีลมหาสนิทสีขาวปักอยู่บนหน้าอกเสื้อคลุม

            นักบุญ ลุยจิ  โอรีโอเน  ได้พูดกับสมาชิกเมื่อตั้งคณะเมื่อวันที่  15 สิงหาคม ค.ศ. 1927  ว่า “พ่อตั้งใจถวายสาขาใหม่ในครอบครัวนักบวช  เหมือนดอกไม้หน้าบัลลังก์ของพระนางพรหมจารี  เพื่อพระนางถวายดอกไม้นี้แด่พระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท”

            คณะนี้เป็นสาขาของซิสเตอร์ธรรมทูตเล็กๆแห่งเมตตาธรรม (LMSC) มีพันธกิจ  ตามธรรมนูญ  คือถวายสายตาสำหรับผู้ยังไม่รู้จักความจริง  เพื่อให้พวกเขามาหาพระเจ้า ผู้เป็นแสงสว่างของโลก

            นักบุญลุยจิ  โอรีโอเน  ขอให้  นมัสการศีลมหาสนิท  และพลีกรรมเพื่อการเผยแผ่ธรรมของคณะ LMSC  และ คณะบุตรแห่งพระญาณเอื้ออาทรซึ่งนักบุญเป็นผู้ตั้งทั้ง 2 คณะ

            คณะนี้มีสมาชิกในประเทศอิตาลี สเปน  ฟิลิปปินส์   เคนย่า  อาร์เจนติน่า  บราซิล  และชิลี  อยู่ในประเทศชิลีตั้งแต่ ค.ศ.1943   เวลาอยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิท  บรรดาซิสเตอร์ภาวนาคำวอนขอมากมายที่ได้รับจากสัตบุรุษ  โดยผ่านเฟสบุ๊ค  ถวายคำอธิษฐานทุกข้อที่ได้รับ

            ซ.มารีอา ลุซ  โอเคด้า ได้รับอุบัติเหตุเมื่อเป็นเด็ก  ทำให้เธอค่อยๆมองไม่เห็น  จนอายุ 30 ปี  ตาบอดสนิท   เธอกล่าวว่า “บางครั้ง ซิสเตอร์ขอบคุณพระเจ้า  เพราะการตาบอดของเธอ   ทำให้เธอเข้าคณะนี้   มีโอกาสนมัสการต่อหน้าศีลมหาสนิท  และบอกพระเยซูเจ้าว่า  แบบนี้ทำให้ซิสเตอร์ช่วยพระองค์ไถ่กู้วิญญาณ”

            ทุกวันในเวลาภาวนา  และเฝ้าศีลมหาสนิท  เราถวายความยากจน  ความทุกข์  และความเศร้าของมนุษยชาติ  แด่พระเจ้า  แต่ละวันมีความตั้งใจพิเศษคือ

วันจันทร์            เพื่อบรรดาผู้ป่วย             วันอาคาร           เพื่อเยาวชน

วันพุธ                เพื่อสันติภาพ                 วันพฤหัสบดี       เพื่อกระแสเรียก

วันศุกร์              เพื่อคนชรา                     วันเสาร์              เพื่อเด็กๆ

วันอาทิตย์          เพื่อครอบครัว

 

หมายเหตุ    นักบุญ  ลุยจิ  โอรีโอเน  เกิด 23 มิถุนายน ค.ศ.1872 สิ้นใจ 12 มีนาคม  ค.ศ.1940 เป็นบาทหลวง ชาวอิตาเลี่ยน  เคยเรียนในศูนย์เยาวชนของคณะซาเลเซียนที่เมืองตุรินกับคุณพ่อบอสโก ท่านเด่นในเรื่องเมตตา ช่วยเด็กกำพร้า คนพิการ อบรมเยาวชน และคนยากจน ถูกทอดทิ้ง

            โป๊ปยอห์น ปอลที่ 2 แต่งตั้งเป็นนักบุญ วันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2004        

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล