วันที่ 28 มกราคม
ระลึกถึงนักบุญโทมัส อาไควนัส พระสงฆ์และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

วันที่ 28 มกราคม ระลึกถึงนักบุญโทมัส อาไควนัส พระสงฆ์และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

(St Thomas Aquinas, Priest & Doctor, memorial)

ท่านเป็นบุตรคนเล็กของ Landolfo of Aquino และ Teodora of Chieti เกิดเมื่อปี ค.ศ.1225 ได้รับการศึกษาจากฤาษีเบเนดิกตินที่มอนเตคาสสิโนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ท่านได้เข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองเนเปิลส์ เมื่ออายุ 11 และต้องการเข้าคณะดอมินิกันเมื่ออายุ 18 แต่ครอบครัวของท่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด เนื่องด้วยเป็นญาติกับจักรพรรดิเฟรเดริกที่ 2 ขัดขวางอย่างเต็มที่ไม่ยอมให้ท่านเข้าคณะฤาษีภิกขาจารนั้น โดยจับท่านขังไว้ในหอคอยปราสาทที่บ้านของท่านเป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ถูกกักขังตัว พี่สาวของท่านได้นำหนังสือพระคัมภีร์และหนังสือปรัชญาต่างๆ ให้ท่านศึกษา ภายหลังท่านหนีออกมาได้โดยความช่วยเหลือของพวกภราดาคณะดอมินิกันด้วยการให้ท่านนั่งในตะกร้าแล้วหย่อนลงมาเหมือนนักบุญเปาโลเคยทำ และเนื่องจากท่านมีความรู้จากหนังสือต่างๆ ที่ท่านอ่านเป็นอย่างดี จึงถูกส่งตัวไปเรียนที่เมืองโคโลญ และปารีส และอยู่ภายใต้การดูแลของนักบุญอัลเบิร์ตผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากได้รับศีลบวชและได้ปริญญาเอกทางเทววิทยาแล้ว ท่านเริ่มงานสอนด้วยความชัดเจน เที่ยงตรง และสร้างแรงบันดาลใจ จนว่าเป็นที่ติดใจของบรรดานักศึกษาซึ่งมีจำนวนเป็นพันๆคน มหาวิทยาลัยปารีสในขณะนั้นมีนักศึกษามากถึง 30,000 คน

ท่านได้ชื่อว่า “นักปราชญ์เทวดา” (Angelic Doctor) และ “เจ้าชายแห่งนักเทววิทยาของคาทอลิก” (Prince of Catholic Theologians) โดยหลักใหญ่แล้วท่านสนับสนุนทฤษฎีที่ใช้หลักปรัชญาตามแนวคิดของอริสโตเติ้ลมาอธิบายในแสงสว่างของข้อคำสอนแบบคริสตชนนั่นเอง

ในช่วงชีวิตที่ค่อนข้างสั้นแค่ 49 ปี ท่านได้เขียนหนังสือไว้ถึง 60 ผลงานด้วยกัน ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ยากจะเทียบเทียมได้คือ Summa Theologica ซึ่งเป็นบทสรุปของหลักปรัชญาและหลักเทววิทยาแบบคริสตชน “เหตุว่าเป้าหมายหลักของวิทยาการศักดิ์สิทธิ์นี้ ก็คือให้ความรู้ถึงพระเจ้า – ไม่เพียงว่ารู้เกี่ยวกับพระองค์เอง แต่รู้ด้วยว่าทรงเป็นต้นกำเนิดและจุดสิ้นสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งของสิ่งสร้างที่รู้เหตุผล – เราควรปฏิบัติต่อพระเจ้าเป็นประการแรก ประการที่สองคือ การเข้าถึงพระเจ้าของสิ่งสร้างที่รู้เหตุผล และประการที่สามต่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นมนุษย์ ทรงเป็นหนทางที่พาเราไปหาพระเจ้า” ท่านมักกล่าวเช่นนี้

ก่อนที่ท่านจะศึกษาเรื่องใดก็ตาม ท่านจะต้องวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยการรำพึงและภาวนาเสียก่อน และเมื่อเริ่มทำงานท่านก็จะทุ่มเทจนต้องตั้งภราดาคนหนึ่งคอยดูแลไม่ให้ท่านลืมไปรับประทานอาหาร หรือ ลืมการพักผ่อนนอนหลับ เมื่อท่านต้องตีความพระคัมภีร์ตอนที่คลุมเคลือ ท่านจะทำการอดอาหารเป็นพิเศษ แล้วสวรรค์ก็จะช่วยท่านในการให้คำนิยามที่เป็นแบบเหนือธรรมชาติ นี่เป็นเหตุผลเพียงประการเดียวที่จะอธิบายว่าทำไมท่านถึงมีพลังและความศรัทธาทางสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา บทสวดทำวัตรและบทมิสซาวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า (Corpus Christi) โดยเฉพาะบทสดุดีอันเป็นที่รักมากคือบท “ตามตุม แอร์โก” (Tantum Ergo) และบท “โอ ซาลูตารีส ออสตีอา” (O Salutaris Hostia) นั้นท่านได้ประพันธ์ขึ้นตามคำสั่งของพระสันตะปาปา

นักบุญโทมัสสิ้นชีพเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ.1274 ขณะเดินทางไปร่วมประชุมสภาที่เมือง Lyons ที่พระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ 10 ทรงเรียกประชุมเพื่อต้องการจะรวมศาสนจักรต่างๆ ของจารีตกรีกและลาตินให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันใหม่ ท่านได้รับการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 22 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1323 ได้รับการยกย่องให้เป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1567 นักบุญโทมัสยังได้รับการประกาศว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยคาทอลิก และสถาบันทางการศึกษาทั้งหลาย

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

วันที่ 27 มกราคม
นักบุญอังเยลา เมริชี พรหมจารี

วันที่ 27 มกราคม นักบุญอังเยลา เมริชี พรหมจารี

(St Angela Merici, Virgin)

นักบุญอังเยลาเกิดแถบชายฝั่งทะเลสาบ การ์ดา (Garda) ทางภาคเหนือของอิตาลี (อาจจะเกิดวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1474) เธอเป็นกำพร้าเมื่ออายุได้ 10 ขวบ เนื่องจากตั้งแต่แรกรุ่นเธอได้เจริญชีวิตอย่างเคร่งครัด เมื่ออายุ 13 ปี ความศักดิ์สิทธิ์ของเธอและความเข้าใจเรื่องชีวิตจิตได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด จนกระทั่งเธอได้รับอนุมัติให้รับศีลมหาสนิทในวันธรรมดาระหว่างสัปดาห์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษจริงๆ ในช่วงเวลานั้น (ในสมัยนั้นไม่สนับสนุนให้รับศีลฯ ได้ทุกๆ วัน) เธอได้เข้าร่วมคณะของนักบุญฟรังซิสชั้นสาม และอุทิศเวลาให้กับการเรียนการสอนศาสนาให้กับบรรดาเด็กหญิงทั้งหลาย และเอาใจใส่ดูแลหญิงที่เจ็บไข้ได้ป่วย ในปี ค.ศ.1495 เธอได้รับการแจ้งทางภาพนิมิตให้ก่อตั้งคณะนักบวชเพื่อให้การอบรมสั่งสอนบรรดาเด็กหญิงทั้งหลาย โดยมีจุดหมายสูงสุดอยู่ที่การรื้อฟื้นครอบครัวขึ้นใหม่ และผ่านทางครอบครัวไปสู่สังคมทั้งมวล แต่เนื่องจากเงื่อนไขทางการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ในตอนนั้นทำให้ต้องใช้เวลานานถึง 40 ปี กว่าจะสามารถทำให้ความฝันนั้นสำเร็จเป็นจริงขึ้นมาได้ ในห้วงเวลานั้นเธอก็แสวงหาคำแนะนำทางด้านจิตเพิ่มมากขึ้น และค่อยๆ ลดทอนอุปสรรคต่างๆ ลงไป

ในปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ.1525 เธอได้ไปที่กรุงโรม และพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 12 ทรงได้ยินเรื่องชีวิตศักดิ์สิทธิ์และงานของเธอ ได้ทรงพยายามจะให้เธออยู่ที่กรุงโรม แต่เมื่อเธอเปิดเผยแผนเรื่องการให้การศึกษากับบรรดาหญิงสาว ซึ่งจะกลายเป็นแม่ๆ ในอนาคตให้พระองค์ทรงทราบ พระองค์ได้ทรงอวยพรให้ความพยายามของเธอประสบผลสำเร็จ ต่อจากนั้นเธอต้องเผชิญเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยและมีสงคราม แต่อีก 10 ปีต่อมา เธอก็สามารถก่อตั้งบ้านอย่างเป็นทางการหลังแรกที่เมือง Brescia ได้สำเร็จ โดยมีชื่อว่า คณะของนักบุญอูร์ซูลา ในตอนต้นมีหญิงสาว 28 คนอุทิศถวายความเป็นพรหมจารีแด่พระเจ้าพร้อมกับเธอ ภายในหนึ่งเดือนจำนวนผู้ร่วมงานเพิ่มขึ้นเป็น 72 คน และได้เพิ่มงานคือการไปเยี่ยมตามโรงพยาบาล และในคุก เพื่อไปทำการสอนในที่เหล่านั้นด้วย ทั่วทั้งเมือง Brescia ชื่นชมคณะของเธอ แต่นักบุญอังเยลาคงมีชีวิตต่อไปอีกเพียง 5 ปีเท่านั้น ต้องถือว่าเธอหัวก้าวหน้ามากในสมัยนั้นในเรื่องการจัดการเกี่ยวกับโรงเรียน คณะของเธอเป็นคณะนักบวชแรกของพระศาสนจักรที่อุทิศตนเป็นพิเศษต่อการสอน

นักบุญอังเยลาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและกล้าหาญ เธอยินดีร่วมมือกับเพื่อนร่วมคณะเมื่อเห็นความจำเป็นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสมในเรื่องกฎและการทำงานต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกาลสมัย

เธอสิ้นชีพเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1540 และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1807

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

วันที่ 26 มกราคม
ระลึกถึงนักบุญทิโมธี และนักบุญทิตัส พระสังฆราช

วันที่ 26 มกราคม ระลึกถึงนักบุญทิโมธี และนักบุญทิตัส พระสังฆราช

(SS. Timothy & Titus, Bishops, memorial)

I. นักบุญทิโมธี

ท่านเป็น “บุตรสุดที่รักในความเชื่อ” ของนักบุญเปาโล (1ทธ 1:2) และเป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดมากที่สุด บ้านเกิดของท่านคือเมือง ลิสตรา ในเอเชีย ไมเนอร์ (= ตุรกี) พ่อของท่านเป็นคนต่างศาสนา แต่แม่เป็นชาวยิว ทิโมธีอาจจะเข้าเป็นคริสตชนในช่วงการเดินทางแพร่ธรรมครั้งแรกของนักบุญเปาโล ในปี ค.ศ. 47 ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราว 15 ปี ต่อมาอีก 4 ปีนักบุญเปาโลได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง และได้ยินถึงคุณธรรมและความร้อนรนของทิโมธีซึ่งคริสตชนเมืองอิโคนิอุมและเมืองลิสตราพากันพูดถึง จนกระทั่งนักบุญเปาโลได้ตัดสินใจชวนเขาให้ร่วมเดินทางและคอยช่วยเหลือท่าน ที่จริงมีสิลาสคนหนึ่งแล้วที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับท่านที่คอยช่วยเหลืออยู่ ส่วนทิโมธีนั้นเพื่อให้ได้รับการต้อนรับอย่างดีในหมู่คณะชาวยิว นักบุญเปาโลได้ให้เขาเข้าสุหนัต

ดูเหมือนทิโมธีได้กลายเป็นผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดกับอัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่เป็นเวลาต่อไปอีก 13 ปี ในระหว่างการเดินทางแพร่ธรรม เมื่อนักบุญเปาโลถูกจับส่งไปโรมในฐานะนักโทษ และต่อมาพ้นจากข้อกล่าวหาแล้วท่านกลับไปทางตะวันออกถึงเมืองเอเฟซัส – ระยะทางการเดินทางทางบกหรือทางน้ำประมาณพอๆกันถึง 4,000 ไมล์นั้น บางคราวเราจะได้ยินว่านักบุญเปาโลส่งท่านเดินทางล่วงหน้าไป บางครั้งก็ยังคงค้างอยู่ที่เดิมเพื่อทำให้ผู้กลับใจใหม่มีความมั่นคงในความเชื่อก่อน แล้วค่อยตามไปในภายหลัง ในช่วงเวลาที่อยู่เมืองโครินทร์ 18 เดือน ท่านถูกส่งกลับไปทางเหนือ เพื่อทำให้พี่น้องชาวเธสะโลนิกาเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับการเบียดเบียนที่พวกเขากำลังทนทุกข์

ตามที่เราเห็นจากจดหมายต่างๆ ของนักบุญเปาโล (รวมถึงที่ส่งถึงทิโมธีด้วย) ทิโมธีได้เปลี่ยนตนเองจากคนที่ยังหนุ่มแน่นมากและขี้อายกลายเป็นแบบที่นักบุญเปาโลได้แนะนำท่านไว้ “อย่าให้ใครดูถูกท่านว่าอายุยังน้อย” และทำให้ท่านสวมเกราะป้องกันคำสอนผิดๆ ของพวก Gnostic ที่กำลังทวีจำนวนมากขึ้นในขณะนั้น ท่านคงจะมีอายุแค่ 32 ปี เมื่อได้รับเลือกเป็นพระสังฆราชของเมืองเอเฟซัส ซึ่งถือเป็นสำนักที่ใหญ่ และตามที่นักบุญยอห์น คริสซอสตอมกล่าวไว้ว่าเป็นสำนักที่รวมศาสนจักรต่างๆ ของ The Roman province of Asia ที่น่าสนใจคือ นักบุญยอห์น ดามาซีน (St. John Damascene) เน้นว่าตอนที่ทิโมธีเป็นพระสังฆราชที่เอเฟซัสนี่เอง ที่ท่าน(=ทิโมธี) ได้เป็นพยานถึงการจากไปจากโลกนี้ของพระนางมารีย์ นักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสารได้กล่าวถึงท่านว่าเป็น “อัครทูตของพระศาสนจักรของเมืองเอเฟซัส”

ทิโมธีเป็นคนที่น่ารักแต่สุขภาพไม่ค่อยดี นักบุญเปาโลถึงได้แสดงความเอาใจใส่ต่อท่านเสมอๆ เหมือนพ่อกับลูก ยกย่องให้ท่านเป็นลูกที่รัก เป็นคนซื่อสัตย์และเป็นผู้ร่วมงานที่ดี และเป็นประดุจเพื่อนรักที่คอยอยู่ข้างๆ นักบุญเปาโลเสมอ น่าเศร้าที่เราไม่ทราบแน่ชัดว่า ท่านได้มาอยู่กับนักบุญเปาโลก่อนตายตามที่นักบุญเปาโลเรียกหาได้หรือไม่

รวมทั้งเราไม่รู้แน่ชัดถึงการตายของทิโมธีว่าที่ไหนและอย่างไร ถ้าตามธรรมประเพณีแล้ว ว่ากันว่าท่านถูกทุ่มด้วยหินจนตายที่เมืองเอเฟซัสในสมัยที่ Nerva Caesar Augustus ครองราชย์ เพราะท่านได้พยายามชักชวนคนต่างศาสนาไม่ให้กราบไหว้พระเท็จเทียมที่ชื่อ “Diana of the Ephesians”

พระธาตุของนักบุญทิโมธีสูญหายไปนาน แต่เพิ่งค้นพบใหม่ไม่กี่ปีมานี้ในขณะที่ทำงานสร้างบางส่วนของอาสนวิหารแห่งเมืองแตร์โมลีขึ้นมาใหม่ (The Cathedral of Termoli) เมืองนี้อยู่บนชายฝั่งทะเลเอเดรียติกของอิตาลี ตอนนั้นพระธาตุถูกเก็บไว้มิดชิดในกำแพงกล่องอิฐ ที่เป็นเช่นนี้เพราะต้องการเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัยช่วงเวลาที่มีความยุ่งยากเกิดขึ้น และท่านถูกอ้อนวอนขอเพื่อต่อสู้กับโรคกระเพาะอาหาร

II. นักบุญทิตัส

ท่านเป็นศิษย์ที่รักอีกคนของนักบุญเปาโล เชื่อกันว่าบ้านเกิดของท่านอยู่ที่เมืองอันทิโอก เป็นคนต่างศาสนาตอนเกิด ท่านถูกส่งไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรวบรวมรายงานเกี่ยวกับอัศจรรย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์ 72 คนของพระเยซูเจ้า

จากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ทั้งสองฉบับ เราทราบว่าทิตัสช่วยงานไม่เพียงด้านการแปลและเลขานุการเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ร่วมงาน และช่วยประกาศข่าวดีด้วย ซึ่งใครๆ ยกย่องอย่างสูงว่าทิตัสมีความร้อนรนแบบคริสตชน และมีความขยันขันแข็ง และเป็นที่พึ่งของนักบุญเปาโลอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

เมื่อนักบุญเปาโลกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มในปี ค.ศ.51 เพื่อไปร่วมการประชุมเรื่องการรับคนต่างศาสนาที่กลับใจว่าจะต้องถือเงื่อนไขตามกฎของโมเสสหรือไม่ ทิตัสได้ไปเป็นเพื่อนนักบุญเปาโลด้วย อีก 5 ปีต่อมาเราได้ยินว่าทิตัสถูกส่งจากเอเฟซัสไปที่เมืองโครินทร์เพื่อไปจัดการเรื่องความไม่ลงรอยกันภายใน และจัดการเรื่องส่งเงินบริจาคแก่คนยากจนที่กรุงเยรูซาเล็ม

ในปี ค.ศ.64 ทิตัส ซึ่งมีพี่เขยเป็นผู้ปกครองเกาะครีต ได้รับการเลือกจากนักบุญเปาโล ให้ต่องานมิชชันนารีของท่านในเกาะใหญ่แห่งนั้น ซึ่งมีแนวยาวถึง 120 ไมล์ จดหมายถึงทิตัสได้เล่ารายละเอียดถึงการแนะนำให้คัดเลือกและแต่งตั้งผู้อาวุโสในแต่ละเมืองของเกาะครีตนั้น ในปี ค.ศ.65 ทิตัสถูกส่งไปเทศน์พระวรสารในแคว้นดาลมาเทีย (=ยูโกสลาเวีย) แต่ดูเหมือนทิตัสเดินทางกลับเพื่อมาดูแลงานตำแหน่งพระสังฆราชของท่านที่เกาะครีตในปีต่อมา และได้สิ้นชีพอย่างสงบที่นั่นขณะที่มีอายุได้ 94 ปี ร่างของท่านถูกฝังไว้ในอาสนวิหารที่ Gortyna และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพวกแขกซาลาเซนส์ทำลายเมืองนั้นในปี ค.ศ.823 แล้วนั้นส่วนศีรษะของท่านถูกนำไปไว้ที่บาสิลิกานักบุญมาระโกที่เวนิส และได้รับความเคารพอยู่ที่นั่นจวบจนทุกวันนี้

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

วันที่ 25 มกราคม
ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโลอัครสาวก

วันที่ 25 มกราคม ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโลอัครสาวก

(The Conversion of St. Paul, The Apostle, feast.)

นักบุญเปาโลเองได้บอกว่าท่านเกิดที่เมืองทาร์ซัส (Tarsus) ในแคว้นซิลิเซีย จากพ่อแม่ที่เป็นชาวยิว ซึ่งเลี้ยงดูท่านมาด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งตามขนบธรรมเนียมแบบฟาริสีและความศรัทธาแรงกล้า ตามที่นักบุญเยโรมให้ข้อมูลไว้ว่า ครอบครัวของเปาโลมีต้นกำเนิดจากแคว้นกาลิลี เป็นชนเผ่าเบนยามิน ตอนที่รับพิธีเข้าสุหนัต ท่านได้รับชื่อว่า ซาอูล หรือ เซาโล (Saul) ตามชื่อกษัตริย์พระองค์แรกของชาติยิว และตามมาด้วยชื่อภาษาโรมันของท่าน คือ เปาโล (Paul) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพวกชาวยิวสมัยนั้นที่ถือสัญชาติโรมัน

เมื่อโตขึ้น เซาโลได้ร่ำเรียนวิชาชีพในการเตรียมขนแพะเพื่อมาทำเป็นเต้นท์ ซึ่งกลายเป็นความรู้ที่ช่วยให้ท่านหาเลี้ยงชีพเองในหลายๆปีต่อมา โดยเฉพาะเมื่อท่านออกเดินทางยาวนานเพื่องานประกาศข่าวดี ภาษาพูดของท่านคือ ภาษาอาราเมอิก แต่ท่านก็พูดกรีกได้ดี และคุ้นเคยกับตำนานพื้นบ้านแบบกรีก

ในวัยหนุ่ม เซาโลถูกส่งไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการศึกษาตามแบบชาวยิว เป็นไปได้ที่เป็นลูกศิษย์ของกามาลิเอล (Gamaliel) ซึ่งเป็นนักปราชญ์ทางด้านกฎหมาย และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในบรรดาสมาชิกสภาซันเฮดริน ตามธรรมประเพณีดั้งเดิมเล่าขานกันว่าทั้งกามาลิเอลและนิโคเดมัสต่อมากลับใจโดยนักบุญเปโตรและนักบุญยอห์น ข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งคือพวกเขาเก็บความลับจนสามารถช่วยพี่น้องคริสตชน โดยการที่ท่านทั้งสองปรากฎตัวในสภาสูงของชาวยิวอย่างต่อเนื่อง

เราได้ยินเรื่องของเซาโลต่อมาในช่วงเวลาการเป็นมรณสักขีของนักบุญสเทเฟน ตอนนั้นเซาโลเพิ่งอายุ 30 ต้นๆ และกำลังเป็นฟาริสีหนุ่มผู้มีใจเร่าร้อน เขากระตือรือร้นในการเบียดเบียนอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงต่อพระศาสนจักรของพวกคริสตชนที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ถึงกับได้รับอำนาจจากมหาสมณะที่จะนำคริสตชนจากเมืองต่างๆ มาคุมขังไว้ เป็นขณะที่เซาโล
กำลังเดินทางไปกรุงดามัสกัสเพื่อการนี้นี่เอง ที่องค์พระเป็นเจ้าทรงปรากฏองค์ให้เขาได้เห็น และทำให้นักล่าผู้ดุดันคนนี้กลับใจโดยฉับพลัน กลายมาเป็นผู้ขอรับศีลล้างบาปที่ถ่อมตนและอ่อนโยน ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็น “อัครสาวกของคนต่างชาติ” ที่ยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักร

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

เฮลิคอปเตอร์ตกทำให้ทหารคนหนึ่งกลับมาสู่ความเชื่อ

เฮลิคอปเตอร์ตกทำให้ทหารคนหนึ่งกลับมาสู่ความเชื่อ

พลทหาร  ดิลเลียน  บีตสัน หนุ่มชาวออสเตรเลีย อายุประมาณ  20 ปี ประกาศตนไม่เชื่อพระเจ้าพูดดูหมิ่นศาสนา  แต่เมื่อเฮลิคอปเตอร์ตก  ขณะฝึกซ้อมในตะวันออกกลาง เขากลับร้องขอพระเจ้าให้ช่วย 

เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว EWTN (21 มกราคม 2021) “มันน่าขำที่  มันทั้งรวดเร็ว  และช้า  ในเวลาเดียวกัน” 

“ผมกำลังจับยึดบางสิ่ง  เมื่อเราปะทะลงทางด้านซ้าย  เครื่องเฮลิคอปเตอร์พุ่งลงทราย  มันยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า  ผลักผมไปในทราย  ใบพัดยังคงหมุนอยู่  เสียงดังมากอย่างเหลือเชื่อ  ผมคิดว่า ผมต้องจบชีวิต…  ผมได้ร้องเรียกพระเจ้าว่า  “พระเจ้า  อย่าให้ผมตายเลย” 

ขณะนั้นพลทหารบีตสัน เป็นหน่วยวิทยุในกองทหารออสเตรเลีย  เขาประหลาดใจที่  เขาภาวนาออกมาแบบธรรมชาติ 

“ตอนนั้น  ผมสับสน…เพราะผมไม่เชื่อในพระเจ้า  คิดว่าเป็นเพียงนิยาย เหตุการณ์นี้จึงทำให้ใจผมเริ่มแสวงหา”  เพื่อนทหารคนหนึ่งได้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้  แต่บีตสันไม่ได้รับบาดแผลอะไรเลย ทำให้เขาใช้เวลาหนึ่งปี  แสวงหาความหมายของชีวิต 

“ผมได้รับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิก  เรียนชั้นประถมในโรงเรียนคาทอลิก แต่ก็ไม่ศรัทธามากนัก  รู้จักพระเจ้า และพระเยซูเจ้าเล็กน้อยมาก  เมื่อสำเร็จชั้นมัธยมในออสเตรเลีย  ก็เหมือนหนุ่มสาวหลายคน  “ไม่สนใจศาสนา”  ไม่ขึ้นกับนิกายศาสนาใดๆ   วันเสาร์-อาทิตย์  ก็ “ดื่มเหล้า”  ปาร์ตี้  เมื่อพูดถึงศาสนา  กถือเป็นเรื่องตลก  ชอบดูหมิ่นคนที่ศรัทธา  ชอบโจมตีสถาบันศาสนา 

พลทหารบีสันได้ตัดสินใจกลับมาร่วมมิสซา  เมื่อเขาเฉียดตาย เขาสมัครเรียนคริสตศาสนธรรมร่วมพิธีรับผู้ใหญ่เป็นคริสตชน  (RCIAและได้รับศีลกำลังในพระศาสนจักรคาทอลิก  เดือนสิงหาคม  2019   

“ผมไปร่วมมิสซาภาษาละติน  ไม่รู้เลยว่ายังมีมิสซาละติน  ผมชอบ..  ผมรู้สึกขาดอะไรไปในวัยเด็ก  ทำให้มิได้เติบโตในความรักพระคริสตเจ้า  ขาดคำสอน  และศีลธรรมในวัยรุ่น” 

บัดนี้พลทหารบีตสันเป็นคาทอลิกที่ปฏิบัติศาสนา  “ความเชื่อเป็นขุมทรัพย์”  ที่เขาต้องการแบ่งปันแก่คนอื่น 

“บัดนี้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป  เพราะผมไม่แค่ดำเนินชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป  ผมกำลังพยายาม… ผิดพลาดก็หลายครั้ง…  แต่ผมกำลังพยายามดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้า  ผมกำลังพยายามรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น...  ยอมรับความรักของพระองค์ ให้ส่องสว่างในตัวผม  ผมรู้สึกได้ถึง  สันติสุข” 

วัฒนธรรมในปัจจุบัน  เป็นพิเศษหนุ่มสาว  เราถูกเลี้ยงดูด้วยการโกหกมากมายเกี่ยวกับว่าวัยรุ่นควรเป็นอะไร  ที่จริงแบบอย่างล่ำเลิศสำหรับมนุษย์  คือพระเยซูเจ้า  เป็นความรู้สึกเหลือเชื่อ  และความรักที่เหลือเชื่อ  ความรักและพระหรรษทานของพระองค์ได้เปลี่ยนชีวิตของผม  และก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้เช่นกัน”       “ประโยชน์ล้ำค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซู”  (ฟป 3:8) 

(ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล )

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ปี B

“เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด”

นี่เป็นพระภารกิจแรกๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มกระทำตามพระวรสารของนักบุญมาระโก คือพระองค์เสด็จไปแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวดีของพระเจ้า ทรงประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด

การกลับใจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งในทัศนะของพระเยซูเจ้า การเรียกร้องให้มีการกลับใจมีมาโดยตลอดในกระแสประวัติศาสตร์แห่งความรอด บรรดาประกาศกในสมัยพันธสัญญาเดิมล้วนเรียกร้องให้ประชาชนชาวอิสราเอลกลับใจ เปลี่ยนวิถีทางดำเนินชีวิต หันกลับมาหาพระเจ้า เคารพเชื่อฟังในพระองค์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระทัยดีและพร้อมจะทรงอภัยโทษให้สำหรับผู้ที่แสดงออกถึงการกลับใจอย่างแท้จริง

พระวาจาของพระเจ้าสำหรับอาทิตย์นี้ยกตัวอย่างเรื่องของประกาศกโยนาห์ เพื่อสอนเรื่องนี้แก่เรา โดยส่วนตัวแล้วชอบเรื่องของโยนาห์มาก อ่านแล้วมีความประทับใจมาก อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย และแทบจะจำเรื่องราวได้เป็นฉากๆ เกือบทั้งหมด เมื่อไรที่ได้ยินอีกครั้ง ก็ยังประทับใจอยู่เหมือนเดิม เรื่องราวของโยนาห์ถือว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์เลยทีเดียว โยนาห์เป็นประกาศกที่เอาแต่วิ่งหนี (the runaway prophet) ประกาศกคนอื่นๆ ถูกพระเจ้าทรงเรียกหรือทรงสั่งให้ทำอะไร จะตอบ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ข้าพระองค์พร้อม ที่จะทำตามพระประสงค์” แต่สำหรับโยนาห์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้า โยนาห์วิ่งหนีเลย น่าจะสันนิษฐานว่าคงเป็นคนที่วิ่งเก่ง วิ่งเร็ว ถ้าวิ่งแข่ง 100 เมตรกับบรรดาประกาศกทั้งหลาย โยนาห์ชนะขาดไปเลย คนอื่นๆ ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะโยนาห์ชอบวิ่งไปทางด้านตรงข้าม พระเจ้าสั่งให้ไปข้างหน้า โยนาห์วิ่งไปข้างหลัง พระเจ้าทรงสั่งให้ไปที่เมืองนีนะเวห์นครใหญ่ และให้ทำตามที่พระองค์ตรัสสั่ง เขาตีตั๋วเดินทางโดยเรือทันที แต่ไปในทิศตรงกันข้าม โยนาห์รู้ดีว่าการให้ไปประกาศว่าเมืองนี้จะถูกทำลายภายใน 40 วันนั้น จะเป็นการพูดไปโดยเสียเปล่า เมืองนี้คงไม่ถูกลงโทษ เพราะพระเจ้าทรงมีพระเมตตามาก ดังนั้น จัดกระเป๋าไปเที่ยวดีกว่า ไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทิศตรงข้ามกับเมืองที่ทรงสั่งไว้นั่นแหละดี ถ้าภารกิจนี้เป็นงานชิ้นแรกที่พระเจ้าทรงมอบให้โยนาห์ทำ ก็เป็นการปฏิเสธครั้งแรกของเขาเหมือนกัน

ดู ดู๋ ดู ดูโยนาห์ทำ ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้

ถ้าจะคิดว่าโยนาห์แสบจริงๆ ทำไมถึงกล้าทำเช่นนี้ได้ ก็ขอให้เราแต่ละคนย้อนกลับมาดูตัวเรา ความคิดกบฏของเราและการกระทำที่ตรงกันข้ามกับคำสั่งสอนของพระ ก็คงไม่น้อยไปกว่าของโยนาห์ อย่างไรก็ดี ที่สุดโยนาห์ก็หนีพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่พ้น เรือที่โยนาห์นั่งไป ที่จริงโยนาห์ไม่ได้นั่งไปด้วย แอบไปนอนอุตุอยู่ที่ลึกที่สุดในเรือ แต่ถูกคลื่นลมพายุปั่นป่วนที่สุด เขาถูกจับโยนลงทะเล โดยเขาแนะนำให้กลาสีและลูกเรือทำเช่นนั้นเอง เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุ แต่มีปลาใหญ่มากลืนโยนาห์เข้าไป แล้วไปสำรอกออกมาที่ชายหาดเมืองนีนะเวห์ โยนาห์เหมือนคนที่ตายไปแล้ว กลับมามีชีวิตใหม่ เขาจึงทำตามที่พระเจ้าทรงสั่ง ประกาศต่อชาวเมืองว่าจะถูกทำลาย ชาวเมืองพากันกลับใจ ตั้งแต่ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุด จนถึงผู้น้อยที่สุด พระเจ้าจึงทรงกลับพระทัยด้วยเช่นกัน ไม่ทรงลงโทษชาวเมืองนีนะเวห์ตามที่ทรงตั้งใจไว้

มีเกร็ดเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเรื่องของโยนาห์ โดยนำมาจากหนังสือ Sunday Seeds for Daily Deeds ของ Francis Gonsalves, S.J. ดังนี้ : คุณครูผู้หญิงคนหนึ่งสอนนักเรียนชั้นประถมปีที่สองว่า การที่ปลาวาฬจะกลืนคนเข้าไปนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะแม้ปลาวาฬจะเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ แต่มันมีคอหอยที่เล็ก เด็กหญิงคนหนึ่งยกมือประท้วง พูดว่า “แต่ปลาวาฬก็ได้กลืนโยนาห์เข้าไปนะคะ” คุณครูตอบว่า “นั่นเป็นแค่เรื่องเทพนิยาย” เด็กหญิงไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของครูสาว จึงพูดต่อว่า “เมื่อหนูได้ไปสวรรค์ หนูจะถามโยนาห์” คุณครูยิ้ม ถามกลับว่า “แล้วถ้าโยนาห์อยู่ในนรกล่ะ จะว่าอย่างไร” เด็กหญิงตอบทันทีว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณครูก็ถามเขาก็แล้วกัน”

นี่แสดงให้เห็นว่า บางทีการตีความในพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน บางทีเราตีความแค่ตามตัวอักษร ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ ถ้าเด็กหญิงนั้นใสซื่อที่จะเข้าใจว่าเรื่องของโยนาห์เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ คุณครูสาวของเธอก็มีความเขลาพอกันที่จะปิดกั้นเรื่องนี้ว่าเป็นแค่”เทพนิยาย” เพราะการเล่าเรื่องในหนังสือโยนาห์ เป็นเรื่องที่แต่งไว้เพื่อใช้สอน (didactic fiction) โดยมีความจริงลึกๆที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้คือ (1) พระเจ้าทรงต้องการให้ทุกคนได้รับความรอด (2) พระเจ้าทรงใช้ประกาศกไปเทศน์สอนเรื่องความรอดพ้นและการกลับใจ และ (3) ประชาชนมีอิสระที่จะรับ หรือ ปฏิเสธ ข้อเสนอของพระองค์ในเรื่องของความรอดพ้น

เมื่อไปค้นหาคำอธิบายเรื่องหนังสือโยนาห์จากพระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ มีข้อความน่าสนใจดังนี้ “หนังสือสั้นๆฉบับนี้มีลักษณะแตกต่างจากหนังสือประกาศกฉบับอื่นๆทุกฉบับ คือเป็นเรื่องเล่าทั้งหมด เล่าเรื่องประกาศกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อฟัง…….หนังสือฉบับนี้เขียนขึ้นเป็นเรื่องตลกเพื่อสอนใจ เป็นเทพนิยายเพื่อใช้สอน….จุดยอดของคำสอนหนังสือเล่มนี้คือ สอนว่า แม้คำคาดโทษอย่างรุนแรงที่สุด ก็ยังเป็นเครื่องหมายแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า พระองค์ประทานอภัยทันทีที่คนบาปแสดงเครื่องหมายว่าได้เป็นทุกข์กลับใจแล้ว (พระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ หน้า 1423-ผู้เขียน)

บทสรุปจากเรื่องนี้คือ กลับใจ กลับใจ กลับใจ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2009 และปรับปรุงใหม่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2021
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ปี B

“จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์”

ในปี ค.ศ. 1928 ขณะที่มีอายุได้ 18 ปี คุณแม่เทเรซา ได้เข้าคณะซิสเตอร์แห่งลอเรโตโดยเป็นผู้ฝึกหัด ปีต่อมาเธอได้เดินทางไปที่ประเทศอินเดีย แรกเริ่มทีเดียว เธอต้องสอนเรียนที่เมืองดาร์จีลิง และต่อมาที่เมืองกัลกัตตา ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1946 ในขณะที่เธอโดยสารรถไฟจากเมืองดาร์จีลิงไปกัลกัตตา เธอได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่า “ฉันต้องการให้เธอรับใช้ฉันในพวกคนที่จนที่สุด” การดลใจนี้เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอรู้ว่าจะต้องละชีวิตในอาราม ละการสอน และอุทิศชีวิตเพื่อทำงานและภาวนาให้กับพวกที่จนมากๆ เหล่านี้ เธอมั่นใจว่า นี่เป็นคำสั่งจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ในปี ค.ศ. 1948 เธอจึงเขียนจดหมายถึงกรุงโรมขออนุญาตเป็นพิเศษที่จะอาศัยอยู่นอกอารามเพื่อการทำงานนี้ และเธอก็ได้รับอนุญาต ก่อนอื่นหมดเธอไปเรียนช่วงสั้นๆ เรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์กับคณะซิสเตอร์มิชชันนารีที่เป็นแพทย์ของอเมริกาที่เมือง Patna พอกลับมาที่เมืองกัลกัตตา เธอไปอาศัยที่บ้านของคณะภคินีน้อยแห่งคนจนที่ทำงานอยู่ในสลัม แล้วนั้นเธอก็ได้เริ่มการอุทิศตนอย่างยิ่งใหญ่ให้กับบรรดาผู้ยากจนที่สุด

ชีวิตของคุณแม่เทเรซา เริ่มจากการที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเธอในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1946 ขณะเดินทางอยู่บนรถไฟ ถ้าเราย้อนกลับไปตั้งแต่ในสมัยพันธสัญญาเดิมจากบทอ่านแรกก็พบว่า พระองค์ทรงเรียกโยนาห์ให้เป็นประกาศกไปประกาศให้ชาวนีนะเวห์กลับใจ แม้ว่าโยนาห์จะไม่เหมือนประกาศกอื่นใดเลยในพันธสัญญาเดิม เพราะส่วนใหญ่ประกาศกต่างๆ จะถูกใช้ให้ไปเตือนชาวอิสราเอลด้วยกัน แต่โยนาห์ถูกใช้ให้ไปเตือนคนต่างชาติ และเป็นชนชาติที่ชั่วช้าจนเป็นที่เล่าลือกัน แถมยังเป็นศัตรูกับอิสราเอลอีกด้วย โยนาห์อยากให้ชาวนีนะเวห์ตายไปเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่ให้ได้รอด ดังนั้น จึงแผลงฤทธิ์เดชกับพระเจ้าอยู่พักใหญ่ เช่นหนีการเรียกของพระเจ้า เดินทางไปยังเมืองตรงข้ามกับที่จะต้องไปประกาศ ยอมให้กัปตันเรือและพวกลูกเรือโยนเขาลงไปในทะเลคลั่งเพื่อจะตายๆ ไปเสีย ดีกว่าจะต้องไปทำงานที่ฝืนใจ แต่ที่สุด เมื่อหนีพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่พ้นแล้ว เขาก็ร้องประกาศกับชาวเมืองตามพระบัญชา

แล้วเราจะพบเรื่องในพระวรสารของวันนี้ว่า พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งมีคนอาศัยอยู่มาก และปะปนกัน ไม่ใช่เฉพาะชาวอิสราเอลเท่านั้น ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด”จะเห็นว่าข่าวสารที่พระองค์ทรงประกาศมีเนื้อหาเหมือนที่ประกาศกเคยประกาศ คือเรียกร้อง การกลับใจ การเชื่อฟังพระเจ้า

แต่งานยิ่งใหญ่เช่นนี้ พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีส่วนร่วมงานด้วย ไม่ทรงทำเพียงพระองค์เดียว จึงทรงเรียกอัครสาวกรุ่นแรกๆ มาร่วมงานกับพระองค์คือทรงเรียก ซีโมน และอันดรูว์น้องชาย ทรงเรียก ยากอบ และยอห์นน้องชาย และทั้งสี่ก็ติดตามพระองค์ วันที่ทรงเรียกพวกเขา ก็เป็นวันเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา

อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนๆ ด้วยวิธีการแตกต่างกัน เพราะเราแต่ละคนต่างก็ถูกสร้างมาด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน บางคนกว่าจะตอบรับการเรียกของพระองค์ ก็ทำตัวสุดแสบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโยนาห์ คือวิ่งหนีพระเจ้าไปจนสุดทาง และจนมุม ที่สุดเมื่อไปไหนไม่รอด จึงหันกลับมารับใช้พระวรสาร ซึ่งก็ถือว่ายังดี แต่บางคนก็น้อมรับตั้งแต่แรกด้วยดี และตอบรับการเรียกของพระด้วยคำพูดที่ว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ข้าพระองค์พร้อมที่จะทำตามพระประสงค์”

ขอให้วันที่พระทรงเรียกเรา เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตของเรา

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อาทิตย์ที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2012
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle-B ; by : John Rose )

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience)
การสอนคำสอนวันพุธที่ 20 มกราคม 2021

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience)
การสอนคำสอนวันพุธที่ 20 มกราคม 2021

จากหอสมุดวาติกัน

การสอนคำสอน – การอธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชน

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        ในการเรียนคำสอนวันนี้ พวกเราจะไตร่ตรองกันถึงเรื่องการอธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชน ความจริงช่วงสัปดาห์ระหว่างวันที่ 18-25 มกราคม เป็นวันพิเศษที่พระศาสนจักรมอบให้เพื่อการนี้ สำหรับวอนขอ “ของขวัญ-พระพรสำหรับความเป็นเอกภาพที่สามารถชนะต่อการเป็นที่สะดุดอันเกิดจากการแตกแยกระหว่างผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ หลังอาหารค่ำมื้อสุดท้าย พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อศิษย์ของพระองค์ “เพื่อให้พวกเขาทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน. 17: 21) นี่เป็นการอธิษฐานของพระองค์ก่อนที่พระองค์จะได้รับมหาทรมาน พวกเราอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นพินัยกรรมฝ่ายจิตของพระองค์ ขอให้พวกเราสังเกตว่าพระเยซูคริสต์ มิได้สั่งเพียงให้ศิษย์ของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าพระองค์อธิษฐานต่อพระบิดาสำหรับพวกเรา เพื่อว่าพวกเราทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่หมายความว่าพวกเราจะไม่สามารถที่จะบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยลำพังด้วยพลังของตัวพวกเราเอง ที่สำคัญนั้นคือเอกภาพเป็นของขวัญ เป็นพระหรรษทาน เป็นพระพรที่พวกเราต้องวอนขอด้วยการอธิษฐานภาวนา

        พวกเราแต่ละคนต้องการความเป็นเอกภาพ ความจริงพวกเราทราบดีว่าพวกเราไม่สามารถจะดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพแม้กระทั่งกับตัวเราเอง แม้อัครสาวกเปาโลยังรู้สึกความขัดแย้งอย่างแรงในตัวท่านเอง กล่าวคือ แม้ว่าท่านต้องการที่จะทำดี แต่ก็มีความโน้มเอียงไปทางความชั่วร้าย (เทียบ รม. 7: 19) ท่านจึงเข้าใจรากเหง้าแห่งการแตกแยกมากมายที่อยู่รอบตัวพวกเรา ระหว่างประชาชน ในครอบครัว ในสังคม ระหว่างชาติ แม้กระทั่งระหว่างผู้ที่มีความเชื่อและในตัวเราเอง สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ยืนยันว่า “ความไม่สมดุลซึ่งโลกดำเนินอยู่นั้นมีการเชื่อมโยงกันกับความไม่สมดุลพื้นฐานหลากหลายที่มีรากเหง้าอยู่ในใจมนุษย์  เพราะในตัวมนุษย์เองมีหลายปัจจัยที่ขัดแย้งกัน […] ดังนั้นมนุษย์จึงมีปัญหาของความแตกแยกกันภายใน และจากนั้นก็ตามมาด้วยการไม่ลงรอยกันต่างๆ ในสังคม” (Gaudium et spes, ข้อ 10) เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการแตกแยกเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงการเป็นอริต่อคนอื่น เพราะการไม่ลงรอยกันจะก่อให้เกิดการร้าวฉานกันเพิ่มขึ้น การแก้ไขที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการวิงวอนพระเจ้าเพื่อสันติสุข การคืนดีกัน และความเป็นเอกภาพ

        และนี่คือสิ่งแท้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาคริสตชน     เอกภาพจะได้มาก็ต้องด้วยผลแห่งการอธิษฐานภาวนา ความพยายามทางการทูต และการเสวนาเชิงวิชาการยังไม่เพียงพอ พวกเราได้ทำสิ่งเหล่านี้ทว่ายังไม่เพียงพอ พระเยซูคริสต์ทรงทราบสิ่งนี้ ดังนั้นพระองค์ทรงเปิดประตูให้พวกเราเห็นความสำคัญของการอธิษฐานภาวนา การอธิษฐานของพวกเราเพื่อเอกภาพจึงต้องทำด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ต้องไว้วางใจในการมีส่วนร่วมกับการอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสัญญาว่าการอธิษฐานใด ๆ ก็ตามที่กระทำในพระนามของพระองค์พระบิดาจะทรงรับฟัง (เทียบ ยน. 15: 7) มาถึง ณ จุดนี้พวกเราสามารถถามตนเองว่า “ฉันเองเคยอธิษฐานเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชนบ้างหรือไม่?” เพราะนี่เป็นพระประสงค์ของพระเยซูคริสต์ หากพวกเราสำรวจเจตนารมณ์ของพวกเรา คงอาจจะเป็นได้ว่าพวกเราอธิษฐานภาวนาเพียงเล็กน้อยหรือไม่เคยเลยสำหรับความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชน และความเชื่อของชาวโลกก็ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานนี้ ความจริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อที่โลกจะได้เชื่อ” (ยน. 17: 21) ชาวโลกจะไม่เชื่อเพราะถ้าพวกเรามักเอาชนะกันด้วยการโต้เถียง ทว่าหากพวกเราเป็นประจักษ์พยานต่อความรักที่ผนึกพวกเราให้ใกล้ชิดกันชาวโลกจึงจะเชื่อถือ

        ในช่วงที่พวกเรากำลังเผชิญความทุกข์ยากสาหัสนี้ การอธิษฐานยิ่งมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อที่ความเป็นเอกภาพจะได้เอาชนะต่อความขัดแย้ง นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่พวกเราต้องทิ้งเรื่องอื่นไปก่อนเพื่อที่จะช่วยกันส่งเสริมความดีงาม คุณประโยชน์สุขส่วนรวม และเพื่อที่จะให้แบบฉบับของพวกเราเป็นพื้นฐาน อันเป็นความจำเป็นที่คริสตชนจะต้องติดตามหนทางแห่งการเป็นเอกภาพที่สามารถมองเห็นได้ ต้องขอบคุณพระเจ้าในทศวรรษที่แล้ว ซึ่งมีความก้าวหน้าหลายขั้นตอน แต่พวกเราก็ยังจำเป็นต้องยืนหยัดอยู่ในความรักและในการอธิษฐานภาวนาโดยไม่รู้จักเหนื่อยหรือสูญเสียความไว้วางใจในพระเจ้า อันเป็นหนทางที่พระจิตทรงมอบให้พระศาสนจักรก้าวเดินในบรรดาคริสตชนและในตัวเรา ซึ่งจะต้องไม่มีการเดินย้อนหลัง พวกเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเสมอ

        การอธิษฐานภาวนาคือการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความเป็นเอกภาพ ใช่แล้วต้องต่อสู้ เพราะเจ้าซาตานศัตรูของพวกเราเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พวกเราแตกแยกกัน พระเยซูคริสต์ทรงวิงวอนพระจิตเพื่อความเป็นเอกภาพ เพื่อที่จะสร้างเอกภาพ ขณะที่ซาตานจะทำให้เกิดการแตกแยกเสมอ มันทำให้พวกเราแตกแยกกันเสมอ เพราะเป็นสิ่งง่ายที่จะทำให้พวกเราแตกแยกกัน ซาตานส่งเสริมให้มีการแตกแยกทุกหนทุกแห่งในขณะที่พระจิตทรงทำให้เกิดเอกภาพ โดยทั่วไปแล้วซาตานจะล่อลวงพวกเราไม่ใช่ด้วยเทวศาสตร์ขั้นสูง แต่ด้วยความอ่อนแอของบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเรา ซาตานมีเล่ห์เหลี่ยม มันชอบขยายความผิดบกพร่องของผู้อื่น มันหว่านการแตกแยก มันยุยงให้ติเตียนผู้อื่นแล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก ส่วนพระเจ้ามีอีกวิธีหนึ่ง กล่าวคือพระองค์ทรงยอมรับอย่างที่พวกเราเป็น ยอมรับผู้อื่นที่แตกต่างจากพวกเรา ทรงยอมรับคนบาป และพระองค์ทรงชักชวนพวกเราให้มีเอกภาพเสมอ พวกเราควรประเมินตนแล้วถามตัวเองว่า ในสถานที่ที่พวกเราพำนักอาศัย พวกเราหล่อเลี้ยงความขัดแย้งกันหรือพวกเราต่อสู้เพื่อให้เกิดเอกภาพด้วยเครื่องมือที่พระเจ้าประทานให้พวกเรา ซึ่งได้แก่การอธิษฐานภาวนาและความรัก และสิ่งใดเล่าที่มักส่งเสริมความขัดแย้ง นั่นก็คงไม่พ้นการนินทาลับหลังผู้อื่น การนินทาเป็นอาวุธที่สะดวกและง่ายที่สุดที่ซาตานชอบใช้ในการสร้างความแตกแยกท่ามกลางชุมชนคริสตชน ภายในครอบครัว หมู่มิตรสหาย ส่วนพระจิตจะดลใจและผลักดันให้พวกเราสร้างเอกภาพเสมอ

        เนื้อหาแห่งการอธิษฐานสัปดาห์นี้เจาะจงถึงความรักเป็นพิเศษ “จงดำรงอยู่ในความรักของเรา แล้วท่านจะบังเกิดผลบริบูรณ์” (เทียบ ยน. 15: 5-9) รากเหง้าแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันและความรัก คือพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งทำให้พวกเราสามารถเอาชนะต่อความลำเอียงของพวกเรา เพื่อที่มองเห็นผู้อื่นว่าทุกคนต่างเป็นพี่น้องของพวกเรา ที่พวกเราจะต้องให้ความรักเสมอ จากนั้นพวกเราจะพบว่าคริสตชนนิกายอื่น ๆ พร้อมกับขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์ของพวกเขาล้วนเป็นของขวัญ/พระพรจากพระเจ้า พวกเขาคือของขวัญที้มีอยู่ในเขตศาสนปกครอง (สังฆมณฑล) และบริเวณเขตวัดของพวกเรา ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาสำหรับบรรดาพี่น้องศาสนิกต่างนิกาย และเมื่อใดที่เป็นไปได้ก็อธิษฐานพร้อมกันกับพวกเขา การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเราเรียนรู้ที่จะรักและชื่นชมนิยมในพวกเขา สภาสังคายนา ฯ เตือนใจพวกเราว่าการอธิษฐานภาวนาเป็นวิญญาณของกระบวนการขับเคลื่อนเพื่อความเป็นเอกภาพทุกชนิด (เทียบ Unitatis redintegratio, ข้อ 8) เพราะฉะนั้นขอให้การอธิษฐานภาวนาเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยพระเยซูคริสต์ทำให้ความฝันของพระองค์เป็นจริง เพื่อทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  ขอขอบคุณ    

คำกล่าวต้อนรับ

        ขอต้อนรับสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในสัปดาห์อธิษฐานเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตนนี้ขอให้พวกเราวิงวอนขอขวัญจากพระบิดา ขอให้พวกเรามีเอกภาพที่สมบูรณ์ระหว่างศิษย์ของพระเยซูคริสต์ทุกคน สำหรับการเผยแผ่ข่าวดี และสำหรับความรอดของโลก ขอความชื่นชมยินดีและสันติสุขของพระเยซูคริสต์จงประทับอยู่กับท่านและครอบครัวของท่านทุกคน  ขอขอบคุณ

การขอร้อง/อุทธรณ์

        วันศุกร์ที่ 22 มกราคม นี้ สนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธนิเคลียร์จะมีผลบังคับใช้ นี่เป็นเครื่องมือสากลที่มีผลบังคับแรกทางกฎหมายที่ห้ามใช้อาวุธเหล่านี้ ซึ่งหากมีการใช้อาวุธอย่างตามใจชอบจะสร้างผลร้ายให้กับประชากรในเวลาเพียงสั้นๆ ทว่าผลร้ายนั้นจะยืดยาวต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

        พ่อขอสนับสนุนทุกภาครัฐและประชาชนทุกคนอย่างเต็มที่ โปรดให้ร่วมใจกันทำงานจนสุดความสามารถส่งเสริมเงื่อนไขที่จะให้โลกของพวกเราปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ ช่วยสร้างสันติสุขและความร่วมมือกัน ซึ่งมนุษยชาติมีความต้องการหยุดยั้งการใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นอย่างยิ่งในขณะนี้

สรุปคำปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก ตั้งแต่วันที่ 18 – 25 มกราคมในแต่ละปี พวกเราเฉลิมฉลองสัปดาห์อธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชน ในวันเหล่านี้ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ถูกขอร้องให้อธิษฐานภาวนาเป็นพิเศษต่อพระบิดา เพื่อของขวัญแห่งเอกภาพ เพื่อที่จะประกาศข่าวดีให้แก่ชาวโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแตกแยก การตอบสนองของพวกเราต่อปัญหาเหล่านี้ ประการแรกต้องเป็นการอธิษฐานภาวนาเพื่อการเยียวยา และการคืนดีกัน ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมีชัยชนะสำหรับพวกเราด้วยมหาทรมานที่ช่วยให้พวกเรารอด พวกเราถูกเรียกร้องให้ต้องแบ่งปันคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูคริสต์ในการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย “เพื่อว่าทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน… เพื่อที่โลกจะได้เชื่อ” (ยน. 17: 21) และพบกับความรอด ในเวลาที่พวกเรากำลังเผชิญความทุกข์ยุ่งยากนี้ คริสตชนถูกเรียกร้องให้ต้องเป็นประจักษ์พยานต่อความรักแห่งการคืนดีกัน และก้าวเดินทางอย่างมั่นคงไปในหนทางแห่งความเป็นเอกภาพที่สมบูรณ์และมองเห็นได้ เนื้อหาสำหรับสัปดาห์อธิฐานเพื่อเอกภาพปีนี้คือ “จงดำรงอยู่ในเราแล้วท่านจะบังเกิดผลบริบูรณ์” (เทียบ ยน. 15: 5-9) ข้อความนี้เตือนใจพวกเราว่าความรักของพระเยซูคริสต์ คือพื้นฐานสำคัญแห่งความเป็นเอกภาพระหว่างบรรดาคริสตชนและเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราพยายามที่จะเข้าใจถึงความแตกต่างที่มั่งคั่งของพวกเราในพระจิต เพื่อที่จะเอาชนะต่อการแตกแยกของพวกเราและให้พวกเราทำงานร่วมกันในการรับใช้พระอาณาจักรแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้า ความยุติธรรม และสันติสุข

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

คำภาวนาของคุณพ่อเลโอ โอโดโนวาน

คำภาวนาของคุณพ่อเลโอ โอโดโนวาน

ในพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โจเซฟ ไบเด็น ของสหรัฐอเมริกา  เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021มีช่วงหนึ่งที่ คุณพ่อเลโอ  โอโดโนวาน  สงฆ์เยสุอิต  อดีตประธานของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ได้รับเชิญให้ภาวนา  ต่อไปนี้คือคำภาวนา

            “ข้าแต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา  ในเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เรามาอยู่ต่อหน้าพระองค์  คุกเข่าอธิษฐาน  เรามีความหวังยิ่งขึ้น  และยกสายตาสู่วิสัยทัศน์ใหม่  “ความสัมพันธ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในแผ่นดินของเรา  ความสัมพันธ์ของประชาชนทุกคน  เพื่อ “ส่งเสริมสวัสดิภาพ  และพระพรแห่งเสรีภาพที่มั่นคงแก่เราเอง  และชนรุ่นหลัง”  เราเป็นประชาชนจากหลายเชื้อชาติ  หลายความเชื่อ  และหลากสี  มีภูมิหลังของประเทศ  วัฒนธรรม  และรูปแบบชีวิต  บัดนี้ มีจำนวนมากกว่า เมื่ออัครสังฆราชจอห์น  แครอล  ได้เขียนบทภาวนาในพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน 232 ปีมาแล้ว อัครสังฆราชแครอลได้ภาวนาขอพระองค์ ผู้สร้างสรรพสิ่ง  โปรดส่งพระจิตแห่งความคิดอ่าน  และพละกำลัง (ความกล้าหาญ)  แด่ประธานาธิบดีของสหรัฐ ให้บริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  และเป็นประโยชน์อย่างเด่นชัดแก่ประชาชนของพระองค์”  

           วันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอสารภาพถึงความล้มเหลวในอดีต  เพื่อดำเนินชีวิตตามวิสัยทัศน์ แห่งภราดรภาพ  การรวม  และอิสรภาพ  สำหรับทุกคน  บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศตนจริงจังเพื่อการฟื้นฟูวิสัยทัศน์  เพื่อการดูแลเอาใจใส่กันและกัน ทั้งด้วยคำพูด และการกระทำ  เป็นพิเศษผู้ที่โชคดีน้อยที่สุดท่ามกลางข้าพเจ้าทั้งหลาย  และเพื่อกลายเป็นแสงสว่างส่องโลก  ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีพลังในแต่ละคน  มีกำลังใจ  ทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่  และยืนเคียงข้างผู้อื่น  และเหนือสิ่งใดบรรดาผู้ที่ต้องการมากที่สุด นั่นคือ  มีความรักต่อกัน  อยู่ในหนทางที่ต้องมอบตนเองมากยิ่งขึ้น  วันนี้  ความรักต่อชาติอเมริกัน  เกิดมามิใช่เพื่ออำนาจและอภิสิทธิ์  แต่เพื่อการดูแลเอาใจใส่เพื่อความดีส่วนรวม  มิใช่ด้วยการมุ่งร้ายต่อใคร   แต่ด้วยความรักเมตตาต่อทุกคน

            สำหรับท่านประธานาธิบดีคนใหม่ของเรา  ข้าพเจ้าทั้งหลายวอนขอพระองค์ประทานปรีชาญาณที่กษัตริย์ซาโลมอน  ได้แสวงหา  เมื่อคุกเข่าวอนขอพระองค์เพื่อ  “หัวใจที่เข้าใจ เพื่อข้าพเจ้าสามารถปกครองประชากรของพระองค์  และรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูก และผิด” (เทียบ 2 พศด 1:7-10) ข้าพเจ้าทั้งหลายวางใจในคำแนะนำจากจดหมายของนักบุญยากอบ (1:5)  “ท่านใดขาดปรีชาญาณ  จงขอปรีชาญาณนั้นจากพระเจ้าเถิด  พระองค์ประทานให้ทุกคนด้วยพระทัยกว้าง  โดยไม่ทรงตำหนิเลย  แล้วเขาจะได้รับปรีชาญาณตามที่ขอ”

            สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้เตือนใจเราถึง “ความสำคัญของการฝันด้วยกัน… ด้วยตัวเราเอง” พระธรรมล้ำลึกแห่งความรัก  โปรดประทับกับข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้ข้าพเจ้าทั้งหลายฝันด้วยกัน  เพื่อให้ประชาชนของเราสมานฉันท์คืนดีกัน  ฟื้นฟูความฝันของเรา  และลงทุนเพื่อสันติภาพ  ความยุติธรรม  และความปิติยินดี  ที่ท่วมท้นด้วยความรัก  เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามของพระองค์ตลอดนิรันดร์  อาเมน”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์ (แปล)

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (ANGELUS) ของวันที่ 17 มกราคม 2021

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (ANGELUS) ของวันที่ 17 มกราคม 2021

ณ หอสมุดแห่งสันตะสำนัก

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        พระวรสารวันอาทิตย์ที่สองในเทศกาลธรรมดา (ดู ยน. 1: 35-42) เล่าเรื่องการพบปะระหว่างพระเยซูคริสต์กับศิษย์คนแรกของพระองค์ บริบทนี้เกิดขึ้น ณ ริมแม่น้ำจอร์แดน หลังการรับพิธีล้างของพระเยซูคริสต์ตามจารีตของจอห์น บัปตีสต์ และเป็นจอห์นบัปติสต์เองที่ชี้ไปยังพระผู้ไถ่ให้กับชายสองคนโดยกล่าวว่า “นี่ไง ลูกแกะของพระเจ้า” (ข้อ 36) และชายสองคนนั้นเชื่อในคำพูดของจอห์นจึงติดตามพระเยซูคริสต์ไป พระองค์เห็นเช่นนี้จึงถามว่า “ท่านแสวงหาอะไร?” พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ท่านพักอยู่ที่ไหน?” (ข้อ 38)

        พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตอบว่า “เราอยู่ที่เมืองกาฟาร์นาอุมหรือที่เมืองนาซาเเร็ธ” แต่กล่าวว่า “ตามมาสิและท่านจะเห็นเอง” (ข้อ 39) นี่ไม่ใช่นามบัตร ทว่าเป็นการเชิญให้ไปพบ ทั้งสองคนติดตามพระองค์ไปและอยู่กับพระองค์ตลอดบ่ายวันนั้น ไม่ยากนักที่จะจินตนาการว่าเขาสองคนคงนั่งลงถามพระองค์ร้อยแปดพันเรื่อง และที่สำคัญคือตั้งใจฟังพระองค์ รู้สึกหัวใจของตนร้อนเป็นเปลวไฟยิ่งที่ยิ่งมากขึ้น ในขณะที่ฟังพระอาจารย์พูด พวกเขาสัมผัสได้กับความงดงามแห่งพระวาจาที่ตอบสนองต่อความหวังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา แล้วทันทีทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าถึงแม้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ในดวงใจของเขาเปี่ยมด้วยความสว่างไสว ซึ่งมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะประทานให้ได้ก็ปะทุขึ้นในภายในตัวเขา สิ่งหนึ่งที่สร้างความสนใจให้พวกเราคือ อีก 60 ปีต่อมา หรืออาจมากกว่านั้นหนึ่งในสองคนนั้นจะเป็นผู้นิพนธ์พระวรสาร “ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็น” เขาบันทึกเวลาไว้ และนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราคิดไตร่ตรอง การพบปะกันที่แท้จริงกับกับพระเยซูคริสต์ทุกครั้งจะมีชีวิตชีวาอยู่ในความทรงจำที่พวกเราจะไม่มีวันลืม  พวกเราอาจจะหลงลืมกับการพบปะมากมาย แต่การพบปะที่แท้จริงกับพระเยซูคริสต์จะเป็นความทรงจำตลอดไป อีกหลายปีต่อมาชายสองคนนั้นยังจำเวลาที่พบปะกับพระองค์ได้อย่างแม่นยำ พวกเขาไม่ลืมการพบปะที่ทำให้พวกเขามีความปีติสุขใจอย่างครบบริบูรณ์ ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา จากนั้นเมื่อจบจากการพบปะนั้นแล้วพวกเขาก็กลับไปสู่พี่น้องพร้อมกับความชื่นชมยินดีที่เป็นความสว่างนั้นท่วมท้นหัวใจของเขาดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยว หนึ่งในสองคนนั้นอันดรูว์ได้พูดกับซีมอนพี่ชาย ซึ่งต่อมาพระเยซูคริสต์เปลี่ยนเป็นชื่อเขาเป็นเปโตร อันดรูว์เพียงบอกว่า “เราได้พบพระผู้ไถ่” (ข้อ 41) พวกเขามั่นใจว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ไถ่อย่างแน่นอน

        ขอให้พวกเราหยุดนิ่งไตร่ตรองสักครู่หนึ่งถึงประสบการณ์ที่พวกเราแต่ละบุคคลได้พบกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงขอร้องให้พวกเราอยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คิดริเริ่มก่อนเสมอ พระองค์ทรงเรียกเรา พระเจ้าทรงเรียกพวกเราให้เข้าสู่การมีชีวิต พระองค์ทรงเรียกพวกเราให้มีความเชื่อ ขอให้พวกเรามีสถานภาพพิเศษในชีวิต “เราต้องการท่านเช่นนี้” การขอร้องประการแรกของพระเจ้าคือขอให้พวกเรามีชีวิต ซึ่งอาศัยการมีชีวิตพระองค์ทรงทำให้พวกเราเป็นบุคคล นี่เป็นกระแสเรียกส่วนบุคคลเพราะพระองค์ได้ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตามลำดับ แล้วพระเจ้าก็ทรงเรียกร้องให้พวกเรามีความเชื่อและเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ดุจบุตรของพระเจ้า สุดท้ายพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเรามีสภาพชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มอบตัวพวกเราในวิถีต่าง ๆ กันหนทางแห่งการแต่งงาน หรือให้เป็นศาสนบริกร หรือเป็นผู้ถวายตัว นักบวช/นักพรต พระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้ามีหลากหลายวิธีที่พระองค์ทรงกำหนดให้พวกเรา ซึ่งเป็นการตัดสินพระทัยด้วยความรักเสมอ พระเจ้าจะทรงเรียกพวกเราเสมอ ความชื่นชมยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ที่มีความเชื่อทุกคนคือการตอบสนองต่อการเรียกนั้น มอบตัวเราทั้งสิ้นให้กับการบริการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้องชายหญิงของพวกเรา

        ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก  การเรียกของพระเจ้าที่มาถึงพวกเราในร้อยแปดหนทาง โดยอาศัยผู้อื่นทั้งในเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าดีและร้าย บางครั้งทัศนคติของพวกเราอาจจะปฏิเสธ ฉันไม่เอานะ… “ฉันกลัว” … พวกเราปฏิเสธเพราะดูเหมือนจะขัดแย้งกับความตั้งใจของพวกเรา แม้กระทั่งความกลัวเพราะพวกเราเชื่อว่านั่นเรียกร้องมากเกินและลำบาก “ไม่ละ.. ฉันคงทำไม่ได้ ฉันไม่เอาดีกว่า ชีวิตง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่า… พระเจ้าอยู่ที่โน่น ฉันอยู่ที่นี่” ทว่า ขออย่าลืมว่าการเรียกของพระเจ้าเป็นความรักเสมอ พวกเราจำเป็นต้องค้นให้พบกับความรักที่อยู่เบื้องหลังในการเรียก และควรที่จะตอบสนองด้วยความรักเท่านั้น  เริ่มแรกจะมีการพบกัน หรือมีการพบกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งตรัสกับพวกเราถึงพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงทำให้ความรักของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเรา แล้วความปรารถนาจะเกิดขึ้นทันทีทันใดในตัวเราที่จะสื่อสารต่อไปยังผู้คนที่เรารัก “ฉันได้พบกับความรัก” “ฉันได้พบกับพระผู้ไถ่” “ฉันได้พบกับพระเยซูคริสต์” “ฉันพบกับความหมายแห่งชีวิตของฉันแล้ว” พูดคำเดียวคือ “ฉันได้พบพระเจ้า”

        ขอพระแม่มารีย์พรหมจารีโปรดช่วยพวกเราให้ทำชีวิตของพวกเราเป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยการตอบสนองต่อการเรียกของพระองค์ และในการที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วยความสุภาพและชื่นชมยินดี

        ขอให้พวกเราจำสิ่งนี้ไว้ จะมีช่วงหนึ่งในชีวิตของพวกเราที่พระเจ้าทรงประทับใกล้ชิดกับพวกเราจนผิดปกติด้วยการเรียกร้องของพระองค์ ขอให้พวกเราจำประเด็นนี้ไว้ ขอให้พวกเราหวนกลับไปยังเวลานั้น เพื่อว่าความทรงจำของขณะนั้นจะได้รื้อฟื้นการที่พวกเราได้พบปะกับพระเยซูคริสต์

 

หลังจากสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าวแล้ว พระสันตะปาปายังทรงมีพระดำรัสต่อไป

ลูก ๆ และ พี่น้องที่รัก

        ขอแสดงความใกล้ชิดกับประชาชนแห่งเกาะสุลาเวสีในประเทศอินโดนีเซีย ที่เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง พ่ออธิษฐานภาวนาสำหรับผู้ที่เสียชีวิต สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และสำหรับทุกคนที่ต้องสูญเสียบ้านเรือนและการงาน ขอพระเจ้าทรงบรรเทาพวกเขาและช่วยทุกคนที่พยายามนำความช่วยเหลือมาสู่พวกเขา ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาพร้อมกันเพื่อพี่น้องชายหญิงของพวกเราที่เกาะสุลาเวสี และสำหรับผู้ที่เป็นผู้เคราะห์ร้ายของอุบัติเหตุทางเครื่องบินที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเช่นกันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (วันทามารีอา…)

        วันนี้เป็นวันที่เพิ่มความสัมพันธ์ด้วยการเสวนาระหว่างชาวคาทอลิกและชาวยิวในประเทศอิตาลี พ่อรู้สึกดีใจที่ความคิดริเริ่มนี้มีการปฏิบัติติดต่อกันมากว่า 30 ปีแล้ว หวังว่าการพบปะกันจะก่อประโยชน์มหาศาลให้กับกัลยาณมิตรและความร่วมมือกัน

พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นคือสัปดาห์แห่งการอธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชน ปีนี้หัวข้อจะอ้างถึงคำเตือนใจของพระเยซูคริสต์ “จงประทับอยู่ในเรา แล้วท่านจะบังเกิดผลบริบูรณ์” และในวันจันทร์ที่ 25 มกราคม พวกเราจะทำวัตรเย็นที่มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง พร้อมกับผู้แทนของคริสตจักรและชุมชนคริสตชนนิกายต่างๆ ที่อยู่ในกรุงโรม ในวันเหล่านี้ขอให้พวกเราภาวนาพร้อมกันเพื่อความปรารถนาของพระเยซูคริสต์จะได้สำเร็จลุล่วงไป – เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันที่อยู่เหนือความขัดแย้งเสมอ

พ่อขอต้อนรับทุกคนที่เชื่อมสัมพันธ์กับเราทางสื่อสารสังคม ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ โปรดอย่าลืมภาวนาสำหรับตัวพ่อเองด้วย ขอให้รับประทานอาหารกลางวันด้วยความสุข แล้วพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ปีพิเศษมอบแด่นักบุญโยเซฟ

ปีพิเศษมอบแด่นักบุญโยเซฟ

พระสันตะบิดรฟรานซิสได้ตราปีพิเศษมอบแด่นักบุญโยเซฟโอกาสครบ 150 ปีของการประกาศว่า นักบุญโยเซฟ เป็นอุปถัมภกของพระศาสนจักรสากล เริ่มจากวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2020/2563 และสิ้นสุด ในวันที่ 8 ธันวาคม 2021/2564

        เป็นการคาดไม่ถึงว่าวันสมโภชพระแม่ผู้ปฏิสนธินิรมล พระสันตะบิดรฟรานซีสได้ตราปีพิเศษนี้ ในเวลาเดียวกัน พระองค์ได้ทรงอักษรสมณลิขิตในหัวข้อ “ด้วยดวงใจของบิดา” (Patris corde) เป็นสมณลิขิตที่พระองค์ทรงกล่าวถึงการ รำพึงไตร่ตรองเกี่ยวโยงถึงผู้ปกป้องครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้  เป็นเนื้อความที่มุ่งสร้างความรักให้เข้มข้นต่อ “นักบุญผู้ยิ่งใหญ่” ท่านนี้  เพื่อเราแต่ละคนจะได้รับแรงผลักดัน “ให้ขอคำอ้อนวอนแทน และเพื่อเลียนแบบคุณธรรมและแรงขับเคลื่อน

ของชีวิตของท่าน”  และเป็นพิเศษเพื่อขอให้ได้มาซึ่ง “พระพรแห่งพระพรทั้งหลาย นั่นคือ การเปลี่ยนจิตใจ/การกลับใจ”

        สมณประมุขพระศาสนจักรคาทอลิกทรงอธิบายดังนี้ ว่านักบุญโยเซฟเป็น “บิดาผู้เป็นที่รัก” ของปวงประชา ว่านักบุญโยเซฟ “สอนเราให้มีความเชื่อในพระเจ้า คือ เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถให้พวกเรากระทำการได้แม้ต้องผ่านความ กลัว ความกังวล ความเปราะบางของพวกเรา”  ว่าท่าน “ได้ตอบรับ (FIAT) เหมือนพระแม่มารี เมื่อทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวดี แก่พระแม่”  ท่านได้ต้อนรับองค์พระเยซูในครอบครัวของท่าน อันแสดงถึง“ความมุ่งมั่นกระทำอย่างทรงพลัง และเปี่ยมด้วย ความอาจหาญ” เหตุก็เพราะว่า “การต้อนรับ คือวิธีหนึ่งซึ่งเอื้อต่อพระพรขององค์พระจิตให้มาอยู่กับเราในชีวิตได้”

        นักบุญโยเซฟเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เป็นการปกปักษ์คุ้มครองด้วยความเป็นบิดาจากความ เป็นคนทำงานและผู้เฝ้าดูแล ตั้งแต่พระสันตะบิดรปีโอที่ 9 (Pius IX) จนถึงองค์ปัจจุบัน มีท่านอยู่ในความนึกคิดและจิตใจ ทุกครั้งที่มนุษยชาติต้องผ่านช่วงเวลาของความทุกข์ยุ่งยาก  พระสันตะบิดรทรงเน้นในสมณลิขิตถึง “ความต้องการบิดาในแบบนี้” เพื่อให้โลกของอนาคตต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของวิกฤติ

        แม้นักบุญโยเซฟมิได้เป็นบิดาแท้ๆ ทางสายเลือด แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของ “บิดรภาพ” ซึ่งเรามองไม่เคยเห็นในพระ ธรรมใหม่ บิดรภาพของพระบิดาจึงไม่ควรทำให้เราลืมมองบิดรภาพของนักบุญในอาชีพของช่างไม้ ผู้ได้ตระเวนไปกับกุมาร น้อยจากเบธเลเฮมไปจนถึงนาซาแรธโดยผ่านทางประเทศอียิปต์  ตลอดทางท่านทำตัวเป็นพ่อที่ดี  พระสันตะบิดรฟรานซีส ได้ทรงถือว่านักบุญโยเซฟ เหมือน “เงาของพระบิดาเจ้าสวรรค์” ในการอบรม ในการปกปักษ์คุ้มครอง และในความรักต่อ องค์พระกุมาร

        พระสันตะปาปาฟรานซีสทรงชี้ว่า นักบุญโยเซฟคือ “ผู้เสนอวิงวอนแทน เป็นผู้สนับสนุนและนำทางเมื่อมีปัญหา” เป็นเหมือนภาพลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่แลไม่เห็น เหมือน “ประตู/คนข้างบ้าน” ที่เปิดเผยตัวตนออกมาทุกครั้งเมื่อมี ปัญหา และมาบรรเทาใจและช่วยเหลือ พระองค์ทรงเน้นว่า ในความหมายนี้ นักบุญโยเซฟ“ได้ทำหน้าที่อย่างไม่มีใครเทียบ ในประวัติความรอดพ้นของมนุษย์”

        ความศรัทธาต่อนักบุญโยเซฟมีมาแต่โบราณกาลทั่วไปในพระศาสนจักร พระสันตะบิดรปีโอที่ 9 ได้ทรงตราให้ นักบุญ โยเซฟเป็นอุปภัมภกของพระศาสนจักรในวันที่ 8 ธันวาคม 1870/2413 “ต่อจากพระแม่มารี มารดาพระเจ้า ไม่มี นักบุญองค์ใดสำคัญใน คำสอนของพระศาสนจักรเท่านักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระแม่”  พระสันตะบิดรฟรานซีสยอมรับ ว่าพระองค์มีใจศรัทธาเป็นพิเศษต่อองค์อุปภัมภกของพระศาสนจักรสากลท่านนี้

        วันที่ 1 พฤษภาคม 2020/2563 อันเป็นวันระลึกถึงนักบุญโยเซฟ กรรมกร  พระสันตะบิดรฟรานซีสได้ถวายบูชา ขอบพระคุณ ประจำวัน ณ สมณสำนักนักบุญมารธา ข้างๆ พระแท่นมีรูปปั้นนักบุญโยเซฟ กำลังสอนวิชาช่างไม้แก่พระ กุมารเยซู  พระองค์ได้ทรงภาวนาผ่านทางคำเสนอวิงวอนของนักบุญโยเซฟเพื่อผู้ตกงาน ผู้ตกระกำลำบากจากสุขภาพอนามัย

        หนึ่งปีให้หลังของสมณสมัยของพระองค์ พระสันตะบิดรฟรานซีสได้ทรงอักษรถึงบทบาทของนักบุญโยเซฟในปี 1854/2397 ว่า “เป็นความหวังแน่ของพระศาสนจักรองจากพระแม่พรหมจารีมารี” สถานภาพของนักบุญโยเซฟ ไม่โดดเด่นในพระวรสาร เพราะอยู่ภายในร่มเงาของสถานภาพของพระแม่พรหมจารีมารีและองค์พระคริสต์อย่างเห็นได้ชัด  การเน้นบทบาทของนักบุญโยเซฟให้โดดเด่นนี้จึงดูย้อนแย้งแต่เหมาะสมยิ่ง  150 ปีต่อมา พระสันตะบิดรฟรานซีส ได้ทรงรื้อฟื้นความศรัทธาของพระสันตะบิดรปีโอที่ 9 โดยยกนักบุญโยเซฟให้เป็น “ผู้ช่วยสร้างโครงเรือนใหม่ของสังคม”

        ในปี 1889/2432 พระสันตะบิดรเลโอที่ 13 ได้ทรงอธิบายอย่างสวยงามถึงสถานภาพ ขององค์อุปถัมภกของพระ ศาสนจักรสากลในสมณสาส์นเวียน Quamquam pluries ว่า “บ้านศักดิ์สิทธิ์ที่นักบุญโยเซฟบริหารจัดการด้วยอำนาจหน้าที่ ของความเป็นบิดาเปี่ยมด้วยผลแรกเริ่มของพระศาสนจักรที่กำลังเยาว์วัย”  ส่วนพระสันตะบิดรฟรานซีสได้ทรงประกาศว่า นักบุญโยเซฟก็เหมือนพระแม่มารีต่อหน้าทูตสวรรค์ หรือเหมือนองค์พระเยซูที่เกทเซมานี “ได้รู้กล่าวตอบรับภาระหน้าที่ ‘FIAT’ “ พระสันตะบิดรได้ทรงเน้นอีกว่า “การเป็นบิดา คือการพาลูกให้เข้าในประสบการณ์ของชีวิต และของความเป็นจริง ไม่เหนี่ยวรั้งไว้กับตน ไม่ควบคุม ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ช่วยให้มีศักยภาพในการเลือก ในการมีอิสระ ในความต้องการจากไป”

        ในสมณดำริ (Motu Propio) BonumSane ปี 1920/2463 พระสันตะบิดรเบเนดิกที่ 15 ได้ทรงสรรเสริญความมีเกียรติ ของท่านช่างไม้

        “เหตุเพราะว่า นักบุญโยเซฟจากราชวงศ์กษัตริย์ ได้เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยการแต่งงานกับสตรีที่ยิ่งใหญ่ และ ศักดิ์สิทธิ์กว่าสตรีใดๆ  ได้ชื่อเด่นด้วยการเป็นบิดาของพระเจ้า ได้ผ่านชีวิตการทำงาน เลี้ยงชีพด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน และ ประคบประหงมครอบครัวของท่านอย่างไม่มีที่ติ”  พระองค์ทรงเล็งเห็นในตัวนักบุญ  เป็นข้อพิสูจน์ว่าสถานภาพ ความต่ำต้อยไม่มีอะไรน่าอายแม้แต่นิด การรำพึงไตร่ตรองนี้ได้รับการยืนยันในบทเทศน์ของพระสันตะบิดรเบเนดิก ปี 2006/2549 ว่า “คริสตชนต้องดำเนินชีวิตธรรมจิตที่ช่วยสร้างความศักดิ์สิทธิ์ผ่านการทำงานโดยเลียนแบบ นักบุญ โยเซฟ ผู้ คอยดูแลและความต้องการของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ด้วยลำแข้งของท่านเอง เพราะเหตุนี้  พระศาสนจักรจึงยกท่านให้เป็น องค์อุปถัมภกของผู้ใช้แรงงาน/กรรมกร” พระองค์ได้ทรงมอบให้นักบุญโยเซฟเป็นผู้พิทักษ์ <<บรรดาเยาวชน ที่มีความ  ลำบากในการแทรกเข้าในโลกของการทำงาน คนว่างงานและคนที่มีปัญหาต้องทนทุกข์จากวิกฤตของการไม่มีการจ้างทำ งาน>>  ความคิดในเรื่องนี้ปรากฏอีกครั้งในสมณสาส์นเวียน Patris corde ของพระสันตะปาปาฟรานซีส

        ในปี 1989/2532 ในสมณสาส์นเวียน Redemtoris Custos นักบุญพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ได้กล่าวถึงความ สำคัญของนักบุญโยเซฟ พระองค์ทรงบ่งชี้ถึง “แบบอย่างของนักบุญโยเซฟ ผู้ได้ถวายทั้งชีวิตเพื่อรับใช้พระวจนาตถ์ผู้รับสภาพมนุษย์”   7 ปีก่อนนี้ (1982/2525) พระองค์ได้ให้สมญานามนักบุญโยเซฟว่าเป็น “ผู้ปกปักษ์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น” เพราะท่านนักบุญมี “ความเชื่ออย่างวีระบุรุษ ในทุกกรณีของชีวิต”  พระสันตะบิดรฟรานซีสได้ทรงประกาศยืนยันในลักษณะ เดียวกัน พระองค์ตรัสในปี 2020/2563 ว่า “ความสุขแท้/เป็นบุญแท้ของนักบุญโยเซฟ มิใช่อยู่ที่ตรรกะของการเสียสละตน แต่เป็นพระพรแห่งตัวตนของท่าน

        ในการนำนักบุญโยเซฟให้มาโดดเด่นในประวัติความรอดพ้น พระสันตะบิดรฟรานซีสมีพระประสงค์แสดงให้ เห็นว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกพลังอำนาจหน้าที่เชิงสร้างสรรค์จากบรรดาผู้ต่ำต้อย เพื่อคว่ำบาตรตรรกะแห่งอำนาจ และพลัง ที่คอยกดทับเหยียบย่ำ

        ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่สังคายนาวาติกันที่สอนเป็นต้นมา ความศรัทธาต่อนักบุญโยเซฟเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พระสันตะ บิดรฟรานซีสทรงเตือนให้ระลึกแนวความคิดของสมณประมุขสูงสุดของพระศาสนจักร ผู้ “พยายามเข้าใจให้ลุ่มลึกสารที่ พระวรสารถ่ายทอด เนื้อความบางเนื้อความ เพื่อดึงบทบาทเด่นของนักบุญโยเซฟในประวัติศาสตร์ความรอดพ้น อาทิ บุญราศีพระสันตะบิดรปีโอที่ 9 ได้ประกาศให้ท่านนักบุญเป็นองค์อุปภัมภกของพระศาสนจักรคาทอลิกผู้ น่าเลื่อมใส/ คารวะริยะพระสันตะบิดรปีโอที่ 12 นำเสนอท่านนักบุญเป็นองค์อุปภัมภกของคนใช้แรงงาน/กรรมกร และนักบุญพระสัน ตะบิดรยอห์น ปอลที่ 2 นำเสนอท่านนักบุญเป็นผู้ปกปักษ์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ประชากรทั่วไปมีความศรัทธาต่อท่านนักบุญ ว่าเป็นองค์อุปภัมภกเพื่อวอนการตาที่ดี” เป็นต้น

        การพินิจไตร่ตรองดังกล่าวมาข้างต้นเกิดในตัวของพระสันตะบิดรในช่วงวิกฤตของโรคระบาด COVID-19 ที่ทั้ง พระองค์และพวกเราได้สัมผัสกับประสบการณ์ร้ายอันหนักหน่วง ในเวลาเดียวกันได้ทรงเห็นว่าชีวิตของพวกเราหลายๆ ครั้ง ยังคงอยู่และได้รับการอุ้มชูจากบุคคลธรรมดาหลายท่านที่บ่อยครั้งเราลืมพวกเขา  พระสันตะบิดรมีพระประสงค์คารวะบุคคลเหล่านี้ที่ทุ่มเททุกวันเพื่อรับใช้เพื่อนพี่น้องในสังคม ไม่โดดเด่นในข่าวในรายการทีวีหรือในหมู่ข่าวสารทางการเมือง พระองค์มีพระประสงค์ส่ง “การไตร่ตรองส่วนพระองค์นี้” เพื่อส่งเสริมและให้กำลังใจพวกเขา พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกเรา สามารถพบนักบุญโยเซฟเหมือนผู้ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเห็น แต่เป็นผู้ปฏิบัติภารกิจประจำวันอย่างเงียบๆ และหลบหน้า หลบตา เป็นผู้เสนอวิงวอน เป็นผู้พยุงและนำทางในช่วงวิกฤตของชีวิต  นักบุญโยเซฟเตือนพวกเราว่ามีผู้ที่ปฏิบัติภารกิจดู ซ่อนเร้นอยู่“หลังฉาก” ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างหาใครเปรียบได้ในประวัติความรอดพ้น ขอให้พวกเขาได้รับการรู้จากเรา” พระองค์จึงมีพระประสงค์แสดงความรู้คุณต่อผู้ต่ำต้อยเหล่านั้น ต่อผู้ที่ประวัติศาสตร์ทางการซ่อนบังไว้  แต่พวกเขาได้ช่วย สร้างและถักทอสายสัมพันธ์ให้เป็นจริงในสังคมซึ่งผู้เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวต้องการเป็นเครื่องผลักดันให้เปลี่ยนจิตใจ/กลับใจ

        ในเนื้อความที่เกี่ยวโยงด้านจิตวิทยาและด้านชีวิตธรรมจิต พระสันตะบิดรฟรานซีสทรงอธิบายดังนี้ “เจ้ามารร้าย ผลักดันให้เรามองความเปราะบางของเราและมีการตัดสินในเชิงลบ ตรงกันข้าม องค์พระจิตทรงให้เรามองในแสงสว่าง แห่งความอ่อนโยน ละมุนละมัย อันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สามารถสัมผัสสิ่งที่เปราะบางในตัวเรา  การชี้นิ้วตำหนิตัดสินความผู้อื่น เมื่อเราพูดหรือสนทนากับเขา คือเครื่องหมายของการไร้ศักยภาพในการต้อนรับความเปราะบางในตัวเรา ความอ่อนแอ ของเราเอง ความอ่อนโยนละมุนละมัยเท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นเงื้อมือของผู้กล่าวหาเรา (เทียบวิวรณ์ 12:10) ด้วยเหตุนี้ จึงมีความสำคัญที่เราต้องพบความเมตตาอ่อนโยนของพระเจ้า เป็นพิเศษในศีล/เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนดี อันเป็น/มีประสบการณ์กับความจริงและความอ่อนโยนอย่างแท้จริง”

        การน้อมรับโดยดุษณีความเปราะบางและความอ่อนแอของเราภายใต้สายพระเนตรอันอ่อนโยนละมุนละไมของ องค์พระเยซู เป็นเงื่อนไขอันขาดมิได้ของการได้มาซึ่งความรักเผื่อแผ่ต่อเพื่อนพี่น้องของเรา

        พระสันตะบิดรฟรานซีสมีพระประสงค์ให้เราเข้าใจว่า การอ่านสมณสาส์นเวียงฉบับนี้จะสร้างกำลังใจและความ อาจหาญแก่ประชาสัตบุรุษทุกคน “การอ่านอย่างผิวเผินจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า โลกตกอยู่ในอำนาจของผู้ที่แข็งแกร่ง และมีอำนาจ  แต่ “ข่าวดี” แห่งพระวรสารชี้ชัดว่า แม้จะมีความโอ้อวด แม้จะมีความรุนแรงของผู้คุกคามทางโลก พระเจ้าทรง พบวิธีเสมอในการทำให้แผนการแห่งการรอดพ้นเป็นจริงจนได้  แม้ชีวิตดูเหมือนอยู่ใต้อำนาจของผู้ทรงพลัง  แต่พระวรสาร บอกเราว่าพระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดพ้นเสมอ ถ้าเรามีความอาจหาญแบบสร้างสรรค์  เหมือนนักบุญโยเซฟ  ช่างไม้แห่ง นาซาแรธ ผู้รู้จักเปลี่ยนแปรปัญหาให้กลายเป็นโอกาส เพราะความไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทร”  เนื้อความเหล่านี้ เป็น ความหวังแก่พวกเราผู้หลายต่อหลายครั้งยอมเป็นทาสของความรู้สึก ว่าชีวิตต้องอยู่ใต้อำนาจของพลังที่บดขยี้เราอยู่ตลอดเวลา พระสันตะบิดรฟรานซีสทางเชื้อเชิญให้เราสร้างความอาจหาญ “เชิงสร้างสรรค์” ในตัวเรา (เหมือนความอาจหาญของ เพื่อนๆ  ที่ได้หย่อนคนพิการผ่านทางหลังคาบ้าน ในพระวรสาร)

        จากสมณสาส์นเวียนฉบับนี้ ทำให้พระสันตะบิดรฟรานซีสอยู่เหนือการพิพาทที่มีเป็นประจำต่อการวิจารณ์ วิจัยท่าที แนวความคิดและการประกาศของพระองค์  พระองค์ “ได้ทรงเปิดประตูกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

        ความศักดิ์สิทธิ์ครบครันขององค์พระเยซูและพระแม่มารี มิได้บดบังนักบุญโยเซฟ จากการเป็นแบบอย่างของ บรรดาบิดาของครอบครัวและของบรรดาคู่ชีวิต  บุรุษผู้เจริญชีวิตอย่างเงียบๆ ได้เป็นแบบอย่างของผู้ที่เจริญชีวิตภาวนา เพ่งพิศด้วย

 

        นักบุญโยเซฟเป็นคู่ชีวิตจริงของพระแม่มารี “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีมาเป็นภรรยาของ ท่านเลย” (มัทธิว 1:20) การสมรสของทั้งสองเป็นที่ปรารถนาของพระเจ้า คงเป็นเรื่องแปลกถ้าเราให้คุณค่าของทั้งสอง ท่านน้อยกว่าการสมรสของคู่ชีวิตอื่น ๆ   นักบุญโยเซฟเป็นสามีแท้ของพระแม่มารี ท่านได้ร่วมทั้งทุกข์ทั้งสุขด้วยกัน แค่นึกถึงการเดินทางไปเบธเรเฮม แล้วต้องเดินทางหนีไปประเทศอียิปต์ ก็น่าจะเพียงพอเพื่อพิสูจน์การดำเนินชีวิตฉันสามี ของนักบุญโยเซฟ  ส่วนพระแม่มารีได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับที่เป็นคู่อุปถัมภ์จริงตามที่เขียนไว้แบบพระคัมภีร์ “พระเจ้าตรัสว่า  ‘…เราจะสร้างผู้ช่วยผู้เหมาะสมให้เขา’” (ปฐมกาล 2:18)  นักบุญโยเซฟมีความรักต่อกันและกัน ชีวิตคู่ครององท่านทั้งสอง น่าเป็นบทลอกเลียนแบบของพวกเรา 

 

ความรักฉันสามีภรรยาดำเนินไปในจุดสูงสุดสมบูรณ์แบบ จนองค์ พระเยซู ได้ตรัสเตือนสติว่า “ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย” (มาระโก 10:9)  นักบุญพระสันตะบิดรเปาโลที่ 6 ได้ทรงประกาศว่า “ความรักของนักบุญโยเซฟและของพระแม่มารี คือจุดสูงสุดของความศักดิ์สิทธิ์ที่โปรยปรายลงทั่วทั้ง โลก” (เทียบพระดำรัส  4 พฤษภาคม 1970/2513)  ชีวิตคู่ของอาดัมและเอวาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการสร้างโลก ชีวิตคู่ของนักบุญโยเซฟและพระแม่มารีได้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ

การสร้างโลกใหม่

        นักบุญโยเซฟเป็นบิดาจริง  แม้นักบุญโยเซฟมิได้เป็นบิดาทางสายโลหิตตามพันธุ์กรรมของมนุษย์ แต่สิ่งนี้หาได้ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่บิดาของนักบุญโยเซฟในทุกขอบข่ายของชีวิต  นักบุญพระสันตะบิดรยอห์น ปอลที่สอง ได้ทรงอักษรไว้ในสมณสาส์นเตือนใจ Redemptoris Custus (15 สิงหาคม 1989/2532)ทรงยืนยันว่า “นักบุญโยเซฟได้ปฏิบัติ ภารกิจกันสูงส่งในการเลี้ยงดูกุมารน้อยเยซู นั่นคือเลี้ยงดูเรื่องอาหาร เรื่องเสื้อผ้า สอนธรรมบัญญัติและอาชีพสอดรับกับ หน้าที่ที่บิดาผู้หนึ่งต้องกระทำ”

        พระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่แก่คู่ชีวิตของพระแม่มารี เพราะองค์พระเยซูได้เรียนเรียก “อับบา : พ่อจ๋า” โดยการดูชีวิต ของนักบุญโยเซฟ  แล้วยังทำให้องค์พระเยซูเรียกพระบิดาเจ้าสวรรค์ได้สนิทปากอีกด้วย เพราะพระบิดาเจ้าเป็นพ่อ มาก ยิ่งกว่านักบุญโยเซฟอย่างเทียบไม่ติด  แต่ความเลิศเด่นกว่าของพระบิดาเจ้าหาได้บดบังความยิ่งใหญ่ของคู่ชีวิตของพระแม่ พรหมจารีไม่

 

ชีวิตและการปฏิบัติทางด้านชีวิตธรรมจิตของนักบุญโยเซฟคงสะท้อนหลายอย่างของพระเจ้าในตัวท่าน จนองค์ พระเยซูใช้คำๆ เดียวกันเรียกพระบิดาเจ้าสวรรค์ “พระบิดาแท้ขององค์พระเยซู พระเจ้าแห่งนิรันดรกาลได้ทรงเลือกนักบุญ โยเซฟผู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับภาระหน้าที่เป็นบิดาขององค์พระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ในกาลเวลา และเหมือนได้ทรง โปรยปรายแสงรัศมีหรือประกายแห่งความรักอันสุดคณนาลงสู่ท่านนักบุญโยเซฟ” (เทียบ Bossuet) แม้พระคัมภีร์มิได้พูดถึง ท่านนักบุญนอกจากกล่าวถึงกิจการบางอย่างเท่านั้นก็ตาม สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นธรรมล้ำลึก ทำให้เรานึกถึงแบบฉบับชีวิต นักพรตของนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลาผู้มีชีวิตเพ่งพิศอยู่ในอาราม แต่มีชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยความรักเผื่อแผ่ ท่านหลอม รวมเชือมโยงความรักพระเจ้าเข้ากับความรักเพื่อนพี่น้อง  อันเป็นความรักเผื่อแผ่ที่สมบูรณ์แบบ  นักบุญโยเซฟได้ปฏิบัติ ภารกิจด้วยจิตที่รำพึงเพ่งพิศตลอดเวลา

        ความเป็นมาของความศรัทธาต่อนักบุญโยเซฟ องค์อุปถัมภกของครองครัวของบรรดาผู้ใช้แรงงาน/กรรมกร และ ของกรณี ความยุ่งยากต่างๆ ท่านมีบทบาทพิเศษยิ่งในหัวใจของบรรดาศาสนิก  แต่ในความเป็นจริงความศรัทธาต่อท่าน เป็นจริงเป็นจังก็เพียงเมื่อไม่นานนี้เอง

        ในช่วงแรกศตวรรษ พระศาสนจักรมิได้ให้ความสำคัญกับคารวะกิจต่อนักบุญโยเซฟเป็นพิเศษ เพราะได้เลือกคัด องค์อุปถัมภกที่ตอบโจทย์ของสถานการณ์ในเวลานั้น  จึงมีการเน้นไปที่บรรดามรณสักขีมากกว่า รวมถึงเน้นบรรดาวีระบุรุษ พยานแห่งความเชื่อและบรรดาอัครธรรมทูต

วิวัฒนาการและพัฒนาการของคารวะกิจต่อนักบุญโยเซฟเริ่มสมัยสงครามครูเสดและช่วงเวลาการแสวงบุญไปยัง ดิน แดน ศักดิ์สิทธิ์  อันที่จริงความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญโยเซฟและองค์พระเยซูปะปนอย่างแนบแน่นกันอยู่ ทั้งที่เบธเรเฮม และที่นาซาแรธ  จากความศรัทธาของศาสนิกนี้ผลักดันให้มีการศึกษาด้านพิธีกรรมและเทววิทยา  บิดาบุญธรรมขององค์ พระคริสต์ได้เริ่มรับการคารวะนับถือในบรรดานักพรต  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตฟรานซีสกันและโดมินิกัน

        ดูเหมือนประเทศฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญแต่พัฒนาการของคารวะกิจต่อนักบุญโยเซฟ ในศตวรรษที่ 15 นักเทว วิทยา  ฌัง แยร์ซง (Jean GERSON 1363/1906-1429/1972) ผู้มีศรัทธาและได้เลือกนักบุญโยเซฟเป็นองค์อุปถัมภ์ตั้งแต่ เยาว์วัย ได้พยายามผลักดันและส่งเสริมคารวะกิจต่อนักบุญโยเซฟนี้  เขาได้เขียนหนังสือเล่มแรกเป็นเกียรติแด่นักบุญโยเซฟ ในสังคายานา Constance (1414/1957-1418/1961)  เขาได้อ้อนวอนให้มีการสมโภชพิเศษมอบแด่นักบุญโยเซฟ วันสมโภช นักบุญโยเซฟจึงปรากฏในปฏิทินคาทอลิก

        นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา มีความศรัทธาอย่างพิเศษต่อนักบุญโยเซฟผู้เป็นภาพลักษณ์ของบิดา นักบุญเทเรซาเรียก ขานและภาวนาต่อนักบุญโยเซฟอย่างไม่หยุดยั้ง  อาราม 13 ใน 18 แห่งใช้นักบุญโยเซฟเป็นศาสนนาม

        ต้นศตวรรษที่ 17 พระสันตะบิดรเกรโกรี่ที่ 15 และพระสันตะบิดรอูร์บัน ที่ 8 ได้ตราให้วันที่ 19 มีนาคม เป็นวันสมโภชนักบุญโยเซฟ

        วันที่ 17 มิถุนายน 1660/2203 นักบุญโยเซฟได้ประจักษ์มาหา Gaspard RICARD หนุ่มเลี้ยงแกะผู้กำลังกระหายน้ำจัด และได้ชี้ให้เขาเห็นลำธารอัศจรรย์หลังจากได้ยกก้อนหินหนักออกอย่างง่ายดาย  เหตุเกิดใกล้หมู่บ้าน Cotignac (ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส) สถานที่นี้ได้กลายเป็นสักการะสถานเพื่อการแสวงบุญอย่างรวดเร็ว

       

Bossuet ได้เคยถวายคำเทศน์กล่าวสรรเสริญนักบุญโยเซฟต่อพระพักตร์ Anne of Austria (สมเด็จพระราชินี พระมารดาของหลุยส์ ที่ 14) ทำให้นักบุญเป็นที่ศรัทธามากในรั้วในวังไปด้วย  เมื่อคาร์ดินัล MAZARIN มรณภาพ  พระเจ้าหลุยส์ได้ขึ้นเสวยราชย์ สิ่งแรกพระองค์ทรงตัดสินพระทัย คือได้ตราให้วันสมโภชนักบุญโยเซฟ 19 มีนาคม เป็นวันหยุดทางการทั่วอาณาจักรฝรั่งเศส

 

        จะว่าไปแล้ว เราสามารถสร้างมโนภาพให้ยอมรับว่า นักบุญโยเซฟได้แบ่งปันกับพระแม่มารีในสัมผัสแรกกับองค์ พระกุมารพระมนุษยเจ้า ได้เล้าโลม มอบความเสน่หา ได้เล่นได้หยอกเย้าพระกุมารน้อย ได้มีชีวิตที่สนิทแนบแน่นเหมือน พ่อแม่ป้ายแดง ที่เพิ่งได้ลูกใหม่ๆ  พระเจ้าได้ทรงมอบพระบุตรของพระองค์ และได้ทรงมอบอำนาจหน้าที่ของความ เป็นบิดาเหนือองค์พระเยซูและเหนือมนุษย์ชาติในเวลาเดียวกัน

 

        พระศาสนจักรยังได้มอบภารกิจหลากหลายให้นักบุญโยเซฟ นอกจากเป็นองค์อุปถัมภกของผู้ใช้แรงงาน/กรรมการ ของครอบครัว ท่านยังได้รับภารกิจให้เป็นองค์อุปถัมภก ของผู้ให้การอบรม ของการตายอย่างดีในศีลในพร  เมื่อได้รับภาระ ดูแล อบรมและปกป้องกุมารน้อย  นักบุญโยเซฟจึงได้รับพระพรพิเศษเพื่อศักยภาพ ในการทำให้ภารหน้าที่อันได้รับมอบ หมายลุล่วงไปอย่างดี การตายอย่างเรียบง่ายห้อมล้อมด้วยองค์พระเยซู และพระแม่มารีเชื้อเชิญพวกเราให้วอนพระหรรษทานแห่งการตายดี

(บทรำพึงนี้ ได้รับการแบ่งปันมาจาก คพ. ปรีชา ธรรมนิยม โอ.เอ็มไอ.)