วันเสกสุสานพระหฤทัย เชียงใหม่

วันเสกสุสานพระหฤทัย เชียงใหม่

2 พฤศจิกายน 2020

เป็นธรรมเนียมของเราคริสตชนคาทอลิก วันที่ 1 พฤศจิกายน สมโภชนักบุญทั้งหลาย และ วันที่ 2 พฤศจิกายน ระลึกถึงผู้ล่วงลับ หรือวิญญาณในไฟชำระ
บางคนเปรียบชีวิตคือการเดินทาง แต่มนุษย์ควรรู้ เป้าหมายชีวิต คืออาณาจักรสวรรค์ ชีวิตในโลกนี้จึงเป็นการเดินทางสู่ชีวิตนิรันดร์
 
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในสมณลิขิตเตือนใจ “จงชื่นชมยินดีเถิด” เกี่ยวกับการเรียกไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ในโลกปัจจุบัน ข้อ 94-95 กล่าวถึงคำสอนของพระเยซูเจ้า 2 เรื่องคือ
 
1. ความสุขแท้ 8 ประการคือ ใจยากจน อ่อนโยน ทุกข์โศก กระหายความชอบธรรม เมตตา
ใจบริสุทธิ์ สร้างสันติ และผู้ถูกเบียดเบียนข่มเห่งเพราะความชอบธรรม… เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา (มธ.5:3-12)
 
2. บรรทัดฐานที่ยิ่งใหญ่ “ถ้าเราแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นที่พึงพอใจในสายพระเนตรของพระเจ้า หลักเกณฑ์ ที่พระองค์จะตัดสิน คือ “ เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็ให้เรากิน เรากระหายท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่ เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุกท่านก็มาหา” (มธ 25. 31-46)
 
ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ทั้งเดือน เรารับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ โดย
 
1. เยี่ยมสุสาน และสวดวันละครั้ง
2. โดยเยี่ยมวัด สวดบทข้าพเจ้าเชื่อ และข้าแต่พระบิดา
3. สำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้ไม่สามารถออกจากบ้านได้
 
สามารถภาวนาต่อหน้ารูปพระเยซูเจ้า หรือ รูปแม่พระ และรับศีลอภัยบาป รับศีลมาหาสนิท สวดตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์

แผนกแพร่ธรรม แผนกสังคมพัฒนาฯ อบรมแก่เด็กและเยาวชนศูนย์คาทอลิกพระเมตตา อมก๋อย

แผนกแพร่ธรรม แผนกสังคมพัฒนาฯ อบรมแก่เด็กและเยาวชนศูนย์คาทอลิกพระเมตตา อมก๋อย

แผนกแพร่ธรรม แผนกสังคมพัฒนาร่วมกับเขตวัดอมก๋อยจัดการอบรมแก่เด็กและเยาวชนศูนย์คาทอลิกพระเมตตา อมก๋อย เรื่อง “การดูแลรักษาสิ่งสร้างของพระเจ้า” เพื่อเป็นการเติมเต็มพระสมณสาส์น Laudato Si’ (ขอสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า) และ “สื่อสร้างสรรค์” เพื่อเป็นการรู้เท่าทันสื่อที่มีความเจริญอย่างรวดเเร็ว และมีอิทธิพลต่อคนทั้งด้านบวกและลบ เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคมและวันอาทิตย์ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ โบสถ์แม่พระบังเกิด อมก๋อย มีเด็กและเยาวชนเข้าร่วม ๓๗ คน

Cauhpoqai Pgama-e

กิจกรรมเชื่อมศาสนสัมพันธ์กับพี่น้องโปรเตสแตนต์

กิจกรรมเชื่อมศาสนสัมพันธ์กับพี่น้องโปรเตสแตนต์

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2020
คุณพ่อ บราเดอร์และสล่าไปร่วมกิจกรรมประเพณีวัฒนธรรม
กินข้าวใหม่ของชนเผ่าบ้านเหมืองแร่ ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

สมัชชาสมาคมพระคริสตธรรมไทย 2019

สมัชชาสมาคมพระคริสตธรรมไทย 2019

31 ตุลาคม 2020 ณ ชั้น 5 ตึกสภาคริสตจักรในประเทศไทย (สะพานหัวช้าง)

พระสังฆราช ยอด  พิมพิสาร  ได้ชวนผมให้ไปร่วมมือ  ร่วมงาน  กับสมาคมพระคริสตธรรมไทย (Thailand  Bible  Society – TBS ) หลายสิบปีมาแล้ว  เพื่อร่วมมือกันในงานแปล จำหน่าย  จ่าย  แจก พระวาจาอย่างมีความหมาย

            ปัจจุบัน คุณพ่อปิยะชาติ  มะกรครรภ์  คุณครูทัศนีย์  มธุรสสุวรรณ  และผมเป็นกรรมการอำนวยการสมาคมพระคริสตธรรมไทย  ประจำวาระปี 2019 -2021  ใน จำนวน  14 ท่าน

            การประชุมปีละ  4 ครั้ง  เป็นคุณพ่อปิยะชาติ  และคุณครูทัศนีย์  เป็นผู้ไปประชุม

            สมัชชาสมาคมฯ ประจำปี 2019 จัดประชุมใหญ่ของสมาชิกทั้งหมด  วันนี้ผมมาฟังเทศนาเรื่อง “หยุดกังวล”  และรายงานการดำเนินงานของสมาคมๆ  ซึ่งศาสนาจารย์  ดร.เสรี   หล่อกัณภัย  เป็นเลขาธิการสมาคมฯ  ศาสนาจารย์  ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์ (ประธาน)

            ที่ประทับใจที่สุด  คือ “โครงการอาลักษณ์จิ๋ว”  คือคัดลอกพระคัมภีร์  เอเสเคียล  3 ระดับคือ  ประถม  มัธยมต้น  และมัธยมปลาย  มีผลงานมาจัดนิทรรศการให้ชม  ประมาณระดับละ 40 ชิ้น  รวม 120 กว่าชิ้น

            การคัดลอก  มีความลึกซึ้งกว่าการอ่าน  และทำให้เข้าใจ  และรักพระวาจาของพระเจ้ายิ่งขึ้น  “เราคาทอลิก  และพี่น้องคริสเตียน  ในสมาคมพระคริสตธรรมไทย  เชื่อและรักในพระวาจาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์องค์เดียวกัน  มีมิตรภาพจริงใจ  ร่วมมือ  ร่วมแรง  ร่วมใจกัน  แลกเปลี่ยน และช่วยเหลือกันครับ”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน

บทเทศน์บทรำพึง
สมโภชนักบุญทั้งหลาย (1 พฤศจิกายน)
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ (2 พฤศจิกายน)

บทเทศน์บทรำพึง
สมโภชนักบุญทั้งหลาย (1 พฤศจิกายน)
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ (2 พฤศจิกายน)

เดือนระลึกถึงผู้ล่วงลับ (ตลอดเดือนพฤศจิกายน)

ชีวิตมนุษย์ยืนยาวเพียงแค่ต้นหญ้า ออกดอกงอกงามอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยว แล้วก็เหี่ยวเฉาร่วงโรยสิ้นสุดไป เหมือนต้องลมก็ปลิวกระจายไป

ไฉน มนุษย์จึงคิดจะมีชีวิตยืนยาว คิดค้นหาอาหารและยาอายุวัฒนะ กะจะต่อชีวิตให้ยืดยาวไปอย่างหาที่สุดมิได้ แต่พันวันของมนุษย์ก็เท่ากับแค่หนึ่งวันของพระเจ้า

อันที่จริง พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ โดยเฉพาะจิตวิญญาณให้เป็นอมตะ นิรันดร มนุษย์จึงควรคิดคำนึงถึงชีวิตทางด้านฝ่ายจิต มิใช่คิดถึงแต่ชีวิตทางฝ่ายกายนี้เท่านั้น

วันนี้เราระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว มีผู้คนมากมายเหลือคณานับที่ได้รับการต้อนรับเข้าไปในพระอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาคือพระศาสนจักรซึ่งได้รับชัยชนะแล้ว ซึ่งก็คือบรรดานักบุญทั้งหลายนั่นเอง

จากหนังสือวิวรณ์ นักบุญยอห์นได้เห็นภาพนิมิต “ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ” นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนธรรมดาๆ มากมายที่อยู่ในโลกนี้ ที่อาจจะไม่มีใครสังเกต พวกเขาได้ทำความดี และได้ผ่านพ้นจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ พวกเขาได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระชุมพา จากหนังสือพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว (บทที่ 5 : 1-12) บรรดาผู้มีบุญ ก็คือบุคคลธรรมดาๆ ทั้งหลาย ผู้มีใจยากจน ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ผู้มีใจอ่อนโยน ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ผู้มีใจเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้สร้างสันติให้เกิดขึ้น ผู้ที่ยอมถูกเบียดเบียน ดูหมิ่น ข่มเหง และใส่ร้ายต่างๆ นานา พวกที่ผ่านการเบียดเบียนและทุกขเวทนาเหล่านี้ ก็จะได้พระราชัยสวรรค์เป็นกรรมสิทธิ์ นี่แสดงให้เห็นว่า มีคนธรรมดาๆ มากมาย ในโลกนี้ ในวัดของเรานี้ พวกเขาได้ถือตามคำสอนเรื่องบุญลาภของพระเยซูเจ้าอย่างดี และเมื่อตายไปก็ได้รับการต้อนรับในพระอาณาจักรของพระองค์

น่าสงสารคนที่พลาดไป คนที่ยังมีความขาดตกบกพร่อง คนที่ตายไปโดยที่ยังขาดความพร้อมของการกลับใจที่แท้จริง คนที่ยังมีโทษบาปหลงเหลืออยู่ให้ทำการใช้โทษ คนที่เมื่ออยู่บนตาชั่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพบว่ายังขาดไป เขาเหล่านั้นยังไม่ได้รับรางวัลทันที ต้องไปใช้โทษอยู่ในไฟชำระ พวกเขาคือพระศาสนจักรที่กำลังทนทุกข์ กำลังได้รับการชำระให้ปราศจากบาปมลทิน จนกว่าจะถึงวันที่หลุดพ้นจากไฟชำระขึ้นสวรรค์

พวกเราช่วยเขาเหล่านั้นได้ด้วยคำภาวนา โดยเฉพาะคำภาวนาในพิธีบูชามิสซา คำภาวนาและการทำพลีกรรมเป็นพิเศษให้ท่านเหล่านั้น เราเป็นพระศาสนจักรที่กำลังเดินทางแสวงบุญอยู่ในโลกนี้ เป็นสหพันธ์นักบุญเดียวกัน (เดี๋ยวนี้ใช้คำว่า “ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์”) จึงภาวนาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ เพื่อว่า สักวันหนึ่ง เราจะได้อยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระอาณาจักรของพระบิดาของเราทั้งหลาย

อย่าลืมถวายคำภาวนาแด่พระเจ้าตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสตเจ้า

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 )

ข่าวสำนักงานวินิจฉัยคดีฝ่ายจิตออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับพระคุณการุณย์สำหรับผู้ล่วงลับ

ข่าวสำนักงานวินิจฉัยคดีฝ่ายจิตออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับพระคุณการุณย์สำหรับผู้ล่วงลับ

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2020 โอกาสระลึกถึงนักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา สำนักงานวินิจฉัยคดีฝ่ายจิต (Penitenzieria Apostolica) ได้ออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับพระคุณการุณย์สำหรับผู้ล่วงลับในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลงนามโดยคาร์ดินัล เมาโร ปิอาเซนซา (Mauro Piacenza) โดยมีเนื้อหาสรุปได้ ดังนี้

          พระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์อุทิศแก่วิญญาณในไฟชำระ มอบให้ในกรณีที่คริสตชนปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. จากเดิมที่กำหนดช่วงเวลารับพระคุณการรุณย์เพียง 8 วัน คือ วันที่ 1-8 พฤศจิกายน สำหรับปีนี้ขยายช่วงเวลาเป็นตลอดเดือนพฤศจิกายน เมื่อคริสตชนไปเยี่ยมสุสานและสวดภาวนาด้วยความศรัทธา (แม้สวดในใจก็ได้) อุทิศแก่ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ
  2. จากเดิมที่ระบุว่าในวันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ (2 พฤศจิกายน) (หรือตามวินิจฉัยของพระสังฆราชท้องถิ่น, วันอาทิตย์ก่อนหรือหลังวันที่ 2 พฤศจิกายน หรือในวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย) เมื่อคริสตชนไปเยี่ยมวัด หรือ วัดน้อย (oratory) ด้วยความศรัทธา พร้อมทั้งสวดบทข้าแต่พระบิดาและบทข้าพเจ้าเชื่อ (creed) สำหรับปีนี้หากคริสตชนคนหนึ่งคนใดไม่สามารถปฏิบัติได้ในวันที่กล่าวข้างต้น เขายังรับพระการุณย์ครบบริบูรณ์อุทิศแก่ผู้ล่วงลับในวันใดวันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนที่เขาสามารถปฏิบัติได้

          และเพิ่มเติมคือ

  1. สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้ไม่สามารถออกจากบ้านได้ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นสามารถรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์เพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ โดย การภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับต่อหน้าพระรูปพระเยซูเจ้า หรือ พระรูปแม่พระ และร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตชนอื่น ๆ และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของการรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ คือ การรับศีลอภัยบาป การรับศีลมหาสนิท และการสวดตามพระประสงค์ของพระสันตะปาปา ทันทีที่สามารถปฏิบัติได้ กฤษฎีกาฉบับนี้ยังได้ให้ตัวอย่างของการสวดภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น การสวดทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็นอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ การสวดสายประคำ การสวดสายประคำพระเมตตา การรำพึงบทอ่านจากพระวรสารของพิธีกรรมสำหรับผู้ล่วงลับ หรือ ปฏิบัติงานเมตตาจิตโดยถวายความเจ็บป่วยและความยากลำบากของพวกเขาแด่พระเจ้า

          กฤษฎีกาฉบับนี้ยังเชิญชวนให้พระสงฆ์ถวายมิสซา 3 มิสซาในวันภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ เนื่องจากมิสซาเป็นคำภาวนาที่ดีที่สุดเพื่ออุทิศแก่วิญญาณของผู้ล่วงลับ ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้สัตบุรุษได้มาร่วมมิสซาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับได้อย่างทั่วถึง (เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องกำหนดจำนวนของผู้เข้าร่วมมิสซาในแต่ละรอบ) นอกจากนั้น ยังเชิญชวนพระสงฆ์ให้มุ่งอภิบาลด้วยความเมตตาต่อการโปรดศีลอภัยบาป และการส่งศีลมหาสนิทแก่ผู้ป่วย

เงื่อนไขการขอพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์อุทิศแก่วิญญาณผู้ล่วงลับ

1. มีเจตนาที่จะขอรับพระคุณการุณย์อุทิศแก่วิญญาณผู้ล่วงลับ

2. ปฏิบัติตามกิจกรรมดังที่กล่าวไว้ข้างต้นอย่างศรัทธาเพื่อที่จะขอพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ดังกล่าว

3. ปฏิบัติศาสนกิจ ดังนี้

– รับศีลอภัยบาป (สามารถรับศีลอภัยบาปภายหลังในช่วงเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์)

– รับศีลมหาสนิท (สามารถรับศีลมหาสนิทภายหลังในช่วงเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์)

4. สวดเพื่อพระสันตะปาปาและตามพระประสงค์ของพระสันตะปาปา

          หมายเหตุ

คริสตชนสามารถขอรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ได้วันละ 1 ครั้ง

วิถีใหม่เพื่อนิเวศวิทยาแบบองค์รวม

วิถีใหม่เพื่อนิเวศวิทยาแบบองค์รวม

23 ตุลาคม 2020 (Zenit.org)

คณะโฟโคลาเรได้จัดการประชุมออนไลน์ เมื่อวันที่ 23-25 ตุลาคม 2020 ที่กัสเตลกันดอลโฟ ประเทศอิตาลี โอกาสครบ 5 ปี สมณสาส์น เลาดาโต ซี

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ตรัสกับบรรดาผู้ร่วมประชุมว่า มีความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับกระบวนทัศน์ด้านเศรษฐกิจ และสังคมใหม่ ที่ไตร่ตรองความจริงว่าเราเป็น “ครอบครัวเดียวกัน”

การบรรลุถึงนิเวศวิทยาแบบองค์รวมเรียกร้อง การกลับใจภายในลึกซึ้ง ทั้งระดับส่วนบุคคลและสังคม ดังที่ท่านพิจารณา การท้าทายยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญในเวลานี้ รวมการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ความจำเป็นเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแบ่งปันที่ศาสนาสามารถช่วยแก้ไขวิกฤติสิ่งแวดล้อม มันจำเป็นต้องหยุด กับตรรกะของการแสวงหาผลประโยชน์และความเห็นแก่ตัว และส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย สุภาพ ( เทียบ เลาดาโตซี 222-224 )

พี่น้องชายหญิงที่รัก… ขอให้ทุกคนที่ร่วมการประชุมนานาชาติ โอกาสครบ 5 ปี ของสมณสาส์นเลาตาโต ซี ปฏิบัติ 1 ปีนี้ ริเริ่มด้านนิเวศวิทยาในกลุ่มโฟโคลาเร ขอบใจสมณสภาเพื่อการส่งเสริมการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม และกลุ่มคาทอลิกด้านภูมิอากาศที่ร่วมมือกันจัดการประชุมนี้

หัวข้อ “วิถีใหม่เพื่อนิเวศวิทยาแบบองค์รวม” เพื่อมนุษยชาติ และการดูแลโลกของเราด้วยการมองด้านเทววิทยา สังคม วิทยาศาสตร์ และจริยศาสตร์… ทำให้นึกถึง เคียร่า ลูบิค มุ่งมั่นเพื่อโลก เป็นหนึ่งเดียวกัน… ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน… และสภาพแวดล้อม จำเป็นต้องถูกเชื่อมด้วยความรักจริงใจ สำหรับเพื่อมนุษย์ของเรา และการอุทิศตนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมนี้ (เลาดาโต ซี 91)

เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เดินทางด้วยกัน อยู่ในโลกใบเดียวกัน ซึ่งเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ด้วยกัน… มาช่วยกันส่งเสริมศักดิ์ศรีมนุษย์ ครอบครัว ความสัมพันธ์ในการงานเพื่อต่อสู้กับสาเหตุของความยากจน และทำงานเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมธรรมชาติ

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปลสรุป
https://zenit.org/2020/10/23/pope-renews-call-for-integral-ecology-at-in-message-to-focolare-event

ขอร่วมยินดีกับคณะพระมหาไถ่

ขอร่วมยินดีกับคณะพระมหาไถ่

24 ตุลาคม 2020

แม้ในช่วงปีที่ผ่านมา  สงฆ์อาวุโสของคณะพระมหาไถ่ต้องจากไปถึง  3 คน  แต่วันนี้มี  พระสงฆ์ใหม่ 2 คน  คือ

  • คุณพ่อ โจเซฟ ธนพงษ์  สว่างธรรมกุล      (จังหวัดแม่ฮ่องสอน)
  • คุณพ่อ เจมส์  พีรพัทร  วิจิตรวงศ์              (จังหวัดนครสวรรค์)

พิธีมิสซา  เวลา 10.00 น. ณ  วัดพระมหาไถ่  กรุงเทพ

นักบุญอัลฟอนโซ ตั้งคณะพระมหาไถ่ 288 ปี  และมิชชั่นนารี่  4 ท่าน  มากับเรือ  จากรัฐแคลิฟอร์เนีย  ถึงท่าเรือเกาะสีชัง  วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 (72 ปี) วันนี้มีสมาชิกประมาณ  55 คน  ในประเทศไทย

ผมมีโอกาสไปคุกเข่าต่อหน้าตู้ศีลมหาสนิท  และรูปพระเยซูเจ้ากางแขนสู่ฟ้า  เตือนใจให้เราต้องรักศีลมหาสนิทยิ่งขึ้น  และอธิฐานภาวนามากขึ้น  “เพราะ ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่ คนงานมีน้อย”

ขอบคุณพระเจ้า  ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนสนับสนุนให้มีกระแสเรียกในประเทศไทย

ท่านเป็นสงฆ์นิรันดร์

เพื่อดำเนินชีวิตอยู่ในโลก

โดยมิได้ปรารถนาหาความสุขแบบโลก

เป็นสมาชิกของแต่ละครอบครัว

แต่มิได้เป็นของครอบครัวใด

เพื่อร่วมความทุกข์  กับทุกคน

เพื่อเจาะถึงความลับทุกประการ

เพื่อเยียวยารักษาทุกบาดแผล

เพื่อนำมนุษย์ไปหาพระเจ้า

และถวายคำภาวนาของพวกเขา  แด่พระองค์

เพื่อนำพระพรจากพระเจ้ากลับมาให้มนุษย์

เพื่อนำการอภัย   และความหวัง

โดยมีหัวใจ  ที่รัก เมตตา

และหัวใจที่รักษาความบริสุทธิ์

เพื่อสั่งสอน  และเพื่อให้อภัย

ให้กำลังใจ  และอวยพรเสมอ

ช่างเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์…ของท่าน

พระสงฆ์ของพระเยซูคริสตเจ้า

(ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์)
ขอขอบคุณรูปถ่ายของคุณ Chaiyo Kitkrailard

(คำสอน 5 นาที) จงยื่นมือช่วยคนยากจน (บสร 7: 32)

(คำสอน 5 นาที) จงยื่นมือช่วยคนยากจน (บสร 7: 32)

เมื่อวันที่  13 มิถุนายน 2020 วันฉลองนักบุญอันตน  แห่งปาดัว  สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ออกสาส์น  วันสากลระลึกถึงคนยากจน  (ครั้งที่ 4)  ตรงกับ วันอาทิตย์  ที่  (33 เทศกาลธรรมดา)  15 พฤศจิกายน  2020

            “จงยื่นมือมือช่วยคนยากจน” (บสร 7.32) เป็นกฎที่เราควรปฏิบัติในชีวิต  ช่วยเราให้มองข้ามอุปสรรคแห่งความเมินเฉย  ความยากจนมีหลายรูปแบบ ที่เราควรใส่ใจในแต่ละสถานการณ์ ทำให้เรามีโอกาสพบปะพระเยซูเจ้าในบรรดาพี่น้องชายหญิงผู้ต่ำต้อยที่สุด (เทียบ  มธ 25:40)

  1. ในพันธสัญญาเดิม หนังสือบุตรสิรา  กล่าวว่า  “จงมีใจเที่ยงตรงและมั่นคง  อย่าตกใจเมื่อตกทุกข์ได้อยาก  จงยึดพระองค์ไว้  อย่าพรากจากพระองค์ไปเลย  เพื่อท่านจะได้รับเกียรติในวันสุดท้ายของท่าน… จงวางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงช่วยเหลือท่าน จงเดินตามทางตรง  และมีความหวังในพระองค์..จงรอรับพระเมตตา” (บสร 2:2-7)
  2. หัวข้อประจำปีนี้  มาจาก  บสร 7:29-36  การภาวนาต่อพระเจ้าแล้วต้องเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกับคนยากจน  และผู้กำลังทนทุกข์  เราต้องใจดีช่วยเหลือคนจน
  3. ความใจกว้าง หมายถึง การช่วยเหลือคนอ่อนแอ  ให้กำลังใจผู้มีความลำบาก  บรรเทาใจผู้มีความทุกข์  และฟื้นฟูศักดิ์ศรี   การมุ่งช่วยคนจนเป็นสิ่งยาก  แต่จำเป็น ไม่ใช่เป็นแค่คำพูดสวยๆ  แต่ต้องอุทิศตนเป็นรูปธรรม  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ “ (ยน 12:8)
  4. เราจะช่วยคนยากจนทั้งฝ่ายร่างกาย และจิตวิญญาณได้อย่างไร  เป็นหน้าที่ของชุมชนคริสตชน  เราต้องดำเนินชีวิตมีจิตใจยากจน  ตามที่พระเยซูเจ้าสอน เพื่อพิทักษ์คุ้มครอง  สนับสนุนพวกเขา  และเชิญเขามาร่วมชีวิตในชุมชน
  5. เราสามารถยื่นมือออกไปช่วยคนยากจน…ทุกวัน  มิใช่เมินเฉย  ต่อคนข้างบ้าน  มีข่าวร้ายในหน้าหนังสือพิมพ์  เวปไซท์  และโทรทัศน์  ทำให้ดูเหมือน  ความชั่วครองโลก  ความรุนแรง  การละเมิด  และการทุจริต  มิใช่ข้ออ้างให้เมินเฉย  แต่เราต้องก้าวต่อไป   และมีความหวัง
  6. การยื่นมือออกไป เป็นเครื่องหมายถึงความใกล้ชิด  เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน  และความรัก  ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  ทั่วโลกตกเป็นเหยื่อของไวรัสที่นำความเจ็บปวด  ความตาย  ความสิ้นหวัง  และความยากลำบาก  เราเห็นหลายคนยื่นมือออกช่วยเหลือบรรดาผู้ป่วย  เช่น  บรรดาแพทย์  พยาบาล  เภสัชกร  พระสงฆ์  อาสาสมัคร  ทำกิจการดีมากมาย…  เพื่อช่วยเหลือ  และให้กำลังใจ
  7. ในช่วงการแพร่ระบาด  ยิ่งมีผลกระทบต่อคนยากจน  เราเห็นข้อจำกัดของเรา ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน  ยิ่งทำให้รู้สึกถึงภราดรภาพ  การเคารพ  และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เราต้องหันมาสร้างวัฒนธรรมดูแลสิ่งแวดล้อม  (เลาดาโตซี 229)  ต้องร่วมกันรับผิดชอบแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ  และการเมือง ซึ่งยังคงมีต่อเนื่อง
  8. “จงยื่นมือช่วยคนจน”  ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย…จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก … จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง  …จงแบ่งเบาภาระของกันและกัน (กท 5:13- 14;6:2)  “อย่าเบือนหน้าหนีคนที่ร้องไห้  อย่ารีรอที่จะไปเยี่ยมคนเจ็บไข้”  (บสร 7:34-35)
  9. อย่าเอามือใส่กระเป๋า  อย่าเมินเฉย  และชอบวิพากษ์วิจารณ์  “จงยื่นมือช่วยคนยากจน”  อย่ามีวิถีชีวิตที่ไม่สนใจผู้อื่น  คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว  ไม่สนใจเสียงร้องของคนยากจน  เราจะไม่มีความสุข  จนกว่าจะเป็นเครื่องมือแห่งความยุติธรรม  และสันติสุขในโลก
  10. “ไม่ว่าจะทำสิ่งใด  จงระลึกถึงบั้นปลายชีวิต” (บสร 7:36) จะช่วยเราให้ช่วยเหลือคนจน  ด้วยความรัก  กล่าวคือ  แบ่งปัน  อุทิศตน  และรับใช้  ขอพระนางมารีย์  มารดาของคนยากจน… ช่วยเราให้ “ ยื่นมือออก”ให้คนยากจนสัมผัส  ภราดรภาพ

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์ สรุป
(15/6/2020 )

บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดาปี A

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดาปี A

“ความเป็นบุคคลทั้งครบของพระเยซูเจ้าเมื่อทรงอยู่ในโลกนี้ก็คือ ‘กิจการแห่งความรัก’ ดังนั้น เราสามารถให้ข้อสรุปความเชื่อของเราด้วยเพียงสองคำ คือ พระเยซูเจ้า และความรัก” พระดำรัสของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2005 ในช่วงใกล้ๆจบสิ้นปีแห่งศีลมหาสนิท ที่จริงแล้ว เราอาจลืมสิ่งอื่นๆ ในหนังสือพระคัมภีร์และเพียงแต่ดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติแห่งความรักของพระเยซูเจ้า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” (ยน 15:12) เราก็จะทำให้ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในกฎหมาย ในคำสอนของบรรดาประกาศก และในพระวรสารเกิดผลอย่างเต็มที่ จงจำไว้ว่าพระเยซูเจ้าทรงมอบหมายภารกิจเดียวให้เราคือ “รัก”

พระเยซูเจ้าทรงทราบถึงอันตรายของการรักแค่ตามกฎหมาย พระองค์จึงทรงวิพากษ์ความรักต่อกฎหมายของโมเสสของชาวฟาริสี เพราะว่าการกระทำเช่นนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการทำลาย “กฎแห่งความรัก” มากที่สุด พระวรสารของวันนี้อธิบายการทดสอบพระเยซูเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายของพวกฟาริสี ก่อนที่พระองค์จะทรงบอกว่าพวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด (มธ 23) ความรักต่อกฎหมายอย่างไร้สาระของพวกฟาริสีเห็นได้ชัดจากคำถามของเขา “บัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” ขอเตือนก่อนว่า พวกฟาริสีได้แบ่งกฎหมายของโมเสสเป็น 613 ข้อบัญญัติ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบัญญัติข้อใหญ่หรือเล็กจะมีบทลงโทษที่คู่ควรกัน ควบคู่มาด้วย

พระเยซูเจ้าทรงตอบพวกเขาโดยอ้างจาก 2 แหล่งของภาคพันธสัญญาเดิม คือ (a) จาก ฉธบ 6:5 “ท่านต้องรักองค์พระเป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน” และ (b) จาก ลวต 19:18 “ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”

บทบัญญัติข้อแรก หรือส่วนแรกมาจาก Shema หรือการประกาศความเชื่อที่ผู้ชายชาวยิวทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจที่จะท่องออกมาทั้งตอนเช้า กลางวัน และกลางคืน (ฉธบ 6:4-9) แต่ของพระเยซูเจ้าทรงเน้นความสำคัญทั้งสองภาค หรือกล่าวได้ว่าทรงให้ความสำคัญภาคที่สองเท่าๆกับภาคแรก สรุปคือ เราไม่สามารถรักพระได้โดยที่เราไม่รักเพื่อนพี่น้องของเรา และในทางกลับกันด้วย

การเข้าใจเรื่องรักเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องที่คนเข้าใจไม่เหมือนกัน สำหรับพระเยซูเจ้า เพื่อนมนุษย์หมายถึงคนที่กำลังจะตายเพราะถูกทำร้ายนอนอยู่กลางถนน ในอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี อนึ่ง ในบทอ่านแรกของอาทิตย์นี้มาจากหนังสืออพยพบอกว่าเพื่อนมนุษย์ของชาวยิวคือคนต่างชาติ หญิงม่าย ลูกกำพร้า และคนยากคนจน เราควรจะพิจารณาด้วยว่าคนเหล่านี้เป็น “เพื่อนมนุษย์” ของเราหรือไม่

นักบุญออกัสตินได้เขียนไว้ว่า “จงรัก และจงทำสิ่งที่คุณพอใจ” ความหมายที่ท่านต้องการหมายถึงก็คือ ใครที่รักอย่างแท้จริง ย่อมไม่สามารถทำสิ่งที่ผิดได้ แต่ในปัจจุบัน เราอาจจะเห็นในสื่อชนิดต่างๆ ที่เปรียบเทียบความรักเท่ากับเรื่องเพศ ความพึงพอใจ อารมณ์ความรู้สึก และประโยชน์นิยม ซึ่งถือว่าเป็นการบิดเบือนความเข้าใจในเรื่องความรักของเรา มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อ Love Story ออกฉายในปี ค.ศ. 1970 ทำมาจากนวนิยายของ Erich Segal มีคำพูดในภาพยนตร์ที่ทำให้คนจดจำได้ คำนั้นคือ “รัก ต้องไม่มีคำว่า เสียใจ” แต่อันที่จริง คู่รักมักจะพูดคำว่า “ฉันเสียใจ” ค่อนข้างบ่อย เพราะความบกพร่องบ้าง ความผิดพลาดบ้าง นี่ทำให้เราเริ่มตระหนักว่า เรายังอยู่ห่างไกลจากคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน”

พระเจ้า-พระเยซูเจ้า ทรงเป็นความรัก ภาพของพระเยซูเจ้าที่ทรงโน้มองค์ลงล้างเท้าบรรดาอัครสาวก และพระวรกายที่โชกไปด้วยพระโลหิตขณะทรงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์ที่สูงส่งที่สุดของความรัก มีเรื่องของหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งในประเทศอินเดีย เธอมีลูกชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งมีความพิการทางสมองอย่างรุนแรง และเพื่อที่เธอจะมีเวลาดูแลลูกสาวเล็กๆอีกสองคนของเธอ จึงจำเป็นต้องส่งลูกชายไปอยู่ศูนย์ที่ช่วยดูแลผู้พิการทางสมอง ที่ดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนา แต่หลังจากส่งลูกชายไปอยู่ที่ศูนย์นี้ได้เพียงสองสามวัน แม่ม่ายคนนั้นร้องไห้กลับไปที่ศูนย์ ไปหาพระสงฆ์ที่ดูแลศูนย์พูดว่า “คุณพ่อคะ ฉันเสียใจค่ะ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลูกชายอยู่ด้วย ฉันขอนำตัวเขากลับไปอยู่ด้วยนะคะ” แต่นั้นมา จนทุกวันนี้ แม้เด็กชายคนนั้นจะมีพฤติกรรมที่รุนแรง และกรีดร้องบ่อยๆ (เพราะความผิดปกติของสมอง) แต่ก็จะเห็นผู้เป็นแม่อยู่เคียงข้าง คอยเอาใจใส่เขาด้วยความรัก นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่ยินดีรับใช้ และเสียสละอุทิศตนที่น่ายกย่องจริงๆ และเป็นความรักในแบบที่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึง

พระวาจาของพระเจ้าวันนี้เตือนใจเราให้ประกาศ “ข่าวดี ที่ว่า พระเจ้า-พระเยซูเจ้า ทรงเป็นความรัก” เราจะสามารถทำให้ความรักของเราเป็นท่วงทำนองของดนตรีอันไพเราะผสานกับความรักของพระเยซูเจ้าได้หรือไม่

(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2017
Based on : Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดาปี A

หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา พระวรสารโดยนักบุญมัทธิว ได้เล่าถึงเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงตอบโต้กับบรรดาหัวหน้าสมณะ ผู้อาวุโสของประชาชน พวกฟาริสี และพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรด และในพระวรสารของอาทิตย์นี้ยังรายงานว่า พระองค์ได้ทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป พวกฟาริสียินดียิ่งนักในเรื่องนี้ เพราะสองพวกนี้มีจุดยืนทางความเชื่อบางอย่างที่แตกต่างกัน กระนั้นก็ดี พวกฟาริสีก็ยังอยากเอาชนะพระเยซูเจ้า พวกเขามาชุมนุมกันและให้คนหนึ่งซึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมายมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ”

ในสมัยนั้นมีความพยายามที่จะแสวงหาข้อสรุปว่าอะไรเป็นบัญญัติเอก ที่บัญญัติข้ออื่นๆ ต้องขึ้นตรงต่อบัญญัตินั้น พระเยซูเจ้าตรัสตอบได้ทันทีว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระเป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอก” โดยทรงยกข้อความนี้มาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ข้อความนี้ชาวยิวทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เป็นคำพูดที่ชาวยิวจำติดใจในการที่จะต้องประกาศความเชื่อของตน ผู้นับถือศาสนายิวจะภาวนาด้วยคำเหล่านี้ในตอนเช้า และในเวลาค่ำเรื่อยไปจนตลอดชีวิต มันเป็นประโยคแรกที่เด็กชาวยิวต้องเรียนรู้ และชาวยิวทุกคนหวังว่าจะเป็นประโยคสุดท้ายที่เปล่งออกมาก่อนสิ้นลมปราณ

ดังนั้น คำตอบเพียงเท่านี้ก็เป็นที่พึงพอใจของบัณฑิตทางกฎหมาย และพวกฟาริสีแล้ว แต่ช้าก่อนยังมีมากกว่านั้น พระเยซูเจ้าทรงบอกว่านั่นเป็นเพียงข้อแรก ข้อที่สองทรงอ้างจากหนังสือเลวีนิติในพันธสัญญาเดิมเช่นกัน “ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” พวกเขาคงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่พระองค์ทรงนำทั้งสองข้อมาไว้รวมกัน

ณ ที่นี้เอง ที่พระเยซูเจ้าทรงอธิบายถึงขาทั้งสองข้างของชีวิตคริสตชนที่สมบูรณ์ บางคนคิดจะยืนด้วยขาเพียงข้างเดียว เขารักพระแต่ไม่รักเพื่อนมนุษย์ เขาต้องการมีชีวิตจิตที่เป็นส่วนบุคคล เป็นส่วนตัว ไม่ขึ้นกับโลก แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเราให้มาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมแห่งความเชื่อ คือพระศาสนจักร เพื่อที่จะแผ่ขยายพระเมตตารักของพระองค์ไปยังผู้อื่น และเป็นเครื่องมือนำสันติภาพของพระองค์

บางคนอาจทำตรงกันข้าม เขาอาจจะรักพี่น้องเพื่อนมนุษย์ แต่ไม่มีสัมพันธภาพใดๆ กับพระ บางครั้งเราอาจจะได้ยินคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นคนดี ฉันไม่ขโมย ฉันไม่ทำร้ายใคร ฉันช่วยเหลือเพื่อนบ้านของฉัน” แต่แท้จริงแล้ว ในฐานะคริสตชน เราได้รับการเรียกมาให้มีความสัมพันธ์ที่มีชีวิตกับพระคริสตเจ้า เราถูกเรียกมาให้มีประสบการณ์การอยู่ร่วมกันแบบ พระตรีเอกภาพ ซึ่งเป็นขั้นของชีวิตเหนือธรรมชาติ

มีเรื่องเล่าว่า นักหนังสือพิมพ์ชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งประกาศตนว่าเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ต้องการไปเยี่ยมศูนย์ดูแลคนโรคเรื้อน ที่ซิสเตอร์นักบวชคณะหนึ่งทำงานอยู่ ทั้งนี้ เพราะเขาต้องการจะรายงานตรงเพื่อให้ข้อมูลและเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านของเขา เมื่อนัดหมายไว้แล้ว เขาก็ไปที่นั่น คุณแม่อธิการออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง พาเขาไปดูสถานที่โดยรวม และดูคนโรคเรื้อนที่อยู่ในศูนย์ด้วย ตามที่เราทาบว่า โรคเรื้อนเป็นโรคที่น่าสะพรึงกลัวมาก นักหนังสือพิมพ์นั้นแต่แรกเมื่อเห็นก็ตกใจ และอยากจะถอนตัวด้วยซ้ำ แต่เขาก็ประทับใจมากกับการอุทิศตนของซิสเตอร์คนหนึ่ง เขาเห็นว่าซิสเตอร์คนนั้นคอยดูแลเอาใจใส่คนโรคเรื้อนเหล่านั้นอย่างร่าเริง ทำด้วยความรักความเมตตาอย่างเห็นได้ชัด เธอปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนที่น่ารักน่าเทิดทูนที่สุดในโลก เขารู้สึกประหลาดใจมาก ทนความสงสัยไว้ไม่ไหว จึงพูดกับซิสเตอร์นั้นว่า “ซิสเตอร์ครับ เป็นผมจะไม่ทำงานนี้ แม้จะให้เงินเป็นล้านก็ตาม” ซิสเตอร์ยิ้ม และพูดว่า “ฉันก็เช่นกันค่ะ” และเธอก็หันไปเอาใจใส่คนไข้เหล่านั้นต่อไป ชายนั้นตกตะลึงนิ่งอยู่สักครู่ พลางครุ่นคิดได้ว่าบรรดาซิสเตอร์เหล่านี้ไม่ได้ทำงานรับใช้นี้เพื่อเห็นแก่เงิน แต่เพราะพวกเธอมีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า บทพิสูจน์ที่ชัดแจ้งของความรักต่อพระเจ้าก็คือการรับใช้ประชากรของพระ โดยเฉพาะในบรรดาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ที่ไม่มีอำนาจ และที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ กล่าวโดยสรุป ต่อมานักหนังสือพิมพ์คนนั้นกลับมารับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน โดยเขากล่าวว่า “ศาสนาที่สอนการอุทิศตนอย่างแท้จริง โดยปราศจากการคิดถึงตนเอง เพื่อบริการรับใช้บรรดาคนที่ต่ำต้อย คนที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เช่นนี้ ต้องเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ ทำให้ฉันเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีอยู่จริง ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของเราทั้งมวล และความรักของพระองค์แผ่ไพศาลออกไปแบบไม่มีขอบเขต” (- เรื่องเล่าจาก Your Word, O Lord, Are Spirit, and They Are Life – Year A ; โดย Fr James Valladares)

ดังนั้น พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้ดำรงชีวิตคริสตชนที่สมบูรณ์แบบ คือรักพระอย่างที่สุด และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง เราต้องยืนด้วยขาแห่งความมั่นคงทั้งสองข้างนี้

เลิกเป็นกระต่ายขาเดียวสักที

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2008)