ฉลองวัดแม่พระลูกประคำ ขุนยวม

ฉลองวัดแม่พระลูกประคำ ขุนยวม

9-10 ตุลาคม 2020 อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน

ผมมีโอกาสมาเยี่ยมสัตบุรุษที่วัดแม่พระลูกประคำ  ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน  อีกครั้งหนึ่ง เป็นปีที่  31  แล้วที่มีชุมชนคริสตชนที่นี่  นึกถึงคุณพ่อฟรังซิสเซเวียร์  สนั่น  สันติมกุล  เป็นผู้ริเริ่ม  นึกถึง  คนจุ่น-หุ่ย  ผู้ทำบุญสร้างหอพัก ชาย  ค.ศ.1995  คุณวิเชียร-บุษบา  กิจวานิชย์  ผู้ทำบุญสร้างหอพักหญิง  ค.ศ.1998/พ.ศ. 2541  และผู้ทำบุญสร้างวัดแม่พระลูกประคำ

            ปัจจุบันคุณพ่อเปโตร ประภาส  สายธารวนาวาส  เป็นเจ้าอาวาส  คุณพ่อพิชิต  จำปาพยุง  เป็นผู้ช่วย  มีซิสเตอร์แม่ปอน  3 คน  มีครูนิทัศน์ดูแลนักเรียน  และ นางสาว ปาณิศา  ช่างสมบัติ  เพิ่งมาอยู่  มีนักเรียนอยู่ที่นี่  ประมาณ 40 คน (หญิงมากกว่าชาย)

            คุณพ่อวิวัฒน์  แพร่สิริ  และคุณกฤษฎา  จุลสุคนธ์  อาสาสมัครโคเออร์  มาประชุม อาสามัคร  16 หมู่บ้าน  วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม มีการรื้อฟื้นข้อตั้งใจ

19.00 น.  มีมิสซาเตรียมฉลองวัด คุณพ่อ  สุธี  เจริญกุล  เป็นประธาน

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม   มีสัตบุรุษมาร่วมฉลองวัด  ประมาณ 400 คน  มีพี่น้องชาวโม้งจากหมู่บ้านปางอุง    มีสวดสายประคำ ภาษาปกาเกอะญอ  ภาษาม้ง และภาษาไทย

            ระหว่างรับประทานอาหาร มีการแสดง 5 ชุด  ที่ เวทีใต้วัด  และมีการแข่งขันฟุตบอลด้วย

          ขอบคุณพระเจ้า  ที่โปรดให้ท้องฟ้าแจ่มใส  ในโอกาสฉลองวัด  และระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ที่สวรรคต ครบ 4 ปี ขอพระเจ้าทรงรับพระองค์ในสรวงสวรรค์

(ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน)

เยี่ยมนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองแห้ง

เยี่ยมนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองแห้ง

บ่ายวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2020 คุณพ่อ ธรรมนูญ  จินดาดุจสายชล  เจ้าอาวาสวัดพระแม่มารีย์  หนองแห้ง จ.แม่ฮ่องสอน  ชวนให้พ่อแวะเยี่ยมโรงเรียนหนองแห้ง เวลา 15.00-16.00 น. เป็นทางผ่าน ไปขุนยวม  จึงไปเยี่ยมคุณครูจันทร์ทิพ  มือแป  ซึ่งเคยเรียน 2 ปี ที่ศูนย์อบรมการแพร่ธรรม  (NCC) สามพราน  (มีบิดาเคยเป็นครูคำสอน และน้องชาย  เป็นพระสงฆ์เยสุอิตด้วย)  มีนักเรียนประมาณ 100 คน  นักเรียนคาทอลิกประมาณ 70 จึงทักทายคุณครู  และนักเรียน เรื่องทำความดีเพื่อในหลวง ร.9  โอกาสครบ 4 ปี ของการเสด็จสวรรคต    “เกิดมาพึ่งกัน” และ “ เราทุกคนเป็นที่น้องกัน”

          จบด้วยการสวดข้าแต่พระบิดา วันทามารีอา….นักเรียนอนุบาลคนหนึ่งดวงตาเจ็บ เพราะอักเสบ มีหนอง  ฝากให้ครูช่วยพาไปหาหมอ    ขอบใจที่พ่อธรรมนูญชวนไปเยี่ยมโรงเรียนนี้นะครับ

(ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน)

โครงการอาหารโลก ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

โครงการอาหารโลก ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

นับเป็นเกียรติ ที่องค์การสหประชาชาติ  ค.ศ.2020  โครงการอาหารโลก World Food Day (16 ตุลาคม) ได้รับรางวัลโนเบล  ปี 2020 สาขาสันติภาพ   ที่มีสมาชิก พยายามช่วยเหลือ เกือบ 100 ล้าน คน  ที่หิวโหย

แต่ข้อเท็จจริง  มีประมาณ 690 ล้านคนที่เข้านอน  แต่ท้องยังหิวทุกคืน  ในวิกฤตปัจจุบัน สาเหตุจาก  ข้อขัดแย้ง  อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน  และยิ่งมีโรคระบาดไวรัสโควิด 19 จึงทวีความหิวยิ่งขึ้น

รางวัลนี้  เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความมั่นคงทางอาหาร  โดยที่เราร่วมมือกัน เมื่อเราต่อสู้ความหิว  เราก็ต่อสู้เพื่อสันติภาพด้วย

เมื่อคุณใจกว้าง  ก็ยิ่งช่วยโลกให้มีสันติภาพยิ่งขึ้น  ทุกกคนจะมีอาหารพอเพียงรับประทาน

ด้วยความขอบคุณจริง  และปรารถนาดี
Halcyon Garrette
UN  World Food Programme,โรม

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์   แปลสรุป (12 ตุลาคม 2020)
https://www.nobelprize.org/prizes/peace/2020/press-release

รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี 2020

รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี 2020

ความจำเป็นสำหรับความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน  และความร่วมมือกันหลายด้าน  เป็นความสำคัญเด่นชัดมากกว่าแต่ก่อน  คณะกรรมการรางวัลโนเบลของประเทศนอร์เวย์  ตัดสินมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ  ปี 2020 แก่โครงการอาหารโลก (World Food Programme)ของสหประชาชาติ  ที่พยายามต่อสู้ความหิว  ที่ช่วยเหลือให้มีสภาพดีขึ้น  สำหรับสันติภาพ  ในสถานที่ที่มีความขัดแย้ง  และพยายามออกแรง  ป้องกันความหิวโหย  เหมือนผู้ที่ใช้อาวุธ ทำสงครามและความขัดแย้ง

โครงการอาหารโลก  เป็นองค์การช่วยมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด  ช่วยผู้หิวโหยให้มีอาหารรับประทาน  ใน ค.ศ. 2019  โครงการนี้ช่วยประมาณ  100 ล้านคน  ใน 88 ประเทศ  ผู้เป็นเหยื่อเคราะห์ร้าย  ขาดอาหาร  ใน ค.ศ. 2015 เป้าหมายหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ  คือขจัดความหิว  ไม่กี่ปีมานี้  สถานการณ์แย่ลง  ในปี 2019  ประชาชน 135 ล้านคน  เผชิญความหิวโหย  จำนวนสูงหลายปี  สาเหตุเพราะสงคราม  และความขัดแย้งที่ใช้อาวุธต่อสู้กัน

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า  ทำให้มีคนหิวโหยยิ่งขึ้น  ในหลายประเทศ เช่น เยเมน  สาธารณรัฐคองโก  ไนจีเรีย  ซูดานใต้  และบูร์กีนาฟาโซ  ความขัดแย้งรุนแรงภายในประเทศ  และการแพร่ระบาดทำให้ประชาชนรับเคราะห์หิวโหยเพิ่มจำนวนขึ้น   การเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัส โครงการอาหารโลก  ได้พยายามช่วยเหลืออย่างน่าประทับใจ  “อาหารเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด  ต่อสู้ความวุ่นวายนี้  จนกว่าเราจะมีวัคซีนเยียวยารักษา”

โลกกำลังประสบวิกฤติความหิว  ถ้าโครงการอาหารโลก  และองค์การอื่นๆที่ช่วยเหลือด้านอาหาร  ไม่รับช่วยเหลือด้านการเงินตามที่พวกเขาร้องขอมา

ความเชื่อมโยงระหว่างความหิว  และความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ  เป็นวงจรชั่วร้าย  สงครามและความขัดแย้ง  เป็นสาเหตุให้ขาดอาหาร  และความหิวโหย   เหมือนความหิวและการขาดอาหาร ก็เป็นสาเหตุความขัดแย้ง  ก่อให้เกิดความรุนแรงได้   เราจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายขจัดความหิวได้ หากเราไม่ยุติสงคราม  และความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ

คณะกรรมการรางวัลโนเบิล แห่งประเทศนอร์เวย์  ปรารถนาเน้นว่าการจัดความช่วยเหลือเพิ่มความมั่นคงด้านอาหาร  มิใช่ป้องกันความหิวเท่านั้น  แต่ยังสามารถช่วยให้เกิดความมั่นคง  และสันติภาพด้วย  โครงการอาหารโลกเป็นผู้นำในการทำงานนี้  กับพยายามส่งเสริมสันติภาพ  โดยอาศัยโครงการริเริ่มต่างๆในทวีปอเมริกาใต้  อาฟริกา  และอาเซีย

            โครงการอาหารโลก  ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการทางทูต ในเดือนพฤษภาคม  2018  ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ  ซึ่งเป็นครั้งแรก  ที่ประกาศเชื่อมโยงระหว่างความขัดแย้งและความหิว…  และเป็นเจตนาของอัลเฟรด  โนเบล  ที่ต้องการสร้างภราดรภาพในประเทศต่างๆ

งานของโครงการอาหารโลก  ควรได้รับการรับรู้  การรับรอง  และการสนับสนุนจากประเทศต่างๆในโลก

กรุงออสโล    9 ตุลาคม 2020
ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปลสรุป (12 ตุลาคม 2020)
https://www.nobelprize.org/prizes/peace/2020/press-release

WORLD MISSION SUNDAY
วันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล 18 ตุลาคม 2020

WORLD MISSION SUNDAY
วันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล 18 ตุลาคม 2020

WORLD MISSION SUNDAY
วันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล
18 ตุลาคม 2020

สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ได้ตั้งวันอาทิตย์แพร่ธรรม ใน ค.ศ. 1926 และในพระศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลก ฉลองวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากลครั้งแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ.1927 ให้ทุกสังฆมณฑลแสดงความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน รับผิดชอบ ร่วมกันในการประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้า

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสว่า “ในปีนี้ที่เต็มไปด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า…ท้าทายต่อพันธกิจ ของพระศาสนจักรด้วยความเจ็บป่วย ความทุกข์ ความหวาดกลัว การแยกจากกัน ความยากจนของผู้ที่ตายตามลําพัง ผู้ถูกทอดทิ้ง ผู้สูญเสียงานและรายได้ ผู้ไม่มีบ้าน และอาหาร คําถามของพระเจ้า

“แล้วเราจะส่งใครไป” “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด” (อสย 6:8)

ทั่วโลกพร้อมเพรียง ไม่สิ้นเสียงสายประคํา
– วันสายประคําโลก: วันเสาร์แรกของเดือนตุลาคม
“ร่วมรณรงค์ส่งเสริมความศรัทธาต่อการสวดสายประคำ
“ลูกจงสวดสายประคําทุกวัน เพื่อนําสันติภาพมาสู่โลก”
( แม่พระตรัสเมื่อประจักษ์ที่ฟาติมา )

ดังนั้น เดือนตุลาคม นอกจากเป็นเดือนรณรงค์ทั่วโลกพร้อมเพรียง ไม่สิ้นเสียงสายประคําทําบุญ ช่วยงานแพร่ธรรมในวันอาทิตย์นี้ หลังมิสซาและ เชิญ ออกไป(เป็นคู่ๆ) เยี่ยมบุคคลที่ต้องการความ ช่วยเหลือ และกําลังใจคนยากจน เจ็บป่วย คนชรา ต่างความเชื่อที่อยู่ข้างวัด ในหมู่บ้าน ตามถนนในเขตวัด หรือชุมชนของเรา เป็นพิเศษเพื่อเป็นวันอาทิตย์แพร่ธรรมจริงๆ

การบริจาควันอาทิตย์แพร่ธรรมช่วยใคร สมณกระทรวงเพื่อการประกาศข่าวดีสู่ปวงชน นําปัจจัยไปช่วยครูคําสอน สามเณร แดนมิสซัง งานของนักบวช การสร้างวัด วัด(น้อย) บ้านเด็ก กําพร้า และโรงเรียน ในดินแดนมิสซังทั่วโลก โรงเรียน สอนเด็กๆ ยากจนมากๆ หลายประเทศ 1200 โรงเรียน

คลินิกดูแลผู้ป่วย ผู้กําลังสิ้นใจ 9,000 คน
นักบวชชายหญิง ด้านการอบรม 9,000 คน
เด็กกําพร้า ให้มีที่พักปลอดภัย 10,000 คน
สามเณร เตรียมเป็นพระสงฆ์ 30,000 คน

ทุกปี ความจําเป็นของพระศาสนจักรเพิ่มมากขึ้น มีสังฆมณฑลใหม่ บ้านเณรใหม่ เพราะมีเยาวชน ต้องการติดตามกระแสเรียก อีกทั้งมีสงคราม และภัยพิบัติธรรมชาติ ผู้อพยพที่ฟื้นฟูที่พักพิง ฯลฯ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากเรา เป็นเรื่องด่วน

Pope’s message for World Mission Sunday 2020
Here am I. Send me(Is 6:8)

การเฉลิมฉลองวันแพร่ธรรมสากลเป็นโอกาสให้เรา
– อธิษฐานภาวนา สวดสายประคํา
– ไตร่ตรอง
– ให้ความช่วยเหลือด้านวัตถุ เงินบริจาค เพื่อสนับสนุนงานธรรมทูตที่ดําเนินการโดยสมณองค์กรสนับสนุนงานแพร่ธรรม (PMS)

ขอพระแม่มารีย์…โปรดทรงวอนขอเพื่อเรา และทรงอุปถัมภ์ค้ำชูเราตลอดไปด้วยเทอญ”

ธนาคารทหารไทย สาขาช้างคลาน สาขาถนนช้างเผือก
ชื่อบัญชี มิสซังโรมันคาทอลิกเชียงใหม่
เลขที่บัญชี 527-2-00210-5

ธนาคารกรุงเทพ สาขาช้างคลาน
ชื่อบัญชี มิซซังโรมันคาทอลิกเชียงใหม่ (สํานักงาน)
เลขที่บัญชี 423-070162-7

จัดพิมพ์โดย มิสซังโรมันคาทอลิกเชียงใหม่
1 ตุลาคม 2020

สังฆมณฑลเชียงใหม่จัดงานวันอาหารโลก

สังฆมณฑลเชียงใหม่จัดงานวันอาหารโลก

วันอาทิตย์ที่11 ตุลาคม 2020 ฝ่ายงานสังคมสังฆมณฑลเชียงใหม่ร่วมกับมูลนิธิชาวดอยรู้รักสามัคคี จัดงานวันอาหารโลกที่มูลนิธิชาวดอยรู้รักสามัคคี จอมทองอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โอกาสนี้ได้รับเกียรติจากพระคุณเจ้าฟรังซิสเซเวียร์วีระ อาภรณ์รัตน์ มุขนายกเขตศาสนปกครองเชัยงใหม่ เป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณและเปิดงานในครั้งนี้ โอกาสนี้พระคุณเจ้าได้ให้ข้อคิดว่า”เราต้องขอบคุณพระเจ้าเสมอที่พระองค์ประทานอาหาร น้ำ ดินฟ้าอากาสให้เราพระองค์เตรียมสิ่งสร้างธรรมชาติให้เราเพื่อดำเนินชีวิต รักพระองค์ เมื่อรักพระองค์ก็ต้องรักแบ่งปันอาหารการกินแก่กันและกันรวมทั้งบำรุงรักษาด้วย เช่นเดียวกันพระสันตะปาปาฟรังซิสได้สมณสาสน์เลาดาโตซีเชิญชวนให้เราตระหนักและรักสิ่งแวดล้อมสิ่งสร้าง และสรรเสริญพระเป็นเจ้าด้วยกัน เพราะพระองค์ดำรงอยู่กับเราในสิ่งสร้างต่างๆ เหล่านี้ เมื่อเราเห็นสิ่งสร้างและธรรมชาติต่างๆให้เราคิดถึงและสรรเสริญพระองค์ที่เลี้ยงดูเรา” เช่นเดียวกัน ภาราดาอนุรักษ์นิธิภัทราภรณ์ ได้ให้ข้อคิดว่า”

เวลาที่เราเห็นธรรมชาติสิ่งสร้างรอบตัวเราให้เราคิดถึงพระเป็นเจ้าว่าพระองค์ประทับอยู่กับเราตลอดเวลาประทานอาหารอากาศสิ่งแวดบ้อมให้เรามีชีวิตและรับใช้พระองค์ในเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมโลก และรักเคารพธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราต้องอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน แม้เรามีความกบากหลายของชนเผ่าแต่ล้วนมีพระบิดาเดียวกัน ดังนั้นเราต้องสรรเสริญพระเจ้าเสมอที่ประทานธรรมขาติให้เราดังที่พระสันตะปาปาฟรังซิสได้ออกสมณสาสน์เลาดาโตซี เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระเป็นเจ้าที่พระองค์ประทานสิ่งสร้างต่างๆให้เรา คือเมื่อเห็นธรรมชาติแล้วสรรเสริญพระเป็นเจ้าด้ายการดำเนินชีวิตรักและรับใช้ซึ่งกันและกัน”

หลังพิธีบูชาขอบพระคุณมีกิจกรรมฐานเรียนรู้ต่างๆ เช่น ฐานฐานเกษตร, ฐานสมุนไพร, ฐานสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ,ฐานสัมผัสธรรมชาติสิ่งสร้างของพระเจ้าและฟังเสียงธรรมขาติ, ฐานย้อมสีธรรมชาติ และแต่ละชนผ่าแต่ละหมูบ้านได้นำเอาอาหารของแต่ละท้องถิ่นของตนมาให้บริการแก่ผู้มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

(คุณพ่อ ณรงค์ชัย หมั่นศึกษา)

บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดาปี A

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดาปี A

พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา"

ชาวอิสราเอลมักจะจินตนาการ หรือใช้ภาพเปรียบเทียบอาณาจักรสวรรค์เหมือนกับการจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าเองทรงเป็นผู้จัดงานเลี้ยงนั้น เหตุเพราะภาพของงานเลี้ยงเป็นภาพของความชื่นชมยินดีและความสุข เช่นในบทอ่านแรกจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนในเรื่องนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองสำหรับประชากรทุกชาติบนภูเขานี้ เป็นงานเลี้ยงที่มีเหล้าองุ่นชั้นดี……….องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของทุกคน”

ย้อนกลับมาดูเรื่องคำอุปมาของพระเยซูเจ้า เราสามารถตีความได้ดังนี้ ผู้ที่จัดงานเลี้ยงก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ทรงส่งผู้รับใช้พวกแรกซึ่งก็คือบรรดาประกาศกทั้งหลาย ส่วนผู้ถูกรับเชิญก็คือชาวอิสราเอลทั้งหลาย แต่พวกเขาไม่สนใจเข้าร่วมงานนั้น ทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก เพื่อบอกว่า “บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด”

ผู้รับใช้อื่นๆ ซึ่งเป็นพวกที่สองนี้ ก็หมายถึงบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจ้ารุ่นแรกๆ ที่ทำการประกาศข่าวดีให้กับชาวอิสราเอลในสมัยพระศาสนจักรยุคแรกๆ นั่นเอง แต่ชาวอิสราเอลในสมัยอัครสาวกก็ไม่สนใจ เขาคิดว่าเขาไปทำงานในทุ่งนาจะดีกว่า ไปทำธุรกิจอื่นๆจะดีกว่า ฯลฯ

เมื่อไม่ตอบรับคำเชิญ กษัตริย์จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายเขาเหล่านั้น และเผาเมืองของเขาด้วย นักบุญมัทธิวที่บันทึกพระวรสารตอนนี้ไว้คงจะมองเห็นภาพการทำลายนี้ด้วยตาของท่านเอง ว่านี่เป็นผลจากการตอบปฏิเสธคำเชื้อเชิญของชาวอิสราเอล นั่นคือ กองทัพของอาณาจักรโรมันได้เข้ามายึดกรุงเยรูซาเล็ม ในปี ค.ศ.70 และได้ทำลายพระวิหารและเผาเมืองเสียสิ้น

เมื่อผู้รับเชิญไม่ยอมมา จึงทรงส่งคนใช้ไปตามทางแยก พบผู้ใดก็เชิญมาในงานวิวาห์นั้น นี่ก็หมายความว่า มีการขยายขอบเขตออกไปในการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไปสู่ชนต่างชาติ เพราะผู้คนชาติอิสราเอลปฏิเสธข่าวดีนั้น

เรื่องการจัดงานเลี้ยงและการเชื้อเชิญแขกนั้น แสดงให้เห็นถึงความรักที่น่าเทิดทูน ที่พระเจ้าทรงมีต่อชาวเรา ทรงเชื้อเชิญเราด้วยความอดทน เพื่อให้เราได้พบกับความดีงามสูงสุด แต่เราปฏิเสธพระองค์บ่อยๆ เราเห็นเรื่องขี้ปะติ๋วของโลกนี้มีความสำคัญกว่าพระองค์ เราสนใจเรือกสวนไร่นา การทำธุรกิจ หรือแม้แต่งานอดิเรกว่าสำคัญกว่าเรื่องพระอาณาจักร เราเป็นผู้รับเชิญคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ปฏิเสธไม่ขอเข้าร่วมงานเลี้ยงนั้น ขอให้เราตอบคำถามนี้อย่างจริงใจ และขอให้ย้อนดูกิจปฏิบัติหรือพฤติกรรมที่เรากระทำก่อนที่จะตอบด้วย

มีเรื่องห้อยท้ายในพระวรสารตอนนี้ที่ทำให้เข้าใจยากเล็กน้อย คือที่จริงแล้วพระวรสารตอนนี้น่าจะมีคำอุปมาสองเรื่องด้วยกัน คือ เรื่องอุปมาเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลอง และเรื่องอุปมาเกี่ยวกับชุดแต่งกายที่เหมาะสมกับงานเลี้ยง แต่ท่านมัทธิวนำมารวมไว้เรื่องเดียวกัน โดยบรรยายไว้ท้ายเรื่องว่า เมื่อมีคนเข้ามางานเลี้ยงเต็มไปหมด กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ จึงทรงสั่งให้จับโยนออกไปข้างนอก เรื่องนี้คล้ายๆกับอุปมาเรื่องหนึ่งของรับบีชาวยิวคนหนึ่ง นามว่า Johanan ben Zakkai ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสมัยที่นักบุญมัทธิวเขียนพระวรสาร เนื้อเรื่องโดยสรุปคือ กษัตริย์ทรงเชิญบรรดาคนใช้ทั้งหลายให้ไปในงานเลี้ยง พวกที่ฉลาดก็ตระเตรียมเสื้อผ้าและคอยเฝ้าหน้าประตูวัง เพราะคิดว่าการจัดเตรียมงานคงจะไม่ช้า พวกที่ไม่ฉลาดก็คิดว่ากว่าจะเตรียมงานเสร็จคงอีกนาน จึงไม่ได้จัดเตรียมชุด เขาก็ไปทำงานของเขา แต่การเลี้ยงมาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด เขาจึงไม่มีเวลาแล้ว จึงต้องสวมผ้าสกปรกเข้าไป แล้วก็ถูกไล่ออกมา ขอสรุปเรื่องนี้ว่า ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และอาภรณ์ที่เหมาะสมที่สุด คือ ความรัก (เทียบ คส 3:12-15)

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2008
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride, C.SS.R.)

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดาปี A

ในสมัยโบราณ บรรดากษัตริย์ได้ทรงประกาศการจัดงานอภิเษกสมรสล่วงหน้าโดยกำหนดเวลาคร่าวๆเอาไว้ ส่วนวันที่ทรงจัดงานเลี้ยงจริงจะมีการประกาศในเวลาต่อมา การตอบรับคำเชิญล่วงหน้าไว้แล้ว แต่มาปฏิเสธในภายหลัง ถือเป็นการหมิ่นเกียรติ

ถ้ายกตัวอย่างนี้ให้เป็นปัจจุบัน สมมุติลูกชายคุณกำลังจะกลับมาบ้าน หลังจากที่ไปศึกษามาเป็นเวลาห้าปี กำหนดวันกลับของเขาจะเป็นวันใดวันหนึ่งในอาทิตย์หน้านี้ แต่เขายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์ คุณได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทของลูกชายสามสี่คน เพื่อเชิญให้พวกเขามางานเลี้ยงต้อนรับลูกชาย โดยที่คุณเล่าสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง และขอให้ทำตัวให้ว่างในสองวันนี้ พวกเขาก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้น เมื่อข่าวมาแน่ชัดแล้วว่าลูกของคุณจะมาถึงในวันเสาร์ คุณคงจะตกใจและแปลกใจถ้าพวกเขาพากันตอบว่า “เสียใจครับ เราวางแผนทำสิ่งอื่นแล้วในวันนั้น”

นี่เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันกับอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าไว้ในพระวรสารวันนี้ พระองค์ทรงต้องการบอกผู้ที่มาฟัง ซึ่งเป็นชาวยิวในสมัยของพระองค์ว่า ในสมัยก่อนโน้น พวกเขา(ชาวยิว)ได้ตอบรับคำเชิญขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะเป็นประชากรเลือกสรรของพระองค์ จะเป็นแขกพิเศษในงานเลี้ยงของพระอาณาจักรของพระองค์ แต่เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาประกาศถึงงานเลี้ยงนั้น พวกเขาพากันปฏิเสธคำเชื้อเชิญของพระองค์

จะเห็นได้ชัดแจ้งว่าอุปมาของพระเยซูเจ้าหมายถึงชาวยิวในสมัยของพระองค์ แต่เราจะนำมาประยุกต์ใช้กับเราในทุกวันนี้ได้อย่างไร อะไรคือเนื้อหาที่สื่อมาถึงเราในปัจจุบัน อะไรคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราผ่านทางเรื่องนี้

ชาวยิวได้เคยยอมรับคำเชื้อเชิญของพระตั้งแต่แรก แต่ต่อมาบางคนได้เปลี่ยนใจ ในอุปมาเล่าว่าคนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ คนเหล่านี้ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น และกินดื่มเมามาย ไม่ได้ตัดสินใจประกอบอาชญากรรม พวกเขาเพียงตัดสินใจไปทำสิ่งอื่นแทนเท่านั้น ดังนั้น บทเรียนสำหรับชาวเราก็คือ พวกเราก็ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระ คือตอนที่เรารับศีลล้างบาป และศีลกำลัง เราตอบรับคำเชื้อเชิญของพระว่าจะไปเป็นแขกในงานเลี้ยงนิรันดร แต่การตอบรับต่อคำเชื้อเชิญของพระ ไม่ใช่การอุทิศตนเพียงครั้งเดียว แท้จริงเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือเมื่อตอบรับคำเชิญแล้ว เรายังคงต้องอุทิศตนอย่างคงที่สม่ำเสมอ และทำให้เป็นปัจจุบันอยู่ตลอด เป็นสิ่งที่ง่ายมากที่เราหันเหความสนใจไปในเรื่องต่างๆของชีวิตประจำวัน จนลืมเรื่องของชีวิตนิรันดร เป็นการง่ายมากที่เราจะเผลอเติมอาหารขยะ(junk food)ลงไปจนเต็มกระเพราะ จนหลงลืมงานเลี้ยงนิรันดร

การอุทิศตนของเราต่อพระเจ้าจะต้องทำให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ มิฉะนั้น จะฝ่อ และสูญหายไปในที่สุด เหมือนกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้นั่นเอง เช่นขณะที่เรามาร่วมในพิธีมิสซาขณะนี้ ลองพิจารณาว่ามีความหมายมากกว่าเมื่อปีที่แล้วหรือไม่ ถ้าไม่ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หรือเปรียบกับการฟังพระวาจา เราได้พยายามฟังอย่างตั้งใจ และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ หรือเราฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ปล่อยให้พระวาจาบินหายไปจากใจเรา และลืมหมดสิ้นเมื่อจบมิสซา

ศาสนาจารย์คนหนึ่งเล่าเรื่องประสบการณ์ครั้งหนึ่งของตนเองดังนี้ คืนหนึ่งเขากำลังจะไปปิดประตูวัด ก็พบเด็กชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่ม้านั่งแถวหลังสุด เขาปลุกเด็กชายอย่างเกรงใจ และบอกว่าวัดกำลังจะปิดแล้ว เด็กชายอธิบายว่าเขาไม่มีที่ไปในคืนนั้น และหวังจะพักพิงที่ในวัดหนึ่งคืน ศาสนาจารย์พูดว่าเขาหวังว่าเด็กนั้นจะเข้าใจ แต่เขาไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง จึงเชิญเด็กชายคนนั้นไปห้องทำงานของวัด และเขาก็โทรศัพท์ไปหาศูนย์พักพิงในเมืองนั้นเพื่อให้เด็กชายไปค้างคืนที่นั่น แต่โชคไม่ดีทั้งสองแห่งไม่มีที่ว่างเลยในคืนนั้น ศาสนาจารย์ขอโทษเด็กชายนั้น เด็กชายบอกว่าเขาเข้าใจ และจับมือบอกลาศาสนาจารย์ แล้วเขาก็จากไป เมื่อศาสนาจารย์กลับไปบ้าน ได้เล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาเขาฟัง เธอมองหน้าเขาและพูดว่า “ทำไมไม่นำเด็กชายคนนั้นมาที่บ้านของเรา เขาสามารถนอนในห้องรับแขกของบ้านเราได้” ศาสนาจารย์จึงคิดได้ และได้กล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ตอนนี้ ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเขาไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” ต่อจากนั้น เขานั่งลง เปิดพระคัมภีร์ และเริ่มอ่านบทที่กำหนดว่าจะต้องอ่านในวันนั้น ก็พบว่า เป็นอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี ทันใดนั้น ศาสนาจารย์ตระหนักได้ว่า เด็กชายที่เขาปล่อยให้จากไปนั้น เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บในเรื่องอุปมานั้น เขาคงต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมากจากใครก็ได้ เขาเห็นว่าตนเองเป็นเหมือนพระสงฆ์ในเรื่องอุปมา คือเดินผ่านชายคนนั้นไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ศาสนาจารย์ปิดพระคัมภีร์ลง เขาคิดถึงเรื่องหนึ่งที่เคยได้ยินมา ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นสามเณร เรื่องมีอยู่ว่า ชายชราชาวยิวคนหนึ่งไปหารับบี และพูดว่า “ท่านรับบี ฉันเพิ่งจะอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลครบทั้งหมดเป็นครั้งที่ห้าแล้วในชีวิตของฉัน” รับบีมองไปที่ชายชราชาวยิวนั้น และพูดว่า “สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่คุณอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มครบมากเท่าไร แต่อยู่ที่คุณยอมให้พระคัมภีร์ทำงานผ่านทางตัวของคุณ มากเท่าไรต่างหาก”

บทอ่านพระวรสารของวันนี้เป็นการเชื้อเชิญให้เราพิจารณายาวๆและเอาจริงเอาจัง และให้เราถามตัวเองว่า เราอาจจะเป็นเหมือนศาสนาจารย์คนนั้นหรือเปล่า คือเราได้ฟังพระวาจาของพระในมิสซาอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ล้มเหลวที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่าเราเป็นเหมือนชายสองคนในเรื่องอุปมานี้ ที่สาละวนกับการกินเลี้ยงในโลกนี้ จนหลงลืมงานเลี้ยงนิรันดร

เป็นเราเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ได้

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2020
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A ;
by : Mark Link, SJ)

คาทอลิกไทยน้อมรำลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี วันคล้ายวันสวรรคตฯ

คาทอลิกไทยน้อมรำลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี วันคล้ายวันสวรรคต
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)

(ผลิตโดย สื่อมวลชนคาทอลิกแห่งประเทศไทย)

ประกาศที่ ชม. 193/2020 แต่งตั้งให้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ปาย

ประกาศที่ ชม. 193/2020 แต่งตั้งให้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ปาย

ที่ ชม. 193/2020
วันที่ 8 เดือนตุลาคม ค.ศ.2020

เรื่อง แต่งตั้งให้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ปาย
เรียน พระสงฆ์ นักบวชชาย-หญิงและพี่น้องสัตบุรุษ ทุกท่าน

เนื่องด้วย คุณพ่อสมพงษ์ กัมพลกูล เจ้าอาวาสวัดนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ปาย มีปัญหาด้านสุขภาพและเข้าโครงการฟื้นฟูชีวิตสงฆ์ จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การเป็นเจ้าอาวาสดังกล่าวได้

ด้วยเหตุผลประการดังกล่าวนี้ ทางสังฆมณฑลฯ จึงแต่งตั้งคุณพ่อเปาโล แสงชัย ไอ่จาง ให้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ปาย ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม ค.ศ.2020 เป็นต้นไป จนกว่าทางสังฆมณฑลจะมีคําสั่งแต่งตั้งคุณพ่อเจ้าอาวาสคนใหม่ โดยมีสิทธิและหน้าที่ตามประมวลกฎหมายพระศาสนจักรว่าด้วยตําแหน่งพระสงฆ์ที่รักษาการแทนฯ และระเบียบการของสังฆมณฑลเชียงใหม่

จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจและรับทราบ

ด้วยความนับถือ
(พระสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
สมณประมุขศาสนปกครองเขตเชียงใหม่

(คุณพ่อยอแซฟ ศราวุธ แฮทู)
เลขาธิการศาสนปกครองเขตเชียงใหม่

ฉลองวัดนักบุญฟรังซิส ลำพูน 2020

ฉลองวัดนักบุญฟรังซิส ลำพูน 2020

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม วัดต่างๆใช้บทอ่านประจำวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา แต่ที่ลำพูน เป็นโอกาสฉลองวัดประจำปี ตรงวันที่ 4 ตุลาคม ที่ระลึกถึงนักบุญฟรังซิส ชาวอัสซีซี ผู้รักธรรมชาติ และศาสนสัมพันธ์


คุณพ่ออัตตีลีโอ เด บัตติสตี คอยต้อนรับสัตบุรุษ พระสงฆ์ และนักบวช ที่มาร่วมฉลอง ประมาณ 300 คน พิธีมิสซาเริ่ม 10.00 น.

มีพิธีโปรดศีลล้างบาป แก่เด็ก 1 คน
รับศีลมหาสนิทครั้งแรก 5 คน

มีซิสเตอร์ และเยาวชน บ้านมารีน่า ช่วยขับร้องเพลงพิธีกรรม และสถานที่, ชาวบ้าน และซิสเตอร์ ทำบุญอาหาร, คุณพ่อบรูโน รอสซี่ นำกาแฟบรูโน มาบริการชาวบ้าน


หลังพิธีมิสซามีสวดบทพระวาจา และมอบดอกไม้ แด่นักบุญฟรังซิส ฝนตกหนักหลังพิธีมิสซา ครู่หนึ่ง แดดออก อากาศสดชื่น ซิสเตอร์ และเยาวชนช่วยเก็บของ อย่างแข็งขัน


พ่อไปเยี่ยมบ้านใหม่ของซิสเตอร์ และสนทนากับเยาวชนศิษย์เก่าบ้านมารีน่าครู่ใหญ่


นักบุญฟรังซิส อัสซีซี รักธรรมชาติ ช่วยเหลือคนป่วย คนจน และสร้างสันติกับผู้ต่างความเชื่อ เป็นแบบอย่างแก่เรา

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)