มีเรื่องเล่าไว้โดย นาย เดล คาร์เนกี ในหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขาชื่อว่า “ทำอย่างไรจะหยุดความกังวลและเริ่มต้นชีวิตใหม่” โดยพูดถึงชายคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น อาร์ แอนโทนี (John R Antony) เขามีอาชีพเป็นนักขายหนังสือกฎหมายให้กับบรรดาทนายความทั้งหลาย แน่นอนเขามีความสามารถและรู้งานของเขาเป็นอย่างดี แต่จะอย่างไรก็ตาม กลับไม่สามารถทำยอดขายได้เท่าที่ควร ยิ่งนานวัน เขาก็เกิดความไม่มั่นใจและหมดความกล้าไปเลย เขาสงสัยตัวเขาเองว่าได้พยายามเต็มที่หรือยัง ก็พบว่าพยายามเต็มที่แล้ว แต่ความพยายามของเขาไม่มีผลตอบรับ ความรู้สึกกลัวและหวั่นวิตกเข้ามาครอบงำเขา เขากลายเป็นคนกลัวที่จะเข้าไปหาคนอื่น บางครั้งเมื่อนัดพบจะขายหนังสือ เขาก็เดินไปเดินมาอยู่ที่ประตูไม่ค่อยกล้าเข้าไป แม้บางครั้งเขาเดินเข้าไปในห้องแล้ว บางทีเขาแอบหวังว่าลูกค้าของเขาจะไม่อยู่ในห้องนั้น
ผู้จัดการแผนกขายขู่ว่า ถ้าเขาไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ ก็ไม่สามารถก้าวหน้าทางนี้ได้ต่อไป ภรรยาเขาเริ่มบ่นว่า เธอไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้าน และเธอยังต้องดูแลลูกๆ อีก 3 คน เขากลุ้มใจอย่างใหญ่หลวง และด้วยยอดขายที่ลดลงไปเรื่อยๆ แอนโทนีไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าโรงแรมและไม่มีเงินกลับบ้านด้วย เขาอยู่ในสภาพจิตตกที่สุด และไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ที่เขาไม่ฆ่าตัวตาย เพราะไม่กล้าจะทำเช่นนั้น
เนื่องจากเขาไม่รู้จะหันไปหาใคร เขาจึงหันเข้าพึ่งพระเจ้า เขาเริ่มภาวนาขอพระองค์ประทานความสว่าง ความเข้าใจ และนำทางเขาจากสภาพที่มืดมิด ที่ว่างเปล่า และที่หมดหวังเช่นนี้
หลังจากภาวนาเขาลืมตาขึ้น และเห็นหนังสือพระคัมภีร์ที่อยู่ในลิ้นชักของโต๊ะในโรงแรม เขาหยิบพระคัมภีร์มาอ่าน พบข้อความที่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า
“ฉะนั้น อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ากว่านกหรือ”
ในขณะที่อ่านและภาวนาจากถ้อยคำของพระเยซูเจ้า เขารู้สึกว่าอัศจรรย์เกิดขึ้น ความตึงเครียดประสาทของเขาหายไป ความกังวล ความกระวนกระวาย และความกลัวแปรเปลี่ยนไปเป็นความกล้าหาญ ความหวัง และความเชื่อในชัยชนะเข้ามาสู่เขาอย่างอบอุ่นหัวใจ คืนนั้นเขานอนหลับสนิท
รุ่งเช้า เขาลุกขึ้นแต่งตัวอย่างดี และตรงไปหาลูกค้าด้วยความกล้าหาญและความคิดเชิงบวก เขายืดตัวตรงและแนะนำตัวเองอย่างมั่นใจ และวันนั้นเขาก็เริ่มขายหนังสือได้ ขายได้มากกว่าที่เขาเคยขายมาตลอดทั้งสัปดาห์ด้วยซ้ำ
แต่นั้นมา เขาก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ 22 ปีต่อมา เขาสารภาพความจริงนี้ว่า
“ในคืนนั้น ผมตระหนักได้ทันทีถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า มนุษย์เพียงคนเดียวย่อมจะพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย แต่มนุษย์ที่อาศัยพลังของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเขา จะไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ ผมรู้ข้อนี้ดี ผมเห็นการทำงานนี้ในชีวิตของผมเอง”
ในพระวรสารของอาทิตย์นี้เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงส่งบรรดาศิษย์ลงเรือ แล้วพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา เพื่อภาวนาตามลำพัง ทรงภาวนาไปจนกระทั่งถึงยามที่สี่ แล้วทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ขณะนั้นเรือกำลังอยู่ในน้ำลึกและกำลังโต้คลื่นอย่างหนัก เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาในเวลาทันท่วงทีในขณะที่บรรดาศิษย์กำลังเสียขวัญ และต่อสู้กับพายุอย่างหนักหน่วง พระองค์ทรงทำให้พวกเขาสงบลง และไม่ต้องกลัวอีกต่อไป
นักบุญเปโตรอยากจะเดินบนน้ำเหมือนพระองค์บ้าง จึงร้องขอ พระองค์ทรงอนุญาต และเปโตรก็เดินไปหาพระองค์ ตอนแรกตาเขาจับจ้องไปที่พระเยซูเจ้า แต่พอละสายตาไปจากพระองค์ หันไปมองคลื่นและน้ำ ก็รู้สึกตัวว่ากำลังจมลง จึงร้องขอให้ทรงช่วย พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง”
ที่จริงการที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนน้ำในเวลากลางคืนมีความหมายเป็นสัญลักษณ์หลายอย่างเช่น หมายความว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนืออำนาจของความชั่วและความมืดทั้งปวง เพราะว่าทะเลนั้นตามที่ธรรมประเพณีเชื่อกันมาว่าเป็นบ้านของจิตชั่ว (เทียบ วว 13:1) พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความชั่วและทรงมอบอำนาจนั้นให้กับบรรดาศิษย์ด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือพระองค์ทรงช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาพึ่งพระองค์ พระศาสนจักรก็เปรียบเหมือนเรือที่พวกสาวกนั่งอยู่ จะมีคลื่นลมแรง จะต้องต่อสู้กับอำนาจของความชั่ว และความมืด ถ้าเมื่อไรพระศาสนจักรละสายตาไปจากพระเยซูเจ้า จะพบวิกฤติอย่างยิ่ง แต่เมื่อร้องหาพระองค์ให้ทรงช่วย ดังเช่นนักบุญเปโตรที่กำลังจะจมน้ำ ก็จะทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยทันที และพายุก็จะสงบ เหมือนแอนโทนีในตอนต้นเรื่องที่เมื่อไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว ก็ภาวนาขอพระองค์ให้ทรงช่วย ก็ทรงช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากชีวิตที่กำลังจมดิ่งลง