สรุปเนื้อหาสมณสาส์นเวียนด้านสังคมของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
“ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน – Fratelli Tutti”

สรุปเนื้อหาสมณสาส์นเวียนด้านสังคมของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
“ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน - Fratelli Tutti”

สมเด็จพระสันตะปาปากับเยาวชนนานาชาติ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงชี้ให้เห็นว่าภราดรภาพและมิตรภาพ (กัลยาณมิตร) ทางสังคม คือหนทางในการสร้างโลกที่ดีกว่า ความยุติธรรมและสันติสุขปรากฎขึ้นได้มากกว่าโดยอาศัยความร่วมมือของทุกคนและทุกสถาบัน ทุกองค์กร  พระองค์ทรงเน้นเป็นพิเศษว่าพวกเราจะต้องระงับสงครามและโลกาภิวัตน์ที่เอารัดเอาเปรียบมุ่งแต่ผลประโยชน์ตนเองโดยไม่สนใจใยดีต่อผู้อื่น

        นี่ช่างเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร แต่ก็ยังเป็นหนทางที่สัมผัสได้ด้วยสำหรับบุคคลทุกชนชั้น ซึ่งปรารถนาที่จะสร้างโลกที่มีความยุติธรรมและมีภราดรภาพมากกว่าในความสัมพันธ์ตามปกติ ทั้งในชีวิตสังคม ในทางการเมือง และสถาบันของพวกเขา?  นี่เป็นเรื่องใหญ่ เนื้อหาใจความของสมณสาส์นเวียน “ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน – Fratelli Tutti” ซึ่งมุ่งที่จะให้คำตอบ  พระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่า สมณสาส์นเวียนฉบับนี้ดุจเป็น “สมณสาส์นเวียนด้านสังคม” (ข้อ 6) ที่ยืมหัวข้อมาจาก “คำเตือนใจ” ของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซีผู้ที่ใช้คำนี้ในการ “ทักทายพี่น้องของท่าน และเสนอวิถีชีวิตที่เน้นถึงคุณค่าแห่งพระวรสาร” (ข้อ 1) “Poverello” (เพื่อนที่ยากจนน่าสงสาร) ของท่านนักบุญไม่ได้หมายถึงการสู้รบด้วยวาทะหรือการปะคารม ทว่าความเชื่อผลักดันท่านในการเผยแผ่ความรักของพระเจ้า”  พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอักษรว่า “ท่านนักบุญได้กลายเป็นบิดาของทุกคนและเป็นแรงบันดาลใจให้เห็นถึงวิสัยทัศน์แห่งสังคมแบบภราดรภาพ” (ข้อ 2-4)  สมณสาส์นเวียนฉบับนี้มุ่งส่งเสริมแรงบันดาลใจสากลสู่ภราดรภาพและสังคมแห่งมิตรภาพ หรือกัลยาณมิตร เริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกร่วมของพวกเราในครอบครัวมนุษยชาติ จากการยอมรับว่าพวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน เพราะว่าพวกเราต่างเป็นลูกของพระผู้สร้างหนึ่งเดียวกัน ทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องรับรู้ว่าในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีความเชื่อมโยงกัน จำเป็นต้องร่วมมือร่วมใจกันเท่านั้นที่ทำให้พวกเราจะอยู่รอดได้  เอกสารภราดรภาพมนุษย์ที่ลงนามโดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสและ มหาอีหม่ามแห่งอัลลาซา ประเทศอียิปต์ (Grand Imam of Al-Azhar) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ณ กรุงอาบู ดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับอีมิเรต อันมีอิทธิพลในการสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งถูกนำมาอ้างอิงหลายครั้งหลายครา  ภราดรภาพควรที่จะได้รับการสนับสนุนไม่ใช่เพียงด้วยวาจาสวยหรู แต่ต้องด้วยการลงมือปฏิบัติ การกระทำอย่างรูปธรรมทำให้สัมผัสได้กับ “ประเภทของการเมืองที่ดีกว่า” ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ด้านการเงิน แต่เพื่อการบริการรับใช้ความดีประโยชน์สุขส่วนรวม สามารถเชิดชูศักดิ์ศรีของทุกคนให้เป็นศูนย์กลาง และสร้างหลักประกันให้ทุกคนมีงานทำ เพื่อว่าแต่ละคนจะได้สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง ต้องเป็นลักษณะการเมืองที่ปราศจากซึ่งประชานิยม สามารถที่จะหาทางแก้ปัญหาสิ่งที่โจมตีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และมุ่งที่จะขจัดความหิวโหยและการค้ามนุษย์ ในขณะเดียวกันสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นว่า โลกที่มีความยุติธรรมมากกว่าจะบรรลุได้ด้วยการส่งเสริมสันติสุข ซึ่งไม่เพียงแต่จะปราศจากซึ่งสงครามเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้ต้องมี “ยุทธวิธี” ด้วย  ซึ่งเป็นงานที่ต้องการความร่วมมือของทุกคน โดยที่มีการเชื่อมโยงกับความจริง สันติสุข และการคืนดีกันต้องเป็นการปฏิบัติ “อย่างจริงจัง” ต้องทำเพื่อความยุติธรรมโดยอาศัยการเสวนาเพื่อการพัฒนาร่วมกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พระสันตะปาปาต้องประณามสงคราม ซึ่งเป็นการปฏิเสธ “สิทธิ” ทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะเข้าใจได้แม้ในรูปแบบของความชอบธรรมที่ตนสมมุติขึ้นมา เพราะสงครามนิวเคลียร์ อาวุธเคมีและชีวภาพได้ก่อผลร้ายให้กับประชากรผู้บริสุทธิ์  นอกจากนี้แล้วพวกเราต้องปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อโทษประหารชีวิตซึ่งมีคำจำกัดความว่า “ยอมรับไม่ได้” และเป็นศูนย์กลางแห่งการไตร่ตรองถึงการให้อภัยที่เชื่อมโยงกับความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรม  การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการลืมและไม่ใช่การยกเลิกการปกป้องสิทธิในการรักษาศักดิ์ศรีของตนซึ่งเป็นของขวัญของพระเจ้า ภูมิหลังของสมณสาส์นเวียนนี้ สืบเนื่องมาจากภัยพิบัติของโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งพระสันตะปาปาฟรานซิสเผยว่าเป็น “สิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่พวกเราไม่ได้คาดคิด” ในขณะที่พระองค์กำลังอักษรสมณสาส์นฉบับนี้ แต่ความเร่งด่วนเกี่ยวกับสุขภาพชีวิตชาวโลกได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า “ไม่มีผู้ใดสามารถเผชิญหน้ากับชีวิตได้โดยลำพัง” และเวลามาถึงแล้วที่จะต้อง “ฝันในบ้านที่พวกเราเป็นครอบครัวมนุษย์เดียวกัน” ซึ่งพวกเราต่างเป็นพี่น้องกัน (ข้อ 7-8)

ปัญหาของโลกาภิวัตน์ การปฏิบัติในโลกาภิวัตน์

โดยอาศัยการเปิดตัวของสมณสาส์นเวียนด้วยบทนำสั้นๆ และแบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 บทในเนื้อหาสมณสาส์นเวียนฉบับนี้ พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิบายว่าเนื้อหาสาระในสมณสาส์นนี้รวบรวมคำแถลงการณ์หลายครั้งของพระองค์เกี่ยวกับภราดรภาพและมิตรภาพทางสังคม แต่มีการจัดการไตร่ตรองในบริบทที่กว้างๆ พร้อมกับเสริมด้วยจดหมายและเอกสารหลายฉบับที่ส่งมายังสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจากทั้งปัจเจกบุคคลและกลุ่มชนทั่วโลก” (ข้อ 5) ในบทแรก “เมฆทึบปกคลุมโลกที่ปิดกั้นตัวเองเนื้อหาของเอกสารไตร่ตรองถึงความเพี้ยนแห่งยุคร่วมสมัย การบิดเบี้ยวและสร้างความเข้าใจผิดต่างๆ เช่น ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความยุติธรรม การสูญเสียความหมายของชุมชนสังคม และประวัติศาสตร์ การเห็นแก่ตัวและการวางตนเฉยต่อความดีประโยชน์สุขส่วนรวม ความสำคัญแห่งตรรกะเรื่องตลาดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกำไร และวัฒนธรรมแห่งการกินทิ้งกินขว้าง การว่างงาน การแบ่งแยกผิว ความยากจน สิทธิที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงการหลงผิดต่างๆ เช่น การเป็นทาส การค้ามนุษย์ สตรีที่เป็นเบี้ยล่างถูกบังคับให้ทำแท้ง และการค้าอวัยวะมนุษย์ (ข้อ 10-24)  เนื้อหาได้พูดถึงปัญหาโลกาภิวัตน์ที่เรียกร้องให้มีการกระทำแบบโลกาภิวัตน์ พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นพร้อมกับย่ำระฆังเตือนให้ระวัง “วัฒนธรรมของการสร้างกำแพง”  ที่ส่งเสริมการขยายตัวขององค์กรอาชญากรรมที่โหมด้วยการกระทำให้เกิดความกลัว และการอยู่อย่างสันโดษ (ข้อ 27-28) ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันนี้พวกเราสังเกตได้ว่าจริยธรรมยิ่งวันยิ่งจะเสื่อมลง (ข้อ 29) ซึ่งไม่ทางใดก็ทางหนึ่งโดยสื่อสารมวลชนจะเติมเชื้อเพลิงโหมไฟให้กับการไม่ให้ความเคารพต่อผู้อื่นพร้อมกับทำลายความอหิงสาไปทั้งหมดจนก่อให้เกิดวัฎจักรแห่งการอยู่อย่างสันโดษ และยึดเอาตนเองเป็นใหญ่ซึ่งเสรีภาพจะกลายเป็นภาพลวงตา และการเสวนาจะไม่สร้างสรรค์ (ข้อ 42-50)

ความรักสร้างสะพาน: ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

ทว่าท่ามกลางความมืดมนมากมายสมณสาส์นเวียนตอบสนองด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการป่าวประกาศให้มีความหวังด้วยเรื่องของชาวสะมาเรียผู้ใจดี บทที่สอง “คนแปลกหน้าบนท้องถนน” อุทิศให้กับภาพพจน์นี้ ในบทนี้พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นว่าในสงคมที่กำลังป่วย ได้หันหลังให้กับความทุกข์และกลายเป็นบุคคลที่ “ไม่รู้จัก” การดูแลเอาใจใส่คนที่อ่อนแอและเปราะบาง (ข้อ 64-65) พวกเราทุกคนถูกเรียกร้องให้ต้องเป็นดุจชาวสะมาเรียผู้ใจดี ให้เป็นเพื่อนบ้านต่อผู้อื่น (ข้อ 81) ให้เอาชนะต่อความลำเอียง ผลประโยชน์ส่วนตัว เครื่องกีดขวางแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ความจริงเราทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างสังคมที่สามารถรวม ผนึกกำลังร่วมกัน และยกระดับผู้ที่ล้มลงและมีทุกข์ (ข้อ 77)  ความรักสร้างสะพานและ  “พวกเราถูกสร้างมาเพื่อความรัก” (ข้อ 88) พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสเพิ่มพร้อมกับเตือนใจบรรดาคริสตชนให้รับรู้เมื่อพบกับทุกคนที่ถูกทอดทิ้ง (ข้อ 85) หลักการแห่งความสามารถที่จะรักตาม “มิติสากล” (ข้อ 83) มีการกล่าวถึงในบทที่สาม “การพิจารณาไตร่ตรองและก่อให้เกิดโลกที่เปิดกว้างในบทนี้พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเตือนใจพวกเราให้ออก “ไปข้างนอก อกกจากตนเอง” เพื่อที่จะพบ “การมีชีวิตที่สมบูรณ์กว่าในผู้อื่น”  (ข้อ 88) เปิดใจพวกเราให้กับผู้อื่นตามพลวัตแห่งความรักความเมตตาซึ่งทำให้พวกเราเอนเอียงไปสู่ “ความสำเร็จสากล” (ข้อ 95) ในภูมิหลังสมณสาส์นเวียนเตือนใจพวกเราว่าสถานภาพชีวิตฝ่ายจิตแห่งชีวิตของบุคคลจะถูกวัดด้วยความรักซึ่งจะมา “เป็นอันดับหนึ่ง” เสมอ และนี่แหละจะนำให้พวกเราแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าสำหรับชีวิตของผู้อื่นที่ห่างไกลจากการเห็นแก่ตัว (ข้อ 92-93)

สิทธิอันไม่มีพรมแดน ผู้อพยพ: การปกครองสากลเพื่อการวางแผนระยะยาว

ในขณะที่ส่วนหนึ่งของบทที่สองและบทที่สี่ทั้งบทอุทิศให้กับเรื่องผู้อพยพ บทที่สี่ที่มีชื่อว่า “หัวใจที่เปิดกว้างสู่โลกทั้งโลก” เมื่อชีวิตของผู้คนต้องตกอยู่ใน “ความเสี่ยง” (ข้อ 37) หลายคนต้องหนีสงคราม การเบียดเบียน ภัยธรรมชาติ การค้ามนุษย์ ถูกตัดขาดจากชุมชนของตนเอง ผู้อพยพควรได้รับการต้อนรับ ได้รับการคุ้มครอง ได้รับการสนับสนุนให้ผนึกเข้าอยู่ในสังคม การอพยพที่ไม่มีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง พระสันตะปาปาทรงยืนยัน โดยการสร้างโอกาสที่เป็นรูปธรรมให้ประชาชนดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในบ้านเกิดเมืองนอนของตน แต่ในขณะเดียวกันพวกเราจำเป็นต้องให้ความเคารพต่อสิทธิที่พวกเขาจะไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าที่อื่น ในประเทศที่เป็นเจ้าภาพสมดุลที่ดีต้องมีระหว่างการให้การคุ้มครองสิทธิแห่งประชากรของตนและการต้อนรับและให้ความช่วยเหลือต่อผู้อพยพ (ข้อ 38-40)  พระสันตะปาปาทรงชี้ให้เห็นเป็นพิเศษถึง “หลายขั้นตอนที่จะละเว้นมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตอบสนองต่อผู้ที่ลี้ภัยกับวิกฤติของการละเมิดมนุษยธรรมอย่างแสนสาหัส”   เช่น การอำนวยความสะดวกในการการออกวีซ่า เปิดประตูให้กับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สร้างหลักประกันให้ผู้อพยพได้มีที่พักอาศัย  มีความปลอดภัย มีบริการที่จำเป็น เปิดโอกาสให้มีงานทำ และมีการฝึกอาชีพ สนับสนุนให้สมาชิกครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน คุ้มครองผู้เยาว์  รับประกันเสรีภาพในการนับถือศาสนา ส่งเสริมให้เข้าอยู่ในสังคม  สันตะบิดรยังเรียกร้องให้มีความคิดด้านสังคมถึงเรื่อง “การเป็นประชากรอย่างสมบูรณ์” และปฏิเสธการแยกชนชั้นโดยเลิกใช้คำว่า “ชนกลุ่มน้อย” (ข้อ 129-131) สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดก็คือการปกครองโลกซึ่งเป็นความร่วมมือสากลเพื่อการอพยพ ซึ่งต้องมีการวางแผนระยะยาวโดยก้าวข้ามความเร่งด่วนแต่อย่างเดียว (ข้อ 132) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทุกคนโดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งการให้แบบเปล่าๆ  โดยอาศัยวิธีนี้ประเทศต่างๆ จะสามารถคิดในฐานะที่พวกเราเป็น “ครอบครัวมนุษย์” (ข้อ 139-141) คนอื่นที่แตกต่างจากพวกเราเป็นของขวัญและเป็นความมั่งคั่งสำหรับทุกคน เพราะว่าความแตกต่างหมายถึงโอกาสที่จะทำให้เราเจริญเติบโต (ข้อ 133-135) วัฒนธรรมที่ดีเป็นวัฒนธรรมที่ให้การต้อนรับที่สามารถเปิดหัวใจของผู้อื่นโดยไม่ต้องปฏิเสธวัฒนธรรมของตนเองพร้อมกับมอบสิ่งที่ดีงามให้กับพวกเขา  เฉกเช่นรูปทรงที่มีหลายมุมซี่งเป็นภาพพจน์โปรดของพระสันตะปาปาฟรานซิส การมองโลกแบบองค์รวมทั้งครบย่อมจะดีกว่าเพียงส่วนเดียว ทว่าคุณค่าของแต่ละส่วนต้องได้รับความเคารพด้วย (ข้อ 145-146)

การเมือง: รูปแบบที่มีคุณค่าแห่งความรักเมตตา

เนื้อหาในบทที่ห้าคือ “ประเภทของการเมืองที่ดีกว่า” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่มีค่ามากที่สุดแห่งความรัก เพราะว่านั่นมีเพื่อการบริการรับใช้ต่อความดีประโยชน์สุขส่วนรวม (ข้อ 180) และการรับรู้อย่างดีถึงความสำคัญของประชาชน เข้าใจดีว่านั่นเป็นการเมืองที่เปิดกว้างพร้อมที่จะให้มีการอภิปรายและการเสวนา (ข้อ 160) ตามข้อสังเกตของสมเด็จพระสันตะปาปา ในมุมมองหนึ่งนี่เป็นประชานิยม ซึ่งเผชิญหน้ากับ “ประชานิยม” นั้นที่ไม่สนใจใยดีกับความถูกต้องของความเข้าใจของคำว่า “ประชาชน” โดยสร้างความนิยมเพื่อที่จะเอารัดเอาเปรียบพวกเขาเพื่อรับใช้ตนเอง และสร้างการเห็นแก่ตัวเพื่อที่จะเพิ่มความนิยมของตนเอง (ข้อ 159)  แต่การเมืองที่ดีกว่ายังเป็นการเมืองที่ปกป้องแรงงานด้วย ซึ่งเป็น “ปัจจัยที่สำคัญยิ่งในชีวิตสังคม” และหาโอกาสในการสร้างหลักประกันให้ทุกคนมีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตน (ข้อ 162) พระสันตะปาปาทรงอธิบายว่าความช่วยเหลือที่ดีที่สุดต่อคนยากจนไม่ใช่มีแต่ให้เงิน ซึ่งเป็นความช่วยเหลือแบบชั่วคราว แต่ต้องทำให้พวกเขามีชีวิตที่มีศักดิ๋ศรีโดยอาศัยการทำงาน นโยบายต่อต้านความยากจนที่ดีจริง ไม่เพียงแต่ทำใหคนยากจนไม่ก้าวร้าว แต่จะต้องส่งเสริมพวกเขาในมิติแห่งความเอื้ออาทรและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อ 187) ยิ่งกว่านั้นหน้าที่ของการเมืองจะต้องหาทางแก้ปัญหาให้กับทุกสิ่งที่มาทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เช่น การถูกตัดขาดออกจากสังคม การค้าอวัยวะมนุษย์ การค้าอาวุธและยาเสพติด การเอารัดเอาเปรียบเรื่องเพศ การทำงานเยี่ยงทาส การก่อการร้าย และองค์กรอาชญากรรม พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงย้ำการอุทธรณ์ให้เลิกการค้ามนุษย์อย่างเด็ดขาดอันเป็น “ต้นเหตุแห่งความอับอายของมนุษย์” และความหิวโหยซึ่งเป็น “อาชญากรรม” เพราะว่าอาหารเป็น “สิทธิอันจะล่วงละเมิดเสียมิได้” (ข้อ 188-189)

ตลาดการค้าในตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา ต้องมีการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ

อัศจรรย์ของความใจดี

        ตั้งแต่บทที่หก “การเสวนาและมิตรภาพในสังคม” สร้างความเข้าใจเรื่องชีวิตให้ดียิ่งขึ้นว่าเป็น “ศิลปะแห่งการพบปะกัน” กับทุกคน แม้กับผู้ที่อยู่ตามชายขอบของโลกและกับคนพื้นเมือง เพราะว่า “พวกเราแต่ละคนสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากผู้อื่น ไม่มีผู้ใดไร้ค่า และไม่มีผู้ใดที่จะทอดทิ้งไว้ข้างหลัง” (ข้อ 215) อันที่จริงแล้วการเสวนาที่ดีคือสิ่งที่จะทำให้พวกเราเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของเขา และที่สำคัญคือความจริงแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของเขา ลัทธิอนุโลมนิยมไม่ใช่การแก้ปัญหาดังที่พวกเราอ่านในสมณสาส์นเวียน เพราะหากปราศจากซึ่งหลักการสากลและหลักคุณธรรมที่ระงับมความชั่วภายใน กฎหมายก็จะกลายเป็นเพียงข้อบังคับที่คิดขึ้นมาเอง (ข้อ 206) จากมุมมองนี้บทบาทพิเศษตกเป็นของสื่อสารสังคมซึ่งปราศจากการเอารัดเอาเปรียบความอ่อนแอของมนุษย์ และการนำเอาสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตัวเรามาตีแผ่ จะต้องนำพาให้ทุกคนไปสู่การพบปะกันด้วยใจกว้างและการไม่ปิดกั้นคนที่ต่ำต้อยที่สุด ต้องส่งเสริมความใกล้ชิดกันและความหมายแห่งครอบครัวมนุษย์ (ข้อ 205) นั้นแหละจึงจะหมายถึงการที่พระสันตะปาปากล่าวถึงอัศจรรย์แห่ง “ความใจดี การมีน้ำใจ” ซึ่งเป็นทัศนคติที่พวกเราต้องฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพราะว่านี่เป็นดวงดารา “ที่ให้ความสว่างท่ามกลางความมืด” และ “ทำให้พวกเราเป็นไทจากความโหดร้าย … การร้อนอกร้อนใจอย่างกระวนกระวาย … การเร่งรีบทำงานอย่างบ้าคลั่ง เน้นผลงาน” ซึ่งมักจะกระทำกันอยู่ในยุคร่วมสมัย พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอักษรว่าคนที่ใจดีจะสร้างความเป็นอยู่ร่วมกันที่ดี และเปิดทางในสถานที่ซึ่งความโกรธนั้นย่อมเผาสะพาน (ข้อ 222-224)

ศิลปะแห่งสันติสุขและความสำคัญของการให้อภัย

คุณค่าและการส่งเสริมสันติจะสะท้อนให้เราเห็นในบทที่เจ็ด “หนทางในการฟื้นฟูการพบปะกันซึ่งพระสันตะปาปาทรงย้ำว่าสันติสุขนั้นเชื่อมโยงกับความจริง ความยุติธรรม และความเมตตา ซึ่งห่างไกลจากความปรารถนาที่จะแก้แค้น นี่เป็น “การกระทำเชิงบวก” และมีเป้าหมายที่จะสร้างสังคมบนพื้นฐานแห่งการรับใช้ผู้อื่น และการติดตามการคืนดีกันพร้อมกับการพัฒนาซึ่งกันและกัน (ข้อ 227-229) ทุกคนในสังคมต้องรู้สึก “ความเป็นกันเอง” พระสันตะปาปาตรัสต่อไปว่า ดังนั้นสันติสุขจึงเป็น “ศิลปะ” ที่หมายถึงการให้ความเคารพต่อทุกคนและทุกคนต่างต้องทำหน้าที่ของตนเอง  การสร้างสันติสุขเป็น “ความพยายามที่เปิดกว้าง เป็นภาระที่ไม่มีวันสิ้นสุด” เพราะฉะนั้นจึงมีความสำคัญที่ต้องนำพาบุคคล ศักดิ์ศรีของเขา และความดีประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นศูนย์กลางแห่งการกระทำทุกอย่าง (ข้อ 230-232) การให้อภัยเชื่อมโยงกันกับสันติสุข  พวกเราต้องรักทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น นี่เป็นคำชี้นำของสมณสาส์นเวียนฉบับนี้  ทว่าการรักผู้ที่ข่มเหงพวกเรานั้นหมายถึงการช่วยเขาให้เปลี่ยนใจและไม่ปล่อยให้เขาข่มเหงเพื่อนบ้านอีกต่อไป ตรงกันข้าม ผู้ที่ได้รับทุกข์เพราะความอยุติธรรมต้องปกป้องสิทธิของตนอย่างเข้มแข็ง เพื่อที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง ซึ่งเป็นของขวัญของพระเจ้า (ข้อ 241-242) การให้อภัยไม่ได้หมายความการไม่ต้องรับโทษ แต่เป็นความชอบธรรมและความทรงจำ เพราะว่าการให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเป็นการลืม แต่เป็นการปฏิเสธอำนาจทำลายแห่งความชั่ว และความปรารถนาที่จะแก้แค้น จงอย่าได้ลืมความน่ากลัวแห่งหายนะการสังหารหมู่ ระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากี การเบียดเบียน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พระสันตะปาปาฟรานซิสเตือนใจอีกว่า พวกเราต้องจำสิ่งเหล่านี้ไว้เสมอเพื่อที่พวกเราจะไม่ถูกฉีดยาชา และดำรงไว้ซึ่งเปลวไฟแห่งมโนธรรมร่วมของพวกเราจะได้ลุกโชติช่วงอยู่เสมอ นี่ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันที่ต้องจดจำคนดีและคนที่เลือกการให้อภัยและภราดรภาพ (ข้อ 246-252)

ขอย้ำเตือนต้องไม่มีสงครามอีกต่อไป สงครามเป็นความล้มเหลวของมนุษยชาติ

ส่วนหนึ่งของบทที่เจ็ดจะมุ่งประเด็นไปที่สงครามซึ่งไม่ใช่ “ปีศาจจากอดีต” พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้น “แต่สงครามคือการคุมคามอยู่เสมอ” และสงครามเป็น “การปฏิเสธสิทธิทุกชนิด” “สงครามเป็นความล้มเหลวของการเมืองและของมนุษยชาติ” และเป็น “ความปราชัยอย่างสิ้นเชิงต่อพลังแห่งความชั่ว” ที่ฝังอยู่ใน “ห้วงเหว” ของความชั่วร้าย  ยิ่งไปกว่านั้นอีกเพราะเอาวุธนิเคลียร์ สารเคมี และชีวภาพที่ทำลายพลเรือนผู้บริสุทธิ์มากมาย วันนี้พวกเราไม่อาจคิดเฉกเช่นในอดีตถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับ “สงครามที่ชอบธรรม” ได้อีกต่อไป และพวกเราต้องยืนยันอย่างเข้มแข็งว่า “จะต้องไม่มีสงครามอีกต่อไป” เมื่อคิดว่าเรากำลังมีประเสบการณ์กับ “สงครามโลกที่ต่อสู้กันเป็นหย่อมๆ” เพราะว่าความขัดแย้งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน การทำลายอย่างสิ้นเชิงของอาวุธนิวเคลียร์เป็น “สิ่งต้องห้ามเชิงจริยธรรมและกฎแห่งความเป็นมนุษย์” ด้วยจำนวนเงินที่ลงทุนไปกับอาวุธสงครม พระสันตะปาปาทรงเสนอว่าน่าจะนำเงินไปเป็นกองทุนสากลเพื่อที่จะขจัดความโหยหิว (ข้อ 255-262)

 

โทษประหารชีวิตยอมรับไม่ได้และจะต้องยกเลิกไป

พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจะต้องยกเลิกไป เพราะว่า “แม้แต่ฆาตกรก็ไม่สูญเสียศักดิ์ศรีของตนไป” พระสันตะปาปาทรงอักษรว่า “พระเจ้าเองก็ทรงให้ประกันกับเรื่องนี้”  จากประเด็นนี้จึงมีข้อเตือนใจสองประการด้วยกัน: อย่ามองการลงโทษว่าเป็นการแก้แค้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยา และการนำคืนเข้าสู่สังคม และเพื่อที่จะปรับปรุงสภาพเรือนจำโดยเห็นแก่การให้ความเคารพต่อศักดิ์ศรีของนักโทษ และให้พิจารณาด้วยว่า “การจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษประหารอย่างลับๆ” (ข้อ 263-269) มีการเน้นถึงความจำเป็นที่ต้องให้ความเคารพต่อ “ความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต” ซึ่งทุกวันนี้ปรากฏว่า “ในบางภาคส่วนแห่งครอบครัวมนุษย์ยังมีการละเมิดกันอยู่” เช่นทารกที่ยังไม่เกิด คนยากจน คนพิการ และคนชรา (ข้อ 18)

การรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา

ในบทที่แปดซึ่งเป็นบทสุดท้ายพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเน้นเรื่อง “ศาสนาเพื่อรับใช้ภราดรภาพในโลกของพวกเรา” และมีการย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การใช้ความรุนแรงไม่มีที่ยืนในความเชื่อทางศาสนา นั่นตั้งอยู่ในความเข้าใจที่ผิดเพี้ยน ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ “สมควรจะได้รับการประณามอย่างรุนแรง” เช่นการก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องที่มาจากศาสนา แต่เป็นการตีความที่เพี้ยนจากความเชื่อทางศาสนา เช่นเดียวกับ “นโยบายที่เชื่อมโยงกับความหิวโหย ความยากจน ความอยุติธรรม และการกดขี่ข่มเหง” การก่อการร้ายต้องไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยเงินหรืออาวุธ และร้ายกว่านั้นจากสื่อสารสังคม เพราะว่าเป็นอาชญากรรมสากลต่อความปลอดภัยและสันติภาพแห่งโลก และเมื่อเป็นเช่นนี้ต้องได้รับการประณาม (ข้อ 282-283) ในขณะเดียวกันพระสันตะปาปาทรงย้ำว่าการเดินทางแห่งสันติภาพท่ามกลางศาสนาต่างๆ นั้นมีความเป็นไปได้และเพราะฉะนั้นจึงต้องมีหลักประกันในเสรีภาพของการนับถือศาสนาซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์สำหรับผู้ที่มีความเชื่อทุกคน (ข้อ 279) สมณสาส์นเวียนฉบับนี้ไตร่ตรองเป็นพิเศษถึงบทบาทของพระศาสนจักร: มีการประกาศว่าพระศาสนจักรมิได้ “จำกัดพันธกิจของตนเองอยู่แต่ในบริบทส่วนตัวของตน” พระศาสนจักรมิได้อยู่ที่ชายขอบของสังคม และในขณะที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พระศาสนจักรก็ไม่ปฏิเสธมิติการเมืองแห่งชีวิตด้วย การใส่ใจต่อความดีประโยชน์สุขส่วนรวม และความห่วงใยต่อการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ความจริงแล้วจะเกี่ยวกับมนุษยชาติและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์ก็จะเกี่ยวกับพระศาสนจักรด้วยตามหลักการแห่งพระวรสาร (ข้อ 276-278) สุดท้าย เป็นการเตือนใจผู้นำศาสนาถึงบทบาทของพวกเขาในฐานะที่เป็น “คนกลางที่แท้จริง” ซึ่งใช้ชีวิตในการสร้างสันติสุข พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอ้างอิงถึง “แถลงการณ์ว่าด้วยภราดรภาพของมนุษย์เพื่อสันติภาพโลก และการดำเนินชีวิตร่วมกัน” ซึ่งพระองค์ทรงลงพระนามในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 ณ กรุงอาบูดาบี้พร้อมกับมหาอีหม่ามแห่งอัลลาซาร์ อะห์เหม็ด อัล ตาเยบ (Grand Imam of Al-Azhar, Ahmad Al-Tayyeb จากเหตุการณ์สำคัญแห่งการเสวนาระหว่างศาสนานั้น พระสันตะปาปาทรงหวนกลับมายังการอุทธรณ์ว่า ในนามของภราดรภาพมนุษย์ ขอให้มีการใช้การเสวนาเป็นหนทางแห่งการร่วมมือกันและการเข้าใจกันเป็นวิธีและมาตรการในการแก้ปัญหา (ข้อ 285)

บุญราศีชารลส์ เดอ ฟูโกลด์ (Charles de Foucauld) “ความเป็นพี่น้องสากล”

สมณสาส์นเวียนสรุปโดยรำลึกถึงมาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King), อาร์ชบิชอปเดสมอนด์ ตูตู (Desmond Tutu), มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) และที่สำคัญบุญราศีชารลส์ เดอ ฟูโกลด์ (Charles de Foucauld) ซึ่งเป็นแบบฉบับสำหรับทุกคนว่านี่หมายถึงสิ่งใดในการเข้าข้างกับบุคคลที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อที่จะกลายเป็น “ความเป็นพี่น้องสากล” (ข้อ 286-287) ช่วงสุดท้ายของสมณสาส์นเวียนฉบับนี้อุทิศให้กับบทภาวนาสองบท บทแรก “แด่พระผู้สร้าง” และบทที่สองเป็น “บทภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชน” เพื่อที่หัวใจมนุษย์จะมีแต่ “เจตนารมณ์แห่งภราดรภาพ”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทสรุปเนื้อหาของสมณสาส์นเวียน“ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน – Fratelli Tutti” มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ปีเลาดาโตซี แก่บุคลากร

ปีเลาดาโต ซี แก่บุคลากร

23  ตุลาคม 2020  ที่โรงเรียนอรุโณทัย ลำปาง  ซิสเตอร์ พรรณี  ภู่เรือนหงส์   คณะพระหฤทัยฯ ได้จัด  สัมมนาแก่บุคลากรในความดูแลของซิสเตอร์คณะพระหฤทัย  เขต 7 จำนวน 159 คน

บุคลากร  จากโรงเรียนในเครือคณะพระหฤทัย

โรงเรียนอรุโณทัย  ลำปาง                          9    คน

บ้านสวนพระหฤทัยลำปาง                       27    คน

วัดนักบุญยอแซฟ  แพร่                           11   คน

บ้านพระหฤทัย  ล้านนา                           3     คน

บ้านสวรรคโลก                                       5     คน

บ้านพิษณุโลก                                        3     คน

โรงเรียน สวรรคโลก                                 6      คน

โรงเรียนพระหฤทัย  เชียงใหม่                     47   คน

โรงเรียนศิริมาตย์  เทวี                             28   คน

อธิการ และซิสเตอร์                                20  คน

9.45   น.                       คุณพ่ออันเดรส  เริ่มวจนพิธีธรรม
10.15 – 11.30 น.           พระสังฆราชวรีระ  อาภรณ์รัตน์  เลาดาโตซี  “ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กัน”
13.00 – 14.15 น.           เราตอบสนองพระประสงค์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสอย่างไรกลับไปจะทำกิจกรรมอะไร

ขอบคุณซิสเตอร์ที่จัดสัมมนา 1 วันตอบสนองนโยบายคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร  ให้เรารักษาธรรมชาติ  และสิ่งแวดล้อม  เพื่อเราเอง  และลูกหลาน

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน
สิริ เจริญธรรม ถ่ายภาพ

โป๊ปฟรังซิสรับรอง ความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองของเพศเดียวกัน เป็นครั้งแรกในฐานะโป๊ป

โป๊ปฟรังซิสรับรอง ความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองของเพศเดียวกัน เป็นครั้งแรกในฐานะโป๊ป

21 ตุลาคม 2020 กรุงโรม

โป๊ปฟรังซิสรับรองความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองของเพศเดียวกัน  เป็นครั้งแรก  ในฐานะโป๊ป  เมื่อให้สัมภาษณ์สารคดี  “ฟรังซิสโก”  ที่กรุงโรม เมื่อวันพุธที่ 21 ตุลาคม  2020

            เมื่อถูกถามถึงเรื่องที่พระองค์สนใจมากที่สุด คืออะไร  ทรงตอบว่า เรื่องสภาพแวดล้อม  ความยากจน  การอพยพ  การแบ่งผิว  และความไม่เสมอภาคเรื่องรายได้  และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติ

            โป๊ปฟรังซิสให้สัมภาษณ์ว่า  “คนรักเพศเดียวกันมีสิทธิอยู่ในครอบครัว  พวกเขาเป็นลูกๆของพระเจ้า  เราต้องมีกฎหมายความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองนี้  ที่พวกเขาได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย 

                โป๊ปฟรังซิสได้เคยให้สัมภาษณ์ในอดีตว่าพระองค์มิได้ต่อต้านความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองแต่รับรองการรับเลี้ยงลูกบุญธรรมโดยคู่ชีวิตเพศเดียวกัน

            โป๊ปฟรังซิสเสริมว่า “พ่อยืนยันเรื่องนี้เมื่อมีข้อเสนอต่อพระสังฆราช  ระหว่าง ค.ศ.2010  ในประเทศอาร์เจนติน่า  เรื่อง การแต่งงานของเกย์  การยอมรับความสัมพันธ์ทางบ้านเมืองอาจเป็นหนทางหนึ่งที่จะป้องกันกฎหมายการแต่งงานของเพศเดียวกันในประเทศ

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์   แปล
https://www.pennlive.com/nation-world/2020/10/pope-francis-endorses-same-sex-civil-unions-for-first-time-as-pope.html

22 ตุลาคม
นักบุญ ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา

22 ตุลาคม นักบุญ ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา

( St John Paul II, Pope )

พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเป็นหัวหน้าพระศาสนจักรคาทอลิก และทรงปกครองรัฐวาติกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ถึง ค.ศ. 2005 พระองค์ทรงได้รับเลือกสู่ตำแหน่งพระสันตะปาปาโดยการลงคะแนนเสียงของบรรดาพระคาร์ดินัลในปี ค.ศ 1978 พระองค์ทรงเป็นผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 1 ซึ่งทรงอยู่ในสมณสมัยได้เพียง 33 วันเท่านั้น

ทรงกำเนิดมาในวันที่ 18 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1920 ที่เมือง Wadowice ประเทศ Poland พระนามเดิมคือ Karol Jósef Wojtyla ทรงได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ค.ศ. 1946 เป็นพระสังฆราชแห่ง Ombi ในปี ค.ศ. 1958 และได้เป็นพระอัครสังฆราชแห่ง Krakow ในปี ค.ศ. 1964 ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล โดยนักบุญ ปอล ที่ 6 พระสันตะปาปา ในปี ค.ศ. 1967 และในปี ค.ศ.1978 ได้ทรงรับตำแหน่งพระสันตะปาปา ถือเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่ไม่ใช่ชาวอิตาลีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลา 455 ปี

พระองค์ทรงอยู่ในสมณสมัยมากกว่า 26 ปี ทรงเป็นพระสันตะปาปาที่ครองสมณสมัยยาวนานที่สุดเป็นลำดับที่สาม พระองค์ทรงเพียรพยายามอย่างมากที่จะมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจกันระหว่างประเทศต่างๆ และระหว่างศาสนาต่างๆด้วย พระองค์ทรงเดินทางไปเยี่ยมประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างมากมาย ทรงเดินทางไกลมากกว่าการเดินทางของพระสันตะปาปาองค์อื่นๆทั้งหมดมารวมกัน พระองค์ทรงแผ่อิทธิพลไปยังพระศาสนจักรท้องถิ่นให้รณรงค์ต่อต้านการกดขี่ทางการเมือง และทรงวิพากย์เรื่องวัตถุนิยมของชาวตะวันตก พระองค์ยังทรงออกมากล่าวขอโทษต่อกลุ่มต่างๆที่ชาวคาทอลิกในอดีตได้กระทำผิดต่อพวกเขา พระองค์ทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของพระศาสนจักรคาทอลิกกับบรรดาผู้นับถือศาสนายิว ศาสนาอิสลาม และพวกออร์โธด๊อกซ์ตะวันออก ส่วนทางด้านการเมืองนั้น พระองค์ทรงได้ชื่อว่ามีส่วนช่วยให้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายในประเทศโปแลนด์บ้านเกิดของพระองค์ และต่อๆมาในประเทศคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในทวีปยุโรปทั้งหมด

ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงยืนยันปกป้องคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องสิทธิที่จะมีชีวิต การคุมกำเนิดตามแบบธรรมชาติ การถือศีลโสดของบรรดาสมณะ ฯลฯ ซึ่งถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงสนับสนุนการปฏิรูปพระศาสนจักรตามแนวทางของสังคายนาวาติกันที่ 2 แต่คนส่วนรวมก็มีความเห็นว่าโดยทั่วๆไปพระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์นิยมในการตีความ

พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำโลกที่เดินทางมากที่สุดเป็นประวัติกาล ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนถึง 129 ประเทศในระหว่างอยู่ในสมณสมัย ทรงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของพระองค์ ในการที่จะทรงเน้นเป็นพิเศษถึงกระแสเรียกสากลให้ไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงสถาปนาบุญราศีถึง 1,340 องค์ (ในจำนวนนี้มีบรรดาบุญราศีมรณสักขีชาวไทยด้วย – ผู้แปล) และทรงสถาปนานักบุญถึง 483 องค์ มากกว่าบรรดาพระสันตะปาปาที่ดำรงตำแหน่งก่อนพระองค์ห้าศตวรรษนำมารวมกัน

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพระกรุณาแต่งตั้งยกฐานะพระอัครสังฆราช ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ประมุขคริสตชนอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ขึ้นเป็น พระคาร์ดินัล ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1983 และเป็นพระคาร์ดินัลองค์แรกของไทย ยิ่งกว่านั้น พระองค์เสด็จเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 เมื่อเสด็จมาถึงทรงก้มลงจูบผืนแผ่นดินไทย (- ผู้แปล)

พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2005 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 (วันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา) โดยพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 และทรงได้รับการสถาปาเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 (ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตาเช่นกัน) โดยพระสันตะปาปา ฟรังซิส โดยกำหนดวันฉลองของนักบุญ ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา คือวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันที่พระองค์ขึ้นปกครองพระศาสนจักรในตำแหน่งพระสันตะปาปานั่นเอง

(เรียบเรียงโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2019
Sources : ค้นคว้าจาก Google, Wikipedia, Britannica, หนังสือ พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู 2 กุมภาพันธ์ 2526, หนังสือ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทย 10-11 พฤษภาคม 2527)

แม่พระประจักษ์ที่น็อค

แม่พระประจักษ์ที่น็อค

ปี 1879 แม่พระทรงประจักษ์ที่น็อค

ในหมู่บ้านน็อค เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1879 ตอนเย็นฝนได้เทลงมาจากท้องฟ้า พระนางพรหมจารีมารีย์ได้ประจักษ์มาพร้อมกับนักบุญยอเซฟ นักบุญยอห์น ผู้ประพันธ์พระวรสาร และลูกแกะพระเจ้า การประจักษ์ได้เกิดขึ้นประมาณ 20.00 น. ที่หลังคาหน้าจั่วของวัด

เจ้าหน้าที่พระศาสนจักรได้ยอมรับการประจักษ์ที่หมู่บ้านน็อค ได้มีการสร้างวัดถวายแด่แม่พระ ปัจจุบันมีประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจากทั่วโลกมาแสวงบุญที่น็อคทุกๆปี

บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 และบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาได้เคยมาสวดภาวนาในวัดแม่พระประจักษ์ ติดกับหลังคาหน้าจั่วของวัดเก่า ที่นั่นตั้งรูปพระแม่มารีย์ นักบุญยอเซฟ นักบุญยอห์น และลูกแกะพระเจ้า ทำด้วยหินอ่อน

พระราชินีแห่งประเทศไอร์แลนด์ทรงนิ่งเงียบ

โดย Una McManus จาก "Catholic Faith & Family" ฉบับวันที่ 13-26 สิงหาคม 2000

นี่เป็นเรื่องเล่าของชาวไอริช ในสมัยนั้นได้เกิดการอดอยาก ไม่มีมันฝรั่งกิน ไม่ใช่ข้าวยากหมากแพงที่รู้จักกันดีในปี 1847 แต่เป็นภัยอันตรายที่ได้ติดตามมา: ความหิวโหย, ความยากจน. หนี้สินพะรุงพะรัง, การถูกขับออกจากที่อยู่อาศัย, การอพยพออกนอกประเทศ, กำลังคุกคามประเทศไอร์แลนด์ ในปีนั้นฝนตกหนัก ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ได้ทำลายพีชพันธ์ธัญญาหาร โดยเฉพาะการเพาะปลูกมันฝรั่งอย่างสิ้นเชิง การขาดแคลนอาหารก็อุบัติขึ้นในปี 1879

น็อคเป็นหมู่บ้าน มีกระท่อมปูด้วยหลังคาจากและกำแพงทำด้วยปูนขาว วัดเป็นรูปกางเขน และโรงเรียนเล็กๆ 2 หลัง หลังหนึ่งสำหรับเด็กชาย และอีกหลังหนึ่งสำหรับเด็กหญิง ชาวบ้านเป็นคนศรัทธา ยากจน และสุภาพอ่อนโยน

ในหมู่บ้านน็อคเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1879 ตอนเย็นฝนได้เทลงมาจากท้องฟ้า พระนางพรหมจารีมารีย์ได้ประจักษ์มาพร้อมกับนักบุญยอเซฟ นักบุญยอห์นผู้ประพันธ์พระวรสาร และลูกแกะพระเจ้า
การประจักษ์ได้เกิดขึ้นประมาณ 20.00 น. ที่หลังคาหน้าจั่วของวัด ชาวบ้าน 20 คนได้เห็นภาพประจักษ์ ทั้งนี้ชาวบ้าน 15 คนได้เป็นสักขีพยานอย่างเป็นทางการ กลุ่มชนที่ได้เห็นแม่พระประจักษ์มีตั้งแต่เด็กๆจนถึงคนสูงอายุ

พระนางมารีย์ไม่ได้ตรัสแม้แต่คำเดียว ทรงยืนตัวตรง บนพระเศียรมีมงกุฎทองคำ พระนางยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นสูงระดับหัวไหล่ ทรงจ้องมองท้องฟ้าข้างบน เหมือนเข้าภวังค์

ทางซ้ายมือของพระนางมีนักบุญยอเซฟกำลังพนมมือในท่าสวดภาวนา ศีรษะของท่านก้มเล็กน้อยไปทางพระนาง ทางขวามือใกล้กับพระนาง มีนักบุญยอห์นสวมชุดพระสังฆราช มือข้างหนึ่งถือพระคัมภีร์และอีกข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนกำลังเทศนาอยู่ ทางขวามือของนักบุญยอห์น ลูกแกะพระเจ้ายืนอยู่บนแท่นเปล่าๆ มีไม้กางเขนอยู่ข้างหลัง มีทูตสวรรค์และดวงดาวปรากฎอยู่บนท้องฟ้า

เป็นเวลานาน 2 ชั่วโมง สักขีพยานการประจักษ์ได้สวดสายประคำ หรือสวดภาวนาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งรูปภาพอันสว่างไสวเจิดจ้าจากสวรรค์ ได้อันตรธานหายไป

ข่าวแม่พระประจักษ์ได้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว ฝูงชนได้เดินทางมาชุมนุมกันที่หมู่บ้านเล็กๆ คนหูหนวก ตาบอด และพิการ ได้รับการรักษาหายจากโรค ในเวลาแห่งการทดลองความทุกข์ร้อนได้รับการบรรเทา โดยความหวังที่ว่าสิ่งดีงามกำลังมาเยือนเขาทั้งหลาย
ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่พระศาสนจักรได้ยอมรับการประจักษ์ที่หมู่บ้านน็อค ได้มีการสร้างวัดถวายแด่แม่พระ ปัจจุบันประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจากทั่วโลกมาแสวงบุญที่น็อคทุกๆปี

บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 และบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาได้เคยมาสวดภาวนาในวัดแม่พระประจักษ์ ติดกับหลังคาหน้าจั่วของวัดเก่า ที่นั่นตั้งรูปพระนางมารีย์ นักบุญยอเซฟ นักบุญยอห์น และลูกแกะพระเจ้า ทำด้วยหินอ่อน

ภาพประจักษ์แห่งหมู่บ้านน็อคเป็นการเตือนประชากรของพระเป็นเจ้าเรื่องการไถ่บาปมนุษยชาติ ที่มีศีลมหาสนิทเป็นจุดศูนย์กลางแห่งชีวิต พระนางมารีย์นำเราไปพบพระบุตรของพระนาง พระเยซูเจ้า ลูกแกะพระเจ้า ถูกฆ่าเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระบิดาเจ้า และบัดนี้พระองค์ทรงกลับคืนชีพและมีชัยชนะต่อปิศาจและความตาย พระองค์ทรงประทานพระกายและพระโลหิตของพระองค์ ในรูปปังและเหล้าองุ่น เป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณเรา

การประจักษ์ของพระแม่มารีย์ ณ สักการสถานแห่งน็อค แม่พระไม่ได้ตรัสข้อความใดดังเช่นที่ทรงเตือนในการประจักษ์ที่อื่น นักวิชาการได้ตีความว่า พระนางเพียงแต่เตือนเราให้ระลึกถึงสมบัติล้ำค่าที่เราได้ครอบครองอยู่แล้ว พระนางประจักษ์มาท่ามกลางเราเพื่อยืนยันว่า พระนาง คือ มารดาของเรา ทรงอยู่ใกล้ชิดความทุกข์ร้อนของเรา สวดภาวนากับเราและเพื่อเรา บางทีพระนางอาจจะบอกเรามากกว่านั้น

ชาวบ้านน็อคซึ่งแม่พระได้มาประจักษ์ เจริญชีวิตอย่างธรรมดา ไม่เหมือนพวกเรา เขาไม่ได้จมอยู่ในข่าวสาร ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน
เขาไม่มีแผ่นป้ายใหญ่โตโฆษณาขายสินค้าหรูหรา, การพาณิชย์ข่าวสาร, นิตยสารมีหน้าปกเป็นเงามันสวยงาม และอินเตอร์เนท
ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อก็เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย แต่พวกเราผู้ซึ่งดำรงชีวิตในยุคข่าวสารท่วมโลก บางครั้งอาจเรียนจากหมู่บ้านน็อค เราอาจจมอยู่ในข่าวสาร แต่เรากำลังแสวงหาความจริงหรือเปล่า? ลูกหลานของเราได้รับการฝึกฝนให้รู้จักใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เขาทั้งหลายได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักปฏิบัติข้อความเชื่ออย่างดีหรือเปล่า?

บางที การนิ่งเงียบของแม่พระแห่งน็อคอาจบอกเราให้อยู่นิ่งๆ เข้าสมาธิในชีวิตประจำวันของเรา ถึงแม้เราอยู่ท่ามกลางชีวิตครอบครัวอันพลุกพล่าน ให้เรารำพึงถึงความจริงแท้ชั่วนิรันดรของพระคริสตเจ้า เราจำเป็นต้องเข้าภวังค์เหมือนอย่างที่พระนางได้ทรงดื่มด่ำกับการภาวนาที่น็อค แล้วความจริงก็จะจมลึกลงในดวงใจและจิตใจของเรา และแทนที่ข่าวสารประจำวัน สารของลูกแกะพระเจ้าจะเป็นแสงสว่างส่องทางเรา

บทนพวารพระแม่แห่งน็อค

21 สิงหาคม เป็นวันฉลองพระแม่แห่งน็อค นพวารเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 22 สิงหาคม

ข้าแต่พระแม่แห่งน็อค พระราชินีแห่งประเทศไอร์แลนด์
พระนางได้ประทานความหวังแก่ประชากรของพระนางในยามทุกข์ร้อน
และบรรเทาเขาทั้งหลายเมื่อเศร้าโศก
พระนางได้ดลใจนักแสวงบุญมากมายให้สวดภาวนา
ด้วยความวางใจ ต่อพระบุตรของพระนาง
ตามคำมั่นสัญญาของพระองค์: “จงขอ แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหา แล้วท่านจะได้พบ”
โปรดช่วยเราระลึกเสมอว่า เราทุกคนเป็นผู้แสวงบุญบนถนนที่ตรงไปเมืองสวรรค์


โปรดประทานแก่ข้าพเจ้าความรัก และความห่วงใย สำหรับพี่น้องของข้าพเจ้าในพระคริสตเจ้า
โดยเฉพาะคนที่อยู่กับข้าพเจ้า
โปรดปลอบใจข้าพเจ้าเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย อยู่ตัวคนเดียว หรือเกิดความกดดันในจิตใจ
โปรดสอนข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในพิธีบูชามิสซาด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง
โปรดให้ข้าพเจ้ารักพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทเพิ่มขึ้นทุกวัน
โปรดภาวนาเพื่อข้าพเจ้า บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน

ภาพโมเซอิคแม่พระแห่งน็อค

ภาพโมเซอิคที่ใช้กระเบื้องโมเสคจำนวน 1.5 ล้านชิ้นมาประกอบกันกลายเป็นรูปภาพการประจักษ์ของแม่พระแก่คน 15 คนในประเทศไอร์แลนด์ ในปี 1879  ภาพนี้แสดงอยู่ในอาสนวิหารแห่งน๊อคในไอร์แลนด์

รูปภาพมีขนาด 46 x 46 ฟุต  ในพิธีมิสซาวันอาทิตย์ที่มีการเปิดผ้าคลุมรูปภาพ  พระอัครสังฆราช แห่งตวม( Tuam)  Michael Neary กล่าวว่า “เราขอขอบพระคุณพระเป็นเจ้าสำหรับวันอันน่ามหัศจรรย์นี้เมื่อเราเปิดผ้าคลุมรูปภาพโมเซอิคที่สวยงาม  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประจักษ์ของแม่พระได้อย่างงดงามที่สุด”

การประจักษ์เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 21 สิงหาคม 1879  เมื่อคน 15 คนที่โบสถ์แห่งน็อคได้เห็นแม่พระ  นักบุญยอแซฟ  และนักบุญยอห์นอัครสาวกยืนอยู่ข้างๆพระแท่นที่รายล้อมด้วยเทวดาแห่งสวรรค์  มีไม้กางเขนและลูกแกะอยู่บนพระแท่น

หลังจากได้รับการรับรองจากวาติกันของความน่าเชื่อถือได้แล้ว  สื่อสารมวลชนก็ได้รายงานเรื่องราว  และน็อคก็ได้กลายเป็นสถานที่แสวงบุญสำคัญแห่งหนึ่งของโลก  ทุกวันที่จะมีผู้แสวงบุญราว 1.2 ล้านคนมาที่นี่ทุกปี

(ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา)
และ
http://catholic.egat.co.th/people/knock.htm
และ
จิตอิสระ

ร่วมฉลองกับภราดาเซนต์คาเบรียล

ร่วมฉลองกับภราดาเซนต์คาเบรียล

17 ตุลาคม 2020 เวลา 10.00 น.

ชีวิตเป็นพระพร

ขอแสดงความยินดีกับภราดา เปาโล พงษ์พัฒน์   หวานเส  และภราดา ออกัสติน  วันวสันต์  สุกุล ที่สัญญาถวายชีวิต “นักบวช” ในคณะเซนต์คาเบรียล  ถือความบริสุทธิ์  ความยากจน   และความนบนอบ  เป็นเวลา  1 ปี

มีภราดา  เดชาชัย  ศรีพิจารณ์  เจ้าคณะบรรดาบราเดอร์  ซิสเตอร์  เยาวชน เด็กๆบ้านพรสวรรค์  ครอบครัวของภราดา  ทั้ง  2 จาก นครราชสีมา  และอำนาจเจริญ ฯลฯ  ประมาณ 250 คน มาร่วมพิธี

คณะเซนต์คาเบรียล  เข้ามาในประเทศไทยเกือบ  120 ปี  มาที่เชียงใหม่เกือบ  90 ปี   ขอบคุณสมาชิกทุกคนที่อุทิศตน  เพื่อการศึกษาแก่เยาวชนของเรา

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน

พิธีมอบอำลาหมู่ 4 บ้านมารีน่า เชียงใหม่

พิธีมอบอำลา หมู่ 4 บ้านมารีน่า เชียงใหม่

15 ตุลาคม 2020 เวลา 17.30 น.

บ้านมารีน่า  เชียงใหม่  จัดพิธีมิสซา ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานพระหรรษทานและโอกาสดีๆแก่เราทุกคน จนมีวันนี้  มี มอบเกียรติบัตร  แก่เยาวสตรี  7 คน (หมู่ 4) ที่สำเร็จการศึกษา  หลักสูตร ตัด เย็บ  ออกแบบเสื้อผ้า  โดยใช้เวลาการศึกษา  หนึ่งปีครึ่ง

            หลังจากมิสซา  มีรับประทานอาหาร   การฟ้อนและแสดงละคร รวมประมาณ 10 รายการของแต่ละหมู่  พี่ครู และศิษย์เก่า เรียกเสียงหัวเราะ และความชื่นชม แก่ผู้ปกครองและผู้ชม  มี คุณพ่อสายชล  คุณพ่อพิพัฒน์  และบราเดอร์ปี คณะ เยสุอิต มาร่วมรับประทานอาหาร  และชมการแสดงให้กำลังใจแก่คณะมารีนา ถึง 21.30 น.

            คณะธรรมทูตแห่งพระหฤทัยพระเยซูเจ้า  และพระนางมารีอา (คณะมารีน่า)  เข้ามาทำงานในสังฆมณฑลเชียงใหม่  ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 1965 (55 ปี) มี 3 บ้าน คือที่เชียงใหม่  พะเยา(เชียงราย)  และลำพูน  ปัจจุบันมีซิสเตอร์ ประมาณ 10 คน อัสปีรันต์ และผู้สนใจ 2-3 คน

            ขอบคุณซิสเตอร์  ศิษย์เก่า ครู และพี่ครู  ที่ทำงาน ให้แก่ศึกษาอบรม  จริยธรรม และทักษะชีวิตแก่เยาวชนของเราตลอดมา

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์   รายงาน
สิริ   เจริญธรรม     ถ่ายภาพ

บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดาปี A

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดาปี A

"ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด"

หญิงสูงวัยคนหนึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการขายของเล็กๆน้อยๆ ในตลาด คนที่ซื้อของเธอนั้นเบียดบังเธอบ่อยๆ โดยการจ่ายเป็นเหรียญบุบๆ หรือเก่าๆ ซึ่งเธอก็จะรับไว้โดยไม่บ่น พยายามคิดว่าพวกเขาคงทำไปโดยไม่เจตนา ในตอนค่ำก่อนนอน เธอคุกเข่าภาวนาดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ฉันได้รับเหรียญแย่ๆอย่างเงียบๆ โดยพยายามไม่ตัดสินพวกเขา ขอพระองค์โปรดรับฉันไว้โดยอย่าทรงตัดสินฉันเลย” พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราจะตัดสินคนที่ไม่เคยตัดสินคนอื่นได้อย่างไร” พระวรสารของวันนี้ได้เล่าเรื่องพวกที่พยายามจับผิดพระเยซูเจ้า ด้วยเงินเหรียญที่ใช้เสียภาษี แต่กลับถูกทำให้เงียบเสียงลงด้วยเรื่องของเหรียญนั่นเอง (เรื่องเล่าจาก Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)

ถ้าคุณเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของเมืองแมนเชสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ แล้วขอให้เขานำไปแผนกเหรียญโรมัน คุณจะพบเหรียญมันวาวที่ย้อนกลับไปถึงสมัยของพระเยซูเจ้า เหรียญนั้นใช้ในอิสราเอลสมัยของพระเยซูเจ้า ชื่อของเหรียญนั้นคือเหรียญเงิน เดนารีอุส (silver denarius) เมื่อเห็นเหรียญนั้นคุณจะระลึกถึงเรื่องอุปมาในพระวรสาร เช่น เรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี ที่นักบุญลูกาได้เล่าไว้ ว่าเขาให้เงินเจ้าของโรงเตี๊ยมไว้สองเหรียญเป็นค่าดูแลชายผู้เคราะห์ร้าย หรือเรื่องคนงานที่รับจ้างไปทำงานในสวนองุ่น ของนักบุญมัทธิวที่เล่าไว้ และเรื่องที่เกิดขึ้นในพระวรสารของวันนี้ นักบุญมัทธิวเล่าว่า พระเยซูเจ้าทรงขอดูเหรียญนั้น เพื่อจะทรงใช้ตอบโต้พวกเขาที่มีความประสงค์ร้ายต่อพระองค์ ถ้าดูเหรียญชัดๆ ด้านหน้าจะเห็นรูปของ ทีเบรีอัส ซีซาร์ (Tiberius Caesar) ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิผู้ปกครองกรุงโรมในช่วงที่พระเยซูเจ้าทรงประกอบพระภารกิจต่อสาธารณชน และเป็นซีซาร์องค์เดียวกันที่นักบุญลูกาอ้างถึงในเหตุการณ์ที่ท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้างปรากฏตัวที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อทำพิธีล้าง (ลก 3:1) และด้านหลังของเหรียญเป็นรูปของพระนางลิเวีย (Livia) ผู้เป็นพระมารดาของทีเบรีอัส ซีซาร์ เป็นภาพพระนางประทับนั่ง พระหัตถ์ถือกิ่งมะกอกแห่งสันติภาพ (- เรื่องเล่าจาก Illustrated Sunday Homilies – Year A โดย Mark Link, SJ)

“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” นี่เป็นคำตอบที่แหลมคม เป็นคำตอบที่เฉียบขาดของพระเยซูเจ้าต่อพวกฟาริสี และพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดที่พากันมาถามเพื่อจับผิดพระองค์ว่า การเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่

อันที่จริง พวกฟาริสีกับพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดใช่ว่าจะสนิทกันก็หาไม่ เพราะทั้งคู่มีจุดยืนทางการเมืองที่ต่างกัน พรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดเป็นพวกที่สนับสนุนอำนาจของจักรพรรดิโรมัน ดังนั้น พวกเขายินดีอย่างเต็มที่ที่จะเสียภาษีให้กับพระจักรพรรดิ แต่พวกฟาริสีเป็นชาวยิวที่เคร่งครัด พวกเขาถือว่าพระเจ้าแต่พระองค์เดียวที่ทรงเป็นกษัตริย์ ดังนั้น เขาจึงยินดีเสียภาษีให้แก่พระวิหารซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้ามากกว่า แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักรพรรดิโรมัน พวกเขาก็จำใจต้องเสียภาษีให้แก่พระจักรพรรดิเพื่อความอยู่รอด ส่วนสำหรับชาวโรมันนั้นการออกกฎให้ประเทศราชที่อยู่ใต้การปกครองเสียภาษีแก่ตนเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมเป็นเมืองขึ้นของประเทศนั้นๆ แต่ที่ทั้งสองพวกยอมร่วมมือกันโดยหยุดเป็นศัตรูกันชั่วคราว ก็เพื่อต้องการกำจัดพระเยซูเจ้าให้พ้นทางไปก่อน และโดยความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่ต้องการหาคำตอบจากพระองค์หรอก พวกเขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

การเข้ามาหาพระเยซูเจ้าโดยแสดงความชื่นชมอย่างเสแสร้ง เรียกพระองค์ว่าเป็นพระอาจารย์ ชมพระองค์ว่าเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง โดยไม่เห็นแก่หน้าใครนั้น เป็นเล่ห์เหลี่ยมประสามนุษย์ทั่วๆไปที่มักนำมาใช้กัน แต่พระเยซูเจ้ามิทรงหลงคารมนั้น ทรงรู้ดีรู้ลึกถึงจิตใจมนุษย์ รู้ถึงเจตนาร้ายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง จึงทรงย้อนโดยไม่เห็นแก่หน้าพวกเขาว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” พวกเขาก็นำเงินเหรียญที่มีรูปจักรพรรดิโรมันมาถวาย ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของเหรียญก็คือผู้ที่มีรูปใบหน้าอยู่ในที่นั้นนั่นเอง

ดังนั้น พระเยซูเจ้าก็ทรงให้พวกเขาตอบคำถามเอง เมื่อเขาตอบว่าเหรียญนั้นเป็นของใคร ก็จงไปคืนให้กับคนนั้น และทรงเสริมว่า “ของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้า” มนุษย์เราอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงสร้างเรามาตามพระฉายาของพระองค์ และแม้แต่สิ่งสร้างทั้งหลายก็เป็นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์ของพระองค์ มีตราประทับของพระองค์ในทุกสิ่งสร้าง ดังนั้น ตามลำดับความสำคัญที่ถูกต้องแล้ว พระเจ้าต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ส่วนหน้าที่อื่นๆ เป็นหน้าที่ที่รองลงมา โดยปกติการทำหน้าที่ประชากรของพระกับประชากรของรัฐใดรัฐหนึ่งมักจะไปด้วยกันได้ แต่เมื่อไรที่มีการขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน เราต้องถือกฎของพระมาก่อน เช่น รัฐที่ออกกฎหมายให้มีการทำแท้งเสรี เราต้องทำตามคำสั่งสอนของพระศาสนจักรคือ ให้เคารพชีวิตมนุษย์ เราไม่สามารถทำลายชีวิตมนุษย์คนใดคนหนึ่งได้ เราก็ต้องยืนหยัดหลักของพระเจ้าจนถึงที่สุด (Based on : Seasons of the Word โดย Denis McBride, C.SS.R.)

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ วันที่ 14 ตุลาคม 2020)

สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม

สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส
โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม

นักบุญเจโจม - Gerolamo (Caravaggio) ผู้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์

วันที่ 30 กันยายน 2020 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงออกสมณลิขิตชื่อ “Scriptula Sacrae Affectus” (ความศรัทธาต่อพระคัมภีร์) สมณลิขิตดังกล่าวอุทิศให้กับนักบุญเจโรมในโอกาสครบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่าน

สมณลิขิต
“SCRIPTURAE SACRAE AFFECTUS”
ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
โอกาสครบ 1600 ปี แห่งการมรณภาพของนักบุญเจโรม

ความศรัทธาต่อพระคัมภีร์เป็น “ความรักทรงชีวิตและอ่อนโยน” ต่อพระวาจาที่จารึกไว้ของพระเจ้า นี่เป็นมรดกที่นักบุญเจโรมฝากไว้กับพระศาสนจักรด้วยชีวิต และการทำงานของท่าน

        บัดนี้ในโอกาสครบรอบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่านนักบุญ คำบรรยายมากมายที่พวกเรานำมาสวดในจารีตพิธีรำลึกถึงท่าน [1] ทำให้พวกเรามองเห็นถึงภาพที่สวยงามในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร และความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญเจโรมต่อพระเยซูคริสต์ “ความรักทรงชีวิตและอ่อนโยน” นั้นหลั่งไหลดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสายธารนับไม่ถ้วนอาศัยการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในฐานะที่เป็นนักวิชาการ นักแปล นักตีความพระคัมภีร์ ความรอบรู้อย่างลึกซึ้งของนักบุญเจโรมเกี่ยวกับงพระคัมภีร์ ความร้อนรนของท่านที่จะให้ผู้คนรู้จักคำสอน ความเชี่ยวชาญของท่านในการตีความ การปกป้องความจริงแห่งพระศาสนจักรด้วยใจร้อนรนและบางทีถึงกับรุนแรง ชีวิตพรตและการถือวินัยพรตอย่างเคร่งรัด การให้คำแนะนำวิญญาณด้วยใจกว้างและเอาใจใส่ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แม้แต่จะผ่านไปเป็นเวลาถึง 1600 ปี หลังการมรณภาพของท่านนักบุญ ภาพและแบบฉบับของท่านก็ยังเป็นสิ่งที่คู่ควรสำหรับพวกเราคริสตชนแห่งคริสตศตวรรษที่ 21

คำนำ

        วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 420 นักบุญเจโรมมรณภาพที่ตำบลเบ็ธเลเฮมในชุมชนที่ท่านตั้งขึ้นใกล้กับถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่พระกุมารบังเกิด ท่านจึงมอบตนให้กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านพยายามแสวงหาและรู้จักพระองค์โดยทางพระคัมภีร์ เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวกันกับที่ท่านเห็น เป็นผู้พิพากษาที่ท่านได้พบในความฝันซึ่งน่าจะเป็นในเทศกาลมหาพรตในปี ค.ศ. 375 ความฝันนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของท่าน เป็นโอกาสแห่งการกลับใจและเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านทั้งหมด  ท่านพบว่าตนเองถูกฉุดชากลากถูไปไว้ต่อหน้าผู้พิพากษา ดังที่ท่านจำได้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าถูกถามเกี่ยวกับสถานภาพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคริสตชน แต่ผู้พิพากษาตรัสพ้อว่า ‘แกโกหก! แกมันเป็นพวกนับถือลัทธิชิเชโร แกไม่ใช่คริสตชน’’ [2] ตั้งแต่เด็กเจโรมชอบความงามความอ่อนละมุนละไมของวรรณคดีลาติน ซึ่งข้อเขียนของพระคัมภีร์สร้างความประทับใจให้เจโรมตั้งแต่เด็กว่า เนื้อหาสาระเปิดเผยดีแบบตรงไปตรงมา และไม่มีไวยากรณ์ยุ่งยาก ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับเขาที่มีรสนิยมไปทางวรรณกรรมชั้นสูง

        ประสบการณ์นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เจโรมอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงให้กับพระเยซูคริสต์ และพระวาจาของพระองค์ โดยอาศัยการแปลและการวิเคราะห์ไตร่ตรอง ท่านทำให้พระวาจาที่เขียนไว้ของพระเจ้าเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้อื่น ท่านปรับวิถีชีวิตของตนใหม่อย่างสิ้นเชิง ท่านกลายเป็นผู้รับใช้พระวาจาของพระเจ้าในความรักกับ “เนื้อหาของพระคัมภีร์” ดังนั้นในการแสวงหาความรู้ที่เป็นจุดเด่นแห่งชีวิตของท่าน ท่านได้ใช้เวลาเป็นอย่างดีในวัยรุ่นไปในการศึกษาโดยหันเข็มทิศไปในการรับใช้พระเจ้า และชุมชนพระศาสนจักร

        ผลที่ตามมาคือนักบุญเจโรมกลายเป็นบุคคลสำคัญของพระศาสนจักรโบราณในยุคที่เรียกกันว่ายุคทองแห่งบรรดาปิตาจารย์ ท่านทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก ท่านมีเพื่อนวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อรูฟีนุสแห่งอากวีเลยา (Rufinus of Aquileia) ท่านรู้จักนักบุญอัมโบรส (Ambrose) และตอบโต้กันทางจดหมายบ่อยๆกับนักบุญออกัสติน (Augustine)  ทางตะวันออกท่านรู้จักนักบุญเกรโกรรี่แห่งนาซีอานซุส (Gregory of Nazianzus), ดิดีมุส (Didymus) ชายตาบอด และเอปีฟานิอุสแห่งซาลามิส (Epiphanius of Salamis) บรรดาคริสตชนถือว่าท่านอยู่ในระดับเดียวกันกับ นักบุญออกัสติน อัมโบรส และเกรโกรรี่ผู้ยิ่งใหญ่ (Augustine, Ambrose และ Gregory the Great) ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ปราชญ์แห่งพระศาสนจักรตะวันตก

        สมเด็จพระสันตะปาปาผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ได้ยกย่องให้เกียรติแก่นักบุญเจโรมในโอกาสต่างๆ  เมื่อคริสตศตวรรษที่แล้วมา คือคริสตศศตวรรษที่ 15 หลังการมรณภาพของท่าน พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้ออกสมณสาส์นชื่อ “Spiritus Paracliticus” (15 กันยายน ค.ศ. 1920) แก่เจโรมโดยมอบให้ท่านเป็น “doctor maximus esplanandis Scripturis” [3] เมื่อไม่นานมานี้พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ยกถวายหนังสือการสอนคำสอนทั้ง 2 ครั้งให้กับท่านนักบุญและผลงานของท่าน [4] บัดนี้ในโอกาสครบ 1600 ปีแห่งการมรณภาพของท่านนักบุญ  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะรำลึกถึงท่านเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะเน้นอีกครั้งหนึ่งถึงสาส์นและคำสอนของท่านโดยเริ่มต้นที่ความรักอันยิ่งใหญ่ของท่านต่อพระคัมภีร์

        อันที่จริงในฐานะที่เป็นผู้แนะนำที่มีความแน่นอน และเป็นประจักษ์พยานที่แท้จริง เจโรมรู้สึกว่าจะเป็นแรงผลักดันทั้งการประชุมสมัชชาซีนอดพระสังฆราชครั้งที่ 12 ซึ่งอุทิศให้กับพระวาจาของพระเจ้า [5] และสมณสาส์นเตือนใจ “Verbum Domini” ของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ตีพิมพ์ออกมาในวันฉลองนักบุญโจโรม คือวันที่ 30 กันยายน 2010 [6]

จากกรุงโรมสู่เบ็ธเลเฮม

        การเดินทางชีวิตของนักบุญเจโรมกอปรด้วยการเดินทางไปตามท้องถนนแห่งกรุงโรมระหว่างยุโรปกับซีกโลกตะวันออก ท่านถือกำเนิดราวปี ค.ศ. 345 ที่สตรีดอน (Stridon) ที่อยู่ตามชายแดนระหว่างดาลมาเทียและพานโนเนีย (Dalmatia และ Pannonia) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศโครอาเชียและสโลเวเนีย (Croatia และ Slovenia) ท่านได้รับการอบรมเป็นอย่างดีในครอบครัวคาทอลิก  เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของคนสมัยนั้น ท่านได้รับศีลล้างบาปเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 358-364 ในขณะที่เรียนวิชาวาทศิลป์ที่กรุงโรม ในช่วงที่เรียนอยู่ที่กรุงโรมเขาชอบอ่านบทกวีภาษาลาตินและเรียนวิชาวาทศิลป์กับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น

        ในการศึกษาของท่าน ท่านเดินทางไกลไปทั่วประเทศฝรั่งเศสจนทะลุไปถึงเมือง ทริแอร์ (Trier) ซึ่งบัดนี้อยู่ในประเทศเยอรมานี ณ ที่นั้นท่านได้พบกับชีวิตพรตของคริสตชนจารีตตะวันออกที่เผยแพร่โดยนักบุญอาติมาซีอุส (Atimasius) ผลก็คือทำให้ท่านมีประสบการณ์อย่างล้ำลึก และสร้างแรงบันดาลใจให้อย่างมากทีเดียว ซึ่งนำท่านไปยังอากวีเลยา (Aquileia) ณ ที่ซึ่งพร้อมกับเพื่อนบางคนท่านได้กลายเป็น “กลุ่มนักร้องของผู้ที่มีบุญ” [7] ท่านเริ่มดำเนินชีวิตแบบสาธารณะชนทั่วไป

        ราวปี ค.ศ. 374 เมื่อเดินทางผ่านเมืองอันติโอก (Antioch) ท่านตัดสินใจที่จะเจริญชีวิตในทะเลทรายชาลซิส (Chalcis) เพื่อที่จะเรียนรู้ให้ลึกซึ้งถึงชีวิตพรตซึ่งจะมีเวลาว่างมากสำหรับการศึกษาภาษาของพระคัมภีร์ ภาษาแรกคือภาษากรีก ถัดมาเป็นภาษาฮีบรู  ท่านศึกษาภายใต้ชาวยิวคนหนึ่งที่กลับใจเป็นคริสตชนที่สอนท่านาภาษาฮีบรูและการออกเสียงซึ่งท่านพบว่า “ยากมาก แต่ท่านชอบ” [8]

        เจโรมจงใจเลือกทะเลทราย และชีวิตแบบฤษีเพื่อค้นหาความหมายอันล้ำลึกเป็นจุดแห่งการตัดสินใจพื้นฐานแห่งการมีชีวิต แห่งความใกล้ชิด และแห่งการพบปะกับพระเจ้า โดยอาศัยการดำเนินชีวิตพิศเพ่ง การล่อลวงภายใน และการดิ้นรนต่อสู้ฝ่ายจิต ท่านมีความเข้าใจดียิ่งขึ้นถึงความอ่อนแอของท่าน ขีดจำกัดของท่านและของผู้อื่น ตรงนี้ก็เช่นเดียวกันท่านพบความสำคัญแห่งน้ำตา [9] ทะเลทรายสอนให้เท่านเข้าใจถึงความรู้สึกไวต่อการประทับอยู่ของพระเจ้า ความจำเป็นที่พวกเราต้องขึ้นกับพระองค์ และความบรรเทาที่เกิดจากพระเมตตาของพระองค์ ตรงนี้ข้าพเจ้าได้รับการเตือนใจจากเรื่องราวในหนังสือวิวรณ์ซึ่งเจโรมถามพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไรจากข้าพเจ้า?”  ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงตอบว่า “ท่านยังมิได้มอบให้เราทุกสิ่ง” “ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้มอบให้กับพระองค์แทบทุกสิ่ง” “ยังมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่ได้มอบให้เรา” “นั่นคืออะไรพระเจ้าข้า” “จงมอบบาปของท่านให้เรา เพื่อที่เราจะได้มีความชื่นชมยินดีที่จะอภัยให้ท่านอีกครั้งหนึ่ง” [10]

        แล้วพวกเราก็พบท่านที่เมืองอันทิโอก (Antioch) ณ ที่ซี่งท่านได้รับศีลบวชเป็นสมณบริกร (บาดหลวง) โดยบิชอปเปาลีนุส (Paulinus) แห่งเมืองนั้นประมาณ ค.ศ. 379 ที่นครคอนสตันติโนเปิ้ล ณ ที่ซึ่งท่านได้พบกับนักบุญเกรโกรรี่แห่งนาซีอานซุส (Gregory of Nazianzus) และทำการศึกษาต่อไป ท่านแปลงานที่สำคัญหลายชิ้นจากภาษากรีกเป็นภาษาลาติน (บทเทศน์ของออริเจน-Origen และเหตุการณ์ของ เอวเซบิอุส-Eusebius) ซึ่ง “มีการนำไปใช้ในสภาสังคายนาในปี ค.ศ. 381 หลายปีที่ท่านทำการศึกษาเผยให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของท่าน และความกระหายที่จะรู้ที่ทำให้ท่านไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและชื่นชอบกับการทำงาน เฉกเช่นที่ท่านบอกว่า “บางครั้งฉันรู้สึกหมดแรง บ่อยครั้งฉันบอกเลิกรา แต่ฉันก็เปลี่ยนใจและตั้งใจที่จะเรียนต่อ” อันเป็น “เมล็ดพันธุ์ขม” แห่งการศึกษาของท่านผลิต “ผลที่เผ็ดร้อนอย่างยิ่ง” {11]

        ในปี ค.ศ. 382 เจโรมเดินทางกลับกรุงโรมและมอบตนรับใช้พระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ซึ่งพอพระทัยในการรับใช้ของท่านจึงทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ที่ร่วมงานอย่างใกล้ชิดคนหนึ่ง  ณ ที่นี้เจโรมทุ่มเทอยู่กับการทำกิจกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนแต่ก็ไม่เคยลืมเรื่องราวแห่งชีวิตจิต ในวัน “Aventine” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสตรีโรมันผู้มีศักดินาที่มีจุดประสงค์ในการดำเนินชีวิตตามพระวรสารเช่นมาร์เซลลา (Marcella), เปาลา (Paula) และบุตรสาวที่ชื่อเออุสโตกีอุม (Eustochium) ท่านได้สร้างห้องประชุมที่อุทิศให้กับการอ่านและการศึกษาพระคัมภีร์ เจโรมทำหน้าที่เป็นผู้อธิบายพระคัมภีร์ เป็นอาจารย์สอน และเป็นผู้นำวิญญาณ ณ เวลานี้ท่านทำการรื้อฟื้นการแปลพระคัมภีร์ภาษาลาตินที่ทำมาก่อน และอาจเป็นบางส่วนของพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ด้วย ท่านยังคงแปลบทเทศน์ของออริเจน (Origen) และวิเคราะห์พระคัมภีร์ต่อไป ทุ่มเทอยู่กับการเขียนจดหมาย ปฏิเสธข้อเขียนของเฮเรติก ในเวลาที่มีการหลงผิด ซึ่งท่านมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะปกป้องความเชื่อที่แท้จริงและพระคัมภีร์

        ช่วงเวลาที่ท่านมีความยุ่งยาก และผลงานที่ดีนี้ถูกขัดจังหวะด้วยการมรณภาพของพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ท่านถูกบังคับให้ต้องจากกรุงโรมซึ่งติดตามโดยเพื่อนชายและสตรีบางคนที่อยากจะมีประสบการณ์ชีวิตฝ่ายจิตและศึกษาพระคัมภีร์ต่างเดินทางไปกับท่านยังประเทศอียิปต์ ณ ที่ซึ่งท่านได้พบกับนักเทวศาสตร์ชื่อดิดีมุส (Didymus) ซึ่งเป็นคนตาบอด  จากนั้นท่านเดินทางไปยังปาเลสไตน์ (Palestine) และในปี ค.ศ. 386 ได้ตั้งรกรากถาวรที่ตำบลเบ็ธเลเฮม ท่านหันกลับมาศึกษาพราะคัมภีร์อีกครั้ง ข้อความพระคัมภีร์ที่ท่านศึกษายังเก็บรักษาไว้ในสถานที่ท่านเล่าเรียน

        ความสำคัญที่ท่านมอบให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะพบได้ไม่ใช่แต่ในการตัดสินใจของท่านที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในปาเลสไตน์ (Palestine) เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้กับผู้แสวงบุญด้วย  เบ็ธเลเฮมสถานที่ท่านรักมากที่สุด ท่านสร้างในบรรยากาศแห่งถ้ำพระกุมาร ซึ่งเป็นอารามแฝดสำหรับชายและหญิงพร้อมที่พักสำหรับผู้ที่เดินทางแสวงบุญมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  นี่เป็นเครื่องหมายอีกประการหนึ่งถึงความใจกว้างของท่าน เพราะท่านสามารถทำให้เป็นไปได้สำหรับผู้อื่นหลายคนที่จะได้มาเห็นและสัมผัสกับสถานที่ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดและพบกับความมั่งคั่งแห่งวัฒนธรรมและชีวิตฝ่ายจิต [12]

        ในการฟังพระคัมภีร์อย่างตั้งอกตั้งใจ เจโรมเข้าใจตนเองและพบกับพระพักตร์ของพระเจ้ าและของบรรดาพี่น้องชายหญิงของตน ท่านได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ที่รักชีวิตที่เป็นหมู่คณะ  ท่านปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่กับเพื่อนอย่างเช่นเมื่อท่านอยู่ที่ อากวีเลยา (Aquileia) จนทำให้ท่านต้องสถาปนาคณะฤษีเพื่อที่จะติดตามอุดมการณ์แห่งชีวิตนักพรต อารามฤษีถูกมองว่าเป็น “สถานที่” อบรมชายหญิง “ผู้ที่ถือว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้ใด เพื่อที่จะเป็นคนแรกในพวกเดียวกัน”  ในเรื่องของความยากจนท่านสามารถที่จะสอนผู้อื่นได้ด้วยรูปแบบชีวิตของตน  เจโรมถือว่านี่คือประสบการณ์ของการอบรมที่จะดำเนินชีวิต “ภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่คนเดียวพร้อมกับอีกหลายคนในคณะ” เพื่อที่จะเรียนรู้ถึงความสุภาพ  ความเพียร การรักษาความเงียบ และความอ่อนโยนโดยรับรู้อย่างดีว่า “ความจริงไม่ชอบมุมมืดและไม่บ่น” [13] ท่านยังสารภาพด้วยว่าท่าน “อยากมีชีวิตในอารามปิด” และ “เป็นเหมือนปลวกที่ทำงานด้วยกัน ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของสิ่งใด และทุกสิ่งเป็นของทุกคน” [14]

         เจโรมมองการศึกษาของตนไม่ใช่การใช้เวลาว่างให้สนุก และไม่ใช่เป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่เป็นการฝึกชีวิตฝ่ายจิตและเป็นวิธีที่จะเข้าใกล้พระเจ้า การฝึกฝนของท่านบัดนี้มุ่งไปยังการรับใช้ให้มากยิ่งขึ้นกับชุมชนพระศาสนจักร ให้พวกเราคิดถึงความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้กับพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) และการสอนบรรดาสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาฮีบรูตั้งแต่ห้องเรียนแรกที่อาเวนตีเน (Aventine) ด้วยวิธีนี้ท่านสามารถทำให้เปาลา (Paula) และ เออุสโตกีอุม (Eustochium) เป็นผู้แปลได้ [15] และเป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน คือสามารถอ่าน และขับร้องบทเพลงสดุดีเป็นภาษาดั้งเดิม [16]

        ความรู้อันลึกซึ้งของท่านถูกนำมาใช้ในการรับใช้อันจำเป็นต่อผู้ที่ถูกเรียกร้องให้ต้องเทศน์เกี่ยวกับพระวรสาร ดังที่ท่านเตือนเพื่อนของท่านเนโปซีอานุส (Nepotianus) ว่า “การเทศน์ของสมณบริกร (บาดหลวง) ต้องมีรสชาดจากการอ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านต้องรับผิดชอบ หรือเป็นคนเจ้าเล่ห์แห่งคำพูดของท่าน แต่เป็นผู้ที่เข้าใจข้อความเชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ (พระธรรมล้ำลึก) ถึงคำสอนของศีลศักดิ์สิทธ์ (sacramentorum) แห่งพระเจ้าของท่าน นี่เป็นคุณสมบัติของคนโง่ที่จะเล่นลิ้นเพื่อที่จะได้รับความสนใจจากคนที่ไม่ฉลาดด้วยการพูดอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่รู้จักอายมักจะอธิบายสิ่งที่ตนไม่เข้าใจเหมือนว่าตนเชี่ยวชาญเพียงเพราะว่า เขาสามารถชวนผู้อื่นให้หลงได้” [17]

        เจโรมอยู่ที่เบ็ธเลเฮมหลายปีจนกระทั่งมรณภาพในปี ค.ศ. 420  ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่บังเกิดผล และมีความเข้มข้นที่สุดในชีวิตของท่าน ท่านอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงให้กับการศึกษาพระคัมภีร์ และการแปลพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมทั้งเล่มจากภาษาฮีบรูที่เป็นภาษาดั้งเดิม ท่านวิเคราะห์เกี่ยวกับหนังสือประกาศกผู้พยากรณ์ บทเพลงสดุดี และจดหมายของนักบุญเปาโล ท่านเขียนคำแนะนำในการศึกษาพระคัมภีร์ การศึกษาอย่างลึกซึ้งที่ถ่ายทอดมาเป็นผลงานของท่านเป็นผลของความความพยายามร่วมมือกันโดยการคัดลอกและรวบรวมข้อเขียนต่างๆ เพื่อไตร่ตรองและอภิปรายกันต่อดังที่ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยไว้วางใจในอำนาจของข้าพเจ้าในการศึกษาหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระเจ้า… ข้าพเจ้ามักติดนิสัยชอบถามเกี่ยวกับสิ่งข้าพเจ้าคิดว่ารู้แล้ว และยิ่งกว่านั้นเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ” [18} เมื่อทราบดีถึงข้อจำกัดของตนเอง ท่านอธิษฐานภาวนาเสมอวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในงานแปลหนังสือศักดิ์สิทธิ์ “ในเจตนารมณ์เดียวกันกับที่เนื้อหาถูกเขียนขึ้น” [19] และท่านก็ไม่เคยพลาดที่จะแปลงานของผู้เขียนที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เช่นของออริเจน (Origen) “เพื่อที่จะให้ทุกคนมีโอกาสอ่านที่อยากจะเรียนรู้เรื่องให้ได้ดีและเป็นระบบยิ่งขึ้น” [20]

        เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่กระทำกันภายในชุมชน และเพื่อรับใช้ชุมชนกิจกรรมด้านวิชาการของเจโรมสามารถรับใช้สังคมเป็นแบบฉบับแห่งความเป็นสมัชชาซีน็อดสำหรับพวกเราในยุคสมัยนี้  ยังสามารถเป็นแบบฉบับในการรับใช้ในสถาบันวัฒนธรรมต่างๆของพระศาสนจักรที่ถูกเรียกร้องให้เป็น “สถานที่ซึ่งความรู้กลายเป็นการรับใช้ เพราะว่าไม่มีการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวมใดจะสามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากองค์ความรู้ซึ่งเป็นผลแห่งความร่วมมือกันอันจะนำไปสู่ความร่วมมือกันที่มากขึ้น” [21] พื้นฐานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าวคือพระคัมภีร์ ซึ่งพวกเราไม่อาจที่จะอ่านแต่เพียงลำพัง “พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยประชากรของพระเจ้าเพื่อประชากรของพระเจ้าภายใต้แรงดลใจของพระจิต มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับประชากรของพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถเข้าไปในฐานะที่เป็น “พวกเรา” ในหัวใจแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสื่อมายังพวกเรา” [22]

        ประสบการณ์ที่ชัดเจนซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวาจาพระเจ้าทำให้เจโรมอาศัยจดหมายมากมายที่ท่านเขียนกลายเป็นผู้นำวิญญาณ ท่านกลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับผู้คนมากมาย เพราะท่านเชื่อว่า “ไม่มีความเชี่ยวชาญใดจะเรียนรู้ได้หากปราศจากซึ่งอาจารย์” ดังนั้นท่านจึงเขียนถึงรุสติกุส (Rusticus) ว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเข้าใจ คือจูงมือท่านดุจนักเดินเรือโบราณที่ช่วยไม่ให้เรือแตกด้วยการสอนกะลาสีหนุ่ม” [23] จากมุมที่มีสันติสุขของโลก ท่านเฝ้าติดตามกระแสเรื่องราวของมนุษย์ในยุคที่มีปัญหายุ่งยากซึ่งมีเหตุการณ์น่ากลัวเช่นการถล่มกรุงโรมในปี ค.ศ. 410 ซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวท่านมาก

        ในจดหมายเหล่านั้นท่านพูดถึงข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อซึ่งท่านพยายามที่จะปกป้องความเชื่อที่ถูกต้องเสมอ จดหมายของท่านยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ท่านให้ความสำคัญ นี่เป็นของขวัญ

เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น บางครั้งเจโรมดูจะแข็งกร้าวแต่ก็จะแฝงด้วยความสุภาพอ่อนโยนซึ่งแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจต่อผู้อื่น และเพราะ “ความรักมีคุณค่าที่คำนวณมิได้” [24] ท่านจึงกระตือรือร้นที่จะแสดงความรักอย่างแท้จริง ประเด็นนี้เราจะเห็นได้จากความจริงที่ว่าท่านได้มอบงานแปลและงานวิเคราะห์ของท่านเป็น “munus amicitiae” (ของขวัญคู่มือแห่งมิตรภาพ) เป็นของขวัญสำหรับมิตรสหาย ผู้ที่โต้ตอบจดหมายกับท่าน และผู้ที่ท่านอุทิศผลงานให้ ซึ่งท่านขอร้องให้ทุกคนอ่านแบบเป็นมิตรแทนที่จะเป็นแบบวิจารณ์ แต่ท่านยังเขียนเพื่อผู้อ่าน เพื่อผู้คนร่วมสมัย และผู้ที่จะมาภายหลัง [25]

        เจโรมใช้เวลาในปั้นปลายชีวิตในการอ่านพระคัมภีร์พร้อมกับการอธิษฐานทั้งเป็นการส่วนตัวและในคณะ ในการพิศเพ่ง และรับใช้บรรดาพี่น้องโดยการเขียน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นที่เบ็ธเลเฮมใกล้ถ้ำพระกุมารซึ่งพระวจนาตถ์ สถานที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิด และทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ ทรงบังเกิดจากพระแม่มารีย์พรหมจารี เพราะท่านเชื่อว่า “ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีบุญที่เป็นประจักษ์พยานต่อไม้กางเขน การกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ สถานที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดและทรงเสด็จขึ้นสวรรค์! เป็นความสุขแท้ของผู้ที่มีเบ็ธเลเฮมอยู่ในหัวใจ ในหัวใจที่พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดทุกวัน!

มิติ “ปรีชาญาณ” แห่งชีวิตของเจโรม

        เพื่อที่จะเข้าใจบุคลิกภาพอย่างสมบูรณ์ของเจโรม พวกเราจำเป็นต้องรวมสองมิติเข้าไว้ด้วยกันที่เป็นคุณสมบัติในชีวิตของท่านในฐานะที่เป็นผู้มีความเชื่อในมุมมองหนึ่งซึ่งเป็นการอุทิศตนอย่างเด็ดขาดและจริงจังต่อพระเจ้าโดยปฏิเสธความพอใจฝ่ายกายที่เป็นมนุษย์ทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ความรักของพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน (เทียบ 1 ครา. 2: 2; ฟป. 3: 8, 10) และในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ท่านปวารณาตนที่จำทำการศึกษาอย่างจริงจังโดยตั้งใจที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพระธรรมล้ำลึกของคริสตชน  การเป็นประจักษ์พยานสองด้านที่นักบุญเจโรมมอบให้อย่างน่าพิศวงนี้สามารถเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดีสำหรับฤษีทุกคน เพราะทุกคนที่ต้องการดำเนินชีวิตพรต และในการอธิษฐานภาวนาถูกเรียกร้องให้ต้องอุทิศตนในการไขว่คว้าหาพร้อมกับการไตร่ตรอง ท่านยังเป็นแบบฉบับของนักวิชาการด้วย ซึ่งควรที่จะรำลึกเสมอว่าความรู้จะมีคุณค่าทางศาสนาได้หากว่ามีพื้นฐานอยู่ในความรักต่อพระเจ้าที่ไม่มีความทะเยอทะยานของมนุษย์และการหาเกียรติยศชื่อเสียงทางโลก

        มิติทั้งสองด้านแห่งชีวิตของท่านมีการแสดงออกในประวัติศาสตร์แห่งศิลปกรรม บ่อยครั้งศิลปินชาวยุโรปมักวาดภาพท่านนักบุญ ภาพหนึ่งมักจะเป็นภาพพจน์ของชีวิตพรตและการใช้โทษบาปที่แสดงให้เห็นถึงเจโรมมีร่างกายที่ผอมบางจากการจำศีลอดอาหาร มีชีวิตอยู่ในทะเลทราย คุกเข่าหรือนอนเหยียดยาวอยู่กับพื้น ในหลายภาพท่านกำก้อนหินแน่นไว้ทุบหน้าอก ตาของท่านเพ่งไปยังพระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ในภาพเหล่านี้พวกเราเห็นภาพชิ้นโบว์แดงของศิลปินเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน ในภาพอีกประเภทหนึ่งพวกเราจะเห็นนักบุญเจโรมในชุดนักวิชาการนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือเพ่งอยู่แต่กับการแปลและวิเคราะห์พระคัมภีร์ห้อมล้อมด้วยม้วนกระดาษอุทิศให้กับการปกป้องความเชื่อโดยอาศัยปัญญาและการเขียน เช่น Albrecht Durer วาดภาพของท่านมากกว่าหนึ่งภาพในบริบทนี้

        มิติสองด้านที่ถูกนำเอามารวมกันในภาพวาดโดยคาราวัคโจ (Caravaggio) ถูกนำมาแสดงที่หอศิลป์บอร์เกเซ (Borghese) ในกรุงโรม ซึ่งอันที่จริงเป็นภาพเดียวที่นักพรตผู้อาวุโสแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดง และมีกะโหลกมนุษย์บนโต๊ะทำงานของท่าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอนิจจังแห่งความจริงฝ่ายโลก แต่ในขณะเดียวกันศิลปินก็วาดภาพให้เห็นว่าท่านเป็นนักวิชาการ ตาของท่านเพ่งไปยังหนังสือและมือของท่านจุ่มปากกาขนนกลงไปในขวดหมึกซึ่งเป็นพฤติกรรมของนักเขียน

        สองมิติแห่ง “ปรีชาญาณ” ของท่านมีความชัดเจนมากในชีวิตของเจโรม หากในฐานะที่เป็นสิงห์แห่งเบ็ธเลเฮม” ท่านสามารถใช้ภาษาที่ค่องข้างหนัก ท่านปวารณาตนเองโดยปราศจากเงื่อนไขในการรับใช้ความจริง  ดังที่ท่านอธิบายไว้ในหนังสือเล่มแรกของท่าน “Life of Saint Paul, Hermit of Thebes” สิงโตสามารถคำราม ขณะเดียวกันก็ร้องได้ด้วย [27] สิ่งที่พวกเรามองแบบผิวเผิน ดูเหมือนจะเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน แต่ในอุปนิสัยของนักบุญเจโรมนั้นได้ถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยพระจิตโดยอาศัยกระบวนการแห่งการมีวุฒิภาวะชีวิตภายใน

การรักพระคัมภีร์

        รูปแบบชีวิตฝ่ายจิตของนักบุญเจโรมมีความชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นความรักอย่างหลงไหลต่อพระวาจาของพระเจ้าที่มอบให้ไว้กับพระศาสนจักรในพระคัมภีร์ บรรดาอาจารย์ทั้งหลายของพระศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระศาสนจักรยุคแรกล้วนนำคำสอนของตนมาจากพระคัมภีร์ แต่เจโรมกระทำดังกล่าวอย่างมีระบบและในหนทางที่มีความชัดเจน

        ในยุคหลังๆนี้ นักตีความเริ่มที่จะชื่นชอบภูมิปัญญาในการเล่าและบทกวีของพระคัมภีร์และคุณภาพในการแสดงออกชั้นเลิศ แต่ตรงกันข้ามเจโรมกลับเน้นถึงถึงพระคัมภีร์ว่าเป็นคุณสมบัติที่สุภาพแห่งการไขแสดงของพระเจ้าที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฮีบรูโบราณที่กระท่อนกระแท่นเมื่อเทียบกับภาษาลาตินยุคของนักปราชญ์ชิเชโร ท่านอุทิศตนศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่เพราะความงดงามของเนื้อหา แต่เท่าที่ทราบกันเพราะว่าพระคัมภีร์ได้นำท่านให้ได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์ อันที่จริงการไม่รู้จักพระคัมภีร์ก็คือการไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ [28]

        เจโรมสอนพวกเราว่าพระวรสารและขนบธรรมเนียมของอัครสาวกดังที่ปรากฏในหนังสือกิจการอัครสาวก และในจดหมายเท่านั้นที่พวกเราควรจะต้องศึกษาและวิจารณ์ แต่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมก็ขาดเสียมิได้ที่พวกเราต้องทำความเข้าใจถึงความจริงและความมั่งคั่งของพระเยซูคริสต์ [29]  พระวรสารเองก็ให้ความชัดเจนกับเรื่องนี้ ข่าวดีบอกพวกเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นอาจารย์ตรัสกับโมเสส ประกาศก และในบทเพลงสดุดี (เทียบ ลก. 4: 16-21; 24: 27.44-47) เพื่อที่จะอธิบายถึงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์) การเทศน์ของเปโตรและเปาโลในหนังสือกิจการอัครสาวกก็เช่นเดียวกันมีรากเหง้าอยู่ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม ซึ่งพวกเราไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ถึงองค์พระบุตรของพระเจ้าว่าเป็นพระผู้ไถ่ และพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมก็ไม่ควรถือเป็นแค่ละครที่เป็นความสำเร็จแห่งคำพยากรณ์โบราณในพระบุคคลซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธ  ตรงกันข้ามมีเพียงความสว่างแห่งการเปรียบพังเพยในคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมเท่านั้นที่ทำให้เป็นไปได้ที่พวกเราจะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นถึงความหมายของเหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ดังที่เปิดเผยให้พวกเราทราบในการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนชีพของพระองค์ ทุกวันนี้พวกเราต้องค้นให้พบกับความจริงนี้เสียใหม่ในการสอนคำสอนในการเทศน์และในเทวศาสตร์ซึ่งความจริงแห่งพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอันจะขาดเสียมิได้ซึ่งพวกเราควรที่จะอ่านและย่อยว่าเป็นอาหารอันหาคุณค่ามิได้แห่งการหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิต (เทียบ อสค. 3: 1-11; วว. 10: 8-11) [30]

        การอุทิศตนเองอย่างสิ้นเชิงให้กับพระคัมภีร์ของโจโรมแสดงให้พวกเราเห็นจากวิธีที่ท่านเขียนและพูดเช่นเดียวกัประกาศกโบราณ ปราชญ์แห่งพระศาสนจักรท่านนี้ใช้ไฟภายในที่กลายเป็นคำพูดที่หนักหน่วงเหมือนแรงระเบิด (เทียบ ยรม. 5: 14; 20: 9; 23: 29; มลค. 3: 2; Sir. 48: 1; ทธ. 3: 11; ลก. 12: 49) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแสดงออกถึงความร้อนรนของผู้รับใช้เรื่องของพระเจ้าอย่างเช่นเอลียาห์ ยอห์น บัปติสต์และอัครสาวกเปาโล ซึ่งเกลียดการโกหก หน้าไหว้หลังหลอก และคำสอนเท็จเทียม ซึ่งทำให้คำพูดของเจโรมลุกเป็นไฟจนทำให้เห็นเหมือนเป็นการยั่วยุและก้าวร้าว  พวกเราคงจะเข้าใจได้ดีกว่าถึงมิติแห่งการติเตียนแห่งการเขียนของท่านหากพวกเราจะอ่านเนื้อหาในแสงสว่างแห่งขนบธรรมเนียมของบรรดาประกาศก เจโรมจึงเป็นต้นแบบแห่งการเป็นประจักษ์พยานที่ไม่ยอมออมชอมต่อความจริง ที่ใช้ไม้แข็งในการตำหนิเพื่อที่จะส่งเสริมให้มีการกลับใจ อาศัยความเข้มข้นแห่งการแสดงออกและภาพพจน์ของท่าน ท่านได้แสดงความกล้าหาญของผู้รับใช้ที่ปรารถนาไม่ใช่เพื่อเอาใจผู้อื่น นอกจากเจ้านายสูงสุดของท่านเท่านั้น (กท. 1: 10) ซึ่งท่านใช้พลังจิตทั้งหมดของท่านเพื่อพระองค์แต่ผู้เดียว

การศึกษาพระคัมภีร์

        ความรักเสน่หาของนักบุญเจโรมต่อพระคัมภีร์นั้นมีรากลึกอยู่ในความนบนอบ ประการแรกเป็นความรักต่อพระเจ้าผู้ทรงแสดงพระองค์ในพระวาจาที่เรียกร้องให้ต้องมีการฟังด้วยความเคารพ [31]  และรักผู้ที่อยู่ในพระศาสนจักรที่เป็นผู้แทนขนบธรรมเนียมทรงชีวิตซึ่งตีความสาส์นที่พระเจ้าทรงเผยแสดง แต่ “การนบนอบต่อความเชื่อ”  (รม. 1: 5’ 16: 26) ต้องไม่เป็นเพียงแต่ยอมรับบางสิ่งที่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วเฉยๆ ทว่าเรียกร้องความพยายามส่วนตัวอย่างจริงจังที่ต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่พูดออกมา พวกเราอาจคิดถึงนักบุญเจโรมดุจเป็นผู้รับใช้ แห่งพระวาจาผู้ซื่อสัตย์และจริงจังพร้อมกับอุทิศตนอย่างสิ้นเชิง เพื่อที่จะส่งเสริมความเชื่อให้กับบรรดาพี่น้องชายหญิงให้ได้มีความเข้าใจอย่างเพียงพอต่อข้อความเชื่อที่มอบให้กับพวกเขา (เทียบ 1 ทธ. 6: 20; 2 ทธ. 1: 14) หากไม่เข้าใจในสิ่งที่เขียนไว้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เขียน พระวาจาของพระเจ้าก็จะขาดประสิทธิภาพ (เทียบ มธ. 13: 19) และจะไม่ก่อให้เกิดความรักต่อพระเจ้าได้

        ใช่ว่าพวกเราจะเข้าใจข้อความในพระคัมภีร์โดยทันทีทันใดก็หาไม่ ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าว (อสย. 29: 11) สำหรับผู้ที่รู้ว่าต้อง “อ่าน” พระคัมภีร์อย่างไร กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับการอบรมทางปัญญาอย่างเพียงพอ พระคัมภีร์ดูเหมือนจะถูกประทับตรา “ปกปิด” มิให้มีการตีความ ต้องการประจักษ์พยานเพื่อที่จะแทรกแซงและให้กุญแจเพื่อที่จะเข้าใจสาส์นที่ช่วยให้พวกเราเป็นไทซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะสามารถทำลายตราดังกล่าวเพื่อที่จะเปิดหนังสือพระคัมภีร์ (เทียบ วว. 5: 1-10) จากนั้นพระหรรษทานจึงจะหลั่งไหลมา (ลก. 4: 17-21) หลายคนแม้กระทั่งคริสตชนใจศรัทธาพูดอย่างเปิดเผยว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะอ่านพระคัมภีร์ (เทียบ อสย. 29: 12) ไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่านหนังสือไม่ออก แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มีการเตรียมตัวสำหรับภาษาพระคัมภีร์ วิธีการแสดงออก และประเพณีวัฒนธรรมโบราณ ผลก็คือข้อความพระคัมภีร์กลายเป็นภาษาที่ถอดความไม่ได้ ราวกับว่าเนื้อหาถูกเขียนขึ้นด้วยอักษรที่ไม่มีผู้ใดรู้จักและลึกลับ

        นี่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีนักตีความ  ซึ่งสามารถทำหน้าที่ของสังฆานุกรแทนคนที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของสาส์นที่เป็นแบบพยากรณ์ ตรงนี้พวกเราคิดถึงสังฆานุกรฟีลิปที่พระเยซูคริสต์ทรงส่งไปยังราชรถของขันทีซึ่งกำลังอ่านข้อความของประกาศกอิสยาห์ (อสย. 53: 7-8) ที่เขาไม่สามารถทราบความหมาย “ท่านเข้าใจความหมายสิ่งที่ท่านกำลังอ่านอยู่ไหม?” ฟีลิปถามและคำตอบคือ “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร นอกจากจะมีใครมาแนะนำ” (กจ. 8: 30-31) [32]

        เจโรมสามารถรับใช้เป็นผู้นำวิญญาณแก่พวกเราได้เฉกเช่นฟีลิป (เทียบ กจ. 8: 35) ท่านนำผู้อ่านทุกคนให้เข้าถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตีความและข้อมูลเชิงวัฒนธรรมด้วยความรับผิดชอบและอย่างเป็นระบบที่จำเป็นสำหรับการอ่านพระคัมภีร์ ที่ถูกต้องและที่จะเป็นประโยชน์ [33]  ด้วยวิธีที่เชี่ยวชาญและครบถ้วนท่านใช้ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ทุกอย่างที่มีอยู่รวมถึงความรู้ทุกชนิดที่มีอยู่ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษาซึ่งพระวาจาของพระเจ้าถูกถ่ายทอดมา มีการวิจัยอย่างระมัดระวังและมีการตรวจสอบต้นฉบับที่พบได้ในการค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ รวมถึงความรู้ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการแปล เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่ได้รับการดลใจจากพระจิต

        กิจกรรมอันโดดเด่นของนักบุญเจโรมมีความสำคัญมากต่อพระศาสนจักรในยุคสมัยของพวกเรา อย่างที่ธรรมนูญ “Dei Verbum” ระบุไว้ พระคัมภีร์เป็น “วิญญาณของเทวศาสตร์” [34] และเป็นการส่งเสริมฝ่ายจิตแห่งชีวิตพระศาสนจักร [35] การตีความพระคัมภีร์จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ

        วันนี้ พวกเรามีศูนย์กลางที่เป็นเลิศสำหรับการวิจัยพระคัมภีร์ เช่น “Pontifical Biblical Institute” ที่กรุงโรม และ “Ecole Biblique” และ “Studium Biblicum Franciscanum” ที่กรุงเยรูซาเล็ม รวมถึงการค้นคว้าวิจัยของปิตาจารย์เช่น “Augustinianum” ที่กรุงโรมซึ่งรับใช้เรื่องนี้  ทว่าทุกคณะเทวศาสตร์ควรสร้างหลักประกันว่าการสอนพระคัมภีร์จะต้องดำเนินไปในทำนองที่นักศึกษาได้รับการอบรมที่จำเป็นในด้านการตีความพระคัมภีร์ทั่งในด้านการอธิบาย และเทวศาสตร์ของพระคัมภีร์โดยทั่วไป  น่าเสียดายว่าความมั่งคั่งของพระคัมภีร์ถูกมองข้ามหรือถูกลดค่าลงจากหลายคน เพราะพวกเขาใม่มีพื้นฐานเพียงพอเกี่ยวกับประเด็นนี้  พร้อมกับการเน้นให้มีการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นในโครงการอบรมของพระศาสนจักรสำหรับสมณบริกรและครูสอนคำสอน ควรใช้ความพยายามหาทรัพยากรให้สัตบุรุษสามารถเปิดหนังสือศักดิ์สิทธิ์และได้รับผลแห่งปรีชาญาณอันหาคุณค่ามิได้ อีกทั้งความหวังและชีวิต [36]

        ณ จุดนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทบทวนข้อสังเกตของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในสมณสาส์นเตือนใจ ชื่อ “Verbum Domini” ระบุว่า “ธรรมชาติแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระวาจาสามารถเข้าใจได้ด้วยการเปรียบเทียบกับการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูคริสต์ภายใต้แผ่นปังและเหล้าองุ่น… นักบุญเจโรมพูดถึงวิธีที่พวกเราจะเข้าถึงศีลมหาสนิทและพระวาจาของพระเจ้าว่า “พวกเราอ่านพระคัมภีร์ สำหรับข้าพเจ้าพระวรสารคือพระกายของพระเยซูคริสต์ สำหรับข้าพเจ้าพระคัมภีร์คือคำสอนของพระองค์ และเมื่อพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดไม่รับกายและดื่มโลหิตของเรา (ยน. 6: 53) แม้ว่าคำพูดนี้สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งศีลมหาสนิท พระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์อันที่จริงก็คือพระวาจาแห่งพระวรสารซึ่งเป็นคำสอนของพระเจ้า” [37]

        น่าเสียดายว่าครอบครัวคริสตชนหลายครอบครัวดูเหมือนจะไม่สามารถ ดังที่ระบุไว้ในคัมภีร์โตราห์ (Torah) (cf. ฉธบ. 6:6) ในการแนะนำลูกหลานให้เข้าใจถึงพระวาจาของพระเจ้าในความสวยงามและอำนาจฝ่ายจิตของเนื้อหาพระคัมภีร์ นี่ทำให้ข้าพเจ้าต้องสถาปนาวันอาทิตย์แห่งพระวาจาของพระเจ้า [38] ดังนั้นการแสดงความศรัทธาต่างๆจะต้องทำให้มันมั่งคั่งด้วยความหมาย ทำอย่างถูกต้อง และให้พระวาจาพระเจ้านำไปสู่ความเชื่อที่ครบครันในการยึดมั่นอยู่ในพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์ฉบับประชาชน

        “ผลยอดเยี่ยมที่สุดแห่งการเพาะปลูกอันเร่าร้อน” [40] ของการศึกษาภาษากรีกและลาตินของเจโรมคือการแปลพราะคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของท่านเป็นภาษาลาตินจากต้นฉบับภาษาฮีบรู  จนถึงสมัยนั้นคริสตชนแห่งอาณาจักรโรมันไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ทั้งครบ ถ้าจะอ่านได้ทั้งครบต้องอ่านฉบับภาษากรีก พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เขียนเป็นภาษากรีก พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมฉบับครบที่เป็นภาษากรีกมีอยู่แล้วซี่งเรียกกันว่าฉบับเซปตูอาจิน (Septuagint) ซึ่งชาวยิวแห่งเมื่ออาเลซซานเรีย (Alexandria) เป็นผู้แปลในศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล แต่สำหรับผู้อ่านได้แต่ภาษาลาตินยังไม่มีคัมภีร์ที่สมบูรณ์เป็นภาษาของเขา มีแต่การแปลเป็นบางส่วนและยังไม่ครบจากภาษากรีก สำหรับเจโรมและผู้ที่ดำเนินงานต่อของท่านต่างช่วยกันปรับและแปลพระคัมภีร์ทั้งเล่มขึ้นใหม่โดยเริ่มต้นจากพระวรสารและบทเพลงสดุดีที่กรุงโรมโดยได้รับการสนับสนุนและกำลังใจจากพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus)  แล้วเจโรมจากอาศรมของท่านที่เบ็ธเลเฮมก็เริ่มแปลพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจากภาษาฮีบรู ท่านใช้เวลาหลายปีสำหรับงานชิ้นนี้

        เพื่อให้การแปลสำเร็จเจโรมต้องหันไปพึ่งภาษากรีกและภาษาฮีบรูที่ท่านมีความเชี่ยวชาญรวมทั้งภาษลาตินที่ท่านก็เก่งกาจด้วยโดยใช้เครื่องมือภาษาศาสตร์ที่ท่านร่ำเรียนมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “Hexapla” (หนังสือ) ของออริเจน (Origen) เล่มแรกใช้สูตรทั่วไปในแนวฮีบรูแต่ก็ไม่ทิ้งความงดงามแห่งภาษาลาติน ผลของการแปลกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่แท้จริงแห่งประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมของซีกโลกตะวันตกด้วยการสร้างภาษาเทวศาสตร์ การแปลของเจโรมหลังจากที่มีการต่อต้านกันบ้างในช่วงแรกทว่าในไม่ช้าก็กลายเป็นที่อ้างอิงของนักวิชาการและผู้ที่มีความเชื่อทั่วไปจนได้ชื่อว่า “ฉบับประชาชน หรือ Vulgate” [41]  ชาวยุโรปในคริสตศตวรรษกลางต่างเรียนรู้ที่จะอ่าน สวด และคิดจากหน้าพระคัมภีร์ที่แปลโดยเจโรม  อาศัยวิธีนี้ “พระคัมภีร์จึงกลายเป็นบ่อเกิดแห่ง ‘ตำราที่ยิ่งใหญ่’ (Paul Claudel) และ ‘แผนที่ประติมานวิทยา’ – iconographic atlas – (Marc Chagall) ซึ่งทั้งวัฒนธรรมคริสตชนและศิลป์ ซึ่งสามารถนำมาใช้” [42] วรรณคดี ศิลป์ และแม้กระทั่งภาษานิยมจึงค่อยๆ ถูกหล่อหลอมโดยการแปลพระคัมภีร์ของเจโรมโดยทิ้งมรดกยิ่งใหญ่แห่งความงดงามและความศรัทธาไว้ให้พวกเรา

        นี่เป็นความจริงที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาสังคายนาเตรนต์ในสมณกฤษฎีกา “Insuper” ได้ยืนยันถึงคุณสมบัติ “ที่ถูกต้องถ่องแท้” แห่งพระคัมภีร์ฉบับประชานิยม จึงเท่ากับเป็นการอนุมิติให้มีการใช้ในพระศาสนจักรตลอดเวลาหลายศตวรรษ และเป็นประจักษ์พยานถึงคุณค่าของพระคัมภีร์ และเป็นเครื่องมือสำหรับเป้าหมายของการศึกษา การเทศน์ และการอภิปรายโต้แย้งสาธารณะ [43] แต่สภาสังคายนาก็มิได้ลดความสำคัญของภาษาที่เป็นต้นฉบับเช่นเดียวกับที่เจโรมไม่เคยพลาดที่จะยืนยัน แล้วก็ไม่เคยห้ามที่จะให้มีการแปลกันต่อไปในอนาคต  นักบุญพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ซึ่งติดตามการชี้แนะของบรรดาปิตาจารย์แห่งสภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ประสงค์ที่จะเห็นการปรับปรุงพระคัมภีร์ฉบับประชานิยมให้สมบูรณ์เพื่อรับใช้พระศาสนจักรทั้งมวล ดังนั้นในปี ค.ศ. 1979 นักบุญยอห์น ปอลที่ 2 ในธรรมนูญชื่อ “Scripturam Thesaurus” [44] จึงออกพระคัมภีร์ฉบับพิเศษทื่ชื่อว่า “ฉบับประชานิยมใหม่” (Neo-Vulgate)

การแปลและการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรม

        โดยอาศัยการแปล เจโรมประสบกับความสำเร็จในการ “ปรับ” พระคัมภีร์ให้สอดคล้องกับภาษาลาตินและวัฒนธรรม งานแปลของท่านกลายเป็นความจริงถาวรสำหรับกิจกรรมธรรมทูตของพระศาสนจักร  “ทุกครั้งที่ชุมชนรับสาส์นแห่งความรอดพระจิตจะทรงทำให้วัฒนธรรมมีความมั่งคั่งด้วยพลังอำนาจการเปลี่ยนแห่งพระวรสาร” [45] ณ จุดนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นวัฎจักรเกิดขึ้น เฉกเช่นที่การแปลของเจโรมเป็นหนี้ต่อภาษาและวัฒนธรรมของภาษาลาตินคลาสสิค ซึ่งมีอิทธิพลที่เห็นชัดมาก ดังนั้นการแปลของท่านทั้งในด้านภาษาและสัญลักษณ์ และเนื้อหาที่มีจินตนาการชั้นสูงจึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างวัฒนธรรมใหม่

        งานแปลของเจโรมสอนพวกเราว่าคุณค่าและรูปแบบเชิงบวกของทุกวัฒนธรรมล้วนเป็นการสร้างความมั่งคั่งให้กับพระศาสนจักร  วิธีต่างๆที่พระวาจาของพระเจ้าได้รับการประกาศ เป็นที่เข้าใจ และมีประสบการณ์ในการแปลแต่ละครั้งนั้นล้วนแต่ทำให้พระคัมภีร์เองมีความมั่งคั่ง เพราะว่าการแสดงออกที่ทราบกันดีของนักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่ พระคัมภีร์จะเจริญเติบโตพร้อมกันกับผู้อ่าน [46] โดยที่พระวาจาพระเจ้าจะทำให้เกิดมิติใหม่และเสียงก้องกังวานใหม่ที่ดังสะท้อนไปจนทุกศตวรรษ การที่พระคัมภีร์และพระวรสารเข้าไปสู่วัฒนธรรมต่างๆ ยิ่งจะทำให้พระศาสนจักร “เป็นเจ้าสาวที่ประดับเต็มไปด้วยเพชรพลอย” มากยิ่งขึ้น” (อสย. 61: 10) ในขณะเดียวกันนี่จะเป็นประจักษ์พยานต่อความจริงว่าพระคัมภีร์จำเป็นต้องมีการแปลเสมอตามภาษา ความคิด วัฒนธรรม และยุคสมัย รวมถึงวัฒนธรรมสากลของโลกแห่งยุคสมัยของพวกเรา [47]

        การชี้นำให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการเปรียบเทียบระหว่างการแปลในฐานะที่เป็นเรื่องของ “ภาษา” พื้นบ้าน และรูปแบบอื่นๆที่เป็นของพื้นบ้าน [48] นี่คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดการแปลจึงไม่คำนึงแต่จำเพาะภาษาเท่านั้น แต่จะต้องสะท้อนให้เห็นอย่างแท้จริงถึงจริยธรรมในวงกว้างที่เกี่ยวกับชีวิตทั้งครบของมนุษย์ หากปราศจากซึ่งการแปลภาษาต่างๆ พวกเราก็คงจะไม่สามารถที่จะสื่อระหว่างกัน พวกเราคงจะต้องปิดประตูประวัติศาสตร์ให้แก่กันและกันพร้อมกับปฏิเสธที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการพบปะกัน [49] ผลร้ายแห่งการไม่มีการแปลคือจะไม่มีการให้การต้อนรับกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วการต้อนรับขับสู้กันน่าที่จะเพิ่มขึ้น นักแปลเป็นผู้สร้างสะพาน มีการตตัดสินใจเร่งด่วนมากน้อยเท่าไร มีการประณามและมีความขัดแย้งกี่มากน้อยที่เกิดจากความจริงว่าพวกเราไม่เข้าใจภาษาของผู้อื่น หรือไม่สนใจกับการแสดงความรักมากมายที่การแปลชี้นำ

        เจโรมก็เช่นเดียวกันที่ต้องเผชิญกับความคิดที่ครอบงำในสมัยนั้นหากความรู้ภาษากรีกเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาในยุคต้นๆแห่งอาณาจักรโรมัน พอถึงสมัยของท่านกลับกลายเป็นภาษาที่แทบจะไม่มีผู้ใดรู้จัก ท่านเป็นผู้หนี่งที่มีความเชียวชาญมากที่สุดในภาษากรีกลาตินและวรรณคดี นอกจากนั้นท่านยังเดินทางมากมายในขณะที่ท่านเรียนภาษาฮีบรู หากเป็นอย่างที่มีคนพูดกัน “ข้อจำกัดภาษาของข้าพเจ้าคือข้อจำกัดแห่งโลกของข้าพเจ้า” [50] พวกเราอาจกล่าวได้ว่า พวกเราเป็นหนี้ความรู้ของเจโรมในเรื่องภาษาเกี่ยวกับความเข้าใจสากลของคริสตศาสนา และเรื่องราวล้ำลึกเกี่ยวกับทรัพยากรของคริสตศาสนา

        พร้อมกับการฉลองครบรอบปีแห่งการมรณภาพของนักบุญเจโรม พวกเราควรมองไปยังความมีชีวิตชีวาในงานธรรมทูตที่ถูกแสดงออกในความจริงที่ว่าพระวาจาของพระเจ้าได้ถูกแปลออกเป็นกว่า 3 พันภาษา พวกเราเป็นหนี้ต่อธรรมทูตกี่คนสำหรับการพิมพ์หนังสือไวยากรณ์ พจนานุกรม และเครื่องไม้เครื่องมือทางภาษาที่ทำให้พวกเราสามารถสื่อติดต่อกันและกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ธรรมทูตเข้าถึงทุกคนได้” [51] พวกพวกเราจำเป็นต้องให้การสนับสนุนงานนี้และร่วมลงทุนเพื่อช่วยเอาชนะกับข้อจำกัดในการสื่อและการเสียโอกาสที่จะได้พบกับผู้อื่น ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย มีการกล่าวกันว่าหากปราศจากซึ่งการแปลก็จะไม่มีความเข้าใจ [52] พวกเราจะไม่เข้าใจทั้งตัวเราเองและผู้อื่น

เจโรมและบัลลังก์ของเปโตร

        เจโรมมีความสัมพันธ์พิเศษกับกรุงโรมเสมอ กรุงโรมคือที่พำนักฝ่ายจิตที่ท่านนักบุญกลับมาเยือนเป็นประจำ ในกรุงโรมท่านได้รับการอบรมด้านมานุษยวิทยาและถูกหล่อหลอมให้เป็นคริสตชน  เจโรมเป็น “homo Romanus” (ชาวโรมัน) ความผูกพันกันนี้เกิดขึ้นแบบพิเศษจากภาษาลาตินที่ท่านเป็นปราชญ์และเป็นภาษาที่ท่านรักชื่นชอบ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือจากพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบัลลังก์ของนักบุญเปโตร

        สำหรับเจโรมพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมเป็นผืนดินอุดมซึ่งเมล็ดพันธุ์ของพระเยซูคริสต์บังเกิดผลอย่างบริบูรณ์ [53] ในเวลาที่มีความยุ่งยากซึ่งอาภรณ์ของพระศาสนจักรอันปราศจากตะเข็บฉีกขาดเพราะการแตกแยกของคริสตชน เจโรมจะมองไปยังบัลลังก์ของอัครสาวกเปโตรเป็นจุดอ้างอิง “เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ติดตามผู้นำใดนอกจากพระเยซูคริสต์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่สื่อกับผู้ใดนอกจากพระสันตะปาปา กล่าวคือ กับผู้ที่ครองบัลลังก์ของเปโตร เพราะข้าพเจ้าทราบว่านี่คือศิลาที่พระศาสนจักรถูกสร้างขึ้นมาบนศิลานี้” ในขณะที่มีการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงกับงพวก “Arians” ท่านเขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปาดามาซุส (Damasus) ว่า “ใครที่ไม่อยู่ข้างพระองค์ก็จะระเหระหนไป ใครที่ไม่ใช่คนของพระเยซูคริสต์ก็เป็นคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์” [54] ในที่สุดเจโรมอาจอ้างได้ด้วยว่า “ใครที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับพระบัลลังก์ของเปโตรก็ไม่ใช่พวกของข้าพเจ้า” [55]

        บ่อยครั้งเจโรมจะมีส่วนร่วมในการโต้เถียงเรื่องข้อความเชื่อ ความรักของท่านต่อความจริง และการปกป้องพระเยซูคริสต์ด้วยความร้อนรนบางทีก็ทำให้ท่านเขียนโต้ด้วยภาษาและอารมณ์ที่รุนแรง แต่ท่านก็ดำเนินชีวิตในสันติสุข “ข้าพเจ้าปรารถนาสันติสุขเท่าๆกับผู้อื่น แล้วข้าพเจ้าก็ไม่เพียงต่ปรารถนาเท่านั้น ข้าพเจ้ายังภาวนาขอด้วย  แต่สันติสุขที่ข้าพเจ้าต้องการเป็นสันติสุขของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสันติสุขที่แท้จริง เป็นสันติสุขที่ปราศจากความขมขื่น เป็นสันติสุขที่ปราศจากสงคราม เป็นสันติสุขที่ที่จะไม่ไปลดคุณค่าของคู่อริ แต่เป็นนสันติสุขที่สร้างกัลยาณมิตร” [56]

        ยุคสมัยนี้ยิ่งกว่ายุคไหนในโลก พวกเราต้องการประจักษ์พยาแห่งความเมตตาและความเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ จุดนี้ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้พวกเรามอบการเป็นประจักษ์พยานที่น่าชื่นชมและโดดเด่นแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันฉันพี่น้อง [57]  “ด้วยวิธีนี้ทุกคนจะได้รู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ถ้าท่านรักซึ่งกันและกัน” (ยน. 13: 35) นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ขอต่อพระบิดาด้วยการอธิษฐานร้อนรน “เพื่อที่ทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน… ในเรา… เพื่อที่โลกจะได้เชื่อ” (ยน. 17: 21)

รักสิ่งที่เจโรมรัก

        ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะขอร้องทุกคน ท่ามกลางความดีงามหลายอย่างที่พวกเรามอบให้กับนักบุญเจโรมโดยชนรุ่นหลัง ความดีงามอย่างหนึ่งก็คือท่านมิได้เป็นเพียงแค่นักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งใน “หอสมุด” ที่ทำให้คริสต์ศาสนามั่งคั่งในกาลสมัยหนึ่งเท่านั้นโดยเริ่มจากการทำคุณให้กับพระคัมภีร์ พวกเราอาจกล่าวได้ดังที่ท่านพูดถึงเนโปติอานุส (Nepotianus) ว่า “โดยอาศัยการอ่านด้วยใจร้อนรนและรำพึงอย่างสม่ำเสมอ  ท่านทำให้หัวใจของท่าน กลายเป็นห้องสมุดทรงคุณค่าของพระเยซูคริสต์” [58]  เจโรมพยายามทุกวิถีทางที่จะขยายห้องสมุดของท่านซึ่งท่านคิดเสมอว่านี่เป็นแหล่งที่จะขาดเสียมิได้ในการที่จะเข้าใจความเชื่อและชีวิตฝ่ายจิต  โดยอาศัยวิธีนี้ท่านยังเป็นแบบฉบับที่ดีสำหรับปัจจุบันนี้ด้วย  แต่ท่านยังไม่หยุด สำหรับท่านแล้วการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่ที่การอบรมศึกษาในวัยรุ่นเท่านั้น แต่เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำตลอดไป ต้องเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำประจำวัน  อาจกล่าวได้ว่าท่านเองกลายเป็นห้องสมุดและแหล่งแห่งความรู้สำหรับผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน  โปสตูมิอานุส (Postumianus) ซึ่งเดินทางไปทั่วตะวันออกในคริสตศตวรรษที่สี่เพื่อแสวงหาการเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิตพรตและได้ใช้เวลาหลายเดือนอยู่กับเจโรม ได้เห็นเป็นประจักษ์เรื่องนี้ด้วยตาตนเอง และเขาเขียนไว้ว่า “เจโรมจะติดอยู่กับการอ่านหนังสือเสมอ ท่านไม่ยอมพักผ่อนทั้งกลางวันหรือกลางคืน ตลอดวันท่านจะต้องกำลังอ่านหรือกำลังเขียนบางอย่างอยู่เสมอ” [59]

        สำหรับเรื่องนี้บ่อยครั้งข้าพเจ้าคิดถึงประสบการณ์ที่เยาวชนของวันนี้ก็สามารถที่จะเดินเข้าไปในร้านขายหนังสือในเมือง หรือเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาได้  ส่วนใหญ่แล้วหนังสือแผนกนี้มักจะไม่ค่อยมีหรือถ้ามีก็น้อยมากกับหนังสือที่เป็นแก่นสาร เมื่อพวกเรามองไปที่ชั้นหนังสือหรือที่เว็บไซต์เป็นการยากที่เยาวชนจะเข้าใจว่าการแสวงหาความจริงทางศาสนาสามารถเป็นการผจญภัยที่น่าสนใจที่จะทำให้หัวใจและจิตใจของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ความกระหายหาพระเจ้านั้นจะจุดประกายไฟให้กับจิตใจตลอดทุกศตวรรษจนถึงปัจจุบันนี้อย่างไร การเจริญพัฒนาฝ่ายจิตมีอิทธิพลต่อนักเทวศาสตร์และนักปรัชญาศาสตร์ ศิลปิน นักกวี นักประวัติศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์อย่างไร ปัญหาประการหนึ่งที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่แต่เรื่องศาสนาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความไม่รู้หนังสือด้วย  ประสบการณ์ชีวิตฝ่ายจิตที่ทำให้พวกเราเป็นผู้แปลและตีความขนบธรรมเนียมทางวัฒนธรรมของพวกเรานั้นมีน้อยมาก ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะท้าทายเยาวชนเป็นพิเศษขอให้ทุกคนจงได้สำรวจมรดกตกทอดของพวกเธอ จงชื่นชอบกับประวัติศาสตร์นี้ที่เป็นของพวกเธอ จงกล้าที่จะพิศเพ่งไปยังหนุ่มเจโรมซึ่งคล้ายกับพ่อค้าในนิทานเปรียบเทียบของพระเยซูคริสต์ขายทุกสิ่งที่เขามีเพื่อซื้อ “ไข่มุกที่มีค่ามหาศาล” (มธ. 13: 46)

        พวกเราสามารถเรียกเจโรมได้ว่าเป็น “ห้องสมุดของพระเยซูคริสต์” เป็นห้องสมุดถาวร นับด้วยระยะเวลาถึง 16 ศตวรรษซึ่งยังคงสอนพวกเราให้ทราบถึงความหมายแห่งความรักของพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่ไม่สามารถแยกออกจากการพบกับพระวาจาของพระองค์  นี่คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดการครบรอบ 1600 ปี จึงสามารถมองได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้พวกเรารักผู้ที่เจโรมรัก เป็นการพบกับสิ่งที่ท่านเขียน และที่จะสัมผัสกับชีวิตฝ่ายจิตของท่านซึ่งสามารถอธิบายโดยย่อๆ ว่าเป็นความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่ไม่รู้จักหยุดหย่อนเพื่อที่จะได้รู้จักพระเจ้าให้ดียิ่งขึ้นผู้ทรงเลือกที่จะแสดงพระองค์ ในยุคสมัยของพวกเรา ทำไมพวกเราจะไม่ยอมฟังคำแนะนำของเจโรมที่ให้ไว้กับเพื่อนร่วมยุคสมัยของท่าน “จงอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้พระคัมภีร์ห่างจากมือของท่าน” [60]

        แบบฉบับที่สง่างามแห่งประเด็นนี้คือพระแม่มารีย์พรหมจารีซึ่งเจโรมขานพระนามว่าเป็นพรหมจารีและมารดา แต่ยังเป็นผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ด้วยใจศรัทธาอีกด้วย  พระแม่มารีย์รำพึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ในใจ” (เทียบ ลก. 2: 19.51)  “เพราะพระนางเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระนางอ่านพระคัมภีร์ รู้จักบรรดาประกาศก และจดจำสิ่งที่อัครทูตคาเบรียลกล่าวกับพระนางสิ่งเดียวกันกับที่ประกาศกทำนายไว้… พระนางพิศเพ่งไปยังพระกุมารบุตรของพระนางที่นอนอยู่ในรางหญ้าและกำลังร่ำไห้ ความจริงสิ่งที่พระนางเห็นคือพระบุตรของพระเจ้า พระนางเปรียบสิ่งที่พระนางเห็นกับทุกคนที่พระนางอ่านและได้ยินได้ฟังมา” [61] จึงขอให้พวกเรามอบตัวของเราไว้กับพระแม่ของพวกเราซึ่งยิ่งกว่าผู้ใดสามารถสอนพวกเราให้รู้จักอ่าน รำพึง พิศเพ่ง และอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า ผู้ทรงประทับอยู่ในชีวิตของพวกเรา

        ให้ไว้ ณ มหาวิหารนักบุญยอห์นาเตรัน วันที่ 30 กันยายน วันฉลองนักบุญเจโรม ในปี 2020 อันเป็นปีที่แปดแห่งสมณสมัยของข้าพเจ้า

                                                    ฟรันซิสกุส 

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสมณลิขิตของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

[1]“Deus qui beato Hieronymo presbitero suavem et vivum Scripturae Sacrae affectum tribuisti, da, ut populus tuus verbo tuo uberius alatur et in eo fontem vitae inveniet”. Collecta Missae Sanctae Hieronymi, Missale Romanum, editio typica tertia, Civitas Vaticana, 2002.

[2] Epistula (hereafter Ep.) 22, 30: CSEL 54, 190.

[3] AAS 12 (1920), 385-423.

[4] Cf. General Audiences of 7 and 14 November 2007Insegnamenti, III, 2 (2007), 553-556; 586-591.

[5] SYNOD OF BISHOPSTwelfth Ordinary General Assembly, Message to the People of God (24 October 2008).

[6] Cf. AAS 102 (2010), 681-787.

[7] Chronicum 374: PL 27, 697-698.

[8] Ep. 125, 12: CSEL 56, 131.

[9] Cf. Ep. 122, 3: CSEL 56, 63.

[10] Cf. Morning Meditation, 10 December 2015. The anecdote is related in A. LOUF, Sotto la guida dello Spirito, Qiqaion, Mangano (BI), 1990, 154-155.

[11] Cf. Ep. 125, 12: CSEL 56, 131.

[12] Cf. Apostolic Exhortation Verbum Domini, 89: AAS 102 (2010), 761-762.

[13] Cf. Ep. 125, 9.15.19: CSEL 56, 128.133-134.139.

[14] Vita Malchi monachi captivi, 7, 3: PL 23, 59-60.

[15] Praefatio in Librum Esther, 2: PL 28, 1505.

[16] Cf. Ep. 108, 26: CSEL 55, 344-345.

[17] Ep. 52, 8: CSEL 54, 428-429; cf. Verbum Domini, 60: AAS 102 (2010), 739.

[18] Praefatio in Librum Paralipomenon LXX, 1.10-15: Sources Chrétiennes 592, 340.

[19] Praefatio in Pentateuchum: PL 28, 184.

[20] Ep. 80, 3: CSEL 55, 105.

[21] Message on the Occasion of the Twenty-fourth Public Session of the Pontifical Academies, 4 December 2019: L’Osservatore Romano, 6 December 2019, p. 8.

[22] Verbum Domini, 30: AAS 102 (2010), 709.

[23] Ep. 125, 15.2: CSEL 56, 133.120.

[24] Ep. 3, 6: CSEL 54, 18.

[25] Cf. Praefatio in Librum Iosue, 1, 9-12: SCh 592, 316.

[26] Homilia in Psalmum 95: PL 26, 1181.

[27] Cf. Vita S. Pauli primi eremitae, 16, 2: PL 23, 28.

[28] Cf. In Isaiam Prologus: PL 24, 17.

[29] Cf. SECOND VATICAN ECUMENICAL COUNCIL, Dogmatic Constitution on Divine Revelation Dei Verbum, 14.

[30] Cf. ibid.

[31] Cf. ibid., 7.

[32] Cf. SAINT JEROME, Ep. 53, 5: CSEL 54, 451.

[33] Cf. SECOND VATICAN ECUMENICAL COUNCIL, Dogmatic Constitution on Divine Revelation Dei Verbum, 12.

[34] Ibid., 24.

[35] Cf. ibid., 25.

[36] Cf. ibid., 21.

[37] N. 56; cf. In Psalmum 147: CCL 78, 337-338.

[38] Cf. Apostolic Letter Motu Proprio Aperuit Illis, 30 September 2019.

[39] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 152.175: AAS 105 (2013), 1083-1084.1093.

[40] Cf. Ep. 52, 3: CSEL 54, 417.

[41] Cf. Apostolic Exhortation Verbum Domini, 72: AAS 102 (2010), 746-747.

[42] SAINT JOHN PAUL II, Letter to Artists (4 April 1999), 5: AAS 91 (1999), 1159-1160.

[43] Cf. DENZIGER-SCHÖNMETZER, Enchiridion Symbolorum, ed. 43, 1506.

[44] 25 April 1979: AAS 71 (1979), 557-559.

[45] Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 116: AAS 105 (2013), 1068.

[46] Homilia in Ezechielem I, 7: PL 76, 843D.

[47] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 116: AAS 105 (2013), 1068.

[48] Cf. P. RICOEUR, Sur la traduction, Paris, 2004.

[49] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 24: AAS 105 (2013), 1029-1030.

[50] L. WITTGENSTEIN, Tractatus Logico-Philosophicus, 5.6.

[51] Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 31: AAS 105 (2013), 1033.

[52] Cf. G. STEINER, After Babel. Aspects of Language and Translation, New York, 1975.

[53] Cf. Ep. 15, 1: CSEL 54, 63.

[54] Ibid., 15, 2: CSEL 54, 62-64.

[55] Ibid., 16, 2: CSEL 54, 69.

[56] Ibid., 82, 2: CSEL 55, 109.

[57] Cf. Apostolic Exhortation Evangelii Gaudium, 99: AAS 105 (2013), 1061.

[58] Ep. 60, 10; CSEL 54, 561.

[59] SULPICIUS SEVERUS, Dialogus I, 9, 5: SCh 510, 136-138.

[60] Ep. 52, 7: CSEL 54, 426.

[61] Homilia de Nativitate Domini IV: PL Suppl. 2, 191.

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2020

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2020

ต่อไปนี้เป็นการสอนคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสต่อผู้เข้าเฝ้าที่ห้องประชุมเปาโลที่ 6 ในวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2020 ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน

******

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก

        เมื่ออ่านพระคัมภีร์พวกเราจะพบกับการสวดภาวนาในรูปแบบต่างๆเสมอ และพวกเรายังจะพบกับหนังสือที่มีแต่การสวดภาวนาทั้งเล่ม เป็นหนังสือที่กลายเป็นแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน โรงสวด และบ้านของบุคคลที่ชอบสวดภาวนา หนังสือนั้นคือ “หนังสือบทเพลงสดุดี” ซึ่งเป็นบทภาวนา 150 บทด้วยกัน

        นี่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือปรีชาญาณเพราะเนื้อหาสาระสอนว่า “จะต้องสวดภาวนาอย่างไร” โดยอาศัยประสบการณ์ในการเสวนากับพระเจ้า ในหนังสือบทเพลงสดุดีพวกเราจะพบกับความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดี ความโศกเศร้า ความสงสัย ความหวัง ความขมขื่นที่เป็นสีสันแห่งชีวิตของพวกเรา คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกยืนยันว่าเพลงสดุดีทุกบท “มีความซื่อๆ เรียบง่าย ที่ทุกคนสามารถนำมาสวดได้ทุกเวลา และในทุกเงื่อนไข” (CCC, 2588) ในขณะที่พวกเราอ่านเพลงสดุดีอ่านแล้วอ่านอีก พวกเราจะเรียนรู้ภาษาของการสวดภาวนา อันที่จริงพระบิดาเจ้าพร้อมกับพระจิตทรงบันดาลคำภาวนาเหล่านั้นถูกจารึกในดวงใจของกษัตริย์ดาวิดและคนอื่นๆ ที่สวดภาวนาเพื่อที่จะสอนทุกคนว่าจะต้องสรรเสริญพระองค์อย่างไร จะต้องขอบคุณและวิงวอนพระองค์อย่างไร จะทูลพระองค์ในยามชื่นชมยินดี และในยามทุกข์ยากอย่างไร และจะต้องชื่นชมในการงาน และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์อย่างไร  พูดสั้นๆ ก็คือ บทเพลงสดุดีเป็นพระวาจาของพระเจ้าที่พวกเรามนุษย์มักจะพูดกับพระองค์

        ในหนังสือเล่มนี้พวกเราจะไม่พบกับบุคคลที่ไม่มีตัวตน บุคคลที่เป็นเพียงแค่นามธรรม บุคคลที่สับสนนำเอาการภาวนาไปปะปนกับประสบการณ์เกี่ยวกับความงามหรือสิ่งที่แปลกมหัศจรรย์  บทเพลงสดุดีไม่ใช่บทความที่เขียนขึ้นบนแผ่นกระดาษ  เพลงสดุดีคือการสวดวิงวอน ซึ่งบ่อยครั้งเป็นดุจดังฉากหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การนำเอาบทเพลงสดุดีมาสวดเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับพวกเราที่เป็นอยู่อย่างที่พวกเราเป็น พวกเราต้องไม่ลืมว่าเพื่อจะเป็นการภาวนาที่ดีพวกเราต้องสวดอย่างที่พวกเราเป็นโดยที่ไม่ต้องมีการเสริมแต่ง  พวกเราไม่ต้องเสริมแต่งดวงวิญญาณเพื่อที่จะสวดภาวนา “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนี้” แล้วเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าอย่างที่พวกเราเป็นพร้อมกับสิ่งดีๆที่พวกเรามี และรวมทั้งสิ่งที่ไม่ดีด้วย ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบ แต่พวกเราทราบจากภายในตัวเราเอง ในบทเพลงสดุดีพวกเราได้ยินเสียงของการสวดภาวนาที่มาจากใจของหลายบุคคล ซึ่งชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับชีวิตของพวกเราล้วนมีปัญหา ความยากลำบาก และความไม่แน่นอน  ผู้ประพันธ์บทเพลงสดุดีไม่ได้ตำหนิความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ผู้ประพันธ์ทราบดีว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  แต่ในบทเพลงสดุดีความทุกข์ถูกยกขึ้นเป็นคำถาม จากความทุกข์กลายเป็นคำถาม

        ในหลากหลายคำถามเหล่านั้นมีคำถามหนึ่งที่มักคั่งค้างอยู่ตลอดเวลา เช่นการคร่ำครวญอย่างไม่หยุดหย่อนที่มีอยู่ในบทเพลงสดุดีตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเป็นคำถามที่พวกเราเองก็กล่าวซ้ำอยู่หลายครั้ง “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องทนทุกข์ไปจนถึงเมื่อใด?” ความทุกข์ทุกชนิดต้องการการหลุดพ้น น้ำตาทุกหยดต้องการความบรรเทา ทุกบาดแผลต้องการการเยียวยา การให้ร้ายทุกคำต้องการการให้อภัย  “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์เช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด? ข้าแต่พระเจ้า โปรดรับฟังข้าพเจ้าด้วย” มีกี่ครั้งกี่หนที่พวกเราสวดภาวนาเช่นนี้ ด้วยคำว่า “จนถึงเมื่อใด?” ข้าแต่พระเจ้า พอทีเถอะ พระเจ้าข้า!

         โดยการตั้งคำถามดังกล่าวบ่อยๆ บทเพลงสดุดีสอนพวกเราไม่ให้เคยชินกับความเจ็บปวด หรือความทุกข์พร้อมกับเตือนใจพวกเราว่า พวกเราจะเอาชีวิตไม่รอดหากความทุกข์หรือความเจ็บปวดของพวกเราไม่ได้รับการเยียวยา การมีชีวิตอยู่ของแต่ละบุคคลก็เพียงการหายใจ  เรื่องราวของแต่ละบุคคลจะหายวับไป แต่บุคคลที่ชอบการสวดภาวนาทราบดีว่าพวกเขามีค่าในสายพระเนตร์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ชีวิตจึงมีความหมายที่จะคร่ำครวญออกมา และนี่เป็นสิ่งสำคัญ  เมื่อพวกเราสวดภาวนา พวกเรากระทำดังกล่าวเพราะพวกเราทราบว่า ตัวเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่เป็นพระหรรษทานของพระจิตที่เป็นแรงบันดาลใจพวกเราจากภายในถึงการรับรู้เช่นนี้ นั่นคือพวกเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่เชิญชวนให้พวกเราสวดภาวนา

        บทภาวนาของเพลงสดุดีเป็นประจักษ์พยานถึงการคร่ำครวญนี้ ซึ่งเป็นการคร่ำครวญอยู่หลายครั้งหลายครา เพราะในชีวิตของพวกเราจะมีความเจ็บปวดนับพันๆครั้งที่มาในรูปแบบของการเจ็บไข้ได้ป่วย ความเกลียดชัง สงคราม การเบียดเบียน ความไม่ไว้ใจกัน… จนกระทั่งความตาย  ความตายที่ปรากฏในเพลงสดุดีดูเหมือนจะเป็นศัตรูที่ไร้เหตุผลที่สุดสำหรับมนุษย์ มีอาชญากรรมใดที่สมควรจะได้รับการลงโทษที่แสนโหดร้ายเช่นนั้น ที่หมายถึงจุดจบและความว่างเปล่า? บทภาวนาของเพลงสดุดีวิงวอนพระเจ้าให้เข้ามาช่วยเหลือเมื่อความพยายามทุกอย่างของมนุษย์ไร้ผล นั่นคือเหตุผลที่การสวดภาวนาในตัวเองคือหนทางแห่งความรอด และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรอด

        ทุกคนล้วนมีทุกข์ในโลกนี้ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีความเชื่อในพระเจ้า หรือปฏิเสธพระองค์ แต่ในบทเพลงสดุดีความทุกข์กลายเป็นความสัมพันธ์ เป็นการร้องขอ: เป็นการร้องขอความช่วยเหลือให้มีการฟังคำภาวนาของเขา ซึ่งไม่อาจเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและต้องมีเป้าหมาย แม้ความเจ็บปวดที่พวกเราต้องทนรับจะไม่สามารถเป็นเพียงกรณีพิเศษแห่งกฎสากล ก็ยังคงเป็น “น้ำตา” ของฉันอยู่เสมอ “ความเจ็บปวด” ของฉันเป็นของฉัน “ความทุกข์” ของฉันเป็นของฉัน

        ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโถงวันนี้ พ่อได้พบกับบิดามารดาของบาดหลวงท่านหนึ่งที่มาจากสังฆมณฑลโคโม่ (Como) ที่ถูกฆ่าตาย เขาถูกฆ่าตายเพราะเขารับใช้ผู้อื่น  น้ำตาของบิดามารดาเป็นน้ำตาของเขาทั้งสอง และแต่ละคนก็รับรู้ดีว่าเขาทั้งสองมีทุกข์เพราะเห็นบุตรชายที่อุทิศชีวิตของตนเพื่อรับใช้คนยากจน เมื่อพวกเราอยากที่จะบรรเทาใจบางคน พวกเราไม่อาจที่หาคำพูด เพราะเหตุใด?  เพราะว่าพวกเราไม่สามารถเข้าถึงความเจ็บปวดของเขา เพราะความเศร้าของเขาเป็นความเศร้าของเขา น้ำตาของเขาเป็นน้ำตาของเขา นี่เป็นความจริงสำหรับพวกเราเช่นเดียวกัน น้ำตา ความเศร้าเป็นของฉัน และพร้อมกับน้ำตาและความเศร้านี้ฉันหันไปหาพระเจ้า

        ความเจ็บปวดทุกอย่างของมนุษย์เพื่อพระเจ้านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ดังนั้นขอให้พวกเราสวดเพลงสดุดีที่ 56 “พระองค์ทรงนับการระเหเร่ร่อนทุกก้าวของข้าพเจ้า ทรงเก็บน้ำตาของข้าพเจ้าไว้ในถุงหนังของพระองค์ ทั้งหมดนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์มิใช่หรือ?”  (ข้อ 8) พวกเราไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อพระพักตร์ของพระเจ้า พวกเรากลายเป็นใบหน้าและดวงใจที่พระเจ้าทรงรู้จักชื่อของพวกเราแต่ละบุคคล

        ในหนังสือบทเพลงสดุดีผู้ที่มีความเชื่อจะพบกับคำตอบ พระองค์ทรงทราบดีแม้ทุกประตูของมนุษย์จะถูกปิดลง แต่ประตูของพระเจ้านั้นเปิดอยู่เสมอ แม้โลกทั้งโลกจะประกาศการประณามพระองค์ แต่ก็ยังมีความรอดในพระเจ้า

        “พระเจ้าทรงรับฟัง” บางครั้งในการสวดภาวนาเป็นการเพียงพอที่จะทราบประเด็นนี้ ปัญหาต่างๆ ไม่ได้แก้ไขได้เสมอไป  ผู้ที่สวดภาวนาจะไม่ผิดหวัง พวกเขาทราบว่าหลายปัญหาในชีวิตนี้ยังไม่มีการแก้ไข ไม่มีทางออก ความทุกข์ยังคงอยู่กับพวกเรา และหลังการต่อสู้อย่างหนึ่งสิ้นลง ปัญหาอื่นก็กำลังรอที่จะตามมา แต่หากพระเจ้าทรงรับฟังคำภาวนาของพวกเรา  แน่นอนพวกเราก็จะสามารถทนต่อทุกสิ่งได้

        สิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่พวกเราทุกข์ทรมานโดยไม่มีผู้ใดมาเหลียวแล ไม่มีใครคิดถึงพวกเรา การสวดภาวนาจะช่วยพวกเราได้  เพราะการภาวนาอาจเกิดขึ้นได้และอาจบ่อยครั้งด้วยที่พวกเราไม่เข้าใจถึงแผนการณ์ของพระเจ้า แต่การคร่ำครวญเรียกร้องของพวกเราไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เสียงร้องของพวกเราด้วยการภาวนาดังก้องไปถึงพระองค์ ผู้ทรงมีดวงพระทัยแห่งบิดา และผู้ที่เรียกร้องหาบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ที่ทุกข์ทรมานและสิ้นชีวิตไป  พ่อขอบอกบางสิ่งบางอย่างกับพวกลูก นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อในยามที่มีความยุ่งยากลำบาก ที่จะคิดถึงการกรรแสงของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ทรงกรรแสงขณะที่ทอดพระเนตรไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และขณะที่พระองค์ทรงกรรแสงเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพของลาซารัส  พระเจ้าทรงกรรแสงเพื่อฉัน พระองค์ทรงกรรแสงเพราะความทุกข์ของพวกเรา  นักเขียนเรื่องชีวิตจิตท่านหนึ่งบอกว่า เพราะพระองค์ทรงต้องการที่จะเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสามารกรรแสงได้  การคิดว่าพระเยซูคริสต์ทรงกรรแสงในความทุกข์ทรมานกับตัวฉันนั้นเป็นความบรรเทาใจอย่างยิ่ง ซึ่งช่วยให้พวกเราสู้ สู้ต่อไป หากพวกเราดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์กับพระองค์ชีวิตของพวกเราแม้จะหนีความทุกข์ไม่พ้น แต่พวกเราก็จะเปิดขอบฟ้าใหม่แห่งความดี และเริ่มเดินทางสู่ความสำเร็จ จงทำใจให้กล้าหาญไว้ จงยึดมั่นในการสวดภาวนา พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ

การต้อนรับพิเศษ

        ขอต้อนรับผู้แสวงบุญที่พูดภาษาอังกฤษ และพี่น้องทุกคนที่มาเข้าเฝ้าในวันนี้ ขอให้ความชื่นชมยินดีและสันติสุขของพระเยซูคริสต์สถิตกับท่านและครอบครัวของท่าน ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน

สรุปคำปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก  ในการเรียนคำสอนของพวกเราต่อไปในเรื่องของการสวดภาวนา วันนี้พวกเราจะพูดถึงหนังสือบทเพลงสดุดีซึ่งถือว่าเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่แห่งการสวดภาวนา บทเพลงสดุดีสอนพวกเราให้รู้จักสวดภาวนาต่อพระเจ้าด้วยคำพูดที่พระองค์เองทรงมอบให้พวกเรา ในบทภาวนเหล่านั้นพวกเราพบกับซุ่มเสียงและอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์จากคำสรรเสริญ การวิงวอน การขอบคุณด้วยความชื่นชมยินดีจนถึงการคร่ำครวญวิงวอน เพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดหวังและความเศร้าเสียใจแห่งชีวิต  บทเพลงสดุดีสอนพวกเราว่าพระเจ้ามิได้หูหนวกต่อคำภาวนาของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำภาวนาที่ออกจากใจที่ล่มสลาย ผิดหวังและจิตใจที่ไม่เป็นสุข  บ่อยครั้งบทเพลงสดุดีดังกล่าวจะร้องมิได้หยุด “ข้าแต่พระเจ้า จะต้องรออีกนานสักเท่าใด?” ซึ่งในตัวเองเท่ากับเป็นการยอมรับว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากของพวกเราพระเจ้าทรงได้ยินเสียงของพวกเราและไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา  ในฐานะที่ทรงเป็นบิดาผู้เปี่ยมรัก พระองค์ทรงกรรแสงสำหรับความทุกข์ของพวกเราในโลกนี้ แต่ในพระปรีชาญาณพระองค์ทรงมีแผนการณ์ที่จะช่วยให้พวกเราแต่ละคนรอด  บทเพลงสดุดีจึงเป็นการชี้นำให้พวกเราเติบโตขึ้นในการฝึกฝนการสวดภาวนา ซึ่งเปิดหัวใจของพวกเราให้มีความหวังเพิ่มขึ้นในพระญาณสอดส่องแห่งการดูแลของพระเจ้า ยืนยันถึงการไว้วางใจของพวกเราในพันธสัญญาของพระองค์ และสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเรายึดมั่นในการเดินทางแห่งความเชื่อจนตลอดชีวิตในพระวาจาของพระองค์

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)