70 ปีชุมชนวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แม่ปอน

70 ปีชุมชนวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ แม่ปอน

17 สิงหาคม 2024 เวลา 10.00 น.

พระสงฆ์เบราราม ที่ต้องออกจากประเทศจีน ได้เข้ามาประกาศข่าวดีที่ภาคเหนือของประเทศ

เมื่อ ค.ศ.1954 จากอำเภอจอมทอง ขึ้นไปที่แม่ปอน และสร้างวัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์และเสกวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1955
คุณพ่อติดคำ ใจเลิศฤทธิ์ เจ้าอาวาส จึงได้จัดชุมนุมศิษย์เก่า แม่ปอน วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม และมิสซาขอบคุณพระเจ้าวันที่17สิงหาคม2024 มีสัตบุรุษ นักบวช พระสงฆ์ มาร่วม ประมาณ 2,000 คน พระสังฆราชวีระ อาภรณ์รัตน์ เป็นประธานมิสซา บรรดาครูของโรงเรียนรัฐบาล แม่ปอน ร่วมพิธีด้วย

ขอบคุณพระเจ้า ที่โปรดอวยพรให้คณะเบธารามบุกเบิก และทำงานดูแลเด็กๆ เยาวชน ที่นี่ ทำให้รักษาภาษาปากาเกอะญอ วัฒนธรรม และเรียนพระคัมภีร์ จนมีกระเเสเรียกเป็น พระสงฆ์ นักบวช และครูคำสอน เป็นจำนวนมาก

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)

15 สิงหาคม สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

15 สิงหาคม สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

(The Assumption of the Blessed Virgin Mary, solemnity)

แม้ไม่มีการกล่าวถึงอย่างชัดเจนถึงสิทธิพิเศษของการรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ของแม่พระในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แต่ทางธรรมประเพณีและดูเหมือนเหตุผลทางเทววิทยาก็ชี้ให้เห็นถึงการไขแสดงโดยปริยายในพระคัมภีร์ถึงเรื่องนี้

ในพันธสัญญาเดิม เอกลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของพระแม่มารีย์ถูกประกาศในฐานะเป็น “สตรี” ที่โดยผ่านทางเธอ การไถ่ให้รอดที่ทรงสัญญาไว้จะเป็นไปได้จริง (ปฐก 3:15)

ในพันธสัญญาใหม่ได้ประกาศความจริงเรื่องการไถ่ให้รอดนั้น (ลก 1:31-35; 1ยน 3:9) และพระนางพรหมจารีมารีย์เป็นผู้ “เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน” ซึ่งจะไม่สามารถทรงเป็นผู้ครบครันบริบูรณ์ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ เว้นแต่ว่าพระนางจะทรงดำรงอยู่โดยไม่เสื่อมสลายไป (เทียบ 1คร 15:54-57)

จึงเป็นการถูกต้องแล้วที่ นักบุญเยอร์มานุส แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ราวปี 733) ได้เขียนไว้ว่า “พระวรกายอันเป็นพรหมจรรย์ของพระนางมารีย์เป็นสิ่งที่รวมทั้งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์เข้าไว้ด้วยกันซึ่งดำรงอยู่เพื่อพระเจ้า และไม่มีวันจะเสื่อมสลายเป็นฝุ่นดินเลย”

ธรรมประเพณีเรื่องการรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ได้ถูกประกาศมาแต่เนิ่นนานแล้วตั้งแต่ในปี ค.ศ.749 โดยนักบุญยอห์น ดามาซีน (St. John Damascene) ส่วนพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (1159-1181) ได้เขียนไว้ว่า พระนางมารีย์ได้ให้บังเกิดโดยไม่มีความด่างพร้อยทางพรหมจรรย์ ทรงให้กำเนิดพระบุตรโดยปราศจากความเจ็บปวด ดังนั้น จึงเสด็จจากไปโดยไม่เน่าเปื่อย ตามคำของทูตสวรรค์ หรือโดยพระเจ้าตรัสผ่านทางทูตสวรรค์ว่า “พระนางจะทรงเป็นผู้ที่มีพระหรรษทานเต็มเปี่ยม ไม่ใช่แบบครึ่งๆกลางๆ” และในปี 1568 พระสันตะปาปาปีโอที่ 5 ได้ทรงประกาศให้วันสมโภชการรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งพระศาสนจักร

การพัฒนาของข้อความเชื่อนี้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับวันฉลองที่อุทิศแด่แม่พระที่กระทำในวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อระลึกถึง “การบรรทมของพระนาง” (her dormition or “falling asleep”) เมื่อวันฉลองนี้ ซึ่งแต่เดิมเกิดขึ้นในสมัยจักรวรรดิไบเซนไทน์ – อาจจะในศตวรรษที่ 5 – เข้ามาสู่พระศาสนจักรตะวันตก คำว่า “บรรทม” (dormition) ก็ถูกแทนด้วยคำว่า “ได้รับยกขึ้นสวรรค์” (assumption) นี่เป็นผลมาจากการเน้นถึงความสำคัญทางเทววิทยาที่เพิ่มขึ้นในเรื่องพระสิริรุ่งโรจน์ของความเป็นบุคคลทั้งครบของพระนางมารีย์ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของกายและวิญญาณของพระนาง ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นล่วงหน้าถึงสถานะที่ทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติทั้งมวลที่ยังมาไม่ถึง

อนึ่ง คริสตชนมักจะถือว่าพระนางมารีย์เป็นพระมารดาของพระเจ้า และนั่นหมายถึงตั้งแต่แรกที่พระนางปฏิสนธิเลยทีเดียว บาปไม่มีอำนาจใดๆเหนือพระนาง จึงทรงพร้อมเสมอที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในฐานะทาสีของพระองค์ พระนางทรงอยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งความรอด เป็นรองก็เพียงแต่พระบุตรของพระนางเท่านั้น และเพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต พระองค์เองก็ได้ตรัสว่า “เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย” (ยน 12:26) ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมพระมารดาของพระองค์เองจะไม่มีส่วนร่วมในสถานที่พำนักของพระองค์เล่า ผลที่ตามมาก็คือ พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ภายหลังจากทรงสอบถามบรรดาพระสังฆราชทั่วโลกด้วยแบบประเมินอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความรู้สึกของคริสตชนจากทุกสังฆมณฑลและทรงได้รับคำตอบแล้ว จึงทรงประกาศอย่างเป็นทางการว่า “การรับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระนางพรหมจารี” (the Assumption) เป็นข้อความเชื่อของพระศาสนจักร ในสมณลิขิตของพระองค์ที่มีชื่อว่า “Munificentissimus Deus,” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.1950

บัดนี้ ผู้ที่เป็นเสมือนหีบพันธสัญญาใหม่อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงให้กำเนิดองค์พระผู้สร้างในครรภ์ของพระนาง ได้เสด็จมาพักผ่อนในพระวิหารของพระเจ้าเอง วันนี้ พระศาสนจักรปลื้มปิติในการเทิดเกียรติทาสีผู้ต่ำต้อยขององค์พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงแล้ว องค์พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพผู้ได้ “ทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่” สำหรับพระนางมารีย์ ดังที่พระนางได้ทรงประกาศไว้ในบท “สรรเสริญของพระนาง” (Magnificat) มาบัดนี้ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าทุกสิ่งเพื่อพระนาง แท้จริงแล้วเรื่องการเข้าสู่สวรรค์ของพระนาง (Assumption) อาจจะอธิบายได้เป็นอย่างดีในฐานะว่าเป็นปัสกาของพระมารดาของเรา (as Our Lady’s Easter) เพราะในวันนี้ เราสมโภชไม่เพียงเฉพาะพระนางเสด็จผ่านจากชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น แต่สมโภชการกลับคืนชีพของพระนาง และการเสด็จสู่สวรรค์ที่เต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย ณ ที่นั้น พระนางทรงมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับชัยชนะขององค์พระผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ

ภายใต้จิตสำนึกเช่นนี้ บท Magnificat อาจจะเข้าใจได้ดีที่สุดว่าเป็น พันธสัญญาแห่งความเชื่อของพระนางมารีย์เอง (as Mary’s own Testament of Faith) – เป็น “พันธสัญญา” ที่ทำให้เรากล้าจะแสดงความเชื่อในส่วนลึกของเราออกมา เป็นความเชื่อที่ท้าทายเราให้พิจารณาเข้าไปภายใน ดังเช่นที่นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ได้ตรัสไว้ว่า “เราแต่ละคนต้องพิจารณาชีวิตของตนเองด้วยสายตาของพระแม่มารีย์ – ทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อพระแม่ พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อเรา และดังนั้นได้ทรงกระทำในเรา” ดังนั้น ในวันสมโภชนี้ ซึ่งเป็นวันสมโภชที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวันสมโภชทั้งหลายของพระนางมารีย์ พระศาสนจักรทั่วสากลร่วมเสียงเป็นหนึ่งเดียวกับพระนางสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระนามของพระองค์ทรงศักดิ์สิทธิ์”

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

หลายๆปีมาแล้ว มีละครไทยที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่อง “คือ…หัตถาครองพิภพ” ซึ่งเนื้อเรื่องพูดถึงบทบาทของผู้หญิงที่ใช้มือแกว่งไกวลูก แต่มือนี้แหละที่ครองโลก

อันที่จริงถ้อยคำเหล่านี้มาจากสุภาษิตเก่าแก่ที่ต้องการจะบอกว่า อิทธิพลของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่กว่าอิทธิพลใดๆ

แม่หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เมื่อคิดถึงบทบาทที่สูงส่งนี้ แม่หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรในความขาดตกบกพร่องของตัวเอง แม่หลายๆ คนสงสัยว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรกับการรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

ให้เราพิจารณาดูผู้ที่เราสมโภชในวันนี้ คือ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า เพื่อเป็นคำตอบและแรงบันดาลใจของผู้ที่เป็นแม่ทุกคน และเป็นแบบอย่างและความหวังสำหรับเราทุกคนด้วย

พระแม่มารีย์ ผู้ประทับในสวรรค์ ณ เวลานี้ พระศาสนจักรเฉลิมฉลองการยกขึ้นสวรรค์ในแบบพิเศษสำหรับพระแม่ เพราะว่าพระแม่ทรงปราศจากบาป พระกายของพระแม่จึงเหมือนของพระเยซูเจ้า ที่ไม่ต้องเปื่อยเน่าไป แต่ตรงดิ่งจากสถานภาพแบบโลกนี้สู่สถานภาพแห่งสวรรค์

การที่พระแม่ประทับในสวรรค์ ณ บัดนี้ เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาให้กับพวกเราว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปอยู่กับพระแม่ด้วย เพียงแต่เราต้องผ่านการเน่าเปื่อยของร่างกายเสียก่อน เพราะเราเป็นคนบาปมาก่อน เราเป็นเหมือนเมล็ดข้าวที่ตกลงไปในดิน ดังที่พระอาจารย์เจ้าทรงสอนไว้ เน่าเปื่อยไปและตายไป พอถึงช่วงเวลาแห่งการกลับคืนชีพ ก็จะงอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมาอย่างงดงาม

แต่การมาสมโภชพระแม่ในวันนี้ ไม่เพียงแต่มายึดมั่นในคำสัญญาว่าสักวันเราจะอยู่กับพระแม่ในสวรรค์ เราได้รับมากกว่านั้น กล่าวคือ จะได้รับความช่วยเหลือจากพระแม่อย่างเป็นรูปธรรม ในการต่อสู้เพื่อไปสู่ชัยชนะ ดังที่พระแม่ทรงได้รับอยู่ ณ บัดนี้ พูดง่ายๆ เราสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระแม่ได้

ยกตัวอย่างหนึ่งในบรรดาตัวอย่างที่มิอาจนับได้ถ้วน เรื่องนี้เกิดกับ นาย ดักลาส ไฮด์ เขาเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ของอังกฤษ ที่อุทิศตนอย่างจริงจังกับงานนี้ และในฐานะที่เคยเป็นบรรณาธิการ เขาต้องอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรคาทอลิกเพื่อนำมาเขียนโจมตี

แต่ในระหว่างการอ่านนั้น มีบางสิ่งเกิดขึ้น ยิ่งอ่านมากเขาก็ยิ่งมั่นใจในความจริงทางสติปัญญาที่ได้ค้นพบ แต่เขายังไม่ถึงกับรับความเชื่อเข้ามาในจิตใจ เพราะยังมีบางสิ่งหน่วงเหนี่ยวใจเขาเอาไว้

วันหนึ่ง เขาเดินทางไปทำงานในกรุงลอนดอนโดยใช้บริการรถไฟมหาชน เมื่อรถไฟจอดที่สถานีหนึ่ง เขาเห็นป้ายชื่อวัดคาทอลิกแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเคยเห็นป้ายนี้มาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว เขาตัดสินใจลงจากรถไฟเพื่อไปที่วัดนี้

เมื่อไปถึง เขาเลือกที่นั่งแถวสุดท้าย กำลังสงสัยว่าอำนาจลึกลับอะไรพาเขามาที่นี่ ทันใดนั้น เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาตรงกลางทางเดินของวัด เธอเดินตรงไปที่รูปปั้นของพระแม่มารีย์ ขณะที่เธอเดินผ่านไป เขาสังเกตว่า หน้าเธอมีความกังวลมาก

เด็กหญิงคนนั้นคุกเข่าแทบพระบาทพระแม่มารีย์เป็นเวลายาวนาน แล้วนั้นก็ลุกขึ้น เดินออกจากวัดไป เขาสังเกตว่าใบหน้าที่กังวลของเธอมลายหายไป เธอมีสันติสุขอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเธอไปแล้ว เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอทำ เขาตั้งใจจะพูดปัญหาของเขากับพระแม่มารีย์ ในขณะที่เขาคุกเข่า เขาไม่รู้จะใช้ถ้อยคำอย่างไรดีจึงจะเหมาะที่ใช้ได้กับพระแม่ เขาไม่รู้วิธีสวดภาวนา พอเขาเริ่มพูด ก็รีบถอนคำพูด เพราะคิดว่าใช้คำไม่ค่อยเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ต่อหน้าพระรูปนั้น เขารู้ว่าได้พบสิ่งที่เขาแสวงหาในใจแล้ว

ออกมานอกวัดแล้ว เขาพยายามคิดถึงคำที่เขาใช้สื่อสารกับพระแม่ เขาต้องหัวเราะออกมา เพราะเป็นคำที่คล้ายๆ กับเสียงจังหวะเต้นรำ ที่บอกว่า

“โอ้สุภาพสตรีที่อ่อนหวานและน่ารัก โปรดดีต่อผมเถิด โปรดดีต่อผมด้วย”

ให้เราพร้อมใจกันสรรเสริญพระแม่มารีย์ พระมารดาของพระเจ้า ในวันสมโภชที่น่ายินดีนี้ โปรดภาวนาเพื่อลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2011
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A ; by Mark Link, SJ)

บทรำพึงวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ (ลก 1:39-56) พระมารดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า พระมารดาผู้ทรงได้รับพระพรของเรา

ช่างคนหนึ่งกำลังทำงานบนนั่งร้านที่อยู่ขึ้นไปบนเพดานตรงช่องกลางของอาสนวิหารแห่งหนึ่ง เขามองลงมาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังภาวนาอยู่หน้าพระรูปปั้นของพระแม่มารีย์ แน่นอนว่าหญิงคนนี้มองไม่เห็นและไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างบน ช่างคนนี้นึกสนุกจึงทำเสียงเบาๆออกไปว่า “หญิงเอ๋ย เราคือพระเยซู” หญิงนั้นดูเหมือนไม่สนใจอะไรกับเสียงนั้น เขาจึงทำเสียงก้องๆให้ดังกว่าครั้งแรก “หญิงเอ๋ย เราคือพระเยซู” หญิงนั้นก็ไม่นำพาต่อเสียงนั้น ยังคงคุกเข่าสวดเฉยอยู่ ที่สุด ชายนั้นตะโกนว่า “หญิงเอ๋ย เจ้าไม่ได้ยินเราหรือ นี่คือพระเยซูนะ” ถึงตรงนั้น หญิงนั้นมองไปที่กางเขนกลางวัด แล้วพูดว่า “ตอนนี้อยู่เฉยๆเถอะพระเยซู ฉันกำลังสนทนากับพระมารดาของท่าน”

วันสมโภชนี้ เราระลึกถึงการเข้าสู่สวรรค์ของพระแม่มารีย์ และการได้รับมงกุฎแห่งพระราชินี แม้พระศาสนจักรมีความเชื่อในเรื่องนี้เสมอมาแต่เนิ่นนานแล้ว แต่การประกาศเป็นข้อความเชื่อก็เพิ่งได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในสมณลิขิตที่ชื่อว่า Munificentissimus Deus โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1950 นี้เอง – น่าสังเกตว่า พระแม่มารีย์ได้รับการยกเข้าสู่สวรรค์ (was assumed into heaven) – โดยพระฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนประกาศกเอลียาห์และเอโนค (Enoch) – ในขณะที่พระคริสต์เสด็จสู่สวรรค์ (while Christ ascented into heaven) ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์เอง

เราชาวคาทอลิกเทิดเกียรติแม่พระ และมีความศรัทธาต่อพระนาง ในประเทศอิตาลีและในทุกๆที่ที่มีชุมชนชาวอิตาเลียนอาศัยอยู่ ไม่ว่าที่ใดในโลก พวกเขาจะฉลองวันที่พระแม่ได้รับการยกเข้าสู่สวรรค์ด้วยขบวนแห่หลากสีสัน และมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ในกรุงซานเปาโลและในส่วนอื่นๆของประเทศแถบลาตินอเมริกา จะตกแต่งเรือแคนูด้วยสีสันลอยไปตามแม่น้ำผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเชียร์

โดยแท้จริงแล้ว ประชาสัตบุรุษทุกหนแห่งจะถือว่าการที่แม่พระได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์นี้เป็นจุดสูงสุดของชีวิตที่เปี่ยมด้วยความเชื่อของพระนาง ที่กล่าวกับคำเชื้อเชิญเทวทูตว่า “fiat” หรือ “yes” หรือ “ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาทะของท่านเถิด” (ลก 1:38) ซึ่งนั่นก็คือ การที่ทำให้พระแม่ได้กลายเป็นพระมารดาของพระเจ้านั่นเอง พระนางเองทรงตัดสินใจที่จะให้พระเยซูเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางชีวิต ในขณะเดียวกันก็ทรงท้าทายเราทุกคนให้มีพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิตของเราด้วย

“พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย…” (ลก 1 : 39) เราจะสัมผัสได้ถึงเรื่องของการเดินทาง พระนางไม่ได้เสด็จไปท่องเที่ยวหรือพักร้อน พระนางเพิ่งจะทรงได้รับการแจ้งว่าจะได้เป็นพระมารดาของพระเจ้า และแทนที่จะทรงเก็บข่าวนี้ไว้สำหรับตนเอง หรือมัวแต่อัศจรรย์ใจว่าเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร พระนางกลับทรงเดินทางไปเยี่ยมญาติ คือนางเอลีซาเบธ และเราก็เห็นภาพเป็นฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราเรียกว่า “การเสด็จเยี่ยมเยียน” (The Visitation) บางครั้งหรือบ่อยครั้ง เราคิดว่าพระแม่มารีย์ผู้ได้รับพระพรของเราเป็นผู้สงบเงียบ นิ่งๆ เฉยๆ และเป็นเพียงผู้ตาม แต่ ณ ที่นี้ เราเห็นพระนางทรงเป็นสตรีนักกิจกรรม ทรงเป็นบุคคลที่เคลื่อนไหวตลอด พระนางจะเสด็จไปในที่ต่างๆ ทรงเป็นสตรีที่ต้องเดินทางตลอดและทรงมีความจำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นด้วย

หลังจากเสด็จเยี่ยมเยียนนางเอลีซาเบธ เราจะเห็นว่าพระนางมารีย์ต้องเสด็จไปเมืองเบธเลเฮมขณะที่ทรงครรภ์ ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางที่อันตราย ต่อจากนั้น ทรงเดินทางอีกด้วยการหนีไปอียิปต์ เพื่อหลบให้พ้นจากการขู่ฆ่าให้ตายที่ใกล้จะมาถึง

เราพบพระนางอีก ในการเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเวลาที่พระบุตรทรงหายตัวไป และทรงกลับไปตามหาที่พระวิหาร แล้วจึงทรงเดินทางกลับนาซาเร็ธ และสุดท้ายที่เราไม่สามารถลืมได้ลง ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยากลำบากที่สุดมากกว่าครั้งใดๆ นั่นคือการเดินตามพระบุตรของพระนางไปตามภูเขากัลวารีโอ ณ ที่ซึ่งมีการตรึงกางเขนพระบุตรของพระนาง และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

พระนางมารีย์ นับเป็นสานุศิษย์องค์แรก และทรงเป็นรูปแบบในหลายๆทางให้กับสานุศิษย์ทุกๆคนที่ติดตามมา การเดินทางเพื่อเผยแผ่พระวรสารและการประกาศข่าวดี พระนางมารีย์ทรงเป็นสตรีนักกิจกรรม เราอาจกล่าวได้ว่า ทรงเป็นมิชชันนารีคนแรก ทรงเป็นผู้ที่นำพระคริสต์มาให้แก่โลกของเรา

วันนี้ ในวันสมโภชนี้ เราเฉลิมฉลองการเดินทางที่เป็นจุดสูงสุดของพระนาง คือการได้รับเกียรติเข้าไปสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ สตรีผู้ได้ใช้ชีวิตในการเดินทางที่มากมาย – ทั้งการเดินทางอย่างรีบเร่ง การเดินทางเพื่อแสวงหา การเดินทางเพื่อหนีภัย ในที่สุดได้รับการกำหนดให้อยู่ในสถานแห่งการพักผ่อน สถานที่ซึ่ง “ได้รับการจัดเตรียมไว้โดยพระเจ้า” ดังที่ในหนังสือวิวรณ์ได้เขียนไว้ วันนี้ เราจึงเทิดเกียรติประการนั้น และเทิดเกียรติในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำด้วย ในการที่พระองค์ “ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์” (ลก 1:48)

(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Ignite Your Spirit โดย Fr. John Pichappilly)

14 สิงหาคม
ระลึกถึงนักบุญมักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์และมรณสักขี

14 สิงหาคม
ระลึกถึงนักบุญมักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์และมรณสักขี

(St Maximilian Kolbe, Priest & Martyr, memorial)

นักบุญมักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ เกิดที่ประเทศโปแลนด์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1894 เป็นบุตรของ Julius และ Maria Kolbe เมื่อรับศีลล้างบาปได้รับชื่อว่า เรย์มอนด์ (Raymond) เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มได้เข้าอารามของคณะภราดาน้อย (The Order of Friars Minor Conventuals) และต่อมาได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ค.ศ. 1918 ที่กรุงโรม ด้วยความรักที่ลุกร้อนประสาบุตรที่มีต่อพระแม่พรหมจารีพระมารดาของพระเจ้า ท่านจึงตั้งสมาคมที่เรียกชื่อว่า “กองทัพของพระแม่มารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล” (= “Army of Immaculate Mary”) ต่อมาได้ออกนิตยสารทางศาสนาชื่อว่า “อัศวินของพระแม่ผู้ปฏิสนธินิรมล” (= “Knight of the Immaculate”) ให้อยู่ในการปกป้องคุ้มครองของพระแม่มารีย์ โดยจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวดีให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยจัดจำหน่ายไปทั้งในโปแลนด์ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิด และไปยังประเทศอื่นๆด้วย ในปี ค.ศ. 1930 ท่านสมัครไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศญี่ปุ่น และทำงานภายใต้การปกป้องและความอุปถัมภ์ของพระนางพรหมาจารีผู้ปฏิสนธินิรมล ท่านได้ตั้งโรงพิมพ์ และก่อตั้งกลุ่มคณะที่จะมาต่องานประกาศข่าวดีแห่งพระวรสารของท่าน โดยผ่านทางสิ่งพิมพ์

เมื่อกลับมาที่โปแลนด์ในปี ค.ศ. 1936 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์คาทอลิกของโปแลนด์ และนี่เป็นชนวนนำความโกรธเคืองมาให้กับหน่วยเกสตาโป(Gestapo) ในปี ค.ศ. 1939 ท่านถูกจับขังคุกด้วยข้อหาโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านนาซี ต่อมาถูกปล่อยตัว แล้วถูกจับอีกในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1941 ในข้อหาช่วยผู้ลี้ภัยชาวยิวให้หนีไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกนำไปยังค่ายกักกันที่เอ๊าส์ชวิตซ์ (Auschwitz) ณ ที่นี้เองที่ความเป็นวีรบุรุษของท่านได้ฉายแสงสุกสว่าง มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในค่าย วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 นักโทษคนหนึ่งหนีออกไปจากค่ายกักกัน ผลก็คือ ต้องมีการลงโทษเพื่อให้หลาบจำ ผู้คุมจึงเลือกนักโทษอื่นๆในค่ายจำนวนสิบคน โดยใช้วิธีการสุ่ม ทั้งสิบคนนี้จะถูกนำไปขังคุกใต้ดินและให้อดอาหารจนตายไป หนึ่งในสิบคนที่ถูกเลือกชื่อว่า Franciszek Gajowniczek เป็นพ่อของลูกเก้าคน เขาร้องคร่ำครวญออกมาว่า “อย่านะ โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดเถิด อย่าให้เป็นผมเลย หากเป็นเช่นนั้น ภรรยาและลูกๆที่น่าสงสารของผมจะเป็นเช่นไร” ด้วยความสงสารจับใจ คุณพ่อกอลเบก้าวออกมายืนหน้าแถวบอกกับผู้คุมว่าขอไปแทนชายผู้น่าสงสารนั้น โดยท่านกล่าวว่า “ผมเป็นพระสงฆ์คาทอลิกชาวโปแลนด์และก็มีอายุมากแล้ว ผมขอไปแทนชายคนนั้น เพราะเขามีภรรยาและลูกๆ” นี่เป็นแบบอย่างของความรักในแบบของพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย”

ในช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ คุณพ่อกอลเบยังคงเป็นกำลังใจ และความเข้มแข็งให้กับทุกคนที่ได้รับโทษถึงตายนี้ ท่านได้ช่วยเตรียมพวกเขาให้พบกับวาระสุดท้ายด้วยการภาวนาและขับร้องบทเพลงสรรเสริญ แทนที่จะร่ำไห้ด้วยความหมดหวัง แล้วนั้นพวกคนเหล่านี้ก็ตายไป คุณพ่อกอลเบยังอยู่เป็นคนสุดท้าย ขณะนั้นเป็นเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1941 และเนื่องจากพวกผู้คุมต้องการสถานที่คุมขังสำหรับนักโทษชุดต่อไป จึงฉีดยาที่บรรจุกรดคาร์บอนิก (carbonic acid) เพื่อเร่งให้ท่านตายเร็วขึ้น

คุณพ่อกอลเบได้ตรียมตนเองสำหรับการถวายตนเป็นบูชาครั้งสุดท้ายอย่างดี ทำให้ท่านเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของความดีที่มีเหนือความชั่วร้าย โดยการติดตามพระคริสต์อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ปีแรกๆของชีวิตของท่าน และยังคงซื่อสัตย์เรื่อยมาจนสละชีวิตเป็นมรณสักขี ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1971 โดยนักบุญปอล ที่ 6 พระสันตะปาปา และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1982 โดยนักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

งานมารีอาโปลี 2024

งานมารีอาโปลี 2024

“ได้รับเรียกและส่งออกไป”

10-11 สิงหาคม 2024
ณ ไร่เชิญบำเพ็ญ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
.
มารีอาโปลี โอกาสฉลองครบ 80 ปี คณะโฟโคลาเร หัวข้อที่เราทำความเข้าใจมากขึ้นคือ “ได้รับเรียกและส่งอออกไป” การแบ่งปันข้อคิด และประสบการณ์ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า พระวรสารสามารถเป็นชีวิตของเราได้ และพระเยซูทรงรักษาสัญญาเสมอ และคำในพระวรสารเป็นจริง
.
มารีอาโปลีครั้งนี้มีความหมาย และสมบูรณ์มากขึ้น ด้วยความเมตตาของพระภิกษุ 2 รูป จาก มจร.ลำพูน และตัวแทนพระภิกษุ 1 รูป จากวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร วันที่ 2 มี การเสวนาศาสนสัมพันธ์ของพระภิกษุ ฆราวาสชาวพุทธกับพี่น้องคาทอลิกเกี่ยวกับงานศาสนสัมพันธ์ที่จัดขึ้นที่กรุงโรมปลายเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน มีการถามตอบอย่างเป็นกันเองกับพระภิกษุ งานครั้งนี้ทำให้เรามั่น มากขึ้นในการเดินทางร่วมกันในงานศาสนสัมพันธ์
งานมารีอาโปลีครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงาน 140 คน เด็ก ยุวชน เยาวชน และผู้ใหญ่ ซึ่งมาจาก เชียงราย แจ้ห่ม แม่ปอน แม่วาง ศรีปิงเมือง ฟ้าฮ้าม สันป่าตอง หางดง สารภี อำภอเมืองเชียงใหม่
ข้อคิด กิจกรรมกลุ่ม เกม เพลง ดนตรี ทำให้งานมารีอามีสีสัน และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

(อัจฉรา นาริรักษ์)

ฉลองอารามกลารีส สารภี (ปีที่ 5)

ฉลองอารามกลารีส สารภี (ปีที่ 5)

11 สิงหาคม 2024
ทุกวันที่ 11 สิงหาคม เป็นวันระลึกถึงนักบุญคลาร่า จึงเป็นวันฉลองอารามคลาริส สารภี จังหวัดเชียงใหม่ เราได้เปิดเสกอาราม เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2019 วันนี้เรามีโอกาสฉลองวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม เวลา 10.30 น.
.
มีสามเณรเล็กจากลำปาง มานำขับร้องเพลง และช่วยพิธีมิสซา สัตบุรุษจากวัดพระเมตตา สารภี คุณพ่อทินกร ลาทู จิตตาธิการ ได้เชิญให้มาร่วมฉลอง นอกนั้นมีเด็กบ้านพรสวรรค์ (ซิสเตอร์รักกางเขนท่าแร่) เยาวชนบ้านนาซาเร็ธ อาสนวิหารพระหฤทัยเชียงใหม่ สภาภิบาลจากวัดที่ลำปาง
.
มีสมาชิกครอบครัว กิจสกุล จากวัดนักบุญเปโตร สามพราน ซึ่งคุณแม่อธิการแคธรีน กิจสกุล เชิญชวนมา และครอบครัวของซิสเตอร์ยูเซฟปีนา เตชะสกุล ซิสเตอร์คณะพระหฤทัยฯ ซิสเตอร์เรยีนา ซิสเตอร์นักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์ ซิสเตอร์แม่ปอน เซอร์เซนต์ปอลจากบ้านดินขาว
.
โอกาสฉลอง 75 ปี 70 ปี และ 50 ปี ชีวิตนักบวช
ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนที่มาร่วมฉลองวัดในวันนี้

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)

11 สิงหาคม
ระลึกถึงนักบุญกลารา พรหมจารี

11 สิงหาคม ระลึกถึงนักบุญกลารา พรหมจารี

[ St Clare, Virgin, memorial, (1193 - 1253) ]

เมื่อนักบุญฟรังซิส อัสซีซี ได้เทศน์สอนในวัด St George ที่เมืองอัสซีซี ประเทศอิตาลี ในช่วงเทศกาลมหาพรต ปี ค.ศ. 1212 ท่านได้เป็นแรงบันดาลใจเด็กหญิงอายุ 18 ปีที่มีนามว่า กลารา (Chiara ซึ่งหมายถึง “แสงสว่าง” หรือ “รุ่งเรือง” ) ซึ่งมาจากครอบครัวขุนนางที่มีชื่อว่า “ฟาวารอนเน” (Favaronne) ให้ตัดสินใจจะติดตาม “ชายผู้ยากจน” (Il Poverello – สมญาของนักบุญฟรังซิส) ผู้ซึ่งมีชีวิตถือคุณธรรมความยากจนตามแบบพระคริสตเจ้า และด้วยคำแนะนำของนักบุญฟรังซิส เธอจึงหลบหนีออกจากปราสาทของพ่อแม่ในคืนวันอาทิตย์ใบลาน โดยมีป้าของเธอที่ชื่อว่า เบียงก้า (Bianca) และผู้ติดตามอีกคนหนึ่งร่วมเดินทางไปด้วย เธอเดินทางผ่านป่าไปยังวัดน้อย the Portiuncula ที่อยู่ในหุบเขา โดยมีนักบุญฟรังซิส และเพื่อนภราดารอเธออยู่ด้วยสัญญาณไฟฉาย และที่นี่เองที่เธอเปลี่ยนจากการสวมเสื้อผ้าราคาแพงมาเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ตัดผมยาวแสนสวยของเธอให้สั้นลง และใช้ผ้าคลุมศีรษะ และเธอก็ทำปฏิญาณมอบถวายชีวิตรับใช้พระคริสตเจ้า

บิดาของเธอผู้ได้วางแผนจะจัดงานแต่งงานให้เธออย่างยิ่งใหญ่งดงามโกรธเธอมาก แต่ก็ไม่สามารถบังคับให้เธอออกมาจากคอนแวนต์ของคณะเบเนดิกติน ซึ่งเป็นสถานที่พักชั่วคราวของเธอได้ หลังจากนั้นไม่นานเธอได้สร้างคอนแวนต์แบบเรียบง่ายขึ้นมาเชื่อมติดกับวัดน้อย San Damiano ซึ่งเป็นวัดที่นักบุญฟรังซิสได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ ณ ที่ใหม่แห่งนี้ภายในเวลาสิบสี่วัน น้องสาวคนเล็กของเธอที่ชื่อ อักแนส ก็มาขออยู่ร่วมอุดมการณ์กับเธอด้วย ต่อมาคณะใหม่ที่มีชื่อว่า “กลาราผู้ยากจน” ( “Poor Clares” ) ก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนั้นมารดาของเธอ (บุญราศี) ออร์โตลานา (Blessed) Ortolana และน้องสาวอีกคนหนึ่งของเธอชื่อ เบอาทริซ (Beatrice) และคุณป้าเบียงกา ต่างก็มามอบตนอยู่ใต้การนำของเธอ คณะของเธอนี้ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรปในหลายๆประเทศตลอดระยะเวลา 40 ปีที่เธออยู่ในตำแหน่ง งานหลักคือการเอาใจใส่ดูแลและให้การศึกษากับเด็กหญิงทั้งหลายที่ยากจน บ้านแม่ของคณะที่อัสซีซีกลายเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กของเธอ แทนที่จะเป็นที่พักเมื่อเธอเกษียณ นักบุญกลาราได้ช่วยเผยแพร่อิทธิพลของอุดมคติแบบฟรังซิสกันออกไปอย่างกว้างไกล และท่านนักบุญกลายเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจในการเข้ามาขอคำปรึกษา ซึ่งรวมทั้งพระสันตะปาปา 2 องค์ บรรดาพระคาร์ดินัลและพระสังฆราช และคนอื่นๆอีกจำนวนมาก

แรกทีเดียว สมาชิกของคณะดำรงชีวิตโดยปราศจากระเบียบวินัยที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพียงแต่ดำเนินตามคำแนะนำที่เป็น “รูปแบบชีวิต” (formula of life) สั้นๆ ที่นักบุญฟรังซิสได้แต่งไว้ และทำตามคำแนะนำที่ท่านจะให้อีกเป็นการส่วนตัวเท่านั้น แต่พระคาร์ดินัล Ugolini ซึ่งเป็นผู้ดูแลคณะใหม่นี้ ได้เขียนระเบียบวินัยขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1219 โดยถือตามพื้นฐานเดียวกันกับของคณะเบเนดิกตินและห้ามการถือความยากจนของส่วนกลาง และเขาได้พยายามถึง 9 ปีให้นักบุญกลารายอมรับระเบียบวินัยนี้ แต่ไม่สำเร็จ นักบุญกลารายืนยันอย่างแข็งขันในอุดมคติของนักบุญฟรังซิส ในการถือความยากจนอย่างสูงสุด และให้ขึ้นอยู่กับทานบริจาคเท่านั้น ในที่สุดพระคาร์ดินัลองค์นั้นก็ยอมให้เป็นไปตามนั้น ต่อมาพระคาร์ดินัล Ugolini นี้ได้เป็นพระสันตะปาปาพระนามว่า เกรโกรี ที่ 9 (Pope Gregory IX) พระองค์ได้ออกสมณลิขิตที่มีชื่อเสียงคือ Priviligium Paupertatis ( = เกี่ยวกับเอกสิทธิ์ของการถือความยากจน ) ซึ่งเป็นเอกสารฉบับแรกของเรื่องเกี่ยวกับความยากจนที่ได้ออกมา และต่อมาระเบียบวินัยที่ตราขึ้นมานี้ก็ได้รับการยืนยันอย่างสง่าโดยพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 4 (Pope Innocent IV) ซึ่งการประกาศยืนยันนี้ได้ออกมาสองวันก่อนที่นักบุญกลาราจะสิ้นชีพ แท้จริงแล้วพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ได้ไปเยี่ยมนักบุญกลาราที่ใกล้จะสิ้นชีพ (ที่สืบเนื่องมาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยหลายปีก่อนหน้านี้) ขณะนั้น ภราดาผู้ร่วมงานกับนักบุญฟรังซิสตั้งแต่สมัยแรกๆ สามท่านกำลังผลัดกันอ่านเสียงดังจากเรื่องพระทรมานของพระเยซูเจ้า ที่เขียนไว้โดยนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร โดยทำเช่นเดียวกับที่ได้ทำเมื่อ 27 ปีที่แล้วต่อหน้า “ชายผู้ยากจน” ( = Il Poverello ) คนนั้น (คือ นักบุญฟรังซิส อัสซีซี) ผู้กำลังใกล้จะตายที่ Portiuncula ในขณะที่ “ดอกไม้น้อยๆ ของนักบุญฟรังซิส” (the Little Flower of St Francis) หรืออาจเรียกว่า “สุภาพสตรีผู้ยากจน” (Lady Poverty) ได้จากไปอย่างสงบไปสู่รางวัลที่เธอสมจะได้รับเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1253 เมื่อายุ 59 ปี

พิธีปลงศพของนักบุญกลารามีผู้มาร่วมพิธีคือพระสันตะปาปาและบรรดาเจ้าหน้าที่ของสันตะสำนักด้วย สองปีต่อมาผู้ก่อตั้งคณะหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้รับประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญอย่างสง่าเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1255 และเพื่อความปลอดภัย ร่างกายของท่านถูกฝังไว้อย่างลึกภายใต้พระแท่นหลักในวัดใหม่ที่สร้างขึ้นที่อัสซีซี เพื่อเป็นเกียรติแด่เธอในปี ค.ศ. 1260 และร่างกายของท่านไม่ถูกค้นพบจนกระทั่งปี ค.ศ. 1850 บัดนี้ ร่างกายของท่านนักบุญประดิษฐานอยู่ในวัดน้อยที่อยู่ชั้นใต้ดิน ที่ซึ่งมีนักจาริกแสวงบุญมากมายนับไม่ถ้วนมาเยี่ยมเยียนและแสดงความเคารพ

นักบุญกลารามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น เพราะมีสงครามครูเสด (Crusades) และเป็นช่วงที่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) กำลังรุ่งเรือง ท่านนักบุญเป็นฟรังซิสกันหญิงคนแรก และรวมทั้งเป็นฟรังซิสกันหญิงคนแรกที่เป็นนักบุญ ภาพวาดของท่านที่เป็นศิลปะทางศาสนามักจะเป็นรูปที่ท่านกำลังถือหรือชูผอบศีล (a ciborium) ความหมายลึกๆที่ซ่อนอยู่คือนักบุญกลารามีความศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อศีลมหาสนิท ซึ่งได้ช่วยให้คอนแวนต์ของท่านและเมืองอัสซีซีได้รอดพ้นจากการปล้นสะดมของพวกแขกซาราเซนส์ของพระเจ้าเฟรเดริค ที่ 2 (Frederick II) ไม่น้อยกว่าสองครั้งด้วยกัน กล่าวคือ ในปี ค.ศ. 1940 และ ค.ศ. 1941 เมื่อท่านอ้อนวอนขอจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในศีลมหาสนิท “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่รัก ลูกวอนขอพระองค์ทรงปกป้องพวกเขาเหล่านี้ ซึ่งลูกเองไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้” ประวัติเล่าว่า กองทหารที่จะมาปล้นชาวเมืองนั้นกลับหันหลังและหนีไป (บางรูปวาดอาจจะเห็นว่าท่านนักบุญถือรัศมีที่บรรจุศีลมหาสนิทชูขึ้นสูง ก็พบเห็นด้วยเช่นกัน)

ในปี ค.ศ. 1958 นักบุญกลาราได้รับการประกาศให้เป็นองค์อุปถัมภ์ของวงการโทรทัศน์ โดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 อ้างอิงจากเหตุการณ์ที่ท่านนักบุญได้มองเห็นภาพมิสซาคริสต์มาสตอนเที่ยงคืนที่กำลังประกอบพิธีในบาสิลิกานักบุญฟรังซิส (the Basilica of San Francesco) ที่อยู่ห่างไกลไปอีกด้านของเมืองอัสซีซี แม้ว่าขณะนั้นท่านยังนอนอยู่บนเตียงคนป่วยของท่าน

(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

JUNE 2024 ENGLISH NEWS SUMMARY- CHIANG MAI DIOCESE

JUNE 2024 ENGLISH NEWS SUMMARY- CHIANG MAI DIOCESE

(Summarized and translated from FB Chiang Mai Diocese by Santa Agustilo)

Feast of Corpus Christi

On 2nd June, Sunday, the Solemnity of the Body and Blood of Christ (Corpus Christi), the Chiang Mai Cathedral was full to celebrate the center of the Catholic life- the holy Eucharist. A very solemn mass was celebrated for the feast and after the Holy Communion, all participated in the procession around the grounds of the Cathedral,stopping in 3 points to pray; led by the 10 children from Baan Phonsawan laying flowers on the way.
.
Two other altars were set up: at the Sacred Heart School to pray for the staff of the 3 Catholic schools, at the entrance of the Cathedral to pray for the sick and the elderly and finally at the altar inside the church to pray for Peace. In addition to worship, Christians are invited to help their neighbors, especially the poor, the lonely and the refugees.

9th Anniversary of “Laudato Si” (2015-2024)

“Laudato Si” celebrated its 9th anniversary. The Social Development and Pastoral Committtee with the Youth Section, in cooperation with Chomthong Ban Thidarak, Ban Niramol, Panthakit Center, the Nagoli Foundation, Ban Pha Khao, and members of Ban Doi Thong planted trees at Betharram and Noah Garden in Chom Thong. The ceremony began with a liturgical readings, and reflections by Father Mongkol Charoentham who is the parish priest of St. Michael church, Chom Thong. Seedlings were distributed to each person to be planted in the designated areas.

Chiang Mai Sacred Heart Cathedral Celebrates 93rd Anniversary

On Friday, 7th June 2024, Sacred Heart College students and teachers had the opportunity to celebrate in the morning. In the evening, Fr. Chanchai led the First Friday prayers to the Sacred Heart, followed by the Eucharistic celebration with around 70 choir members from Montfort Secondary School and Sacred Heart College. There was a procession around the Cathedral and roses were offered to the Sacred Heart. Catholic students from the three Colleges joined the celebration.
.
Devotion to the Sacred Heart of Jesus has begun 351 years ago, on December 27, 1673, Jesus appeared to the French saint Margaret Marie Alacoque to have this devotion known. The Gospel of the day from John 19:31-37 made us to look up at the cross on the wall of the altar of the Cathedral, it’s written: “He loves us so much” which was the motto of late Bishop Joseph Sangval Surasarang. To return this love, one could love back by doing good deeds at home, at school, at work and help the poor in the community.

Annual Diocesan Priests Seminar

The 41 diocesan priests held their annual seminar on June 11-14, 2024 at the St. Francis Assisi Learning Center, Khun Yuam, Mae Hong Son. They reviewed and evaluated the activities that were agreed in the previous meeting first.
.
This year, among other things discussed were: 1.How they carried out pastoral care in their parishes. 2. Parish management and accounting guidelines. 3. “Join Forces to Care for the World” by Dr. Sunthorn W. e.g.; planting trees in the rice fields. 4. Guidelines of 1 activity for each district to help the parish and the diocese. 5. Support and assistance for SFX Minor Seminary in Lampang by Fr.Sarawut Haeto.
.
Fr. Wirasak Yongsripanithan summarized the seminar results to be approved as a resolution that must be implemented together. H.E. Bishop Vira closed the meeting by updating about the general activities of the Church of Thailand as a whole and in the diocese. They prayed together, listened to each other’s sharing of each parish and ate together. They returned happy, energized and have a new direction to move forward together.

Young Betharram Priests’ Meeting

On June 17- 20, 2024, a meeting was organized for the 16 young priests. H.E. Bp. Francis Xavier Vira was invited to celebrate the closing mass on the last day. H. E. was invited for breakfast and lunch together and shared with them on the Pastoral work and Catechesis. The book “To the Young Priest” was presented, and it says on pages 17-20- “You have to listen to the senior priests, the pastor… “Don’t sleep late”… and also introduced the book on Catechism of the Catholic Church (CCC) 2357-2359.

Solemnity of Saints Peter and Paul

On this feast day, the Church looks back to its origins and celebrates the memory of two great men who were the molds for its early life, and who have left indelible traces in their foundations and characteristics. Different as they are, St. Peter and St. Paul are called “the two pillars of the Church,” “two lamps or lights” burning for Christ, illuminating the way to heaven. In Chiang Mai, several church and chapels are named after them. Below was one celebration of St. Paul’s Church, Huai Tong on this occasion.

Celebration of HM King Rama X

The Chiang Mai Interreligious Committee met to prepare for the celebration of His Majesty King Maha Vajiralongkorn Phra Vajiraklaochaoyuhua’s birthday and National Mother’s Day at the Ban Ho Islamic Mosque on June 29, 2024. In Bangkok, Channel 11 invited the 5 religious representatives to greet HM King Rama X in a recorded television program. His majesty’s birthday will be on July 28th 2024.

Catechetical Center of Chiangmai Diocese (Mae Rim)

Sister Arun Praikhoji, MSCJ from Baan Marina went to teach and share about Prayer with Mae Rim students during the month of June 2024.

Announcement

On 27th June, 2024, an announcement from the Apostolic Nunciature of Thailand was made regarding the appointment of Bishop Francis Xavier Vira Arpondratana, the bishop of Chiang Mai Diocese as APOSTOLIC ADMINISTRATOR (Sede vacante et ad natum Sancta Sedis) of the Archdiocese of Bangkok.

Deacon Ordination

On 29th June, 2024, the Solemnity of Saints Peter and Paul the Apostles, Brother Cyprian Aphikorn Komophitakchai was ordained as a DEACON by H.E. Francis Xavier Vira Arpondratana at Saint Peter Church, Mae La Noi, Mae Hongson. Please pray for the vocation in the church especially for the youth who are called to priesthood, religious life and consecration to God

22 กรกฎาคม
ฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา
(St Mary Magdalene, feast)

22 กรกฎาคม ฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา

(St Mary Magdalene, feast)

พระวรสารทั้งหมดต่างเห็นคล้องต้องกันถึงบทบาทสำคัญของนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา ที่ไม่มีใครเหมือนในบรรดาผู้ติดตามพระเยซูเจ้าทั้งหลาย ชื่อ “มักดาลา” อาจมีที่มาจากสถานที่เกิดของท่าน คือมีเมืองชื่อ มักดาลา ตั้งอยู่ใกล้ทิเบเรียส บนชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี ตามธรรมประเพณีโบราณของพระศาสนจักรลาตินเชื่อว่า มารีย์ ผู้เป็นคนบาป เป็นคนเดียวกับมารีย์ แห่งเบธานี ซึ่งเป็นน้องสาวของมารธาและลาซารัส และเป็นคนเดียวกับ มารีย์ ชาวมักดาลา มารีย์คนนี้ที่ถูกเรียกว่า “ชาวมักดาลา” เป็นผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ผีเจ็ดตนออกไปจากนาง คนบาปผู้นี้ได้ชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยความรัก และตามพระวรสารของนักบุญยอห์น ที่เล่าว่าคือ มารีย์ แห่งเบธานี (ดังนั้นก็เป็นน้องสาวของมารธา) ผู้ซึ่ง “นั่งแทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า และคอยฟังพระวาจาของพระองค์” แต่อย่างไรก็ตาม พระศาสนจักรตะวันออก ให้ความเคารพนับถือมารีย์โดยแยกแยะเป็นสามบุคคลที่ต่างกัน นักพระคัมภีร์ และนักวิชาการต่างๆในปัจจุบันส่วนใหญ่ ก็เชื่อว่าเป็นสามบุคคลแตกต่างกัน

มารีย์ชาวมักดาลาซึ่งเป็นผู้ติดตามที่รักพระองค์อย่างเหลือล้นผู้นี้ ได้ยืนอยู่กับพระมารดาผู้เป็นที่รักของพระองค์แทบเชิงกางเขนของพระเยซูเจ้า ท่านยังเป็นพยานในการฝังพระองค์ในพระคูหา และเป็นคนแรกที่ได้เห็นทั้งพระคูหาที่ว่างเปล่า และได้เห็นพระอาจารย์เจ้าผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ (the risen “Rabboni”) ในเช้าตรู่ของวันปัสกา โดยแท้จริงแล้ว เป็นท่านเองที่ถูกส่งไปโดยพระผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพให้นำข่าวดีไปแจ้งให้อัครสาวกคนอื่นๆทราบ ภารกิจนี้ทำให้ท่านได้รับขนานนามว่าเป็น “อัครสาวกของบรรดาอัครสาวก” (= Apostle to the Apostles) ในสมัยพระศาสนจักรแรกเริ่ม

ชาวคาทอลิกนับถือนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา ว่าเป็นแบบอย่างของชีวิตรำพึงภาวนา และของการเป็นทุกข์กลับใจ ท่านอาจสิ้นชีพที่เมืองเอเฟซัส

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

ข้อคิดข้อรำพึงอาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี B

อัครสาวกทั้งสิบสองกับงานแพร่ธรรม

อัครสาวกทั้งสิบสองมาใช้ชีวิตอยู่กับพระเยซูเจ้า และได้รับฟังคำสั่งสอนของพระองค์พอสมควรแก่เวลาแล้ว พระเยซูเจ้าจึงทรงจัดให้พวกเขาเดินทางไปเป็นคู่ๆ เพื่อประกาศข่าวดี (Missionary Trip)

และเนื่องจากไม่ได้ทรงส่งไปท่องเที่ยว แต่เพื่อไปประกาศข่าวดี เป็นการฝึกงานไปในตัว และจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับงานในอนาคต จึงทรงกำชับมิให้นำสิ่งใดไปด้วย ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม ไม่ให้มีแม้แต่เศษเงินหรือเสื้อผ้าสำรอง เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นสำหรับการแพร่ธรรม

ส่วนสิ่งที่จำเป็นจริงๆ และจะขาดเสียไม่ได้คือ อำนาจเหนือปีศาจ ซึ่งพระองค์ประทานให้กับพวกเขาก่อนออกเดินทาง และเพราะความเชื่อฟังในองค์พระเยซูเจ้าอย่างเต็มที่ บรรดาอัครสาวกได้ทำงานและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง พวกเขาได้เทศน์สอนคนทั้งหลายให้กลับใจ ได้ขับไล่ปีศาจจำนวนมาก ได้เจิมน้ำมันคนเจ็บป่วยหลายคน และรักษาเขาให้หายจากโรค

พี่น้องอย่าคิดว่าการประกาศแพร่ธรรมเป็นงานของพระสงฆ์เท่านั้น เราคงรับทราบข้อความจริงที่ว่า กระแสเรียกของการเป็นนักบวชลดน้อยลง เราเองที่เป็นคริสตชนก็ถูกส่งให้ไปประกาศข่าวดีด้วย อย่ามัวนิ่งเมินเฉย หรือจมหายไปในทรัพย์สมบัติสิ่งของนอกกายที่เราสะสมไว้

ขอยกตัวอย่างนักบุญฟรังซิส อัสซีซี ซึ่งมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ในวัยหนุ่มตอนต้นได้ใช้ชีวิตจมปลักกับทรัพย์สินเงินทองและความสะดวกสบาย ต่อมาเกิดสงครามขึ้นระหว่างเมืองอัสซีซี กับเมืองเปรูจาที่อยู่ใกล้ๆกัน ฟรังซิสอาสาไปรบ แต่ถูกจับเป็นนักโทษอยู่ในคุก ชีวิตได้รับความลำบากอย่างยิ่ง ต่อมาสถานการณ์สงบลง ท่านได้ถูกปล่อยตัวออกมา และต้องใช้เวลาหนึ่งปีต่อมาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้ดีดังเดิม เหตุการณ์ต่างๆ ที่อุบัติขึ้นทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงตนเอง ท่านละทิ้งทรัพย์สมบัติของครอบครัวไปอยู่วัดเก่าๆ ที่จะพังอยู่แล้วแถบชานเมือง ละทิ้งความร่ำรวยเดินทางไปสู่ความยากจน ละทิ้งการสวมเสื้อผ้าหรูหราแบบผู้ดีไปใส่ชุดของกรรมกรที่ยากจน แต่มีรูปกางเขนใหญ่สีขาวอยู่หลังเสื้อ ท่านไปดำเนินชีวิตแบบฤาษี ใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อการสวดภาวนาอย่างสันโดษ วันหนึ่งในขณะที่ฟังมิสซา ท่านได้ยินพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ มีความประทับใจมาก ท่านเลื่อมใสคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า จึงออกเดินทางไปประกาศข่าวดีตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ โดยไม่นำอะไรติดตัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือ เงินทอง และประสบความสำเร็จมากในการแพร่ธรรม มีผู้คนมากมายประทับใจในตัวท่าน และมีคนรุ่นเยาว์ติดตามท่าน ต่อมาได้ขออนุญาตและได้รับอนุมัติให้ตั้งคณะนักบวชฟรังซิสกัน ซึ่งเอาใจใส่คนเจ็บป่วยและช่วยเหลือคนยากจน พวกศิษย์นักบุญฟรังซิสรุ่นแรกๆ นี้ นอนภายใต้ดวงดาวบนฟ้า และกินอาหารที่คนเขาให้กิน ทั้งหมดนี้นักบุญฟรังซิสได้ทำในขณะที่ท่านเป็นฆราวาสนั่นเอง

ขอจบลงท้ายด้วยคำถามว่า เรารู้หรือไม่ว่าเรามีหน้าที่ประกาศข่าวดี ถ้าเรารู้แล้วขณะนี้เราได้ลงมือทำอะไรบ้าง พระเจ้าทรงประทานพรสวรรค์ให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน พระคุณเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องานแพร่ธรรมได้ทั้งสิ้น จงออกเดินทางจากตนเองไปสู่ผู้อื่น จงเลื่อมใสและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และเราจะประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งในการแพร่ธรรม

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2009

Based on : Illustrated Sunday Homilies, Year – B ; by Mark Link, SJ )

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี B

"จงไปประกาศพระวาจาแก่ประชากรของเรา" ("Go, prophesy to my people")

การเผชิญหน้าต่อการแบ่งแยก (Confronting division)

ในบทอ่านแรกวันนี้เราจะได้รับรู้ถึงหนึ่งในคุณลักษณะยิ่งใหญ่ของการเล่าเรื่องในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ฆราวาสที่ชื่อว่าอาโมส ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาได้กลับกลายเป็นประกาศก อาโมสมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในดินแดนเทือกเขาของยูดาห์ ห่างจากเมืองเบธเลเฮมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 5 ไมล์(หรือประมาณ 8 กิโลเมตร) ท่านได้รับการเรียกจากพระเจ้า (จะเป็นในรูปแบบไหนเราไม่รู้) ที่เรารู้คือท่านต้องผละจากงานและแผ่นดินของท่าน และถูกผลักดันให้ไปทำงานในฐานะประกาศกในดินแดนอื่น อาโมสเป็นคนซื่อๆ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เง่ากับคำพูดไร้สาระที่มากระทบหูท่าน ท่านเป็นผู้ที่สังเกตและวิเคราะห์สภาพทางสังคมและศาสนา เป็นประกาศกคนแรกที่อุทิศตนในงานเขียน เป็นนักเล่าเรื่องที่รู้ว่าจะประกาศข่าวสารออกมาอย่างไรให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ช่วงเวลานั้นเป็นราวๆกลางศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล อาโมสถูกส่งไปยังอาณาจักรทางเหนือ คือ อิสราเอล (อาณาจักรทางใต้คือ ยูดาห์ – ผู้แปล) ซึ่งในขณะนั้นกำลังรุ่งเรืองสุดขีดทั้งขุมอำนาจและความร่ำรวย ผืนดินมีความสมบูรณ์มาก บ้านเมืองถูกสร้างอย่างงดงามตระการตา พระราชวังต่างๆมีสิ่งปลูกสร้างคอยป้องกันอย่างแน่นหนา คนที่ร่ำรวยมีบ้านพักฤดูร้อนและฤดูหนาวประดับประดาด้วยงาช้างที่มีค่ามาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีการคอรัปชั่นและการผิดศีลธรรมอย่างแพร่หลาย คนยากจนต้องทุกข์ทนมาก ถูกแสวงหาผลประโยชน์ แม้แต่ถูกขายไปเป็นทาส เป็นดินแดนที่ปราศจากความยุติธรรมและความสงสาร บรรดาผู้พิพากษาก็รับสินบน คนบริสุทธิ์ถูกทรยศหักหลัง

ในท่ามกลางความฟุ้งเฟ้อและความทุกข์ยากลำเค็ญ ประชาชนหลั่งไหลกันไปที่สักการสถานในช่วงเทศกาลเพื่อทำตามระเบียบทางพิธีกรรม อาโมสถือว่าการปฏิบัติศาสนาของพวกเขาเป็นการลงทุนที่จอมปลอม และเป็นที่เกลียดชังในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นท่านได้พูดถึงพระวาจาของพระเจ้าดังนี้

“เราเกลียด เรารังเกียจเทศกาลฉลองของพวกท่าน

เราไม่พอใจการประชุมสง่างามของท่าน

แม้ท่านทั้งหลายถวายเครื่องเผาบูชา

เราก็ไม่พอใจธัญบูชาของท่าน

เราไม่มองสัตว์อ้วนพีที่ท่านถวายเป็นศานติบูชา

จงให้เสียงอึกทึกของบทเพลงของท่านอยู่ห่างจากเรา

เราทนฟังเสียงพิณใหญ่ของท่านไม่ได้

แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงเหมือนน้ำ

และให้ความชอบธรรมเป็นเหมือนธารน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง” (อมส 5:21-24)


ให้คงความซื่อสัตย์ไว้ (Staying loyal)

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของอาโมสซึ่งเป็นคนนอก(ถิ่น) ที่จะใช้พรสวรรค์ของตนทำลายความสงบสุขนั้นเสีย ท่านได้ไปที่สักการสถานเบธเอล ซึ่งเป็นสักการสถานของกษัตริย์ และเป็นพระวิหารของอาณาจักร ที่นั่นท่านต้องเผชิญหน้ากับอามาซิยาห์ สมณะแห่งเบธเอล ซึ่งเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของอาโมสก็มีความโกรธอย่างยิ่ง เขากล่าวหาอาโมสว่าเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นเล่ห์กลแบบเก่าๆที่จะลบความน่าเชื่อถือของประกาศกที่มาทำให้ตำแหน่งของเขาสั่นสะเทือน จึงฟ้องไปยังกษัตริย์ว่า “อาโมสวางแผนต่อต้านพระองค์… แผ่นดินนี้ไม่สามารถทนฟังคำพูดของเขาได้อีกต่อไป”

ในบทอ่านของวันนี้ สมณะได้บอกให้ประกาศกกลับบ้านไป และปล่อยให้สักการสถานของกษัตริย์อยู่อย่างสงบ อาโมสได้ตอบโดยเล่าเรื่องชีวิตจริงของท่าน ว่าท่านไม่ได้เคยเป็นสมาชิกใดๆของกลุ่มประกาศก ท่านเป็นคนเลี้ยงสัตว์และบัดนี้ท่านเป็นเหมือนโฆษกของพระเจ้า สาเหตุเดียวที่ท่านต้องเปลี่ยนไปจากการประกอบอาชีพเดิมก็คือ พระเจ้าทรงให้ท่านเลิกต้อนฝูงแพะแกะ และให้ท่านไปประกาศพระวาจาแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์

อาโมสได้ตอบซื่อๆว่าท่านไม่ได้เป็นประกาศกโดยแต่งตั้งตัวเอง หรือโดยการแต่งตั้งจากกษัตริย์ แต่ท่านถูกเกณฑ์โดยพระเจ้าให้มาประกาศข่าวสารของพระองค์ เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับสมณะเรื่องความซื่อสัตย์ หรือความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ท่านขอซื่อสัตย์ต่อพระวาจาของพระเท่านั้น ซึ่งท่านถือว่าสำคัญมากที่สุดในชีวิตของท่าน


อำนาจของ(การประกาศ)พระวรสาร (The authority of the Gospel)

พระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกทั้งสิบสองเข้ามาพบ และทรงส่งพวกเขาออกเดินทางไปทำงานธรรมทูต เช่นเดียวกับประกาศกอาโมส สานุศิษย์ที่ได้รับเลือกสรรให้ทำหน้าที่นี้จะต้องนำพระวาจาของพระเจ้าไปมอบให้กับคนอื่นๆ ในภารกิจนี้บรรดาอัครสาวกได้รับอำนาจและพลังจากพระเยซูเจ้า พวกเขาต้องเดินทางไปบนพื้นฐานนี้เท่านั้น

ดังนั้น พวกเขาต้องไม่ขึ้นกับทรัพยากรใดๆของตนเอง แต่ขึ้นกับอำนาจที่พวกเขาได้รับมอบ และมิตรไมตรีที่อาจได้รับจากผู้ที่เขาไปประกาศข่าวดีเท่านั้น ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม เงิน และเสื้อผ้าสำรองไปด้วย ให้มีแต่ไม้เท้า และสวมรองเท้าได้ (สังเกต ของสองสิ่งนี้ คือไม้เท้า กับ รองเท้า เป็นสิ่งที่เหมาะกับการเดินทางไปในที่ต่างๆ) ถ้าพวกอัครสาวกจะมีขนมปังกิน หมายความว่าประชาชนไม่เพียงแสดงน้ำใจดีต่อพวกเขาเท่านั้น แต่หมายถึงยอมเปิดใจต่อพระวาจาที่พวกเขานำไปประกาศด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับ ก็ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น นอกจากออกจากที่นั่นไปที่อื่น และเมื่อเมืองไหนที่ปฏิเสธ ก็จงสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา (การสลัดฝุ่นจากเท้า เป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ที่ชาวยิวผู้เคร่งครัดทั้งหลายได้กระทำเมื่อพวกเขาได้กลับคืนสู่ดินแดนปาเลสไตน์ หลังการเดินทางไปเมืองนอกกลับมา)

ทั้งบรรดาประกาศก และบรรดาอัครสาวกจะต้องพึ่งพาอำนาจและพลังที่พวกเขาได้รับมอบ ในการเดินทางไปตามถนนต่างๆ พวกเขาจะได้ทดสอบว่าข่าวสารของเขาในต่างแดนจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะเห็นว่าความมั่นใจของพวกเขาสามารถผ่านพ้นขีดจำกัดของชาติที่แตกต่าง และบุคคลที่เย็นเฉยได้หรือไม่ พวกเขาจะค้นพบว่ากระแสเรียกของพวกเขาจะยังยืนยงคงอยู่ได้แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ เพราะว่าไม่ใช่เพียงเรื่องข่าวสารที่นำไปประกาศเท่านั้นที่จะถูกทดสอบ แต่ตัวผู้ไปประกาศก็ถูกประเมินด้วย

กระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่องไปทุกเมื่อเชื่อวันในชีวิตของพระศาสนจักรและของโลกนี้ – ทุกๆครั้งที่ผู้เทศน์ยืนหยัดตนเองว่าจะประกาศพระวาจาของพระเจ้า – ทุกๆครั้งที่คริสตชนคนใดคนหนึ่งปฏิบัติตนตามคุณค่าแห่งพระวรสารต่อสาธารณะ – ทุกๆครั้งที่ไม่ว่าหญิงหรือชายคนใดที่ยืนหยัดขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรม ฯลฯ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2018

Based on : Seasons of the Word, by Denis McBride)

11 กรกฎาคม ระลึกถึง นักบุญ เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ (St. Benedict of Nursia, Abbot, memorial)

ระลึกถึง นักบุญ เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ (St. Benedict of Nursia, Abbot, memorial)

11 กรกฎาคม

นักบุญเบเนดิกต์ ดำเนินชีวิตในช่วงปี ค.ศ. 480-547 เกิดจากตระกูลผู้ดีในเมืองเล็กๆชื่อนอร์เซีย (Nursia) ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ของอิตาลี ได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นอยู่ที่กรุงโรม แต่ท่านได้เห็นชีวิตของเพื่อนนักเรียนที่ไร้แก่นสาร และได้รู้ถึงสภาพที่เศร้าของประเทศในเวลานั้น ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ The Arian Theodoric the Goth ทำให้ท่านละทิ้งทุกสิ่งในขณะที่มีอายุแค่ 16 ปี เพื่อแสวงหาความรอดพ้น โดยไปเจริญชีวิตฤาษีแบบโดดเดี่ยวในถ้ำลับๆที่อยู่สูงเหนือเมืองซูบีอาโก (Subiaco) ภายในเวลาไม่กี่ปี ท่านก็มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านชีวิตจิตและความศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนเลื่อมใสในตัวท่าน และพากันมาหาท่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีบันทึกถึงท่านในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ การทำอัศจรรย์ และการแนะนำวิญญาณ และนี่เองดึงดูดให้ผู้คนสมัครมาเป็นศิษย์ของท่านยิ่งทียิ่งมากขึ้น จนท่านได้สร้างอารามขึ้นมาถึง 12 แห่ง แต่ละแห่งประกอบด้วยสมาชิกฤาษี 12 คน พร้อมด้วยอธิการของตนเอง

นักบุญเบเนดิกต์ได้สร้างโรงเรียนหลายโรงเพื่อให้การศึกษาทางด้านคริสตชนแก่บรรดาเยาวชนด้วย ความสำเร็จนี้ทำให้มีผู้มาเยือนด้วยความอยากรู้อยากเห็นจำนวนมากที่เดินทางมาดูงานจากกรุงโรม ในขณะเดียวกันก็เป็นที่อิจฉาของฤาษีอื่นๆ ในละแวกนั้นที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่าน ต่อมาท่านได้รับการบริจาคที่ดินซึ่งอยู่ไปทางใต้ของประเทศ ท่านจึงย้ายจากเมืองซูบีอาโกที่อยู่มา 28 ปี ไปอยู่ที่มอนเต คาสสิโน (Monte Cassino) ในปี ค.ศ. 529 ที่นั่นท่านได้สร้างอารามใหญ่ซึ่งกลายมาเป็นบ้านแม่ของฤาษีคณะเบเนดิกติน เพื่อการนำคริสตชนชาวยุโรปกลับคืนมาและฟื้นฟูชีวิตขึ้นใหม่

ตรงข้ามกับชีวิตสันโดษในตอนเริ่มต้นที่เมืองซูบีอาโก อารามแห่งใหม่เปรียบประดุจประภาคารส่องแสงที่ใหญ่โตตั้งโดดเด่นอยู่บนเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างทางจากโรมไปเนเปิลส์ ธรรมวินัยศักดิ์สิทธิ์ 526 ข้อของคณะมีจุดมุ่งหมายเพื่อการฝึกตนทั้งทางด้านศีลธรรม และด้านจิตใจให้แก่บรรดาฤาษี โดยถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสาร และเพราะความมีเหตุผล ความทันสมัย และประยุกต์ใช้ได้ทุกๆที่และทุกอายุ ทำให้ค่อยๆเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้อกำหนดของอารามฤาษีทั่วทั้งภาคตะวันตก และตรงข้ามกับการถือวินัยของพวกฤาษีที่ปลีกวิเวกในอียิปต์ ธรรมวินัยของท่านเน้นความสำคัญของชีวิตส่วนรวม (community life) และความนอบน้อมด้วยความยินดีแบบครบครัน ท่านสอนฤาษีให้ทำงานที่สมัยนั้นถือว่าเป็นงานของทาสติดที่ดิน และการทำงานด้วยมือ (ด้วยน้ำพักน้ำแรง) ในผืนแผ่นดินที่ถูกทิ้งไว้ว่างเปล่า ท่านสอนให้ฤาษีของท่านสร้างศักดิ์ศรีในการทำงานขึ้นมาใหม่ ท่านสอนว่า “คนเราต้องทำงาน และโดยการทำงานภายใต้ความเชื่อฟัง จะนำเรากลับไปสู่พระเจ้า ส่วนคนที่จะถูกทิ้งไปก็เพราะความเกียจคร้านโดยไม่ยอมเชื่อฟังของเขานั่นเอง” และยังสอนอีกว่า “พวกเราต้องเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและความเจ็บปวดเพื่อเห็นแก่พระเจ้า ในทุกๆเนื้องานที่จำเป็น เพราะพระหรรษทานจะไม่ตอบสนองให้กับวิญญาณของคนที่เกียจคร้าน การทำงานนั้นต้องบวกคำภาวนาเข้าไปด้วย นี่จะเป็นกิจการของพระเจ้า ที่จะทำให้เรารับรู้ด้วยความถ่อมตนของการประทับอยู่ของพระองค์ ดังนั้น ก็จะเป็นการประกาศความเชื่อแบบสั้นๆ เป็นการสรรเสริญและโมทนาคุณตลอดทั้งวัน การภาวนาส่วนบุคคลให้ทำด้วยน้ำตาและใจที่ศรัทธา” ยังสอนให้ยึดมั่นในคำปฏิญาณประกอบไปด้วย ความยากจน ความบริสุทธิ์ และความนอบน้อมเชื่อฟัง และความผูกพันอย่างมั่นคงต่ออารามหนึ่งๆตลอดชีวิต และต่างจากความคิดเรื่องความยากจนของคณะฟรังซิสกันที่มาภายหลัง อารามฤาษีของคณะเบเนดิกตินต้องไม่เพียงเลี้ยงดูตัวเองได้เท่านั้น แต่ต้องอยู่ในฐานะที่ช่วยคนจน คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ทนทุกข์ทรมาน และให้ที่พึ่งพิงแก่คนแปลกหน้าได้ด้วย

โดยการสั่งสอน การศึกษาเล่าเรียน และการคัดลอกลายมือจากต้นฉบับ บรรดาฤาษีของคณะเบเนดิกตินได้เก็บรักษาข้อเขียนคลาสสิกทั้งภาษากรีกและโรมันผ่านช่วงยุคมืด(the Dark Ages)มาได้ บรรดาอธิการ พวกขุนนาง ตลอดจนคนธรรมดาๆได้เดินทางมาปรึกษากับผู้ก่อตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ และได้รับแรงบันดาลใจจากความสงบ ความสง่างาม ทัศนะที่สมดุล และหนทางแห่งชีวิตจากท่าน ตามความคิดของท่าน บรรดาอธิการจะต้องมีความเพียรพยายามเสมอที่จะปลูกความรักมากกว่าความหวาดกลัวให้กับลูกน้องของพวกท่าน คนยากจนพบว่าท่านเป็นผู้ปกป้องคุ้มกันที่เปี่ยมด้วยเมตตา แม้แต่ King Totila of the Goths ที่ไปเยี่ยมที่ Monte Cassino ก็ยังมีความประทับใจอย่างยิ่งในตัวท่าน จนว่าพระองค์สามารถควบคุมอารมณ์เสียให้ลดน้อยลงได้หลังจากการเยือนครั้งนั้น

ตามที่เล่าต่อกันมา เชื่อว่าท่านสิ้นชีพในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 547 ในวัดของอารามของท่าน มือทั้งสองของท่านยกขึ้นสู่สวรรค์ขณะกำลังภาวนา หลังจากได้รับศีลมหาสนิท และได้ถูกฝังไว้เคียงข้างน้องสาวของท่าน คือนักบุญสกอลัสติกาในวัดน้อยของนักบุญยอห์นบัปติสต์ที่คาสสิโน แม้ท่านเองไม่ได้เป็นพระสงฆ์ แต่คณะของท่านได้มอบให้แก่พระศาสนจักรเป็นพระสันตะปาปาไม่น้อยกว่า 24 องค์ พระสังฆราช 4,600 องค์ และนักบุญมากกว่า 5,000 องค์ ยิ่งกว่านั้นยังมีในด้านพิธีกรรม และในงานมิชชันนารี อีกทั้งยังมีงานที่ทรงคุณค่าที่ให้แก่มวลมนุษยชาติในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเกษตรกรรม ท่านได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งชีวิตฤาษีของพระศาสนจักรตะวันตก” (The Patriarch of Western Monks) ท่านถูกอ้อนวอนขอให้กรณีคนที่เป็นโรคไฟลามทุ่ง (erysipelas) คนที่เป็นนิ่ว และคนที่โดนยาพิษ คติพจน์ของท่านคือ “จงภาวนา และ จงทำงาน” (= Ora et Labora)

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)