ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนงานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุขแก่เครือข่ายพระสงฆ์พุทธ 3 จังหวัด

ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนงานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุขแก่เครือข่ายพระสงฆ์พุทธ 3 จังหวัด

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 แผนกกลุ่มชาติพันธุ์ฯ ภายใต้ฝ่ายงานสังคมสังฆมณฑลเชียงใหม่
ร่วมกับ ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนเครือข่ายชาติพันธุ์จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนงานคุ้มครองสิทธิบริการสาธารณสุขแก่เครือข่ายพระสงฆ์พุทธ จากจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงรายและจังหวัดลำพูน ร่วมกับ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ เพื่อพัฒนาระบบคุณภาพบริการสาธารณสุขและคุ้มครองสิทธิ์ให้ดียิ่งขึ้น

Kingkeaw Chantip

การแปลสมณสาส์น “ทุกคนเป็นพี่น้องกัน”

การแปลสมณสาส์น “ทุกคนเป็นพี่น้องกัน”

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ประกาศพิมพ์พระสมณสาส์น ฉบับใหม่ ชื่อ ทุกคนเป็นพี่น้องกัน (Fratelli Tutti )  เกี่ยวกับภราดรภาพ  และมิตรภาพทางสังคม   เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม  ค.ศ. 2020    เนื้อหามี 8 บท  จำนวน 287 ย่อหน้า (198 หน้า)  เซอร์มารี หลุยส์ พรฤกษ์งาม (SPC) กำลังแปล ได้ 220 ย่อหน้าแล้ว  ขอบคุณเซอร์มากที่ช่วยเร่งแปล  ผมขอนำคิด 3 ย่อหน้าแรก มาเสนอในสถานการณ์ปัจจุบัน

สมณสาส์น ทุกคนเป็นพี่น้องกัน (FRATELLI TUTTI)

  1. ทุกคนเป็นพี่น้องกัน” เป็นข้อความของนักบุญฟรังซิสอัสซีซี [1] ที่เขียนถึงบรรดาพี่น้องชายหญิงของท่าน เพื่อเสนอวิถีการดำ เนิน ชีวิตที่สอดคล้องกับพระวรสาร ในบรรดาคำแนะนำของท่านนั้น ข้าพเจ้า ขอเน้นประการหนึ่งที่ท่านนักบุญได้เชื้อเชิญให้เข้าสู่ความรักที่ก้าวข้าม อุปสรรคด้านภูมิศาสตร์และพื้นที่ ท่านประกาศว่าเป็นบุญของผู้ที่รัก ผู้อื่น “ได้มากเท่ากัน ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันหรืออยู่ด้วยกัน” [2] กล่าว โดยสรุปคือ ท่านนักบุญได้แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของภราดรภาพที่ เปิดกว้าง ยอมรับ ให้คุณค่า และรักทุกผู้ทุกคน โดยเป็นอิสระจาก ความใกล้ชิดทางกายภาพ และไม่ว่าบุคคลนั้นจะเกิดที่ไหน หรืออาศัย อยู่ที่ใดก็ตาม
  2. ท่านนักบุญฟรังซิส ซึ่่งเป็นนักบุญแห่งความรักฉันพี่น้อง ความ เรียบง่ายและความชื่นชมยินดี ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเขียน สมณสาส์น “ขอสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า” (Laudato si’) และ ในครั้งนี้ ท่านนักบุุญได้ผลักดันข้าพเจ้าให้อุทิศสมณสาส์นฉบับใหม่นี้ เพื่อภราดรภาพและมิตรภาพทางสังคม อันที่จริง ท่านนักบุุญฟรังซิส รู้สึกว่าตัวท่านเป็นพี่่น้องกับดวงอาทิตย์ ทะเล และสายลม และท่าน ยังเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ท่านได้หว่านสันติภาพ ไปทั่ว และเดินเคียงข้างกับผู้ยากจน ผู้ถูก ทอดทิ้ง ผู้ป่วย ผู้อยู่ชายขอบ สังคม และพี่น้องผู้ต่ำต้อยทั้งหลาย

    ปราศจากพรมแดน

 3. ช่วงหนึ่งในชีวิตของท่านนักบุญฟรังซิส ได้แสดงให้เราเห็นถึง หัวใจของท่านที่ไร้พรมแดน ท่านสามารถก้าวข้ามระยะห่างเรื่อง ต้นกำ เนิด เชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา เมื่อครั้งที่ท่านไปเยี่ยมสุลต่าน มาลิค เอล กามิล (Malik-el-Kamil) ในอียิปต์ ซึ่งเป็นการเดินทาง ที่ท่านต้องใช้ความพยายามมาก เพราะความยากจนของท่าน รวมทั้ง ระยะทางที่ห่างไกล แตกต่างทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และศาสนา การเดินทางเช่นนี้ในช่วงประวัติศาสตร์ที่มีสงครามครูเสด ยิ่งแสดง ให้เห็นมากยิ่งขึ้นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่ท่านปรารถนาจะเป็น ประจักษ์พยาน และต้องการโอบกอดมนุษย์ทุกคน ความซื่อสัตย์ของ ท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับความรักที่ท่านมีต่อ พี่น้องชายหญิง แม้ว่าท่านนักบุญฟรังซิสทราบดีถึงความยากลำ บาก และภยันตราย แต่ท่านก็เดินทางไปพบสุลต่าน ด้วยท่าทีแบบเดียวกับ ที่ท่านได้ขอร้องบรรดาศิษย์ของท่าน คือไม่ปฏิเสธอัตลักษณ์ของพวกเขา เมื่อ “อยู่ท่ามกลางชาวมุสลิม (Saracens) และผู้ที่ไม่เชื่อ…ต้อง ไม่ทะเลาะวิวาท แต่ยอมอยู่ใต้มนุษย์ทุกคน เพราะเห็นแก่พระเจ้า” [3] ในบริบทเช่นนี้ จึงเป็นคำสั่งสอนที่พิเศษ หลังจากเวลาผ่านไป 800 ปีแล้ว เรารู้สึกประทับใจว่านักบุญฟรังซิสเชื้อเชิญให้หลีกเลี่ยงความ ก้าวร้าวหรือความขัดแย้งทุกรูปแบบ รวมทั้งให้ดำ เนินชีวิต “ยอมตน” อย่างสุภาพและเป็นพี่น้อง ทั้งต่อผู้ที่มิได้มีความเชื่อเดียวกัน

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์

กิจกรรมวันคนยากจนโลก World Day of the Poor วัดนักบุญเปาโลแม่สะเรียง

กิจกรรมวันคนยากจนโลก World Day of the Poor วัดนักบุญเปาโลแม่สะเรียง

เมื่อวันที่ 15 พย. วันอาทิตย์เช้าตรู่ตี 5 ตัวแทนจากฝ่ายสังคม ฝ่ายแพร่ธรรมและสำนักมิสซัง ครูคำสอนและซิสเตอร์ ได้ออกเดินทางจากวัดนักบุญเปาโลแม่สะเรียงมุ่งหน้าไปยังแม่สะแลบ สาละวิน ด้วยระยะทาง 65 กม ไปถึงหมู่บ้าน ท่าตาฝั่งที่ตั้งอยู่รืมแม่ย้ำสาวลวิน เพื่อแจกหน้ากากอนามัย 2,000 กว่าชิ้นพร้อมทั้งแอลกอฮอล เยลและข้าวสารแก่ผู้ยากไร้ เนื่องจากวันนี้ เป็นวันคนยากจนโลก World Day of the Poor (Our world day of the poor celebration today).

หลังจากเล่นเกม ยังให้อาหารฝ่ายจิต ผ่านสาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส แล้วฉลองด้วยกันด้วยอาหารที่อร่อย หลังจากนั้นพวกเราได้แจกตามบ้านมีทั้ง ข้าว น้ำมัน น้ำปลา นม ขนม หมูหยอง และไข่ ให้กับ 30 ครอบครัว

และคณะโฟโกลาเร่ เชียงใหม่ ก็ร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน วันที่โป๊ปฟรังซิสทรงขอให้เราสนใจช่วยเหลือคนจนอย่างเป็นรูปธรรม

บทเทศน์บทรำพึง
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A

บทเทศน์บทรำพึง สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A

หัวข้อ : เวลา (Time) พรสวรรค์ (Talents) และทรัพย์สมบัติ (Treasures)

นักไวโอลินผู้เป็นตำนานชาวอเมริกันนามว่า เยฮูดี เมนูฮิน (Yehudi Menuhin) เมื่ออายุแค่ 7 ขวบได้แสดงไวโอลิน คอนแชร์โตของเมนเดลส์โซห์น (Mendelssohn’s Violin Concerto) ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว และเมื่ออายุ 10 ขวบได้แสดงเดี่ยวไวโอลินที่ Royal Albert Hall ของกรุงลอนดอน ซึ่งปรากฎการณ์ครั้งนี้ทำให้อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งมานั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับกระซิบกับเด็กน้อยแสนมหัศจรรย์คนนี้ว่า “วันนี้ เธอได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่ามีพระเป็นเจ้าสถิตในสวรรค์จริงๆ” เป็นความจริงที่ว่า เมื่อเราประสบเรื่องของพรสวรรค์ที่พัฒนาขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรามักจะนึกไปถึงพระเป็นเจ้า เหมือนเป็นการชิมลางในสวรรค์ก่อนเวลา และพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ทำให้เราตระหนักว่าพระเป็นเจ้าทรงต้องการให้เราใช้พรสวรรค์หรือเงินตะลันต์ และทรัพย์สมบัติของเรา ให้เกิดผลก่อนที่เวลาจะจบสิ้นไป

นักบุญมัทธิวได้จัดวางอุปมาเรื่องเงินตะลันต์นี้ไว้ในบริบทของเวลาสุดท้าย ซึ่งจะเป็นบรรยากาศของความเร่งด่วนและมิได้คาดหวัง เงินตะลันต์หรือพรสวรรค์ไม่ได้เกิดจากความสามารถตามประสามนุษย์ แต่เป็นการมอบให้โดยผู้เป็นนาย ซึ่งวันหนึ่งจะกลับมาโดยไม่ต้องสงสัย แต่จะเป็นเมื่อไรนั้น ไม่มีใครรู้ สิ่งที่เป็นเนื้อหาก็คือผู้นั้นจะต้องนำไปใช้อย่างฉลาดหลักแหลมให้เกิดประโยชน์อย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อจะรายงานสิ่งที่ไปทำให้เกิดผลขึ้นมาเมื่อนายนั้นกลับมา คำว่า “หลังจากนั้นอีกนาน นายจึงกลับมา” บ่งชี้ให้เห็นว่าเวลาสุดท้ายยังไม่มีการระบุอย่างแน่ชัด ไม่จำเป็นต้องหมายถึงว่าจิ่มจวนจะถึงเวลาแล้ว

บรรดาผู้รับใช้ที่สมควรได้รับความไว้วางใจและซื่อสัตย์ คือพวกที่ยอมเสี่ยงและลงทุนลงแรงไป ในขณะที่คนที่ควรได้รับคำตำหนิกลับไปขุดหลุมและฝังเงินไว้ เขาไม่ยอมถอดรหัส “เครื่องหมายของกาลเวลา” คิดแต่ให้ปลอดภัยเท่านั้น เขากลัวการเสี่ยงและการเผชิญหน้ากับความท้าทาย ในความเกียจคร้านของเขาที่คิดเพียงจะมอบสิ่งที่ได้รับมาให้กลับคืนไปโดยไม่บุบสลาย ก็เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง เพราะอะไรก็ตามที่ไม่นำไปใช้ก็จะเสื่อมและตายไปโดยมิต้องสงสัย

อาจตีความอย่างอื่นได้อีกว่า ผู้รับใช้ที่ฝังเงินตะลันต์ไว้ใต้ดินหมายถึงพวกซัดดูสีและฟาริสี ซึ่งเป็นพวกที่เคร่งทางธรรมประเพณี พวกนี้มีทัศนคติแบบคงอยู่กับที่ หยุดนิ่งไม่พัฒนา เหมือนน้ำนิ่งที่เน่าเสีย ซึ่งจะขัดกับอุปมาเรื่องนี้ที่นำเสนอในคำศัพท์เทคนิคที่กล่าวถึงเรื่อง “การมอบให้” เช่นนายเรียกผู้รับใช้มา “มอบทรัพย์สินให้” (มธ. 25:4) คนที่ได้รับห้าตะลันต์นำกลับมา “มอบคืนให้” รวมทั้งที่ทำกำไรด้วย (ข้อ 20) เช่นเดียวกับคนที่ได้รับสองตะลันต์ก็นำมา “มอบคืนให้” ทั้งต้นและกำไรเช่นกัน (ข้อ 22) สรุปคือต้องนำสิ่งที่ได้รับมอบมา นำไปต่อยอดให้บังเกิดผล และนำกลับมา “มอบคืน” ไม่ใช่ “แช่แข็ง” ไว้เช่นนั้น ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ อาจหมายถึง พวกสมณะที่แสวงหาความมั่นคงปลอดภัย หาทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมเดิมๆแค่ตัวอักษร โดยไม่ใส่ใจต่อจิตตารมณ์

ในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลพูดถึง “วันเวลาที่กำหนด” ในบริบทถึงเรื่อง “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ที่นี่ มีเนื้อหาหลักเรื่องของความไม่คาดคิดและความจำเป็นในการเตรียมพร้อมผุดขึ้นมา คำว่า “ขโมยที่มาตอนกลางคืน” และ “โดยฉับพลันเหมือนความเจ็บปวดของหญิงมีครรภ์” ให้ภาพพจน์เป็นรูปหมายที่เน้นถึงหัวข้อเวลาสุดท้ายของโลก

ในบทอ่านแรกและในบทสดุดีส่งเสริมเนื้อหาของกันและกัน โดยบทอ่านแรกอธิบายถึงคุณสมบัติของเหล่าภรรยาที่ต้องมี และบทสดุดีพูดถึงคุณธรรมของเหล่าสามี ทั้งสองฝ่ายต้องมีความยำเกรงในพระเจ้า และทั้งคู่ต้องทำงานหนัก โดยสิ่งนี้เองที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุขและได้รับพระพร

ให้เราหันกลับมามองเรื่อง เวลา พรสวรรค์ และทรัพย์สมบัติจากมุมมองของพระเป็นเจ้า ในสามสิ่งนี้มีสิ่งไหนหรือไม่ที่พระองค์มิได้ประทานให้ พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างตลอดกาล และทรงเป็นเจ้าของพรสวรรค์และทรัพย์สมบัติทั้งมวล ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “อะไรที่เราเป็นคือของขวัญของพระเจ้าที่ทรงมอบให้แก่เรา ส่วนอะไรที่เราจะกลับกลายเป็นคือของขวัญของเราที่จะมอบถวายให้แด่พระเจ้า” จึงเป็นการบังควรมิใช่หรือที่เราจะพัฒนาให้พรสวรรค์ของเรา -ไม่ว่าเป็นส่วนบุคคลหรือเกี่ยวกับเงินทอง- นำไปใช้บริการสังคมมนุษย์อย่างไม่เห็นแก่ตัว และถือเป็นของขวัญมอบถวายคืนแด่พระเจ้า เพราะแท้จริงแล้ว เราเป็นแต่เพียงผู้ดูแลทรัพย์สิน และทุกๆสิ่งต้องส่ง “มอบคืนให้” เวลาที่นายกลับมา

นักเขียนนวนิยายชื่อ ซินแคลร์ ลูอิส (Sinclair Lewis) ครั้งหนึ่งถูกเหล่านักเรียนห้อมล้อมในการให้คำบรรยายเรื่องศิลปะของการเขียน พวกเขาพากันมาบอกว่ามีความปรารถนาลึกๆจะเป็นนักเขียน ลูอิสจึงเริ่มอภิปรายว่า “มีจำนวนมากเท่าไรในพวกเธอที่อยากเป็นนักเขียนจริงๆ” ทุกคนยกมือขึ้น ลูอิสกล่าวต่อว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฉันไม่มีอะไรจะสอนหรือบอกพวกเธอ ฉันมีแค่คำแนะนำว่าจงกลับไปบ้าน และเขียน เขียน เขียน” (write, write, write) เราอาจเพิ่มด้วยคำว่า “จงฝึกปฏิบัติ จงฝึกปฏิบัติ จงฝึกปฏิบัติ” (practise, practise, practise) เพื่อให้ขีดขั้นความสมบูรณ์เพิ่มพูนและแผ่ซ่านเข้าไปในทุกๆพรสวรรค์หรือเงินตะลันต์ที่เราลงทุนไป โดยที่เราต้องเป็นผู้ลงมือทำด้วยตัวเอง แล้วนั้น เราอาจะจะได้ยินถ้อยคำนี้ “จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด”


(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2017
Based on : Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)

บทเทศน์บทรำพึง สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย”

เรื่องอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าให้บรรดาศิษย์ฟังในพระวรสารอาทิตย์นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเรื่องใกล้ตัว

“อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป”

บุรุษผู้นั้นคือพระเยซูเจ้านั่นเอง พระองค์ทรงถูกพระบิดาส่งลงมาในโลกนี้ เพื่อเผยแสดงข่าวดีเกี่ยวกับพระเจ้าและพระอาณาจักรสวรรค์ ครั้นถึงกำหนดเวลาพระองค์ทรงออกเดินทางไกล เสด็จขึ้นสวรรค์ โดยทรงละเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ไว้ในโลกนี้ แต่ไม่ได้ทรงละทิ้งไว้ด้วยมือที่ว่างเปล่า ทรงมอบให้ซึ่งความสามารถในการประกาศข่าวดีแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า โดยที่เราแต่ละคนอาจจะมีความสามารถแตกต่างกันไป หรือได้รับเงินตะลันต์มาในจำนวนที่ไม่เท่ากัน ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินที่ได้รับมา แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหาก

พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง จะทรงดูว่าเราแต่ละคนใช้พรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ไว้อย่างไรบ้าง บรรดานักบุญทั้งหลายในสวรรค์ก็เหมือนกับคนรับใช้ที่หนึ่งและที่สอง พวกเขาได้ใช้พรสวรรค์อย่างเต็มที่ ทำให้มีกำไรกลับมาถวาย เราทุกคนและมนุษย์ทั้งหลายก็น่าจะเป็นอย่างนั้น และน่าจะทำตามอย่างนั้น
แต่พระวรสารตอนนี้ก็ยังเน้นถึงบทบาทหรือท่าทีที่ผิดของผู้รับใช้ที่สามอีกด้วย เขากลัวว่านายเป็นคนดุและเข้มงวด จึงนำเงินที่ได้รับมาไปฝังดินไว้ เพื่อจะได้มาใช้คืนตอนที่นายกลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหาย หรือบุบสลายไปเลย ชายคนนี้อาจอ้างว่าตัวเองได้รับเงินตะลันต์มาน้อย มีแค่หนึ่งเหรียญ จะเอาไปทำกำไรอะไรได้ จึงใช้ข้อนี้เป็นเหตุผลเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อเขาจะได้อยู่อย่างเกียจคร้าน

การได้รับเงินตะลันต์หรือพรสวรรค์จากพระเจ้าสำหรับคนแต่ละคน ซึ่งพระองค์ประทานให้ตามความสามารถ ควรจะนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี การเฉลิมฉลอง และนำไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลอย่างครื้นเครงและร่าเริงบันเทิงใจ เหมือนที่ผู้รับใช้สองคนแรกได้ทำ จนได้รับคำชมเมื่อนายกลับมาว่าเป็น “ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ” ไม่ใช่นำมาซึ่งความหวาดกลัวเหมือนกับผู้รับใช้คนที่สาม ดังนั้น เขาจึงสวมบทบาทของสัปเหร่อ เอาเงินตะลันต์หรือพรสวรรค์ที่พระประทานให้มานั้นไปฝังดินเสีย แทนที่จะจัดงานรื่นเริง คนคนนี้กลับจัดงานศพ

เราจะเห็นถึงท่าทีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างผู้รับใช้คนที่หนึ่ง คนที่สอง ซึ่งต่างกับคนที่สาม โดยพวกแรกที่มีถึงสองคน แม้มีความสามารถต่างกัน และมีพรสวรรค์ไม่เท่ากัน แต่ต่างก็กระตือรือร้นจะมีส่วนร่วมในแผนการแห่งความรอดของพระ แต่พวกหลังเป็นพวกที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆ กับพระเลย

แล้วเราเป็นพวกไหนกันแน่ เราเป็นพวกชอบจัดงานรื่นเริงหรือว่างานศพ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 )

9 พฤศจิกายน
ฉลองวันครบรอบการถวายพระวิหารลาเตรัน

9 พฤศจิกายน ฉลองวันครบรอบการถวายพระวิหารลาเตรัน

(The Dedication of the Lateran Basilica, feast.)

วันนี้เป็นวันฉลองการถวายพระวิหารของนักบุญยอห์น แห่งลาเตรันในกรุงโรม ซึ่งเป็นประดุจ “มารดาและนายหญิงของวัดทั้งหลายในเมืองและในโลกนี้” เพราะว่าเป็นธรรมาสน์ขั้นสังฆราชาขององค์พระสันตะปาปา ในฐานะที่ทรงเป็นสังฆราชของกรุงโรม พระวิหารนี้จึงอยู่ในอันดับสูงกว่าพระวิหารนักบุญเปโตร (วาติกัน)

พระนาง Fausta ซึ่งเป็นพระคู่ครองของจักรพรรดิคอนสแตนตินผู้ยิ่งใหญ่ ได้ทรงมอบวังลาเตรันของพระนางถวายแด่นักบุญ Miltiades, พระสันตะปาปา ราวปี ค.ศ. 313 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.324 นักบุญซิลเวสเตอร์ที่ 1 พระสันตะปาปา ได้ทำการเสกอย่างสง่าในภาคส่วนที่เป็นบาสิลิกาขององค์พระผู้ไถ่ผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด (ชื่อเดิม = the Basilica of the Most Holy Saviour) – เป็นการเสกวัดต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกของพระศาสนจักร พิธีทั้งหมดอาจจะเป็นแบบเรียบๆง่ายๆในเวลานั้น แต่ต่อมาที่มีการเสกวัดอย่างสง่าที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทางพิธีกรรมจนถึงปัจจุบันนี้ มีหลักฐานเป็นที่รับรู้ว่าได้ใช้มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 ในส่วนของวังลาเตรันที่เหลือ(ที่ไม่ได้เป็นเขตพระวิหาร) ก็เป็นวังที่ประทับของบรรดาพระสันตะปาปามากกว่า 1,000 ปีนับแต่นั้นมา และปัจจุบันก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์

ในช่วงศตวรรษที่ 4-16 มีการประชุมสภาสังคายนา 5 ครั้ง ประชุมซีโน้ด 20 ครั้ง ที่จัดขึ้นในบาสิลิกาหลังนี้ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นพระวิหารนักบุญยอห์น แห่งลาเตรัน เพื่อเทิดเกียรติแด่นักบุญยอห์น บัปติสต์ และนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร ที่จริงแล้ว ลาเตรันได้เป็นเหมือนโลกของคาทอลิกในอดีต ดุจดังที่วาติกันกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คือเป็นที่ตั้งธรรมาสน์ของการตัดสิน และเป็นศูนย์กลางการปกครองของพระศาสนจักร

โครงสร้างของพระวิหารหลังเดิมและต่อๆมาเสียหายไปหมด เพราะสงคราม เพราะแผ่นดินไหว และเพราะเปลวไฟ หลังที่เป็นบาโรค(Baroque) ทั้งหมดที่ทำขึ้นมาใหม่รวมทั้งการตกแต่งดังที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ดำเนินการโดย ฟรานเชสโก บาร์โรมินี (Francesco Barromini) ในสมณสมัยพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 (Pope Innocent X) ในปี ค.ศ. 1646 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพระวิหารที่สง่างามมากที่สุดของกรุงโรม โดยมีหอคอยด้านหน้าอาคารใหญ่ ที่สร้างโดย อเล็กซานเดอร์ กาลิเลอี (Alexander Galilei) ในปี ค.ศ. 1735 ประดับด้วยรูปปั้นใหญ่มหึมา 15 รูป ซึ่งมีพระรูปพระคริสต์อยู่ตรงกลาง ขนาบสองข้างด้วยรูปนักบุญยอห์น บัปติสต์ และนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร และนักปราชญ์ของพระศาสนจักรอีก 12 องค์ ในบรรดาพระธาตุสำคัญๆ ที่เก็บรักษาไว้ในสักการสถานยิ่งใหญ่ของคริสตชนแห่งนี้ ได้รับการบอกกล่าวกันมาว่ามีส่วนศีรษะของนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล ซึ่งบรรจุไว้ภายในกล่องเงินแท้ อยู่ภายใต้พระแท่นถวายบูชาตรงกลาง ยังมีเศษของโต๊ะไม้เล็กๆ ที่นักบุญเปโตรได้เคยถวายบูชามิสซาในบ้านของ Pudens และพระธาตุไม้จากโต๊ะที่ใช้ในการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ด้วย

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ครบรอบ 1 ปีที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จเยือนไทย

ครบรอบ 1 ปีที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จเยือนไทย

วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้เสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อ วันที่ 20-23 พฤศจิกายน ค.ศ.2019 โอกาสครบรอบ 1 ปีที่พระองค์เสด็จเยือน เราจะทำอะไรดี

1. ชมคลิปวีดีทัศน์ ที่สื่อมวลชนได้รายงานมากมาย ท่านสามารถหาได้จากกูเกิ้ล หรือยูทูป มีทั้งแบบสั้น และยาว เป็นพิเศษรายการ Power of Love พลังรัก… สร้างพลังคุณ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2020 ของสื่อมวลชนคาทอลิกฯ ครูคำสอนสามารถจัดฉายให้นักเรียนหรือ ชาวบ้านชมได้

2. ความรักคือคำตอบ เป็นหนังสือรวบรวมสมณโอวาทของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสเสด็จเยือนประเทศไทย สื่อมวชชนคาทอลิกประเทศได้จัดพิมพ์ มี 2 ภาษา คือไทย อังกฤษ รูป 75 ภาพสี่สี 160 หน้า

3. หนังสือ ติดตาม ไตร่ตรอง ตอบสนอง บทเทศน์สอนใจ กระแสพระสมณดำรัส พระสมณโอวาท และคำอวยพร ประทานโดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสฯ แปลเป็นภาษาไทย ภาพ 4 สี่ 41 ภาพ 106 หน้า มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์ จัดพิมพ์

4. สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กำลังจัดพิมพ์ หนังสือที่ระลึก กำหนดออกวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ.2020

5. มิสซาบูชาของพระคุณ วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 เวลา 10.00 น. ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ โอกาสครบรอบปี และพิธีเปิดปีเยาวชนคาทอลิกประเทศไทย

6. บริษัทสยามกลการ กรุงเทพ จัดนิทรรศการครบรอบปีพระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จเยือนไทย ฝ่ายการศึกษาคาทอลิกฯ คุณพ่อเดชา อาภรณ์รัตน์ ประสานงานจัดนักเรียนไปชมนิทรรศการ จากคณะเซนต์คาเบรียล 500 คน วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน คณะซาเลเซียน 500 คน วันพฤหัส ที่ 26 พฤศจิกายน ฝ่ายการศึกษากรุงเทพฯ 500 คน วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน รวม 1500 คน

7. “ช่วงเวลาแห่งพระหรรษทาน แรงบันดาลใจแห่งความหวัง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสเสด็จเยือนประเทศไทย” การแสดงคอนเสิร์ตและ อาหาร ใน วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ที่อาคารสยามกลการ เวลาเย็น (เฉพาะผู้รับเชิญ)
.
8. บทเพลง “ให้รักเป็นสะพาน” (Let Love Be The Bridge) และบทเพลง “คำตอบในใจเรา” ที่รวมนักร้องคาทอลิกมากมาย มาร่วมร้องเพลงนี้ ให้ความเชื่อ ความรัก และความรู้สึกดีๆ

9. คลิปสมณพระดำรัส 8 ประการ ในประเทศไทย (6.42 นาที) สรุปที่พระองค์ตรัส 8 สถานที่และคลิปสรุปพระสมณดำรัสของโป๊ปฟรังซิส แก่ นักบวช ครูคำสอน ที่วัดนักบุญเปโตร สามพราน วันที่ 22 พฤศจิกายน 2019 ( 9.20 นาที )

10. หนังสือร่วมพิธีที่วัดนักบุญเปโตร สามพราน สนามศุภชลาศัย และอาสนวิหารอัสสัมชัญบางรัก ก็เป็นหนังสือที่เราจะนำมาอ่านไตร่ตรองได้

ช่วงเวลาดีๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงขอเชิญชวนท่านไตร่ตรองพระดำรัสของพระองค์อีกครั้ง “ให้รักเป็นสะพาน” ในทุกสถานการณ์ชีวิต

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)

บทเทศน์บทรำพึง
สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดาปี A

บทเทศน์บทรำพึง สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดาปี A

เมื่อประมาณ 1900 ปีที่ผ่านมา ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mt Vesuvius) ปะทุเถ้าลาวาออกมาในประเทศอิตาลี เมื่อการระเบิดของภูเขาไฟนี้ยุติลง เมืองปอมเปอี (Pompeii) ทั้งเมืองจมอยู่ใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟลึกลงไปถึงสิบแปดฟุต

เมืองยังคงจมอยู่สภาพนั้นเรื่อยมาจนถึงยุคสมัยใหม่ เมื่อนักโบราณคดีขุดพบมัน และสิ่งที่พวกเขาได้พบสร้างความฉงนใจให้กับทุกๆคน เพราะมีการพบก้อนขนมปังต่างๆ ที่เป็นเถ้าคาร์บอน ผลไม้ต่างๆที่ยังคงรักษารสเอาไว้ และพวกผลมะกอกที่ยังคงรักษาน้ำมันของตนไว้ได้

แต่มีการค้นพบที่อัศจรรย์มากไปกว่านั้น คือเถ้าของภูเขาไฟได้แช่แข็งผู้คนไว้ในท่วงท่าและตำแหน่งที่อยู่ในขณะที่ประสบหายนะนั้น ร่างกายของผู้คนเหล่านั้นสลายตัวลงไปก็จริง แต่ก็เหลือช่องว่างไว้เบื้องหลังในซากเถ้าถ่านที่แน่นหนานั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญเทน้ำยาปูนปาสเตอร์เข้าไปในช่องว่างเหล่านั้น พวกเขาก็สามารถแยกแยะรูปพรรณสัณฐานของผู้ตกเป็นเหยื่อได้ บางรูปพรรณก็ให้ความรู้สึกที่หลากหลายอารมณ์ เช่น หนึ่งในนั้นพบแม่ที่อายุยังน้อยกอดลูกของเธอไว้แน่นในวงแขน อีกรูปหนึ่งเป็นทหารองครักษ์โรมันที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงที่ประจำการ ถืออาวุธครบมือ เขายังคงสงบและซื่อสัตย์ในหน้าที่จนวาระสุดท้าย และตัวอย่างที่สามพบว่ามีชายคนหนึ่งยืนตรงพร้อมมีดาบอยู่ในมือ ที่เท้าของเขามีกองเงินและกองทองตั้งอยู่ และที่กระจายออกไปรอบๆมีร่างของอีก 5 คน บางทีอาจจะเป็นพวกที่เข้ามาชิงทรัพย์ แต่ถูกฆ่าตายเสียก่อน

ภาพลักษณะของผู้คนและเรื่องราวต่างๆที่ได้จากการเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในช่องว่างนี้สะท้อนภาพอันน่ารันทดซึ่งเป็นสองหัวข้อหลักของพระวาจาพระเจ้าสำหรับอาทิตย์นี้ หัวข้อแรก คือ การมาถึงแบบฉับพลันทันที(the suddenness) ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุดของโลกนี้ และการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าซึ่งจะเข้ามาแทนที่ เหตุการณ์ทั้งสองนี้จะมาโดยปราศจากการเตือน “….. วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน” (1 ธส 5:2) ไม่มีความดีความชอบใดๆจะมาตั้งเงื่อนไขเรียกร้องได้ ไม่สนใจว่าคุณจะรวยหรือจน คุณจะยังเป็นเด็กหรือแก่ คุณจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีคนรู้จัก จะเป็นผิวขาว หรือดำ หรือน้ำตาล เวลาแบบฉับพลันทันทีนั้นจะมาถึงทุกๆคน

และนี่จะนำเราไปสู่หัวข้อที่สองของบทอ่านในวันนี้ ก็คือ การเตรียมพร้อมของเราสำหรับเวลาสุดท้าย เมื่อความตายมาถึงเรา จะพบว่าเราได้เตรียมตัวในห้วงเวลาสุดท้ายอย่างหญิงฉลาดห้าคนนั้นหรือไม่ หรือจะพบว่าเราปราศจากการเตรียมตัวใดๆ เหมือนหญิงโง่ห้าคนนั้น หรือเราจะได้ยินคำตอบที่น่ากลัวเหมือนพวกเขาที่ไปเคาะประตูแล้วได้ยินเสียงตอบออกมาว่า “เราไม่รู้จักท่าน” หรือในเวลาสุดท้ายจะพบว่าเราเป็นเหมือนชายคนที่มือถือดาบแห่งเมืองปอมเปอี ที่กำลังยืนอยู่บนกองเงิน กองทอง ที่ไร้ประโยชน์ หรือจะพบเราว่าเหมือนแม่ที่โอบกอดลูกน้อยไว้ด้วยกิริยาแห่งความรักในห้วงเวลาสุดท้าย หรือจะพบเราเป็นเหมือนนายทหารที่ยังคงค้างอยู่ในท่าทีแสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

ดังนั้นสองหัวข้อที่พระวาจาของพระสอนเราในวันนี้ – เวลาสุดท้ายที่จะมาถึงโดยฉับพลัน และการเตรียมตัวของเราเองในเวลาสุดท้ายนั้น – ก็เป็นหัวข้อที่เตือนสติเรา เป็นหัวข้อที่ทำให้เราฮึกเหิม เป็นหัวข้อที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้ จึงไม่ใช่เป็นหัวข้อที่เราใช้เป็นทางเลือก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราปิดหูไม่รับฟัง เพราะสองหัวข้อนี้รวมพลังเข้าด้วยกันเหมือนดาบสองคม ที่เราพบข้อความในจดหมายถึงชาวฮีบรูเขียนเอาไว้ “พระวาจาของพระเจ้าเป็น….. คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุเข้าไปถึงจุดที่วิญญาณ และจิตใจแยกจากกัน ถึงเส้นเอ็นและไขกระดูก วินิจฉัยความรู้สึกนึกคิดภายในใจได้ จึงไม่มีสรรพสิ่งใดๆซ่อนเร้นไว้เฉพาะพระพักตร์ แต่ทุกสิ่งเปิดเผยอย่างชัดเจนต่อสายพระเนตรของพระผู้ซึ่งเราต้องทูลถวายรายงาน” (ฮบ 4:12-13)

สองข้อสำคัญของวันนี้ – ความฉับพลันทันที และการเตรียมพร้อม – เป็นหัวข้อที่เหมาะที่พระศาสนจักรตั้งไว้ในช่วงท้ายๆ ก่อนจะจบปีพิธีกรรม และเป็นสองหัวข้อเดียวกันนี้ ที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งไว้สำหรับบรรดาอัครสาวกในช่วงบั้นปลายพระชนมชีพของพระองค์

ถ้าเราพิจารณาตนเองแล้วเห็นว่าเป็นพวกของหญิงโง่มากกว่า ก็อย่าหมดกำลังใจ เพราะยังมีเวลาที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ แล้วถ้าหากว่าเราเป็นพรรคพวกเดียวกับหญิงฉลาดอยู่แล้ว จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระหรรษทานต่างๆ และปรีชาญาณที่ทำให้เราเฝ้าติดตามพระวาจาของพระองค์เสมอมา

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ แปลและเรียบเรียงใหม่เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A ; by Mark Link, SJ)

บทเทศน์บทรำพึง สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดาปี A

หัวข้อ : แผ่นดินไหว และ วาระสุดท้ายของโลก

การทำลายล้างครั้งร้ายแรงทางธรรมชาติมักเกิดขึ้นโดยกะทันหัน และอย่างเงียบๆ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2005 ก็ดูเหมือนเป็นวันหนึ่งเหมือนวันอื่นในประเทศปากีสถานและในแคว้นจามมูและแคชเมียร์ของประเทศอินเดีย จนกระทั่งเกิดแผ่นดินสั่นตัวอย่างแรง และตึกใหญ่ๆสูงๆพังทลายร่วงหล่นลงมาเหมือนกล่องไม้ขีด ถมทับผู้คนไปเกือบ 35,000 คน ภายในนาทีเดียว แม้กรุงเดลีที่อยู่ไกลออกไปพอควร ยังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัวนี้ ก่อให้เกิดความวุ่นวายและสับสน คงเป็นการยากสำหรับผู้ตายที่จะจินตนาการว่าทำไมต้องจบชีวิตลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่ชีวิตจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ

พระวาจาอาทิตย์นี้นำเราไปสู่ห้วงอารมณ์ที่เกี่ยวกับสิ่งสุดท้าย หรือช่วงเวลาท้ายๆของโลกจักรวาล (eschatological) ว่าเป็นลักษณะประมาณไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไร อันที่จริงนี่เป็นสัญญาณเตือนเราว่าการนับปีทางพิธีกรรมใกล้จะจบลง และเราจะเริ่มนับใหม่กับเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ดังนั้นเนื้อหาที่โลดแล่นตลอดบทอ่านของวันนี้คือ “จงเป็นคนฉลาด จงเตรียมตัวให้พร้อม” (“Be wise! Be prepared!”) บทอ่านแรกเตือนใจเราให้แสวงหาปรีชาญาณ ปรีชาญาณถูกเปรียบเทียบว่าเป็นดังหญิงสาวที่ถูกมองเห็นได้โดยง่ายจากผู้ที่รักเธอ และถูกพบได้โดยผู้ที่แสวงหาเธอ ไม่เพียงแต่คนฉลาดที่จะแสวงหาปรีชาญาณเท่านั้น แต่ปรีชาญาณเองก็เดินตามหาผู้ที่คู่ควรกับเธอ และจะแสดงตัวเธอให้แก่พวกเขาอย่างน่าประหลาดใจ

บทอ่านที่สองก็บรรจุไว้ด้วยภาษาที่มุ่งไปสู่สิ่งสุดท้าย แต่อาจก่อให้เกิดความแปลกประหลาดในบริบทของวันนี้ นักบุญเปาโลเองคิดว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์อยู่ใกล้มากๆแล้ว จึงให้เห็นภาพพจน์ของเสียงแตรของพระเจ้าในเวลาสุดท้ายของโลก มีเสียงของหัวหน้าทูตสวรรค์ ภาพของการเปิดหลุมฝังศพของบรรดาผู้ที่ตายไปแล้ว และการรับพวกเขาขึ้นไปในกลุ่มเมฆ ภาพนิมิตต่างๆเหล่านี้ต้องไม่ทำให้เราหลงไปจากเนื้อหาหลัก กล่าวคือ “เราจะได้พำนักอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป” นักบุญเปาโลต้องการบอกประชาชนของท่านว่า (a) ไม่ต้องโศกเศร้าต่อผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะว่า เราไม่เหมือนกับพวกที่ไม่มีความเชื่อในพระคริสต์ เนื่องจากเรามีความหวัง และ (b) ความหวังของเราไม่เพียงมีหลักยึดเหนี่ยวในพระคริสต์ในฐานะแค่แต่ละคน แต่เป็นความหวังของกลุ่มคนที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน เป็นกลุ่มคนของผู้มีความเชื่อ

พระวรสารของวันนี้เล่าเรื่องหญิงพรหมจารี 10 คน ซึ่งทำให้เราอาจตีความไปได้ในหลายมุมมอง ตัวอย่างเช่น การตีความแบบเปรียบเทียบที่เท่ากับว่าเจ้าบ่าวคือพระเยซูเจ้า พระองค์จะเสด็จกลับมาในวาระสุดท้าย งานเลี้ยงแต่งงานคือการจัดงานกินเลี้ยงในยุคสมัยของพระเมสสิยาห์ พรหมจารีเหล่านั้นก็คือบรรดาคริสตชนที่มีทั้งดีและไม่ดี ฯลฯ ซึ่งบางคนลงความเห็นว่า พระเยซูเจ้ามิน่าจะทรงต้องการสื่อความหมายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับงานฉลองแต่งงานในเรื่องนี้ของพระเยซูเจ้ามีไม่มาก บรรดาผู้ให้คำอธิบายขาดหลักฐานว่า เจ้าบ่าวกำลังเข้าไปในบ้านของใคร งานเลี้ยงแต่งงานนี้เกิดขึ้นที่ไหน และบทบาทของเหล่าพรหมจารีที่เป็นแค่เพื่อนเจ้าสาวก็ไม่จำเป็นต้องกำลังรอคอยเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้น รายละเอียดต่างๆในเรื่องอุปมาต้องไม่มาบดบังเนื้อหาสำคัญที่ระบุไว้ในบรรทัดสุดท้าย กล่าวคือ :

“จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”

หญิงพรหมจารี 5 คนที่เป็นคนโง่นั้นขาดการเตรียมตัวให้พร้อม และในภาพที่ตัดกัน พวกที่ฉลาดเตรียมพร้อมแม้ในภาวะเร่งด่วน พวกเธอก็มีแสงตะเกียงที่จุดสว่างได้ จึงเปี่ยมไปด้วยความยินดียิ่งที่จะต้อนรับเจ้าบ่าวที่มาในทันทีทันใด ลองคิดดูถ้าเป็นตัวเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพบว่าเราได้เตรียมตัวพร้อมและกำลังรอช่วงเวลาสุดท้ายซึ่งจะเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันทีหรือไม่ บางที อาจจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือสึนามิ หรือน้ำท่วม หรือฟ้าผ่า

ครั้งหนึ่งมีฤาษีฉลาดคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่ในสนาม ขณะที่เพื่อนเขาคนหนึ่งถามว่า “ถ้าพระเจ้าจะทรงเรียกท่านไปพบพระองค์เดี๋ยวนี้ ท่านจะทำอะไร” ฤาษีนั้นตอบทันทีโดยไม่รีรอว่า “ฉันจะเล่นอยู่ที่นี่ต่อไป” เป็นบุญของคนเหล่านั้นที่ดำรงชีพขณะปัจจุบันอย่างเต็มที่ และในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมตัวอย่างดีพร้อมไว้แล้วสำหรับอนาคตที่ไม่อาจแลเห็นได้

วันที่ 14 กันยายน 2005 พระสงฆ์เยซูอิตชาวออสเตรเลียนคนหนึ่ง ชื่อ Fr. Paddy Meagher ได้โบกมืออำลาประเทศอินเดีย หลังจากที่ท่านได้อุทิศตนมาทำงานอภิบาลเป็นเวลาถึงสี่ทศวรรษ ที่ท่านลาจากไปเพราะท่านเป็นมะเร็งผิวหนังขั้นหนักแล้ว มะเร็งนี้แพร่ขยายไปทั่วใบหน้าและส่งผลไปถึงสมองและลำคอด้วย ท่านต่อสู้กับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญและได้กล่าวว่า “ฉันรู้ว่าจะตายในไม่ช้า และฉันก็เตรียมพร้อมแล้ว แต่จะอย่างไร ฉันจะยังอ่านและเขียนต่อไปจนกว่าความตายจะมาถึง” คุณพ่อท่านนี้ตายวันที่ 5 มกราคม 2006 ท่านเหมือนหญิงฉลาดที่ตะเกียงของท่านมีน้ำมันอยู่เสมอ รวมทั้งเหยื่อของแผ่นดินไหวทั้งหลายที่เรียกหาพระเจ้าในเวลาวิกฤติเช่นนั้น สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งสุดท้ายกลับกลายเป็นเวลาที่เริ่มต้นใหม่สำหรับงานเลี้ยงฉลองแต่งงานที่เป็นนิรันดร์

(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017
Based on : Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)

สมาชิกสมาคมวินเซน เดอ ปอล มาเยี่ยม

สมาชิกสมาคมวินเซน เดอ ปอล มาเยี่ยม

7 พฤศจิกายน 2020 เวลา 13.30 น.

หลังจากประชุมภาคเช้าที่อาสนวิหารพระหฤทัยเชียงใหม่ สมาชิกสมาคมวินเซน เดอ ปอล เชียงใหม่ เชียงราย (12 กลุ่ม) โดยการนำของ คุณเจริญ คำปัน ประธานของเชียงใหม่ และคุณสันติ แสงนคร ประธานของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ มาพบพระสังฆราช ที่สำนักมิสซังเชียงใหม่ มอบรายงานการประชุมประจำปี รายงานการเงิน ปี 2020 และสารวินเซต

ในช่วงโควิด 19 ปีนี้เราพยายามช่วยเหลือชาวบ้านบางกลุ่มที่ลำบาก ในช่วง เมษายน – กันยายน 2020 ทุนการศึกษา (แม้ว่าได้รับน้อยลง)

สมาคมวินเซน เดอ ปอล เป็นกิจการฆราวาสแพร่ธรรมของคาทอลิก ทั่วโลกที่ต้องการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ตามพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40)

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน)

4 พฤศจิกายน
ระลึกถึง นักบุญ ชาร์ลส์ โบโรเมโอ บิชอป

4 พฤศจิกายน ระลึกถึง นักบุญ ชาร์ลส์ โบโรเมโอ พระสังฆราช

( St Charles Borromeo, Bishop, memorial )

เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของท่านเค้าน์ จิแบร์โต โบโรเมโอ (Count Giberto Borromeo) และ มาร์เกริตา เด เมดิชี (Margherita de’ Medici) ซึ่งเธอเป็นน้องสาวของพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 4 (Pope Pius IV) นักบุญชาร์ลส์ได้รับศีลขั้นโกน (tonsure) เมื่ออายุ 12 และจบการศึกษาปริญญาเอกทางด้านกฎหมายทั้งฝ่ายบ้านเมือง และฝ่ายศาสนจักรเมื่ออายุ 21 ปี ท่านถูกเรียกตัวไปที่กรุงโรมโดยลุงของท่าน ซึ่งก็คือพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 4 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารรัฐของพระสันตะปาปา ได้รับตำแหน่งคาร์ดินัล (Cardinal Deacon) และเป็นทูตของพระสันตะปาปา เมื่ออายุ 22 แม้ว่ายังคงเป็นแค่สังฆานุกร ก็ได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้บริหารอัครสังฆมณฑลมิลาน และด้วยคำสั่งจากพระสันตะปาปาให้สภาสังคายนาแห่งเมืองเตรนท์ที่เคยถูกระงับไป ให้กลับมาประชุมกันใหม่ และนักบุญชาร์ลส์เป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อสภาสังคายนานี้มาก เสมือนเป็นจิตวิญญาณของสภาครั้งนี้เลยทีเดียว ซึ่งมีการประกาศข้อคำสอนที่ทำให้เกิดความกระจ่างชัด และการปฏิรูปพระศาสนจักรด้วย นักบุญชาร์ลส์ ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว ก็ได้รับการอภิเษกเป็นพระอัครสังฆราชแห่งมิลาน แต่ยังต้องอยู่ที่กรุงโรมไปอีกระยะหนึ่งเพื่อทำการปรับปรุงเรื่องคำสอน เรื่องมิสซา และบทสวดทำวัตร รวมไปถึงการปฏิรูปดนตรีศักดิ์สิทธิ์ และศูนย์บริหารงานของพระศาสนจักรที่กรุงโรม (Roman Curia) เพื่อให้สอดคล้องกับกฤษฎีกาของสภาสังคายนา ต่อมาเมื่อท่านไปอยู่ที่มิลานท่านได้จัดการบริหารอย่างเรียบง่ายที่สุด และประหยัดด้วย ได้ขายเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงของท่าน และเรือใบโบราณติดอาวุธออกไป ท่านจำกัดการรับประทานอาหารเหลือเพียงหนึ่งมื้อต่อวัน – ซึ่งมีเพียงขนมปัง น้ำ และลูกมะเดื่อแห้ง และนอนวันละแค่ 4 ชั่วโมง “มันไม่มีความจำเป็นใดๆว่าฉันจะต้องอยู่ไปจนเป็นพระสังฆราชแก่ๆ แต่จำเป็นที่ฉันจะต้องเป็นคนดีคนหนึ่ง” ท่านได้กล่าวไว้ในคราวหนึ่ง

นอกจากท่านจะเป็นรูปแบบของบุคคลที่ทรงอิทธิพลในการปฏิรูปพระศาสนจักรส่วนกลางแล้ว งานที่ท่านได้ทำในสังฆมณฑลของท่านตลอดระยะเวลา 19 ปีที่เหลืออยู่ก็มีมากมายอย่างเหลือเชื่อ ท่านได้ปฏิรูปบรรดาสมณะของท่าน 3,000 คน ก่อตั้งสามเณราลัย 6 แห่ง ก่อตั้งวิทยาลัยสำหรับชาวสวิสในเมืองมิลาน ก่อตั้งครูคำสอนฆราวาสจำนวนมากเพื่อช่วยเตรียมเด็กๆ สำหรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ท่านได้สร้างวัดและอารามฤาษีใหม่ๆ ได้ช่วยพวกที่เชื่อเวทมนต์ คาถา และพวกเฮเรติ๊กจำนวนมากให้กลับใจ ได้เทศน์สอน และแจกศีลมหาสนิทเป็นเวลาหลายชั่วโมง ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้บรรดาสมณะ และฆราวาสที่ได้เห็นจากตัวอย่างการกระทำของท่านที่ไม่เคยรีรอ หรือแม้แต่ท่านยอมนั่งบนถนนเพื่อสอนคนสูงวัย หรือบางทีสอนพวกเด็กๆ และเมื่อเกิดโรคระบาดที่มิลานเป็นเวลา 2 ปี นักบุญชาร์ลส์ได้ทำพินัยกรรมอย่างสงบ เตรียมตัวเองรับความตาย และท่านไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาล และตามบ้านเสมอๆ ในช่วงที่มีความอดอยาก ท่านก็จัดหาอาหารเลี้ยงคนจนวันละ 3,000 คน แม้กระทั่งก่อให้เกิดหนี้กับท่าน เมื่อกองทุนของท่านเองก็หมดไป

นักบุญชาร์ลส์ โบโรเมโอ เกิดที่ ร็อกกา ดาโรนา (Rocca d’ Arona) ใกล้ทะเลสาบมัจจอเร่ (Lago Maggiore) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1538 ท่านสิ้นชีพเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1584 ที่มิลาน อายุ 46 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 5 (Pope Pius V) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1610 ท่านได้รับความนับถือว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ของครูคำสอน และจะถูกวิงวอนขอให้ช่วยเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.2019
โอกาสวันระลึกถึงนักบุญชาร์ลส์ โบโรเมโอ
Based on : Saint Companions for Each Day
by : A.J.M Mausolfe
J.K. Mausolfe)

เอกสารสังคายานาวาติกันครั้งที่ 2 (ฉบับใช้ชั่วคราว)

เอกสารสังคายานาวาติกันครั้งที่ 2 (ฉบับใช้ชั่วคราว)

01_Lumen Gentium พระธรรมนูญด้านพระธรรม กล่าวถึงพระศาสนจักร
https://bit.ly/2I0zXsc

02_Dei Verbum สังฆธรรมนูญเรื่องการเผยความจริงของพระเจ้า
https://bit.ly/389U8Pj

03_Sacrosanctum Concilium สังฆธรรมนูญว่าด้วยพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
https://bit.ly/366kPC3

04_Gaudium et Spes พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้
https://bit.ly/3mRoDxL

05_Inter Mirifica พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยสื่อมวลชน
https://bit.ly/34X1XpE

06_Unitatis Redintegratio พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยสากลสัมพันธภาพ
https://bit.ly/34Xr5fO

07_Orientalium Ecclesiarum พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยบรรดาคริสตจักรคาทอลิกตะวันออก
https://bit.ly/2U5AeNv

08_Christus Dominus พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยหน้าที่การอภิบาลสัตบุรุษของพระสังฆราชในพระศาสนจักร
https://bit.ly/3eqAZKn

09_Optatam Totius พระสมณกฤษฎีกาเรื่องการอบรมเพื่อเป็นพระสงฆ์
https://bit.ly/3p3OmFh

10_Apostolicam Actuositatem พระสมณกฤษฎีกา ว่าด้วยการแพร่ธรรมของฆราวาส
https://bit.ly/2TSTM7G

11_Nostra Aetate คำแถลงของสภาสังคายนาเรื่องความสัมพันธ์ของพระศาสนจักรกับศาสนาต่างๆ ที่มิใช่ศาสนาคริสต์
https://bit.ly/34W9o0f

12_Ad Gentes พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยงานธรรมทูตแห่งพระศาสนจักร
https://bit.ly/3k3uXR6

13_Gravissimum Educationis คำแถลงเรื่องการศึกษาแบบพระคริสต์
https://bit.ly/32dWjh3

14_Presbyterorum Ordinis พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยการปฏิบัติงานและชีวิตพระสงฆ์
https://bit.ly/2JBLTl2

15_Dignitatis Humanae คำแถลงของสภาสังคายนาว่าด้วยเสรีภาพในการถือศาสนา สิทธิของบุคคลและของคณะบุคคลที่จะมีเสรีภาพทางสังคมและบ้านเมืองในเรื่องศาสนา
https://bit.ly/3kS3GlE

16_Perfectae Caritatis พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยการปรับปรุงและฟื้นฟูชีวิตนักบวช
https://bit.ly/32bLpse