มิสซาแรกที่วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล บ้านขุนแตะ

มิสซาแรกที่วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล บ้านขุนแตะ

ันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2020 ได้มีพิธีบูชาขอบพระคุณแรก หรือมิสซาแรกของคุณพ่อใหม่ 2 เขตวัด คือ ที่วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล บ้านขุนแตะ ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นมิสซาแรกของคุณพ่อโทมัส เธียรชัย สงวนไพรวัลย์ ลูกวัดได้กลับมาถวายมิสซาแรกที่วัดประจำหมู่บ้าน โอกาสนี้มีพี่น้องคริสตชนทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านมาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก รวมทั้งบรรดาคุณพ่อร่วมรุ่นด้วย
สำหรับหมู่บ้านขุนแตะนี้เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตอภิบาลของวัดอัครเทวดาราฟาแอล บ้านขุนแปะ มีคุณพ่อติดคำ ใจเลิศฤทธิ์ เป็นเจ้าวัด และคุณพ่ออารุณ กาโนะ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส บ้านขุนแตะ เป็นหมู่บ้านพี่น้องชนเผ่าปาเกอะญอ มีครอบครัวคาทอลิกกว่า 100 ครอบครัว ปัจจุบันมีลูกวัดเป็นบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรก คือคุณพ่อเธียรชัย และมีลูกวัดเป็นซิสเตอร์ 4 ท่านคือ ซิสเตอร์ มารีอา จุฬาลักษณ์ สงวนไพรวัลย์ คณะมารีอาบัมบีนา, ซิสเตอร์ มารีอามักดาเลนา เอลีญา ดวงใจไพรวัลย์ คณะพระหฤทัยพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ ซิสเตอร์แคธทาริน กมลวรรณ พนาบรรพต คณะแม่ปอน และซิสเตอร์ลูซีอา ทิพา ชอบเจริญธรรม คณะแม่ปอน

(คุณพ่อณรงค์ชัย หมั่นศึกษา)

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขน และติดตามเรา”

บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องไม่คิดถึงตนเอง และติดตามพระคริสตเจ้าไป

ประกาศกเยเรมีห์ในบทอ่านแรกมีประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว บางทีเราอาจจะรู้จักท่านน้อยไป ลองมาทำความรู้จักท่านให้มากขึ้น อาจจะทำให้เราเข้าใจข้อคำสอนนี้ดีขึ้น

ประกาศกเยเรมีห์ถูกเรียกให้ทำหน้าที่ประกาศกประมาณปี 627หรือ 626 ก่อนพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมา แม้โดยธรรมชาติจะเป็นคนขี้อายและค่อนข้างเก็บตัว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีแผนการยิ่งใหญ่ให้เยเรมีห์ทำ

“ดูเถิด เราเอาถ้อยคำของเราใส่ในปากของเจ้า วันนี้ เราตั้งเจ้าไว้เหนือบรรดาประชาชาติ… ให้ถอนออก และให้พังลง ให้ทำลาย และให้คว่ำเสีย ให้สร้าง และให้ปลูก” (ยรม 1: 10)

สิ่งเหล่านี้ตรงข้ามกับลักษณะนิสัยของเยเรมีห์ทั้งสิ้น ท่านไม่อยากรับ อ้างว่า “ผมพูดไม่เก่ง ผมยังเด็กเกินไป” แต่พระเจ้าตรัสว่า จะประทานพระพรและคำพูดที่ทรงอำนาจให้กับเขา “จะทำให้เจ้าเป็นเมืองมีป้อม เป็นเสาเหล็ก และเป็นกำแพงสัมฤทธิ์ สู้กับแผ่นดินทั้งหมด” นี่แหละทำให้เยเรมีห์ต้องเป็นประกาศกมากกว่า 40 ปี และอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวยิว จนถึงกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี 587 หรือ 586 ก่อนคริสตศักราช และยังคงต้องทำหน้าที่ต่อไปหลังจากกรุงเยรูซาเล็มล่มสลายในประเทศอียิปต์

ประกาศกเยเรมีห์มีชีวิตค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ท่านไม่ได้แต่งงาน เพื่อนฝูง ญาติๆ และคนที่เขานับถือพากันหลีกหนีเขาไป เพราะการทำนายของท่าน ท่านไม่ประสบความสำเร็จในคำเทศน์ของท่าน การถูกทำลายของยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มใกล้เข้ามาทุกที ท่านต้องประกาศออกมาทั้งๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง ท่านไม่สามารถหยุดเหตุการณ์เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นด้วยคำภาวนาของท่าน ท่านเป็นประกาศกที่คนในสมัยท่านไม่ยอมรับ เพราะไม่มีใครชอบให้คนๆ หนึ่งมาคอยพูดตำหนิบาปของตน

ประกาศกเยเรมีห์ถูกปองร้ายหลายครั้ง เคยถูกจับ ถูกคุมขังในคุก (ยรม 36- 45) ถูกจับโยนลงไปในบ่อโคลน ท่านหวาดกลัวกับชีวิต แต่ก็เป็นเพราะความที่ซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียกของท่านที่ให้ประกาศพระวจนะพระเจ้า แน่นอนท่านทุกข์ทนจนไม่อยากมีชีวิตอยู่นับครั้งไม่ถ้วน บางที ท่านต้องการปิดปากเงียบไม่ต้องการทำนายอะไรที่เป็นเรื่องร้ายๆ สำหรับชาวยิวเพื่อนร่วมชาติ แต่ท่านก็ไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของพระวจนะพระเจ้า และที่สุดท่านก็ต้องประกาศความจริงออกมา ความหวังแต่เพียงอย่างเดียวของท่านคือ หลังกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายแล้ว วันหนึ่งพันธสัญญาใหม่จะมาถึง

อ่านเรื่องชีวิตของประกาศกเยเรมีห์แล้วรู้สึกอย่างไรครับ ถ้าให้เลือกว่าจะเป็นประกาศกเยเรมีห์ไหม จะรับหรือเปล่าครับ โดยส่วนตัวแล้วขอบอกว่า “ถอยดีกว่า…ไม่เอา…ดีกว่า” เฮ้อ…ทำไมชีวิตคนๆ หนึ่งจะต้องทุกข์ยากขนาดนี้

นี่เป็นความคิดของคนในโลกนี้ และของคนสมัยใหม่ที่ต้องการความสุขสำเร็จมาเป็นแพ็กเก็จ ไม่ต้องแตะต้องความยากลำบากใดๆ เลยยิ่งดี สิ่งขัดใจแม้แต่นิดก็ไม่อยากให้มาแผ้วพาน แต่เชื่อไหมครับ ชีวิตเรามีความหลากหลายมากกว่าที่คิด

พระวรสารของวันอาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้าทรงเผยให้บรรดาศิษย์ทราบว่า พระองค์จะต้องทรงรับทุกข์ทรมาน และแม้กระทั่งจะถูกประหารชีวิต บรรดาศิษย์รับไม่ได้ทันที เปโตรรีบทูลทัดทาน แต่ทรงขับเปโตรให้ถอยไปข้างหลัง ทรงตรัสชัดเจนว่า “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร”

เราอาจจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ดูเหมือนไม่เป็นไปตามแบบที่เราคิดไว้ อย่าลืมว่าความทุกข์ยากที่มากกว่าเราหลายร้อยเท่าของประกาศกเยเรมีห์สอนให้เราซื่อสัตย์ต่อการเรียกของพระเจ้า อย่าลืมว่าความทุกข์ยากและการยอมสละชีวิตของพระเยซูเจ้าทั้งๆ ที่ปราศจากความผิด เป็นการไถ่และช่วยเราให้รอด ดังนั้น ความทุกข์ยากที่เราได้รับต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายกับชีวิตของเรามากถึงมากที่สุด

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2011
Based on : Speak, Lord! ; by Fr. Herman Mueller, SVD)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ปี A

ในปี ค.ศ. 1998-99 มีการเบียดเบียนศาสนาคริสต์ที่แคว้นกุจราษฎร์ เมือง Dangi มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเชื่อ และความกล้าหาญของชาวคริสต์ที่นั่นมากมายที่ไม่ได้บันทึกไว้ คุณพ่อชาวอินเดียได้เล่าให้ฟังถึงชายหนุ่มที่ถูกซุ่มโจมตีจนเลือดอาบ แต่เขาบอกกับคุณพ่อองค์นั้นว่า “ผมจะไม่ละทิ้งการเป็นคริสตชน แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าผมก็ตาม”

ก่อนหน้านี้ ในอีกท้องถิ่นหนึ่งที่คุณพ่อองค์นี้เคยไปทำงานอภิบาล มีชายอีกคนหนึ่งมาพูดกับท่านว่า “ผมพบพลังเข้มแข็งที่ยิ่งใหญ่จากพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน แม้ว่าเพื่อนๆผมจะหัวเราะเยาะว่าผมเทิดทูนบูชาพระที่เปลือยเปล่า(บนกางเขน) และช่วยเหลือตนเองไม่ได้ก็ตาม”

เหล่านี้คือเรื่องของกางเขนที่พระเยซูเจ้ากำลังจะมุ่งไปสู่การรับทนทรมานนั่นเอง ในพระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงหนทางแห่งกางเขน คือพระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และที่หมายที่ไกลกว่านั้น คือเขากัลวารีโอ ที่จะทรงแบกกางเขนขึ้นไป เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว เราเพิ่งได้ยินนักบุญเปโตรที่ได้ประกาศถึงความรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าว่า ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระเยซูเจ้าได้ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นหัวหน้าปกครองพระศาสนจักร ท่านย่อมฝันหวานว่า พระเมสสิยาห์จะขับไล่ชาวโรมันที่ปกครองกรุงเยรูซาเล็มอยู่ ให้ออกไป และจะเข้าควบคุมพระวิหารไว้เอง ซึ่งหาใช่สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสนใจจะทำให้ความหวังจอมปลอมนั้นสำเร็จไปไม่ นอกจากพระองค์จะไม่สนพระทัยในลาภ ยศ สรรเสริญแล้ว ยังตรัสเผยถึงความตายว่าเป็นประตูนำทางไปสู่ชีวิต (- การทำนายล่วงหน้าถึงความตายของพระเยซูเจ้า จะถูกกล่าวซ้ำอีกถึงสองครั้งในพระวรสารของนักบุญมัทธิว)

แต่การต่อต้านคัดค้านของนักบุญเปโตรก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะคนในสมัยของท่านส่วนมากต่างพากันคาดหวังว่าพระเมสสิยาห์จะทรงแสวงหาอำนาจ ไม่ใช่จะมารับทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด จะต้องสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่มาถูกตรึงกางเขนประดุจโจรผู้ร้าย ดังนั้น นักบุญเปโตรจึงไม่รอช้าที่จะฉุดดึงพระเยซูเจ้าไว้ แล้วทูลทัดทานว่า พระองค์จะทรงลองพิจารณาหาดูหนทางอื่นๆมิได้หรือ พระองค์น่าจะทรงตัดสินใจใหม่นะ

แต่สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว การที่นักบุญเปโตรฉุดรั้งพระองค์ไว้ในครั้งนี้ เปโตรก็ไม่ใช่เป็นศิลาหนักแน่นที่จะไว้ตั้งพระศาสนจักรแล้ว แต่เป็นแค่อิฐบล็อกที่ทำให้เดินสะดุดมากกว่า จึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”

ย้อนเหตุการณ์กลับไป เราคงจำได้ว่าเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงจำศีลอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน มีปีศาจมาผจญพระองค์ มันบอกให้พระองค์แสวงหาอำนาจ และความรุ่งเรือง แต่พระองค์ไม่ทรงเชื่อมัน ดังนั้น การที่เปโตรต่อต้านหนทางแห่งเขากัลวารีโอก็เท่ากับเป็นการต่อต้านพระคริสต์นั่นเอง ที่พระเยซูเจ้าทรงบอกว่าเปโตรคิดแบบมนุษย์ ไม่ได้คิดแบบพระเจ้า เพราะมนุษย์แสวงหาหนทางเพื่อตนเอง แต่หนทางของพระคือการสละตนเอง มนุษย์แสวงหาให้คนอื่นมารักและรับใช้ตน แต่พระเยซูเจ้าทรงแสวงหาที่จะรักและรับใช้ทุกคน หนทางของมนุษย์มักจะต่างและตรงข้ามกับหนทางของพระคริสต์ หนทางของมนุษย์นำไปสู่ความมืดมนและความตาย ในขณะที่หนทางแห่งกางเขนกลับนำไปสู่ชีวิต และความเป็นอิสระ

การแบกกางเขนในชีวิตของคนๆหนึ่ง คือการเผชิญชีวิตทั้งในด้านสุขและทุกข์ จะผ่านทั้งภูเขาทาบอร์ที่เปล่งรังสีแสง (เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระวรกายรุ่งโรจน์) และจะผ่านภูเขากัลวารีโอที่มืดมิด(ที่ทรงถูกตรึงกางเขน) สำหรับพระเยซูเจ้าแล้วเป็นทั้งสองนั่นเอง

ในบทอ่านที่สองนักบุญเปาโลสอนให้เราทั้งหลาย “ถวายร่างกายของเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า” การที่เรามาร่วมพิธีบูชามิสซา ถ้าจะให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าความหมาย เราจะต้องรู้จักถวายตนเองเป็นบูชาด้วย(self-sacrifice) ในภาษาอาราเมอิก คำว่า “nepes” หมายถึงทั้งคำว่า “ตนเอง” (self) และคำว่า “ชีวิต” (life) ดังนั้น ทั้งพระเยซูเจ้าและนักบุญเปาโลต่างก็นำเสนอให้คริสตชนทุกคนถวายร่างกายของตน ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่ตายเท่านั้น แต่ถวายตัวตนทั้งหมดในทุกๆวันของชีวิตด้วย

เด็กหนุ่มชาวคริสต์คนหนึ่งจากเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ชื่อ Neil Gaikwad ได้เป็นประจักษ์พยานด้วยการเสียสละตนเองในรูปแบบนี้ ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2005 มีฝนตกหนักยาวนาน 12 ชั่วโมง ทำให้เมืองมุมไบจมอยู่ใต้น้ำ ชายคนนี้ว่ายน้ำไปช่วยชีวิตคนถึง 60 คนที่ติดอยู่ภายในรถบัส ผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยันว่า “Neil ต้องมุดดำน้ำขึ้นลงถึง 40-50 ครั้ง เพื่อช่วยนำคนออกมา” หรืออีกคนหนึ่งที่เป็นนักแข่งจักรยานทางไกลชาวเท็กซัส ที่ชื่อ Lance Armstrong ก็ด้วย เขาต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่ก็ยังสามารถได้รับชัยชนะการแข่งจักรยานทางไกลอันทรงเกียรติของรายการ Tour de France เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 ซึ่งเป็นประวัติการณ์ของการประสบชัยชนะเป็นครั้งที่ 7 ของเขา ทั้ง Neil และ Lance Armstrong แสดงให้เราเห็นว่า การมีชีวิตย่อมมาจากการตายต่อตนเอง และทุกๆทางแยกแห่งชีวิตนำไปสู่สวรรค์

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2020
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by Francis Gonsalves, S.J.)

ที่ ชม.172/2020 เชิญร่วมสัมมนาเรื่องบทประจํามิสซา ภาษาโม้ง

ที่ ชม.172/2020 เชิญร่วมสัมมนาเรื่องบทประจํามิสซา ภาษาโม้ง

ที่ ชม.172/2020
28 สิงหาคม 2020

เรื่อง เชิญร่วมสัมมนาเรื่องบทประจํามิสซา ภาษาโม้ง
เรียน คุณพ่อ ครูคําสอน ชาวม้ง ที่นับถือ

         เนื่องจากคุณพ่อชาคริต แซ่ท้าว (คณะมหาไถ่) ได้ให้พ่อรับรองหนังสือบทประจํามิสซาภาษาโม้ง เมื่อ พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ก่อนที่จะไปสหรัฐอเมริกา สองปีที่ผ่านมา คุณพ่อ คณะ OMI ที่ทํางานกับชาวโม้งที่เขตแพร่ธรรมเข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ (สังฆมณฑลนครสวรรค์) ได้เคยขอให้สังฆมณฑลเชียงใหม่จัดการสัมมนาพระสงฆ์ นักบวช และครูคําสอนชาวม้ง เกี่ยวกับพิธีกรรมเพื่อให้มีเอกภาพยิ่งขึ้น

         วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาพ่อได้ประชุมกับ คุณพ่อ อาทิตย์ มิ่งขวัญเจริญกิจ ปัจจุบันเป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระมหาไถ่ (ศูนย์โม้งคาทอลิก) จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเห็นสมควร เชิญพระสงฆ์ นักบวช ครูคําสอน และผู้เชี่ยวชาญภาษาวัฒนธรรมโม้ง มาสัมมนา วันที่ 22 – 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 ที่ ศูนย์มิสซังเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

1. พิจารณาการใช้หนังสือบทประจํามิสซา ภาษาม้ง ให้เป็นที่ยอมรับในเขตสังฆมณฑลนครสวรรค์ เชียงใหม่ และเชียงราย

2. พิจารณาพิธีกรรม และบทสวดภาษาม้ง บางบทตามที่ประชุมเสนอ

         ผู้เข้าร่วมประชุม คือบรรดาพระสงฆ์ นักบวช ครูคําสอนชาวม้ง และผู้เชี่ยวชาญภาษาวัฒนธรรมโม้ง ประมาณ 30 คน พ่อขอประชาสัมพันธ์ล่วงหน้านานๆ และ เพิ่งจะเชิญคุณพ่อชาคริต แซ่ท้าว ด้วย และกําหนดการจะตามมา

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอพระอวยพร

(ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์
พระสังฆราชสังฆมณฑลเชียงใหม่
[email protected]

บทไตร่ตรองของสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
เรื่อง การแสดงออกต่าง ๆ ภายในโรงเรียน

บทไตร่ตรองของสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
เรื่อง การแสดงออกต่าง ๆ ภายในโรงเรียน

บทไตร่ตรองของสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
เรื่อง การแสดงออกต่าง ๆ ภายในโรงเรียน

ผู้นํา ผู้บริหาร คณะครู อาจารย์ นักการศึกษาทุกท่าน

          สังคมปัจจุบันที่มีความเปราะบางและอ่อนไหว เป็นความท้าทายที่โรงเรียนคาทอลิกพึงไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ทางสังคมอันจะมีผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อโรงเรียนและนักเรียน โรงเรียนคาทอลิกยังยึดมั่นในอัตลักษณ์ความเป็นโรงเรียนคาทอลิกในการดําเนินการใด ๆ โดยเฉพาะในภาวะพิเศษเช่นนี้

          ข้อแรก การให้ความเคารพคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งโรงเรียน คาทอลิกให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง โรงเรียนจึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ แสดงออกอย่างสร้างสรรค์เพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานความเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ หล่อหลอมทั้งทางสติปัญญาและจิตวิญญาณ ให้นักเรียนเติบโต มีสติ และตระหนักรู้ในความรับผิดชอบของตน

        ข้อ 2 โรงเรียนคาทอลิกตระหนักในหน้าที่ให้การศึกษาแก่นักเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่อยู่บนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิ เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน นักเรียนพึงมีโอกาสเติบโตขึ้นด้วยสํานึกแห่งความรับผิดชอบ เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ พร้อมที่จะอุทิศตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เหนือประโยชน์ส่วนตน

        ข้อ 3 บรรยากาศของการเรียนรู้ของโรงเรียนคาทอลิกอบอวลไปด้วยคุณค่าพระวรสาร ด้วยคุณภาพของ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง ด้วยความใส่ใจที่ครูทุ่มเทให้กับนักเรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย การเปิดกว้างต่อการเสวนาแลกเปลี่ยนด้วยความเคารพในความคิดเห็นและเท่าเทียม นําสู่การปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือด้วยจิตตารมณ์แห่งอิสรภาพและความรักใส่ใจ

          ข้อ 4 ในภาวะพิเศษเช่นนี้ ผู้นํา ผู้บริหาร คณะครู อาจารย์ นักการศึกษาของโรงเรียนคาทอลิกพึ่งอุทิศตน ทุ่มเทยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการสานสัมพันธ์กับนักเรียนเป็นรายบุคคล รับฟังแบบเปิดใจ เปิดโอกาสในการแสดงออก โดยเคารพสิทธิของผู้อื่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งเสนอมุมมองที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึง ความจริง ความดี และความงามที่แท้จริง อันเป็นการสร้างโอกาสให้นักเรียนได้เจริญเติบโต พัฒนาสมรรถภาพและพรสวรรค์ของเขา

          การให้การศึกษาจําเป็นต้องทํางานด้วยความหวังและความเชื่อมั่น การให้การศึกษาเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ ทางสังคมอยู่เสมอ จึงควรตระหนักถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น การให้การศึกษายังหมายถึงการร่วมทางกับนักเรียนในการ แสวงหาความจริงและความงาม สําหรับสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ประสิทธิภาพของการทํางานร่วมกันเกิดขึ้นได้จากการมีคุณค่าร่วมกันและการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้

บาทหลวงเดชา อาภรณ์รัตน์
เลขาธิการ
สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
24 สิงหาคม ค.ศ. 2020

วันที่ 23 สิงหาคม นักบุญโรซา ชาวลิมา พรหมจารี

วันที่ 23 สิงหาคม นักบุญโรซา ชาวลิมา พรหมจารี

(St Rose of Lima, Virgin)

อิซาเบลลา เดอ ฟลอเรซ คือชื่อของนักบุญองค์นี้ตอนที่ท่านได้รับศีลล้างบาป ท่านได้ถือกำเนิดที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อปี ค.ศ. 1586 จากพ่อแม่ชาวเปอร์โตริโกที่ยากจน ท่านได้รับชื่อว่า Rose Maria เมื่อได้รับศีลกำลังขณะมีอายุได้ 11 ปี โดยที่ท่านมีนักบุญกาธารีนาแห่งซีเอนาเป็นแบบอย่าง ซึ่งนำให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัดด้วยจิตตารมณ์ของการภาวนา การจำศีลอดอาหาร และการทรมานกายของตนอย่างหนัก และได้ช่วยทำงานในครอบครัวอย่างขยันขันแข็งในงานเย็บผ้าปักผ้าลูกไม้อย่างประณีต

ภายในสวนหลังบ้าน พี่ชายของท่านได้ช่วยท่านสร้างห้องเล็กๆขึ้นมาโดยก่อด้วยก้อนอิฐ ซึ่งเป็นที่ที่ท่านชอบหลบมาภาวนา และมาพักผ่อนสั้นๆ ตอนกลางคืนโดยนอนบนกล่องที่เก็บของหลังจากไปทำงานช่วยเหลือคนยากจนรอบๆนั้นมาในตอนกลางวัน นอกจากนี้ ท่านชอบใช้เวลายาวนานเป็นชั่วโมงๆในการเฝ้าศีล และได้รับอนุมัติจากคุณพ่อผู้ฟังแก้บาปของท่านให้ได้รับศีลมหาสนิททุกๆวัน

แรกๆครอบครัวของท่านไม่เห็นด้วยกับการถือปฏิบัติของท่านเช่นนี้ และหัวเราะเยาะด้วย ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีถึงได้รับการยอมรับ ท่านมีความปรารถนาอย่างยิ่งมานานแล้วที่จะได้เป็นนักบวช ในที่สุดท่านก็ได้เป็นสมใจในวัย 20 ปี โดยได้เข้าเป็นสมาชิกคณะโดมินิกันชั้นสาม ได้รับชื่อเป็นนักบวชว่า Sister Rose of St Mary เมื่อเป็นนักบวชสมใจแล้ว ท่านได้ทำกิจใช้โทษบาปเพิ่มเป็นสองเท่า รับประทานอาหารน้อยมาก มีโซ่เหล็กคล้องรอบๆเอว และมีโลหะแหลมที่ทิ่มแทงให้เจ็บซ่อนอยู่ในผมของท่าน

องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้แสดงพระองค์ให้แก่ท่านมากมายหลายโอกาสด้วยกัน ครั้งหนึ่ง เมื่อท่านมีชัยชนะต่อการประจญของปีศาจต่อสู้กับความบริสุทธิ์และความเชื่อที่มั่นคงแล้ว ท่านได้เข้าฌานนานเป็นชั่วโมงๆ ได้พบกับสถานภาพทางวิญญาณที่เปี่ยมด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี นอกจากนี้ท่านยังได้เสนอการทำพลีกรรมทั้งหมดของท่านให้แด่พระองค์ เพื่อเป็นการชดเชยบาปและความชั่วช้าต่างๆของมนุษย์ รวมทั้งการนับถือพระเท็จเทียม และเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานของบรรดาผู้ที่อยู่ในไฟชำระด้วย

ท่านได้สิ้นชีพเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1617 เมื่อมีอายุได้เพียง 31 ปีเท่านั้น หลังจากความตายของท่านก็มีอัศจรรย์ต่างๆมากมายตามมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1668 โดยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 9 และที่สุดได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1671 โดยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 10 – ถือเป็นนักบุญที่เกิดในทวีปอเมริกาเป็นคนแรก – และได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของลาตินอเมริกา (Patron Saint of Latin America) และประเทศฟิลิปปินส์

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020

เปโตรมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่และเป็นพระบุตรของพระเจ้า

พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงไตร่ตรองพระวรสารของวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020 ก่อนสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าว เที่ยงวันพร้อมกับผู้เข้าเฝ้าจำนวนจำกัด ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน

        พระสันตะบิดรทรงเตือนใจผู้ฟังให้ทราบถึงความสำคัญแห่งพระวรสารตอนนี้ (มธ. 16: 13-20) ซึ่งเปโตรน้อมรับความเชื่อของตนว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ไถ่ ทรงเป็นพระบุตรที่แท้จริงของพระเจ้า

        “ความสับสนของอัครสาวกถูกกระตุ้นโดยพระเยซูคริสต์เอง ซี่งปรารถนาที่จะนำศิษย์ของพระองค์ให้ตัดสินใจเด็ดขาดในการมีความสัมพันธ์กับพระองค์” พระสันตะปาปาย้ำอีกว่า “อันที่จริง การเดินทางของพระเยซูคริสต์พร้อมกันกับผู้ที่ติดตามพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอัครสาวกทั้ง 12 องค์ล้วนแล้วแต่เป็นการสั่งสอนอบรมความเชื่อของพวกเขา”

สวัสดี ลูกๆและพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        บทอ่านของพระวรสารวันอาทิตย์ (ม. 16: 13-20) แสดงให้เห็นวินาทีที่เปโตรแสดงความเชื่อของตนเองในองค์พระเยซูคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่และเป็นพระบุตรของพระเจ้า ความเชื่อของอัครสาวกได้รับการกระตุ้นจากพระเยซูคริสต์เองผู้ทรงปรารถนาที่จะนำศิษย์ของพระองค์ให้ตัดสินใจเด็ดขาดในความสัมพันธ์กับพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอัครสาวก 12 องค์ อันที่จริงการเดินทางทั้งชีวิตของพระเยซูคริสต์กับผู้ที่ติดตามพระองค์ล้วนแต่เป็นการสอนอบรมความเชื่อของพวกเขา ประการแรกพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ประชาชนคิดว่าบุตรของพระเจ้าคือผู้ใด? (ข้อ13)  อัครสาวกชอบพูดเกี่ยวกับประชาชนก็เหมือนพวกเรา คือพวกเราชอบพูดซุบซิบนินทา การพูดถึงคนอื่นวิจารณ์ผู้อื่นเพราะพวกเราแลดูไม่ต้องเสียอะไร นี่คือเหตุผลที่พวกเราชอบพูดถึงคนอื่น แม้กระทั่งพูดให้คนอื่นเสียหาย ในกรณีเช่นนี้ความเชื่อจึงเป็นสิ่งจำเป็นแทนที่จะเป็นการซุบซิบนินทา พระองค์จึงถามย้ำว่า “ผู้คนเขาคิดว่าเราเป็นผู้ใด?”  บรรดาศิษย์ดูเหมือนจะชิงกันแสดงความคิดเห็นต่างๆ ซี่งส่วนใหญ่พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นร่วมกัน พระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธถูกถือว่าเป็นประกาศก (ข้อ 14)

        ด้วยคำถามที่สองพระเยซูคริสต์ทิ่มแทงถึงขั้วหัวใจพวกเขา “แล้วพวกท่านล่ะ? … พวกท่านคิดว่าเราเป็นใคร?” (ข้อ 15)  ตรงนี้พวกเราดูเหมือนจะเห็นความเงียบเนื่องจากแต่ละคนที่อยู่ ณ ที่นั้นถูกเรียกร้องให้ต้องหาคำตอบคำถาม ให้ต้องแสดงเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงติดตามพระเยซูคริสต์ ดังนั้นการหยุดคิดสักครู่หนึ่งจึงเป็นความชอบธรรม หากพ่อจะถามพวกท่านเวลานี้ว่า “สำหรับท่านแล้ว ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ใด?”  ก็คงจะต้องมีการหยุดคิดเช่นกัน  ซีมอนช่วยแก้หน้าพวกเขาด้วยการประกาศอย่างเข้มแข็งว่า “ท่านเป็นพระผู้ไถ่ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (ข้อ 16)  คำตอบที่ครบครันและจรรโลงใจไม่ได้มาจากความคิดของตนเอง แม้จะแสดงถึงความมีใจกว้างเพราะเปโตรเป็นคนที่มีใจกว้าง แต่นี่เพราะว่าผลแห่งพระหรรษทานพิเศษของพระบิดาเจ้าสวรรค์ ที่จริงพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “การเปิดเผยความจริงนี้มิได้มาจากเนื้อหนังมังสาของท่าน” กล่าวคือ จากวัฒนธรรม จากการที่ท่านได้รับการศึกษา ไม่เลย สิ่งนี้ไม่ได้เผยอะไรให้ท่านทราบ ความจริงถูกเปิดเผยให้ท่านทราบโดยพระบิดาของเราในสรวงสวรรค์” (ข้อ 17)   การภักดีต่อพระเยซูคริสต์เป็นพระหรรษทานของพระบิดา การกล่าวว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระบิดาผู้ทรงชีวิต ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระหรรษทานที่พวกเราต้องพยายามขอ “ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดประทานให้ลูกเชื่อในพระเยซูคริสต์”  ในขณะเดียวกันพระเยซูคริสต์ทรงยอมรับคำตอบโดยฉับพลันต่อแรงบันดาลใจแห่งพระหรรษทาน พระองค์จึงกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า (ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา และประตูนรกจะไม่มีวันที่จะเอาชนะได้” (ข้อ 18)  ด้วยการยืนยันนี้พระเยซูคริสต์ทรงทำให้ซีมอนรับรู้ถึงความหมายของชื่อใหม่ที่พระองค์ทรงประทานให้เขาว่า ชื่อ “เปโตร แปลว่า ศิลา” ความเชื่อที่เขาเพิ่งแสดงออกมาแสดงให้เห็นถึง “ศิลา” ที่ไม่มีวันสะเทือนหวั่นไหว ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะตั้งพระศาสนจักรของพระองค์ ซึ่งได้แก่ชุมชน และพระศาสนจักรจะคงก้าวหน้าต่อไปบนพื้นฐานแห่งความเชื่อของเปโตร อันเป็นความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ยอมรับในเปโตรและที่ทำให้เขาเป็นหัวหน้าของพระศาสนจักร

        วันนี้พวกเราได้ยินคำถามของพระเยซูคริสต์ต่อเราแต่ละคน “แล้วท่านล่ะ ท่านว่าเราเป็นผู้ใด?  และเราแต่ละคนจะต้องไม่ให้คำตอบแบบที่เป็นทฤษฎี แต่ต้องเป็นคำตอบที่เป็นความเชื่อซึ่งได้แก่ชีวิต เพราะความเชื่อคือชีวิต “สำหรับตัวฉัน พระองค์ทรงเป็น…” และแล้วพวกเราก็เชื่อในพระองค์ ต้องเป็นคำตอบที่เรียกร้องให้พวกเราฟังเสียงภายในกับเสียงของพระบิดาดุจศิษย์รุ่นแรก และตามสิ่งที่พระศาสนจักรซึ่งล้อมรอบเปโตรยังคงทำการประกาศสั่งสอน  ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ใดสำหรับพวกเรา หากพระองค์เป็นศูนย์ลางแห่งชีวิตของพวกเรา  หากพระองค์คือเป้าหมายแห่งหน้าที่ของพวกเราในพระศาสนจักร และหน้าที่ของพวกเราต่อสังคม พระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับตัวฉัน? พระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับท่าน สำหรับท่าน สำหรับท่าน …?  นี่เป็นคำถามที่พวกเราต้องตอบทุกวัน

        แต่เพราะว่าจะขาดเสียมิได้ และเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมที่การอภิบาลชุมชนของพวกเราจะต้องเปิดกว้างสู่หลายรูปแบบของความยากจนและวิกฤตต่างๆซึ่งมีอยู่ทั่วไป ความรักเมตตาที่เป็นทางหลวงแห่งการเดินทางของความเชื่อ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่งานต่างๆในความเอื้ออาทรและของเมตตากิจที่พวกเราทำจะต้องไม่ทำให้พวกเราไขว้เขวไปจากความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์  ความรักเมตตาของคริสตชนต้องไม่เป็นเพียงงานมนุษยธรรม แต่ในมุมมองหนึ่งเป็นการมองไปยังผู้อื่นด้วยสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์เอง และในอีกมุมมองหนึ่งต้องมองเห็นใบหน้าของพระเยซูคริสต์ในคนยากจน นี่คือหนทางที่แท้จริงของคริสตชนที่มีความรักเมตตาโดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางเสมอ ข้อให้พระแม่มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นความสุขแท้เพราะพระแม่ทรงเชื่อ  ขอให้พระแม่เป็นผู้ชี้นำทางและเป็นแบบฉบับบนหนทางแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พร้อมกับโปรดให้พวกเรารับรู้ว่าความวางใจในพระองค์ จะให้ความหมายที่แท้จริงต่อความรักเมตตาของพวกเราและต่อการมีชีวิตของพวกเรา

หลังการสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าวพระสันตะปาปายังทรงมีพระดำรัสดังนี้

ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก

        เมื่อวานนี้พวกเรามีการฉลองวันสากลเพื่อรำลึกถึงผู้เคราะห์ร้าย (เหยื่อ) ของการใช้ความรุนแรงที่มีพื้นฐานอยู่บนศาสนาหรือความเชื่อ ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาเพื่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเรา ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนา และมีความเอื้ออาทรต่อผู้คนอีกมากมายซึ่งทุกวันนี้ถูกเบียดเบียน เพราะควารมเชื่อแตกต่างหรืออคติทางศาสนา

        พรุ่งนี้วันที่ 24 สิงหาคม เป็นวันครบรอบ 10 ปีของวันสังหารหมู่ผู้อพยพย้ายถิ่น 72 คนที่ประเทศเม็กซิโก (San Fernando, Tamuaulipas, Mexico) ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนที่อพยพมาจากประเทศต่างๆ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า พ่อปรงสงค์ขอแสดงความเอื้ออาทรกับครอบครัวของพวกที่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเรียกร้องหาความจริง และความยุติธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น พระเจ้าจะถือว่านี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเราต่อผู้อพยพย้ายถิ่นทุกคน ซึ่งสิ้นหวังในการเดินทางเพื่อความหวัง  พวกเขาเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมแห่งการทิ้งขว้าง

        พรุ่งนี้ยังเป็นวันครบปีที่สี่ของการเกิดแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบต่อประเทศอิตาลีภาคกลาง พ่อขอรื้อฟื้นการอธิษฐานภาวนาสำหรับครอบครัว และชุมชนที่ต้องรับทุกข์จากความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพวกเขาต้องการความเอื้ออาทรและความหวัง  และพ่อก็หวังว่าจะมีการฟื้นฟูกันอย่างรวดเร็วเพื่อเขาเหล่านั้นจะได้มีชีวิตอย่างสงบในดินแดนที่สวยงามนั้นตามเนินเขาอัปเปนนีเน (Appennine)

        พ่อปรงสงค์ที่จะเน้นถึงความใกล้ชิดห่วงใยของพ่อเองกับประชานแห่งกาโบ เดลกาโด (Cabo Delgado) ทางตอนเหนือของประเทศโมซัมบิค (Mozambique) ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์เพราะการก่อการร้ายระดับสากล พ่อยังจำได้จนติดหูติดตาถึงการเยือนของพ่อไปยังประเทศนั้นในปีที่แล้ว

        พ่อขอต้อนรับทุกคนทั้งพี่น้องชาวกรุงโรม และผู้จาริกแสวงบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนแห่ง “Cernusco Sul Naviglio” ที่แต่งชุดสีเหลืองอยู่แถวโน้น  พวกเขาเดินทางจากเมื่องซีเอนา (Siena) โดยจักรยานและเดินทางมาตามเส้นทางฟรังชิเยนา (Francigena)  พวกเขาทำได้ดีมาก  และพ่อขอต้อนรับหลายครอบครัวที่มาจาก Carobbo Degli Angeli (จังหวัดแบร์กาโม)  ซึ่งเดินทางแสวงบุญเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายของไวรัสโคโรนา และขอให้พวกเราอย่าลืมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของโควิด19 ด้วย  เมื่อเช้านี้พ่อได้ยินประจักษ์พยานของครอบครัวหนี่งที่สูญเสียเหลนไปหลายคนโดยที่ไม่มีโอกาสร่ำลากัน อันมีความทุกข์มากมาย มีคนจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิต พวกเขาตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย (เหยื่อ) ของเชื้อโรคนี้ ทั้งบรรดาอาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล  ซิสเตอร์ บาดหลวง นักบวชก็พลอยเสียชีวิตไปด้วย ขอให้พวกเรารำลึกถึงครอบครัวที่ต้องเผชิญความทุกข์เพราะเรื่องนี้

        พ่อขอให้ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ โปรดอย่าลืมสวดภาวนาสำหรับพ่อด้วยขอให้ทานอาหารกลางวันด้วยความสุขทุกคน แล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ฉลองวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แม่ปอน และฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ คุณพ่ออนุพงศ์ ดำรงอุษาศีล

ฉลองวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แม่ปอน และฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ คุณพ่ออนุพงศ์ ดำรงอุษาศีล

22 สิงหาคม ค.ศ. 2020

วันเสาร์ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2020 ฉลองวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แม่ปอน และฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ คุณพ่ออนุพงศ์ ดำรงอุษาศีล (ลูกวัด)
(ข่าวสั้นโดย คุณพ่อณรงค์ชัย หมั่นศึกษา)

22 สิงหาคม ระลึกถึงพระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก

22 สิงหาคม ระลึกถึงพระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก

(The Queenship of the Blessed Virgin Mary, memorial)

“การสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ถูกฉลองยาวต่อเนื่องมาถึงวันฉลองการเป็นราชินีแห่งสากลโลกของพระนางมารีย์ ซึ่งฉลองในอีก 7 วันต่อมา ในวันนี้เราพินิจรำพึงถึงพระนาง ผู้ประทับเคียงข้างองค์ราชาแห่งทุกกาลสมัย ทรงส่องแสงเจิดจ้าในฐานะพระราชินีและผู้วิงวอนเพื่อเราในฐานะของมารดา” (คำกล่าวของ นักบุญ ปอลที่ 6 พระสันตะปาปา ใน Marialis Cultus 6)

นับจากสมัยศตวรรษแรกๆของพระศาสนจักร บรรดาคริสตชนได้ภาวนาด้วยความร้อนรนและขับบทเพลงสรรเสริญพระนางพรหมจารีมารีย์ อันเนื่องมาจากความโดดเด่นของพระนางจึงทรงได้รับตำแหน่งทรงเกียรติสูงสุดเท่าที่สิ่งถูกสร้างใดๆพึงได้รับ สำหรับพระนางก็คือตำแหน่งพระราชินีผู้ทรงสิริรุ่งเรืองของสากลจักรวาล

บรรดาคริสตชนได้ตระหนักรับรู้เสมอมาถึงความพิเศษสุดของความเป็นพระมารดาของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระบุตร “จะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไป” (ลก 1:33)

บรรดานักประพันธ์ของพระศาสนจักรเรียกพระนางมารีย์ว่า “พระมารดาของพระมหากษัตริย์” “พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า” เช่นว่า นักบุญเกรโกรีแห่งนาซีอาน เรียกพระนางว่า “พระมารดาแห่งพระมหากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล” และ “พระมารดาพรหมจารีผู้ทรงให้กำเนิดพระมหากษัตริย์แห่งสากลโลก”

จากคำยืนยันของบรรดาปิตาจารย์และนักเทววิทยาทั้งหลายได้ให้ข้อสรุปว่า พระนางพรหมจารีทรงเป็นพระราชินีของทุกสิ่งสร้าง ทรงเป็นนายหญิงผู้เปี่ยมศักดิ์ของมนุษย์ทุกคน “เหตุเพราะว่าพระนางพรหมจารีมารีย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ทรงถูกยกขึ้นไปสู่ศักดิ์ศรีของการเป็นพระมารดาของจอมราชัน พระศาสนจักรจึงเพียงแต่เทิดพระเกียรติของพระนาง และปรารถนาเฉลิมพระนามอันรุ่งเรืองยิ่งแด่พระนางด้วยตำแหน่ง พระราชินี”

พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 9 ได้ตรัสถึงพระแม่มารีย์ว่า “ทรงโน้มดวงพระทัยของแม่มายังเรา และช่วยในเรื่องที่เกี่ยวกับความรอดพ้นของเรา พระนางจึงทรงเข้ามาเกี่ยวข้องกับมวลมนุษยชาติ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนาให้เป็นพระราชินีแห่งสวรรค์และแผ่นดิน และทรงยกย่องให้เหนือกว่าบรรดานิกรเทวดา และบรรดานักบุญทั้งหลายในสวรรค์ ประทับเด่น ณ เบื้องขวาของพระบุตรผู้ทรงบังเกิดจากพระนาง คือองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระนางทรงวอนขอด้วยคำภาวนาของแม่ที่ทรงอำนาจที่สุด และจะทรงได้รับในสิ่งที่พระนางทรงแสวงหา”

เพื่อนำเสนอข้อคำสอนทางธรรมประเพณีเรื่องความเป็นราชินีของพระแม่มารีย์นี้ พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 กล่าวไว้ในสมณสาส์นที่ชื่อว่า “Ad Coeli Reginam” ว่า “เราขอให้คำแนะนำว่าในวันฉลองนี้เราจะรื้อฟื้นการมอบถวายมวลมนุษยชาติแด่ดวงพระทัยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระนางพรหมจารีมารีย์ ซึ่งการทำเช่นนี้เราจะพบความหวังที่ยิ่งใหญ่ว่ายุคสมัยแห่งความสุขจะบังเกิดขึ้นมา อันจะนำมาซึ่งความยินดีในชัยชนะของศาสนาและก่อให้เกิดสันติสุขในคริสตชน ดังนั้น ให้เราทุกคนเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจมากกว่าแต่ก่อน เข้าไปหาบัลลังก์แห่งความเมตตาและพระหรรษทานของพระราชินีและพระมารดาของเรา เพื่อทูลขอให้ทรงช่วยเหลือเราในความยากลำบากต่างๆ และขอให้พวกเราพยายามเป็นอิสระจากที่เคยเป็นทาสของบาป… ฉะนั้น ใครก็ตาม ที่เทิดเกียรติพระนางผู้ประทับสูงกว่าบรรดาเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ให้เขาร้องหาพระนางในฐานะเป็นพระราชินีที่แท้จริงที่สุด และในฐานะพระราชินีผู้ทรงนำพระพรแห่งสันติสุขมาให้ เพื่อว่าพระนางจะได้ทรงแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ภายหลังจากการเนรเทศนี้ พระเยซูเจ้าจะทรงเป็นสันติสุขและความชื่นชมยินดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเขา”

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ปี A

ภายใต้ "ศิลา" และ "กุญแจ"

ชายคนหนึ่งทำกุญแจตู้เซฟเก็บเงินหายไปตอนหัวค่ำ เขาจึงเริ่มมองหากุญแจอยู่ภายนอกบ้าน เพื่อนบ้านบางคนเห็นดังนั้นก็เลยมาช่วยกันหาด้วย เวลาผ่านไปนานพอควร ทุกคนเริ่มเหนื่อยและหมดแรง แต่ก็ยังหาไม่เจอ เพื่อนคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ทำกุญแจหายที่ไหนกันแน่” เขาตอบว่า “น่าจะเป็นภายในบ้าน” “อ้าว… แล้วทำไมพาเราออกมาหานอกบ้านล่ะ” เขาตอบว่า “ก็นอกบ้านมีแสงสว่างมากกว่าในบ้าน”

คนเรามักจะมองกุญแจผิดที่ผิดทางอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ ที่ตลกก็คือ กุญแจที่จะไขความเข้าใจเกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ก็คือเรื่องของ “กุญแจ” นั่นเอง ซึ่งในบทอ่านแรก หมายถึงกุญแจราชวังของกษัตริย์ดาวิด ส่วนในพระวรสารหมายถึง กุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์

ในโลกและภาษาของพระคัมภีร์ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบกุญแจ เป็นสัญลักษณ์หมายถึง เป็นผู้ดูแลทรัพย์สิน และยังหมายถึงอำนาจอีกด้วย ในบทอ่านแรกเล่าว่า อำนาจในการถือกุญแจของเชบนาถูกถอดออก และนำไปมอบให้แก่คนอื่น ส่วนในพระวรสาร สัญลักษณ์ของกุญแจปรากฏอีก คือการที่พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ให้แก่นักบุญเปโตร เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องกุญแจดีมากขึ้น ขอยกอีกสองตัวอย่างที่พูดถึงเรื่องนี้ที่ปรากฏอยู๋ในหนังสือวิวรณ์

” เราเป็นผู้มีชีวิต เราตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร เรามีอำนาจเหนือความตาย และเหนือแดนผู้ตาย (= แปลตามตัวอักษรว่า “เราถือกุญแจแห่งความตาย และกุญแจแห่งแดนผู้ตาย”) ดังนั้น จึงเขียนสิ่งที่ท่านได้เห็น คือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ” (วว 1:18-19)

” จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองฟิเลเดลเฟียว่า ‘พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงสัตย์ ผู้ทรงถือกุญแจของกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระองค์ทรงเปิด ไม่มีผู้ใดปิดได้ และเมื่อพระองค์ทรงปิดก็ไม่มีผู้ใดเปิดได้’ ” (วว 3:7)

ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องที่เป็นภูมิหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทอ่านแรก เชบนาเป็นมหาเสนาบดี เป็นนายกรมราชวังของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ถือเป็นตำแหน่งใหญ่รองจากกษัตริย์เท่านั้น เชบนาผู้นี้เป็นผู้ต่อต้านนโยบายของประกาศกอิสยาห์ ที่เน้นให้ไว้วางใจแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงทรงดึงเชบนาลงจากตำแหน่ง และให้เอลียาคิมได้ตำแหน่งนั้นแทน ตำแหน่งนี้โดยธรรมประเพณีแล้ว ทุกๆเช้าเขาจะต้องส่งคนไปเปิดประตูวัง เป็นคนคอยกำกับดูแลว่าจะให้ใครเข้ามา และคอยส่งคนกลับออกไป จึงเทียบเท่ากับผู้ที่ถือกุญแจ หรือมีอำนาจไขประตูวังให้ใครเข้า ใครออก

จึงนำมาสู่การเปรียบเทียบเรื่องในพระวรสารของวันนี้ที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับนักบุญเปโตรว่า “เรามอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” นักบุญมัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสารวางนักบุญเปโตรในฐานะเป็นผู้นำ และเป็นโฆษกของบรรดาอัครสาวก เช่นใน มธ 14:28, 29 (นักบุญเปโตรขอเดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า และพระองค์ทรงอนุญาต) และใน มธ 15:15 (นักบุญเปโตรทูลพระองค์ว่า “โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด”) ให้สังเกต ณ ที่นี้ว่า เมื่อพระเยซูเจ้าได้ตรัสถามบรรดาอัครสาวกว่า “ผู้คนเขาว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” พวกสาวกต่างตอบตามความหมายคำทำนายถึงพระเมสสิยาห์ที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายทั่วไปว่า “เป็นยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นประกาศกเอลียาห์ เป็นประกาศกเยเรมีห์ หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” แต่นักบุญเปโตรกลับประกาศว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุข เพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย” แล้วพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งนักบุญเปโตรให้เป็นหัวหน้าดูแลพระศาสนจักรด้วยคำว่า “ท่านคือศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้…”

อย่างไรก็ตาม นักบุญเปโตรไม่ได้เป็นคนหนึ่งที่เคยประกาศว่าพระเยซูเจ้าคือใครเท่านั้น แต่ได้เคยปฏิเสธพระองค์ด้วย ท่านไม่ได้เป็นผู้ที่ยืนยันความเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ยังเคยลังเลสงสัยในพระองค์ด้วย จะเห็นได้ว่า ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าในกิจการต่างๆเสมอ แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเรียกท่านให้เป็นผู้นำ ให้ท่านเป็นผู้ที่ทำให้พี่น้องทุกคนเข้มแข็งขึ้น ให้ท่านเป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร ทำให้พระศาสนจักรมีเอกภาพ ให้คอยดูแล คอยปกป้องความเชื่อ และการแพร่ธรรมต่างๆ นี่แหละ ถือเป็นภารกิจ “หิน” ที่ให้คนที่ชื่อ “หิน” เป็นผู้กระทำ

แต่แท้จริงแล้ว นักบุญเปโตรก็มีเคล็ดลับในการทำงาน การที่ท่านตระหนักว่าตนอ่อนแอ และเคยปฏิเสธพระเยซูเจ้ามาก่อน ทำให้ท่านไม่เย่อหยิ่ง แต่มีความถ่อมสุภาพ ท่านเข้าใจภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้กระทำเป็นอย่างดี ท่านกล่าวถึงท่านเองว่า “ซีโมน เปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูเจ้า” (2ปต 1:1) และกล่าวด้วยว่า “แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กันและกัน” (1ปต 4:10)

วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2005 เมื่อพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้รับตำแหน่งพระสันตะปาปา ได้ทรงอธิบายพระองค์เองว่าเป็น “ผู้รับใช้ที่อ่อนแอของพระเจ้า” (= “weak servant of God”) แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งของการเป็น “ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ทั้งหลาย” (servus servorum) ในขณะที่ถ้าย้อนกลับไปในเวลาที่นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ในขณะที่เริ่มต้นสมณสมัยของพระองค์ ได้ตรัสว่า “จงเปิดประตูให้กว้างขวางเพื่อพระคริสตเจ้า” (“Open wide doors for Christ”) เหมือนกับทรงตระหนักทราบว่าพระองค์เป็นผู้ถือกุญแจ และทรงรู้ถึงความรับผิดชอบที่จะต้องรับใช้และเปิดประตูพระศาสนจักรให้กว้างไว้เพื่อกิจการของพระจิตเจ้า

คำว่า “ศิลา” หรือ “หิน” เตือนใจเราว่าพระศาสนจักรต้องมีความเข้มแข็ง ไม่ใช่ เข้มงวด คอยสนับสนุน ไม่ใช่จ้องลงโทษ ในขณะที่คำว่า “กุญแจ” หมายถึงแรงบันดาลใจในเรื่องของการเปิดออก และความเป็นมิตร อย่าลืมว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป ซึ่งเป็นดินแดนของคนต่างศาสนา ภารกิจของพระศาสนจักรนั้นต้องมีความเป็นสากล นั่นคือ เป็นผู้รับใช้ให้กับชาวโลกนั่นเอง

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ วันที่ 16 สิงหาคม 2020
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by Francis Gonsalves, S.J.)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ปี A

"ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา"

นักบุญเปโตรเป็นสานุศิษย์รุ่นแรกๆของพระเยซูเจ้า ชื่อเต็มของท่านคือ ซีมอนบุตรของยอห์น อาชีพของท่านก็คือชาวประมง สถานที่ทำงาน คือ ทะเลสาบกาลิลี ท่านมาจากหมู่บ้านเล็กๆของเมือง คาเปอรนาอุม ซีมอนได้รับการตั้งชื่อใหม่ซึ่งเปิดเผยเป็นนัยถึงสิ่งที่ท่านจะต้องเป็นในอนาคต ชื่อใหม่นั้นเท่มาก คือ เคฟาส หรือเชฟาส (Cephas) ในภาษาอาราเมอิค (ซึ่งเป็นภาษาพูดในสมัยของพระเยซูเจ้า) หรือตรงกับคำว่า เปตรอส (Petros) ในภาษากรีก ซึ่งเป็นที่มาหรือเป็นรากของคำว่า หิน(rock) นั่นเอง

นักบุญมัทธิวแสดงให้เราเห็นในพระวรสารของท่านในวันนี้ว่าชื่อใหม่เป็นพระเยซูเจ้าที่ทรงตั้งให้ และยังบอกอีกด้วยว่าพระศาสนจักรจะถูกวางรากฐานจากคำประกาศที่ได้รับการดลใจของซีมอน ซึ่งต่อจากนี้ไปจะเป็นที่รับรู้กันว่าชื่อเคฟาสหรือเปโตร

คราวนี้เรามาลองพิจารณาดูอำนาจของนักบุญเปโตรในสมัยพระศาสนจักรแรกเริ่มกัน อย่าลืมว่าพระวรสารทั้งสี่เล่มเขียนขึ้นหลังจากนักบุญเปโตรสิ้นชีพแล้ว แต่จดหมายทั้งหมดของนักบุญเปาโลเขียนขึ้นก่อนที่นักบุญเปโตรจะสิ้นชีพ ดังนั้น เราค้นดูได้จากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวกาลาเทีย โดยเล่าว่าหลังจากที่เปาโลกลับใจ ท่านได้ “ขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อเยี่ยมเยียนเคฟาสและได้อาศัยอยู่กับเคฟาสสิบห้าวัน” (กท 1:18) หมายความว่าชื่อเคฟาสเป็นชื่อที่เรียกแทนอัครสาวกองค์แรกนี้ เคฟาสได้รับความเคารพในฐานะเป็นผู้นำพระศาสนจักร นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเปาโลจึงไปหาท่านเป็นคนแรก แม้ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องการรับคนต่างศาสนาเข้ามา โดยเคฟาสไม่ยอมไปกินอาหารร่วมกับคนต่างศาสนาอีกต่อไป เพราะถูกกดดันจากกลุ่มที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เปาโลได้ไปต่อว่าต่อหน้าเคฟาสทีเดียวว่าทำไม่ถูกต้อง (กท 2:11) ถึงกระนั้นทั้งกลุ่มที่เยรูซาเล็มและกลุ่มของเปาโลก็ต้องการการสนับสนุนของเคฟาส และท่านก็เข้ามาโดยใช้อำนาจในการดึงสองกลุ่มให้เข้ามาปรองดองกัน และหลีกเลี่ยงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสมัยพระศาสนจักรแรกเริ่มได้สำเร็จ

สำหรับบทบาทอำนาจของซีมอน เปโตร ในพระวรสารทั้งสี่ฉบับเราจะพบว่า ชื่อของนักบุญเปโตรจะเป็นชื่อแรกเสมอในบรรดาอัครสาวก นอกจากนั้น พระภารกิจของพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลีก็มีฐานของการทำงานอยู่ที่บ้านของนักบุญเปโตรในคาเปอรนาอุมนั่นเอง บ้านที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาแม่ยายของท่านนั่นแหละ ท่านเป็นโฆษกของกลุ่มอัครสาวก เป็นที่ยอมรับกันว่าท่านเป็นหัวหน้า ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้บ่อยมาก มากกว่าอัครสาวกองค์อื่นๆ เหมือนกับผู้เขียนพระวรสารต้องการบรรยายถึงความทรงจำของพวกเขาที่มีต่อท่านด้วย ท่านไม่ได้เป็นเพียงคนหนึ่งที่ประกาศว่าพระเยซูเจ้าคือใคร แต่ได้ปฏิเสธพระองค์ด้วย ท่านไม่ได้เป็นเพียงคนที่แสดงความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น ยังเป็นผู้ลังเลสงสัยในความเชื่อนั้นด้วย ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าในทุกกิจการที่กระทำ แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเรียกท่านนี่แหละ ให้เป็นผู้นำกลุ่มคริสตชนในอนาคต ท่านเป็นผู้ที่จะกลับมาทำให้พี่น้องทุกคนเข้มแข็งขึ้น เพราะจริงๆแล้ว ท่านคือ “หิน”

นักบุญมัทธิวได้ชี้ให้เห็นว่า นักบุญเปโตรได้ถูกเลือกสรรจากพระเจ้าให้ได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยเลือดเนื้อ ไม่ใช่มาจากมนุษย์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าทรงสนองตอบพระประสงค์ของพระบิดา โดยทรงประทานกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ให้ท่าน ให้ท่านมีอำนาจจะเปิดหรือปิด จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต นี่เป็นเครื่องหมายว่า นักบุญเปโตรจะเป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร เป็นผู้ต่องานของพระเยซูเจ้า ต่อมานักบุญเปโตรกลายเป็นผู้ที่ทำให้พระศาสนจักรมีความเป็นเอกภาพ เป็นคนแรกที่คอยปกป้องผู้ที่ได้รับภารกิจให้ประกาศข่าวดีแห่งพระวรสาร นักบุญเปโตรได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นชื่อใหม่ของท่าน ท่านเป็น “หิน” จริงๆ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2008
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride.)

สาส์นเวียนจากสภาฯ ที่ สสท. 86/2020 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบโศกนาฏกรรมประเทศเลบานอน

สาส์นเวียนจากสภาฯ ที่ สสท. 86/2020 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบโศกนาฏกรรมประเทศเลบานอน

สาส์นเวียนจากสภาประมุขบาดหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย

ที่ สสท. 86/2020
เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบโศกนาฏกรรมประเทศเลบานอน

พระคุณเจ้า คุณพ่อ อธิการคณะนักบวชชาย-หญิง และพี่น้องสัตบุรุษทุกท่าน

          ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ณ ท่าเรือในกรุงเบรุตเมืองหลวงของประเทศเลบานอน แรงระเบิดครั้งประวัติศาสตร์มีความรุนแรงเทียบเท่ากับแผ่นดินไหวที่มีขนาด 4.5 ริกเตอร์สร้างความเสียหายไปไกลกว่า 10 กิโลเมตร ยังผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจํานวนมาก อาคารบ้านเรือนและสาธารณูปโภคได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง มีชาวเลบานอนต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยทันทีกว่าสามแสนคน ในจํานวนนี้มีเด็กราวแปดหมื่นคน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนที่อยู่อาศัยชั่วคราว อาหาร น้ำดื่ม ยาและเวชภัณฑ์สําหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วย

          องค์กรคาริตัสเลบานอน (หน่วยงานเมตตาสงเคราะห์ของคาทอลิก) กําลังดําเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวในนามของพระศาสนจักรท้องถิ่น ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรการกุศลต่างๆ ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว แต่ด้วยความรุนแรงของความเสียหายจากเหตุระเบิดครั้งนี้ ความช่วยเหลือจากพี่น้องเพื่อนมนุษย์ยังคงมีความจําเป็นอย่างมาก

          สภาประมุขบาดหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทยรับทราบถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่พี่น้องคริสตชนคาทอลิก กําลังประสบอยู่เช่นเดียวกับผู้คนทั่วไป แต่ก็พิจารณาเห็นว่าสภาพความเป็นไปที่พี่น้องเพื่อนมนุษย์ชาวเลบานอนที่กําลังประสบเคราะห์กรรมอันหนักหน่วงดังที่กล่าวข้างต้น จึงวอนขอความร่วมมือจากทุกสังฆมณทล คณะนักบวชชาย-หญิง หน่วยงาน กลุ่มองค์กรคาทอลิกและพี่น้องคริสตชนผู้มีน้ำใจดีทั้งหลายได้แสดงความรัก ความเอื้ออาทรต่อพี่น้องร่วมโลกของเราที่ประสบกับ ความทุกข์ยากลําบาก “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทําสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเรา ท่านก็ทําสิ่งนั้นต่อเรา…” (มธ. 25:40) ดังนั้นจึงขอเชิญชวนพี่น้องได้ร่วมกันภาวนาขอพระเจ้าโปรดบรรเทาใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบและดลบันดาลให้ สถานการณ์คลี่คลายในเร็ววัน พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนบริจาคปัจจัยให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องเพื่อนมนุษย์ของพวกเราตามกําลัง ความสามารถ สําหรับท่านที่ประสงค์จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือในเมตตาจิตแบ่งปันตามกําลังความสามารถเพื่อเห็นแก่ความรัก ต่อพระเยซูคริสต์ในพี่น้องผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ ท่านสามารถส่งปัจจัยมายัง

เช็คสั่งจ่าย : สภาพระสังฆราชฯ CARITAS THAILAND
โอนเงิน : สภาพระสังฆราชฯ CARITAS THAILAND (บรรเทาฯ)
ธนาคารทหารไทย สาขาสุรวงศ์
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ : 078-2-35187-8

          โดยสภาประมุขฯ จะรวบรวมปัจจัยที่ได้รับทั้งหมด ส่งไปยังพระศาสนจักรในประเทศเลบานอนตามลําดับต่อไป ขอพระเจ้าโปรดตอบแทนในน้ำใจดีของทุกท่าน ที่ร่วมมือกันช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องของเราที่ยากลําบากและขอพระเจ้าโปรดอวยพรและบรรเทาใจแก่เพื่อนพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ด้วย

ขอพระเจ้าอํานวยพร
(พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช)
ประธานสภาประมุขบาดหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย

(บิชอปฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
ประมุขแห่งสังฆมณฑลเชียงใหม่
เลขาธิการสภาประมุขบาดหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย

หมายเหตุ – กรุณาส่งเอกสารสําาเนาการโอนเงินมาที่ 0-2681-3900 ต่อ 1502 (วงเล็บ “ช่วยเหลือระเบิดเบรุต”)