คาร์ดินัลมือเลอร์ประณามการรีเซทใหม่ครั้งใหญ่

คาร์ดินัลมือเลอร์ประณามการรีเซทใหม่ครั้งใหญ่

5 กุมภาพันธ์ 2021 Life Site News

พระคาร์ดินัลได้เตือนว่าเป้าหมายของพลังขับเคลื่อนใหม่  เป็นการร่วมมือระหว่างธาตุแท้นายทุนใหญ่กับจีน   เป็นการควบคุมล้วนๆด้านความคิด  คำพูด  และการกระทำ 

พระคาร์ดินัลเกอร์ฮาร์ด  มือเลอร์  สมณมณตรี(กิตติคุณ)กระทรวงข้อความเชื่อ  ได้วิจารณ์เรื่อง  การจัดใหม่ครั้งใหญ่  (Great  Reset) ที่ Davos  World  Economic  Forum  การประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส   ได้สนับสนุน   โดยท่านกล่าวเตือนว่าหน่วยงานนายทุนชาติตะวันตกจับมือกับจีนคอมมิวนิสต์  จะเกิดระบบ สังคมนิยมรวมนายทุน ใหม่ 

บรรดานายทุนก็ได้กำไร  ประเทศชาติตะวันตก ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี  ร่วมือกับจีนคอมมิวนิสต์  จะรวบอำนาจควบคุมเศรษฐกิจโลก  เช่นที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 19 ทำให้มีการควบคุมเสรีภาพ  ใช้ วิกฤติสุขภาพ  เป็นข้ออ้าง 

การรีเซทครั้งใหญ่  เป็นโครงการที่อ้างวิกฤติโคโรน่า19 แล้วควบคุมการดำเนินชีวิตของเรา  ควบคุมเศรษฐกิจ  และพื้นฐานชีวิตสังคมได้ 

WEF จะสร้างระบบเศรษฐกิจ  และสังคม  แบบใหม่  เรียก  คำทำนาย  8 ประการ  สำหรับโลกปี 2030  

Davos เป็นชื่อเมืองในประเทศสวิส  ที่ได้จัดการประชุมนี้ใน ค.ศ. 2020  

ในวีดีโอ  บอกว่า “คุณจะไม่เป็นเจ้าของอะไรเลย  คุณจะมีความสุข  คุณต้องการอะไรก็เช่า  แล้วโดรนจะมาส่งให้  จะเลิกการมีสมบัติส่วนตัว (นี่ไงความคิดแบบสังคมนิยม) คุณค่าพื้นฐานด้านศาสนาคริสต์ ที่ชาติตะวันตก เคยมี จะถึงจุดจบ 

แล้วมนุษย์จะยึดคุณค่าอะไรในชีวิต…  มันจะควบคุมความคิด  คำพูด และการกระทำ  ดูผลของโลกดิจิตัลทุกวันนี้  มีผลกระทบชีวิตมนุษย์อย่างไร   มันกำลังสร้างมนุษย์ให้เป็นแบบเดียวกัน  ควบคุมได้ง่าย…  การเมืองยอมรับทฤษฎีนี้ว่าถูกต้อง…  การไว้ใจแบบตาบอดต่อทัศนคติของบรรดาผู้นำของสังคมเปิดแบบนี้  ปฏิเสธความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง…. นี่เป็นขบวนการแบบเผด็จการ  ที่จะสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์ประหลาด  เหมือนการทดลองที่ โซเวียคอมมิวนิสต์เคยทำให้เกิดพร้อมกับการปฏิวัติอุตสากรรม 

…ในเดือนตุลาคม  2020 พระคาร์ดินัลมือเลอร์ได้ให้ข้อสังเกตการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ  ว่าจะเกิดผลร้ายต่อสหรัฐ  และประชาธิปไตยของโลก  เป็นพิเศษพลังเติบโตของจีน..เผด็จการของจีนจะเพิ่มอำนาจในโลกเหมือนสมัยนาซี   “คุณไม่เป็นอะไรเลย  รัฐเป็นทุกสิ่ง” หรือพูดอีกแบบหนึ่งทุกสิ่งเป็นของประชาชน  และรัฐอยู่คอยรับใช้ความดีส่วนรวม 

…เดือนมกราคม 2021  การปกครองของประธานาธิบดี โจ ไบเดิ้น  จะทำลายคุณค่าของศาสนาคริสต์ …เน้นอำนาจการเมือง  สื่อสารมวลชน  และเศรษฐกิจ   เขาเริ่มส่งเสริมการทำแท้ง  วาระ LGBT  การใช้ยาเสพติดให้ถูกกฎหมาย 

คริสตชนต้องขัดค้านวาระเหล่านี้  แม้เราไม่มีอำนาจพอในการพิจารณาอนุมัติกฎหมาย  แต่เราต้องไม่ร่วม  และไม่เฉยเมยกับสิ่งชั่วร้ายนี้ 

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  สรุป
6 กุมภาพันธ์ 2021

คำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิส
ต่อผู้เข้าประชุมสมัยสามัญของคณะกิจการพระมารดา “โฟโคลาเร่”

คำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิส ต่อผู้เข้าประชุมสมัยสามัญของคณะกิจการพระมารดา “โฟโคลาเร่”

ณ ห้องประชุมใหญ่เปาโลที่ 6 วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2021

พระคุณเจ้า และ ลูก ๆ พีน้องชายหญิงที่รัก  

พ่อขอต้อนรับทุกคนด้วยความยินดีในการประชุมซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในขณะที่ท่านได้อภิปรายกันถึงหัวข้อที่มีความสำคัญและเลือกผู้นำคนใหม่ ขอขอบคุณมารีอา โวเช (Maria Voce) ประธานของคณะโฟโกลาเร ที่กำลังสิ้นสุดวาระ และมาร์กาเร็ต คาร์รัม (Margaret Karram) ประธานที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ และขอขอบคุณสำหรับมธุรสวาจาของท่าน สำหรับประธานคนเก่าเราต้องกล่าวว่า “ขอบคุณมาก” และสำหรับประธานคนใหม่ขอกล่าวว่าขอแสดงความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ซึ่งเราขอส่งความปรารถนาดีนี้ไปยังประธานร่วมและที่ปรึกษาทุกคนด้วย  เรารู้สึกกตัญญูต่อพระคาร์ดินัล เควิน ฟาร์เรล (Kevin Farrel) และต่อ ดร. ลินดา กีโซนี (Mrs. Linda Ghisoniที่มาร่วมประชุมกับพวกเรา ขอต้อนรับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ และบุคคลที่ติดตามทางสื่อ ขอตอนรับสมาชิกทุกคนที่ทำงานของคณะกิจการของพระมารดาที่พวกท่านเป็นผู้แทน เพื่อเปนกำลังใจให้กัพวกท่านในการก้าวเดิน พ่อปรารถนาที่จะเสนอข้อคิดบางประการ ซึ่งพ่อขอแยกออกเป็นสามส่วนด้วยกัน กล่าวคือ ระยะหลังผู้ก่อตั้ง ความสำคัญแห่งวิกฤต และการดำเนินชีวิตฝ่ายจิตพร้อมกันในความจริง 

ระยะหลังผู้ก่อตั้ง สิบปีหลังจากที่เคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) จากโลกนี้ไปท่านถูกขอร้องให้เอาชนะกับความสับสนตามธรรมชาติ ที่จำนวนสมาชิกเริ่มลดน้อยลงเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็ถึงพระพรพิเศษแห่งเจตนารมณ์ของการตั้คณะ ดังที่พวกเราทราบกัน ประเด็นนี้เรียกร้องให้ต้องมีความซื่อสัตย์อย่างมีพลวัต ที่สามารถตีความในเครื่องหมาย และความต้องการของกาเวลา และการตอบสนองต่อการเรียกร้องใหม่ของมนุษย์ พระพรพิเศษทุกอย่างเป็นสิ่งสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อยู่นิ่งในพิพิธภัณฑ์ นี่เป็นเรื่องราวที่ต้องยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อต้นตอ ต้องพยายามคิดใหม่ที่จะแสดงออกด้วยการเสวนากับสถานการณ์ของสังคมและวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งต้องมีรากเหง้าที่มั่นคง ทว่าต้นไม้จะเติบโตด้วยการเสวนาในความจริง โฉมหน้าซึ่งต้องปรับให้เข้ากับเหตุการณ์นี้จะเกิดผลดีเพิ่มขึ้น หากว่าความคิดสร้างสรรค์ ปรีชาญาณ ความรู้สึกอย่างละเอียดอ่อน และความซื่อสัตย์ต่อพระศาสนจักรจะถูกนำมาสมานฉันกัน  ชีวิตฝ่ายจิตของพวกท่านที่มีคุณสมบัติในการเสวนาและเปิดใจกว้างต่อบริบทวัฒนธรรม สังคม และศาสนา แน่นอนว่าจะส่งเสริมเป้าหมายนี้ การเปิดใจกว้างสู่ผู้อื่นไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครจะต้องพยายามสร้างสรรขึ้นเสมอ พระวรสารนั้นมีไว้สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่นำสิ่งนี้ไปบังคับผู้อื่นให้ต้องเชื่อตาม นี่เป็นเหมือนเชื้อสำหรับมนุษยชาติใหม่ในทุกเวลาและทุกสถานที่ 

ทัศนคติการเปิดใจกว้างและการเสวนาจะช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงการมุ่งอยู่กับตนเอง ซึ่งมักจะเป็นบาปเสมอ นี่เป็นการล่อลวงให้พวกเรามองไปเพียงที่กระจกเงา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ กระจกเงาใช้เพียงเพื่อหวีผมตอนเช้าเท่านั้นก็พอแล้ว การหลีกเลี่ยงการมองเพียงแต่ตนเองทุกประเภท ซึ่งไม่เคยเกิดจากเจตนารมณ์ที่ดีนั้นอันเป็นความหวังของพวกเราสำหรับพระศาสนจักรทั้งมวล นั่นคือการรับรู้ถึงการที่มักยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง อันจะนำไปสู่การปกป้องสถาบันที่จะก่อความเสียหายให้กับปัจเจกบุคคลเสมอ และยังสามารถที่จะนำไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้กับการปกปิดการล่วงละเมิดของตนเอง พวกเรามีประสบการณ์กับประเด็นนี้มาแล้วด้วยความเจ็บปวด พวกเราพบความเจ็บปวดในหลายปีที่ผ่านมานี้  การยึดเอาตัวตนเองเป็นศูนย์กลางจะกีดกั้นไม่ให้พวกเราเห็นความผิดบกพร่องของตน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้า และทำให้ไม่มีการเปิดใจกว้างสู่การทบทวนกระวนการกระทำของสถาบัน และวิธีการดำเนินการปกครอง 

ตรงกันข้าม จะเป็นการดีกว่าที่พวกเราต้องกล้าหาญที่จะเผชิญอย่าตรงไปตรงมากับความจริง ทำตามคำแนะนำของพระศาสนจักรผู้เป็นมารดาที่แท้จริงเสมอ พร้อมกับตอบสนองต่อการเรียกร้องของความยุติธรรมและความรัก การชอบยกยอตนเองไม่ได้เป็นการรับใช้ต่อพระพรที่ดี ตรงกันข้ามต้องเป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องให้การตอนรับในแต่ละวันด้วยสิ่งใหม่ๆ – จงอย่าลืมว่าสิ่งประหลาดใหม่จะแสดงถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าเสมอ – นี่เป็นของขวัญที่ได้รับมาแบบเปล่า ๆ ซึ่งพวกท่านได้รับมาด้วยการปฏิบัติตามอุดมการณ์แห่งชีวิตของพวกท่าน และโดยอาศัยความช่วยเหลือของพระเจ้าพวกท่านพยายามที่จะตอบสนองด้วยความเชื่อ ความสุภาพ และความกล้าหาญเฉกเชนพระแม่มารีย์พรหมจารีหลังจากที่ได้รับการแจ้งข่าวจากทูตสวรรค์ 

หัวข้อที่สองที่พ่อปรารถนาที่จะนำมาเสนอให้กับพวกท่านคือความสำคัญแห่งวิกฤต ท่านไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากวิกฤต วิกฤตเป็นพระพรแม้จะในระดับธรรมชาติ – วิกฤตขอการที่ทารกเจริเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่นั้นมีความสำคัญ – แม้ในชีวิตของสถาบัน พ่อได้ปราศรัยเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อย่างยืดยาวในคำปราศรัยต่อสมาชิกของโรมันคูเรีย ในชีวิตมักมีการล่อลวงเสมอที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นความขัดแย้ง ความขัดแย้งเป็นสิ่งน่ารังเกลียด สามารถเป็นสิ่งน่าชัง สามารถที่จะสร้างความแตกแยก  แต่วิกฤตก็สามารถเป็นโอกาสให้พวกเราเจริญก้าวหน้าเช่นเดียวกัน ทุกวิกฤตเรียกร้องให้พวกเรามีวุฒิภาวะใหม่ เป็นเวลาของพระจิตผู้ทรงกระตุ้นให้พวกเราเหนความจำเป็นที่ต้องมาทำการรื้อฟื้นกันใหม่โดยไม่ต้องเสียกำลังใจท่ามกลางความยุ่งยากซับซ้อนและความขัดแย้ง ทุกวันนี้มีการเน้นกันมากถึงความสำคัญของการยืดหยุ่นท่ามกลางความยากลำบาก กล่าวคือ ความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตและฉวยโอกาสจากความยุงยากซับซ้อน เพราะทุกวิกฤตเป็นโอกาสให้พวกเราเจริญก้าวหน้า ในอีกมุมมองหนึ่งวิกฤตฝ่ายจิตของปัจเจกบุคคล ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างบุคคลและในบริบทของมโนธรรมต้องได้รับการจัดการอย่างเฉลียวฉลาดจากผู้ที่ไม่มีตำแหน่งบริหารในทุกระดับภายใตกระวนการของคณะ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ดีสำหรับพระศาสนจักรตั้งแต่เวลาที่จำความไม่ได้ โดยเฉพาะสำหรับบรรดานักพรต/ฤษี ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เวลาแห่งวิกฤตเท่านั้น แต่โดยทั่วไปในการติดตามการเดินทางฝ่ายจิตของพวกเขา อันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างเวทีภายนอกและภายในที่ประสบการณ์แห่งธรรมประเพณีของพระศาสนจักรที่สอนพวกเราว่านี่เป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ ความจริงการนำทุกสิ่งมารวมกัน ซึ่งบริบทของการปกครองและบริบทของมโนธรรมจะก่อให้เกิดการใช้อำนาจไปในทางที่ผิดต่างๆ นานาดังที่พวกเราเห็นกันมาเมื่อมีการพบว่าปัญหาที่รบกวนจิตใจเหล่านี้ถูกค้นพบ 

สุดท้าย ประการที่สาม การดำเนินชีวิตจิตอย่างสม่ำเสมอคงแบบคงเส้นคงวาในความเป็นจริง ความคงเส้นคงวาและความจริงทำให้ “บุคคลผู้นี้มีอำนาจ… เหตุใดเขาจึงมีอำนาจ? เพราะว่าเขาเป็นคนคเส้นคงวา” บ่อยครั้งพวกเราจะพูดกันเช่นนี้ เป้าหมายสุดท้ายแห่งพระพรพิเศษของพวกท่านจะต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่มอบให้กับพระบิดาในการอธิษฐานภาวนาอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ “เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน. 17: 21) พวกเราต้องรับรู้ว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นเป็นการกระทำแห่งพระหรรษทานของพระตรีเอกภาพ “เฉกเช่นที่พระองคทรงประทับอยู่ในข้าพเจ้าและข้าพเจ้าดำรงอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาดำรงอยู่ในเราด้วย” (ibid) เป้าหมายนี้เรียกร้องหน้าที่ในสองมิติด้วยกัน กล่าวคือ ภายนอกคณะและภายในคณะ เกี่ยวกับพฤติกรรมนอกคณะฯ พ่อขอสนับสนุนให้พวกท่านต้องทำ และสำหรับประเด็นนี้เคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) ข้ารับใช้ของพระเจ้าได้มอบแบบฉบับไว้มากมาย – การเป็นประจักษ์พยานแห่งความใกล้ชิดด้วยความรักฉันพี่น้องที่จะเอาชนะต่ออุปสรรคทั้งสิ้น และการเข้าถึงทุกสภาพแห่งชีวิตมนุษย์ จงเอาชนะต่ออุปสรรค จงอย่าได้กลัวนี่เป็นหนทางแห่งความใกล้ชิดฉันพี่น้องที่ถ่ายทอดการประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพสู่มนุษย์ชายหญิงแห่งยุคสมัยของพวกเราโดยเริ่มต้นจากคนยากจน บุคคลที่เป็นคนสุดท้าย บุคคลที่ถูกทอดทิ้ง โดยทำงานร่วมกับผู้ที่มีน้ำใจดีเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมและสันติสุข  จงอย่าลืมว่าความใกล้ชิด การอยู่ใกล้ชิดกันเป็นภาษาที่ถ่องแท้ของพระเจ้า จงคิดถึงข้อความในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “มีชาติยิ่งใหญ่ใดบ้างที่พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดดุจพระเจ้าของเราทุกครั้งที่เราเรียกหาพระองค์” วิธีการอยู่ใกล้ชิดของพระเจ้ายิ่งวันยิ่งจะไปไกลจนกระทั่งบรรลุถึงความใกล้ชิดอันยิ่งใหญ่นั้น พระวจนาตถ์ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ และทรงทำให้พระองค์เองเป็นหนึ่งท่ามกลางพวกเรา ขอจงอย่าได้ลืมว่า ความใกล้ชิดเป็นรูปแบบของพระเจ้า เสมือนเป็นภาษาที่ถ่องแท้ที่สุดในความคิดของพ่อ 

เกี่ยวกับความมานะพยายามของพวกท่านภายในคณะฯ พ่อขอสนับสนุนให้พวกท่านส่งเสริมการก้าวเดินไปด้วยกัน (Synodality) ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อว่าสมชิทุกคนซึ่งมีพระพรพิเศษด้วยกันจะได้มีความรับผิดชอบร่วมกันในการมีส่วนร่วมในชีวิต และกิจการของของพระแม่ และเป้าหมายพิเศษต่างๆ ผู้มีหน้าที่ในการปกครองบริหารถูกเรียกร้องให้ต้องส่งเสริมพร้อมกับให้คำแนะนำที่โปร่งใสไม่เพียงแค่ในกลุ่มบุคคลที่บริหารเท่านั้น แต่ในทุกระดับด้วยพลังในตรรกะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งทุกคนสามารถใช้พระพรและความคิดของตนในการรับใช้ผู้อื่นในความจริงด้วยเสรีภาพ 

ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเลียนแบบฉบับของเคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) จงฟังเสียงร้องของพรเยซูคริสต์ในการที่พระองค์ทรงถกทอดทิ้งบนไม้กางเขนซึ่แสดงให้เห็นถึงมาตรการแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งหลั่งไหลออกมาจนสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเรา ผู้เป็นบุคคลอ่อนแอ เป็นคนบาปแถมยังสร้างโศกนาฏกรรมให้กับบ่อเกิดแห่งความสว่าง และความหวังสำหรับมนุษย์ การผ่านความตายสู่การมีชีวิตเป็นหัวใจแห่งคริสศาสนา และยังเป็นพระพรของพวกท่านด้วย ขอบคุณมากสำหรับการเป็นประจักษ์พยานด้วยใจเบิบานต่อพระวรสารที่พวกท่านยังคงมอบให้กับพระศาสนจักรและแก่ชาวโลก  ได้มีการกล่าวกันว่าชาวโฟโคลาเร่มักจะยิ้มอยู่เสมอ พวกเขามีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พ่อจำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อได้ยินมีคนพูดถึงการไม่รู้ของพระเจ้าพวกเขาบอกพ่อว่า “แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าพระเจ้านั้นช่างเขลา?”  เพราะว่ายังมีอยู่อีกสี่อย่างด้วยกันที่พระเจ้าไม่อาจรู้ได้ คือ พวกเยสุอิตคิดอะไรอยู่ ซาเลเซียนมีเงินมากน้อยแค่ไหน มีคณะซิสเตอร์กี่คณะ และโฟโคลาเร่เขายิ้มทำไม?”  พ่อขอมอบการมีเจตนารมณ์ที่ดีและโครงการต่าง ๆ ของพวกท่านไว้ในการวอนขอของพระแม่มารีย์มารดาของพระศาสนจักร และพ่อขออวยพรทุกคนจากใจ โปรดอย่าลืมภาวนาสำหรับพ่อด้วย พ่อเองต้องการคำภาวนา ขอขอบคุณทุกคน 

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง) 

ข้อคิดข้อรำพึง
พระวาจาพระเจ้า ของอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง พระวาจาพระเจ้า ของอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี B

เรื่องของโยบในบทอ่านแรกเป็นเรื่องที่น่ารับไว้พิจารณา

หนังสือโยบ เล่าเรื่องบุรุษผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนว่ามีความเพียบพร้อมเป็นอย่างยิ่งกับชีวิตในตอนต้นๆ เช่นว่า เขามีภรรยาที่น่ารัก มีลูกชาย 7 คน และลูกสาว 3 คน เขามีสมบัติพัสถานมากกว่าใครๆ เขาเป็นคนดี ไม่เคยใช้อำนาจและความร่ำรวยไปในทางที่ผิด มีแต่ใช้ในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการด้วยใจกรุณาเป็นอย่างยิ่ง

แต่ความศรัทธาในพระและความดีต่อผู้อื่นของโยบถูกทดสอบ

หายนะโถมกระหน่ำเข้ามาเหมือนระลอกคลื่นที่ไม่ยอมหยุด เขาสูญเสียครอบครัว สูญเสียเพื่อนๆ สูญเสียความโชคดี สูญเสียทรัพย์สมบัติ ผู้ส่งข่าวหรือ Messengers ต่างก็เข้ามารายงานให้โยบทราบแต่เรื่องที่น่ากลัว ที่ต้องสูญเสียไป และโศกนาฏกรรม สิ่งที่โยบทำได้ก็คือ ฉีกเสื้อคลุม โกนศีรษะแสดงความทุกข์ กราบลงหน้าจรดพื้น กล่าวว่า “ข้าพเจ้าตัวเปล่าออกมาจากครรภ์มารดา ข้าพเจ้าก็จะตัวเปล่ากลับไป องค์พระเจ้าประทานให้มา องค์พระเจ้าทรงเอาคืน”

เห็นไหมครับ แม้สูญเสียเกือบทุกสิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่โยบไม่ยอมสูญเสียไป คือความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า

โยบยังยากลำบากไปกว่าการสูญเสียของนอกกาย คือยังเสียสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บพากันมารุมเร้าท่านอีกด้วย แม้ภรรยาของท่านยังแนะนำโยบว่า ควรสาปแช่งพระเจ้า และตายไปเสีย แต่โยบก็ยังรักษาความเชื่อไว้มั่น

คนสมัยต่อๆ มา และโดยเฉพาะในสมัยปัจจุบันที่โดนกระทำ มักโทษไปที่โชคชะตาว่าทำไมโหดร้ายเช่นนี้ อุตส่าห์ทำความดีทำไมถึงได้รับข่าวร้ายเป็นการตอบแทน แต่เชื่อไหมครับว่าโดนไม่ถึงครึ่งที่โยบได้รับหรอก บางคนโดนไปแค่ดอกเดียว เสียความเชื่อไปเลย เรื่องของโยบสอนเราได้มากถึงเรื่องความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของมนุษย์ คนที่ได้รับความยากลำบากต่างๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนดี ไม่ใช่เป็นเหยื่อของพระเจ้า แต่การทนทุกข์ทรมาน มักมีความหมายพิเศษ ที่ในเวลานั้นๆ คนที่ได้รับอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจว่าทำไมพระเยซูเจ้าต้องยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็คงจะเข้าใจหนทางแห่งความรอดพ้นได้ดีขึ้น

ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโกเล่าเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาไข้แม่ยายของซีโมน โดยทรงจับมือนาง พยุงให้ลุกขึ้น ไข้ก็หาย และพอตกค่ำบรรดาคนเจ็บป่วย และถูกผีสิงในเมืองนั้น ต่างก็พากันมาหาพระเยซูเจ้า เพื่อให้ทรงรักษา จะเห็นว่า พระเยซูเจ้าเมื่อทรงเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานและการเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชน(รวมทั้งของพระองค์ด้วย) มิได้ทรงคร่ำครวญตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าแต่อย่างใด แต่กลับยื่นมือไปสัมผัสกับมัน และพยุงผู้ที่รับผลของความยากลำบากให้ลุกขึ้น พระองค์ทรงรักษาเยียวยาด้วยฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เชื่อไหมครับ ว่าการทำอัศจรรย์รักษาเยียวยาประชาชนต้องออกแรงเยอะ เพราะพระเยซูเจ้าทรงทุ่มเททั้งกายและใจ จนกระทั่งพอคนกลับไปหมด พระองค์ทรงปลีกวิเวกไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา เพราะนี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตพระในพระองค์นั่นเอง

พี่น้องครับ ถ้าเราพบว่าเรามีแต่ความทุกข์ยาก ชีวิตมีแต่ความลำบาก คงพบคำตอบในพระวาจาของพระเจ้าในอาทิตย์นี้แล้วนะครับ และคงรู้ด้วยว่า พระเยซูเจ้าทรงมองปัญหานี้อย่างไร ทรงจัดการกับปัญหานี้อย่างทุ่มเทเพียงใด และทรงเสริมเพิ่มพลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยวิธีใด เราคงต้องทำเช่นเดียวกัน

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012)

ข้อคิดข้อรำพึง พระวาจาพระเจ้า ของอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี B

“ขอให้คำภาวนาจากจิตข้าดุจเครื่องหอม”

“พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัด และทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น”

นี่เป็นพระวรสารตอนหนึ่งประจำในวันอาทิตย์นี้ ต้องการนำเสนอว่า
พระเยซูเจ้าทรงรักการภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงเป็นนักภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงเห็นความสำคัญของการภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงให้เวลากับการภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงหลบหนีไปภาวนา

และถ้าเราดูบริบทของพระวรสารตอนนี้ จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าเสด็จหนีไปภาวนาขณะที่พระองค์กำลังอยู่ในจุดสูงสุด กำลังเป็น “Jesus Christ superstar” ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ในพระองค์ เพราะทรงสามารถรักษาเยียวยาผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้หายได้ เริ่มจากการรักษาแม่ยายของเปโตรซึ่งนอนซมเป็นไข้อยู่ พระองค์ทรงจับมือนางไข้ของนางก็หาย นางลุกขึ้นรีบมาปรนนิบัติพระองค์และสานุศิษย์ (ซึ่งรวมถึงลูกเขยของนางด้วย เดชะบุญที่นางมีลูกเขยที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดี ชื่อเสียงของนางจึงขจรขจายเป็นที่รู้จักมาบัดนี้ 2,000 ปีแล้ว นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีของแม่ภรรยากับลูกเขยที่มีอายุยืนยาวที่สุด และยังคงอยู่ตลอดไปตราบความคงอยู่ของพระวรสาร)

บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเปโตรไม่พาพระเยซูเจ้ามารักษาแม่ยาย นางอาจจะนอนอยู่ที่เตียงก็จริง แต่คงสบายกว่าที่ได้รับการรักษาให้หายด้วยอัศจรรย์ แล้วต้องมาปรนนิบัติผู้ชายอย่างน้อยหนึ่งโหล แต่คนที่คิดอย่างนี้ไม่เข้าใจหัวจิตหัวใจของเธอ และของคนโบราณที่ถือว่าการรับใช้แขก เป็นหน้าที่เกือบเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว นักบุญเปาโลน่าจะเข้าใจนางได้ดีกว่าใคร ๆ เพราะท่านสอนในบทอ่านที่สองของวันนี้ถึงจิตตารมณ์ของการประกาศข่าวดีอย่างอิสระ และการรับใช้เพื่อนพี่น้องว่า “ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

บางทีเราคิดว่ามีแต่ข่าวไม่ดีเท่านั้นที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว แต่ข่าวดีๆ ก็มีการแพร่ไปอย่างมีอานุภาพไม่ใช่เล่น เช่นข่าวการรักษาแม่ยายของเปโตรเป็นที่ล่วงรู้อย่างรวดเร็ว เย็นวันนั้นมีคนเจ็บป่วยและคนถูกผีสิงมาเฝ้าพระองค์กันมากมาย คนทั้งเมืองได้มาออกันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาคนที่เป็นโรคต่างๆ ให้หาย และทรงขับไล่ปีศาจหลายตนให้ออกไป พระองค์ทรงนำความรักของพระเจ้ามาพยาบาลรักษาคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน

วันรุ่งขึ้น ผู้คนไหลหลั่งมาแสวงหาพระองค์แต่ไม่พบ พระองค์ทรงลุกขึ้นแต่เช้ามืด เสด็จออกจากบ้านไปที่สงัด และทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น และเมื่อสาวกทูลว่ามีคนมากมายรอคอยพระองค์อยู่ พระองค์กลับชวนสานุศิษย์ไปยังหมู่บ้านอื่นๆ เพื่อนำความรักของพระเจ้า ไปมอบให้กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย

พระเยซูเจ้าทรงทำงานและภาวนาควบคู่กันไป เราได้ทำเช่นนี้หรือไม่ หรือว่าเราทำงานอย่างเดียว แล้วลืมการภาวนาไปเสียสนิท

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อปี ค.ศ. 2009 )

วันสากลเพื่อภราดรภาพของมนุษย์
4 กุมภาพันธ์ 2021

วันสากลเพื่อภราดรภาพของมนุษย์ 4 กุมภาพันธ์ 2021

สหประชาชาติได้ประกาศในการประชุมสามัญเดือนธันวาคม 2020 ว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นวันสากลเพื่อภราดรภาพ

ท่านสามารถดูข้อมูลได้ที่เวบไซต์ www.humanfraternityday.org

พระคาร์ดินัล มีเกล อังเกล อายูโซ่ กวีโซ ประธานสมณสภาเพื่อการเสวนาระหว่างศาสนา ได้เขียนจดหมาย (1 กุมภาพันธ์ 2021) เสนอเราให้ศึกษาสมณสาส์น ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เพื่อสร้างเอกภาพในพระศาสนจักร ใช้ภาวนา ไตร่ตรอง เทศน์สอน หรือให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้

ประวัติที่มา วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เสด็จประเทศสาธารณรัฐเอมิเรส ทรงพบปะอิหม่ามแห่งอัลอัซซาร์ ที่ไคโร และได้เซ็นเอกสารเพื่อภราดรภาพ สันติภาพ และการอยู่ร่วมกัน

3 ตุลาคม 2020 โป๊ปฟรังซิส ได้อนุมัติสมณสาส์นทุกคนเป็นพี่น้องกัน (Fratelli Tutti) เกี่ยวกับภราดรภาพและมิตรภาพในสังคม

21 ธันวาคม 2020 สหประชาชาติได้ประกาศให้มีวันสากลเพื่อภราดรภาพของมนุษย์

4 กุมภาพันธ์ 2021 ที่เมืองอาบู ดาบี จะมีการฉลองทางออนไลน์ โดยโป๊ปฟรังซิส และพระคาร์ดินัล อายูโซ่ กวีโซ่ จะร่วมงานด้วย เวลาที่กรุงโรม 14.30 น. เวลาที่ประเทศไทย 19.30 น.

ในระหว่างการพบปะฉันพี่น้องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเก็บความทรงจำที่สุขใจไว้ ท่านอิหม่าม อะห์เหม็ด อัล-ดาเยบ (Ahmad Al-Tayyeb) และข้าพเจ้าประกาศ “อย่างแน่วแน่ว่าศาสนาต่างๆ ไม่เคยยุยงให้เกิดสงคาม และมิได้เชิญชวนให้เกิดความรู้สึกเกลียดชัง ความเป็นศัตรู ความคิดหัวรุนแรง หรือเชิญชวนให้เกิดความรุนแรง หรือการนองเลือด ความชั่วร้ายเหล่านี้เป็นผลมาจากการเบี่ยงเบนคำสอนทางศาสนา การใช้ศาสนาในทางการเมือง และในบางช่วงของประวัติศาสตร์ กลุ่มคนในศาสนาได้ใช้อิทธิพลความรู้สึกทางศาสนาที่มีต่อจิตใจของมนุษย์ไปในทางที่เกินเลย […] อันที่จริง พระเจ้าผู้ทรงอำนาจไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากใคร และไม่ทรงต้องการให้พระนามของพระองค์ถูกใช้เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว” (284) ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องการเรียกร้องให้เกิดสันติภาพ ความยุติธรรม และภราดรภาพ (Fratelli Tutti ข้อ 285)

(ฟ. วีระ อาภรณ์รัตน์)

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus) วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม 2021

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus) วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม 2021

จากห้องสมุดวาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย  

พระวรสารวันนี้ (ทียบ มก. 1: 21-28) เล่าเรื่องพิเศษเกี่ยวกับพันธกิจของพระเยซูคริสต์ในวันซาบาโต ซึ่งเป็นวันที่ทุกคนพักผ่อนและอธิษฐานภาวนา ผู้คนจะไปยังศาลาธรรม และในวิหารแห่งเมืองกาฟาร์นาอ พระเยซูคริสต์ทรงอ่านพระคัมภีร์พร้อมกับอธิบายให้กับประชาชฟัง ผู้คนในศาลาธรรมต่างก็พากันชื่นชอบในวิธีการเทศน์สอนของพระองค์ พวกเขาต่างพากันประหลาดใจมากเพราะว่าพระองค์เทศน์สอนอย่างผู้ทรงอำนาจซึ่งแตกต่างจากบรรดาคัมภีราจารย์ (ข้อ 22) ยิ่งไปกว่านั้นพระเยซูคริสต์ทรงเผยพระองคเป็นผู้ทรงอำนาจในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมด้วย พระองค์ทรงรู้จักเจ้าซาตานหรือจิตชั่วร้าย และทรงขับไล่มันออกไปจากชายที่มันสิงตนอยู่ (ข้อ 23-26) 

พวกเราสามารถพบองค์ประกอบสองอย่างที่สำคัญในพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ณ จุดนี้ คือ การเทศนาและการรักษา ปัจจัยทั้งสองประการนี้เปนจุดเด่นในพระวรสารโดยผู้นิพนธ์มารโก ทว่าการเทศนามีการกล่าวเน้นมากที่สุด การขับไล่ซาตานเป็นเพียงการยืนยันถึง “อำนาจ” อันทรงพลังแห่งการเทศน์สอนของพระองค์ พระองค์ทรงเทศนาด้วยอำนาจของพระองค์เองประดุจผู้ซึ่งมีธรรมะที่มาจากตนเอง และไม่เหมือนบรรดานักคัมภีราจารย์ที่เทศน์แต่ประเพณีเท่านั้น พวกเขาได้แต่ตอกย้ำธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายรูปแบบเก่า มีแต่เพียงย้ำแล้วย้ำอีกตามตัวบทลายลักษณ์อักษรเหมือนกับที่นักร้องมีน่า (Mina) ที่พึมซ้ำไปซ้ำมา [“Parole, parole, parole”]  นี่คือสิ่งที่พวกเขากระทำ มีแต่คำพูด ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์  การสอนของพระองค์เปี่ยมด้วยอำนาจเช่นเดียวกันกับของพระเจ้าที่ตรัสเอง พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้มีอำนาจ  คำสอนของพระองค์ทะลุเข้าถึงดวงใจ เพราะด้วยคำสั่งเพียงคำเดียวเท่านั้น พระองค์ก็ทำให้คนที่ถูกปิศาจสิงเป็นอิสระ และทรงเยียวยารักษาเขา เพราะเหตุใดหรือ? เพราะพระวาจาของพระองค์จะเป็นไปตามที่พระองค์ตรัส แล้วเหตุใดพ่อจึงกล่าวเช่นนี้ว่าพระองค์จะทรงเป็นประกาศกองค์สุดท้าย? ขอให้ท่านจำคำพูดของโมเสสไว้ โมเสสกล่าวว่า “หลังจากข้าพเจ้า อีกนานจะมีประกาศกดุจข้าพเจ้าปรากฏมาที่จะสอนพวกท่าน” คำสอนของพระเยซูคริสต์มีอำนาจเช่นเดียวกันกับของพระเจ้าที่ตรัสโดยตรง อันที่จริงด้วยพระบัญชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้ชายที่ถูกซาตานเข้าสิงเป็นอิสระ นีคือเหตุผลที่พระองค์ตรัส มิใช่ด้วยอำนาจของมนุษย์แต่ด้วยอำนาจของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีอำนาจเป็นประกาศกองค์สุดท้าย นั่นคือเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเสด็จมาช่วยให้พวกเราให้รอด ผู้ทรงเยียวยารักษาพวกเราทุกคน 

มิติที่สองซึ่งได้แก่การเยียวยารักษาเผยให้พวกเราเห็นว่าการเทศนาของพระเยซูคริสต์มีเป้าหมายที่จะสร้างความปราชัยให้กับเหล่าซาตานที่ปรากฎอยู่ท่ามกลางมนุษย์และโลก พระวาจาของพระองค์บ่งชี้ตรงไปยังอาณาจักรของซาตาน ที่ทำให้เจ้ามารร้ายตกอยู่ในอันตรายและต้องถอยออกไป บังคับให้พวกมันต้องจากโลกไป ด้วยพระบัญชาของพระเจ้าที่ทำให้ชายที่ถูกผีสิงได้รับอิสระภาพแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่  นอกจากนี้แล้วการเทศนาของพระเยซูคริสต์ยังมีตรรกะที่ตรงกันข้ามกับตรรกะของชาวโลกและของพวกซาตาน พระวาจาของพระองค์แสดงให้เห็นระเบียบที่ผิดเพี้ยนต่างๆ มากมาย ความจริงเจ้าปิศาจที่สิงอยู่ในชายผู้นั้นร้องตะโกนใส่พระเยซูคริสต์ว่า “เยซูแห่งนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรา?” ท่านมาทำลายเราหรือ?” (ข้อ 24) คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงตรรกะที่อยู่ตรงกันข้ามระหว่างสองฝ่าย ซึ่งเป็นตรรกะที่อยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่างระหว่างสองฝ่าย อยู่ตรงกันข้าม พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้มีอำนาจและดึงดูดใจผู้คนด้วยอำนาจ และเป็นประกาศกที่เยียวยารักษา ขอให้พวกเราฟังพระวาจาของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงอำนาจเสมอไป ขอให้พวกเราจงอย่าได้ลืม! 

จงพกพระวรสารเล่มเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าหรือในถุงในย่าม เพื่อที่จะอ่านในเวลากลางวัน เพื่อที่จะฟังพระวาจาอันทรงอำนาจของพระเยซูคริสต์ พวกเราทุกคนต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น พวกเราทุกคนมีบาป พวกเรามีจิตใจที่ไม่สงบ ขอให้พวกเราวิงวอนพระเยซูคริสต์ “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นประกาศก เป็นพระบุตรของพระเจ้า พวกเราได้รับสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมาเพื่อเยียวยารักษาพวกเรา โปรดเยียวยารักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด!” โปรดวอนพระเยซูคริสต์ให้เยียวยาพวกเราให้หลุดพ้นจากบาปและจากความชั่วร้ายทั้งปวงของพวกเรา 

พระแม่มารีย์พรหมจารีเก็บพระวาจาและการกระทำต่าง ๆ ของพระเยซูคริสต์ไว้ในดวงพระทัยเสมอ และติดตามพระองค์ไปด้วยความพร้อมและบังเกิดผลดีเสมอ ขอพระแม่โปรดช่วยให้พวกเราฟังพระองค์และติดตามพระองค์ไป เพื่อว่าพวกเราจะได้มีประสบการณ์กับเครื่องหมายแห่งความรอดของพระองค์ในชีวิตของพวกเราด้วยเทอญ 

หลังการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวพระสันตะปาปาทรงมีพระกระแสดำรัสดังนี้ 

 

ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก  

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พวกเราจะฉลองวันถวายพระกุมารในพระวิหาร เมื่อผู้อาวุโส ซีเมออน และนางฮันนา ซึ่งชรามากแล้วทั้งสองคนได้รับแรงดลใจจากพระจิตให้ทราบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ พระจิตยังคงผลักดันความคิด และวาจาแห่งปรีชาญาณในทุกวันนี้แก่ผู้สูงอายุ เสียงของพวกเขามีคุณค่าเพราะนั่นคือเสียงแห่งการสรรเสริญพระเจ้า และปกป้องธรรมเนียมอันเป็นรากเหง้าแห่งประชากร ต้องเตือนใจพวกเราว่าผู้สูงอายุเป็นของขวัญอันประเสริฐ และปู่ย่าตายายเป็นจุดเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนรุ่นต่างๆ โดยการถ่ายทอดประสบการณ์แห่งชีวิต และความเชื่อไปยังชนรุ่นหลัง บ่อยครั้งผู้สูงอายุจะถูกหลงลืมและพวกเราก็มักจะลืมความมั่งคั่งแห่งการธำรงไว้ ซึ่งรากเหง้าและการถ่ายทอดความเชื่อนี้ไป ด้วยเหตุนี้พ่อจึงตัดสินใจตั้งวันระลึกถึงปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุสากลขึ้น ซึ่งจะมีการรำลึกถึงในพระศาสนจักรทุกแห่งทั่วโลกทุกปีในวันอาทิตย์ที่สี่ของเดือนกรกฎาคมใกล้กับวันฉลองนักบุญโอากิมและนักบุญอันนา ซึ่งเป็น “ตาและยาย” ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ปู่ย่าตายายจะต้องพบกับลูกหลานและลูกหลานต้องพบกับปู่ย่าตายาย เพราะอย่างที่ประกาศกโแอลกล่าวไว้ว่า ต่หน้าลูกหลานปู่ย่าตายายจะมีความฝัน มีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ และเยาวชนจเมื่อได้รับพลังจากปูย่าตายายก็จะก้าวไปข้างหน้าและกล่าวคำพยากรณ์  วันที่ กุมภาพันธ์ จึงเป็นฉลองแห่งการพบปะกันรหว่างลูกหลานกับปู่ย่าตาทวด 

วันนี้พวกเราระลึกถึงวันโรคเรื้อนสากลที่เริ่มเมื่อกว่า 60 ปีมาแล้วโดยราอูล ฟอลเลอโร (Raoul Follereau) และดำเนิการต่อโดยสมาคมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานด้านมนุษยธรรมของเขา พ่อขอแสดงความใกล้ชิดกับผู้ที่ต้องรับทุกข์เพราะโรคนี้ พ่อขอเป็นกำลังใจให้กับบรรดาธรรมทูต คนที่ดูแลผู้ป่วยและอาสาสมัครที่รับใช้พวกเขา โรคระบาได้ยืนยันว่ามีความสำคัญเพียงใด ที่ต้องปกป้องสิทธิในการดูแลรักษาสุขภาพต่อประชาชนที่มีความอ่อนแอ พ่อหวังว่าผู้นำรัฐต่างๆ จะร่วมมือร่วมใจกันในความพยายามที่จะเยียวยารักษาผู้ที่ป่วยจากโรคฮันเซน และสร้างหลักประกันให้พวกเขามีสิทธิเท่าเทียมกันในสังคม 

พ่อขอต้อรับเยาวชนชายหญิงด้วยความรักจากสังฆมณฑลแห่งกรุงโรม ซึ่งบางคนก็อยู่ที่นี่โดยรวมตัวกันอย่างปลอดภัยตามวัดของตน หรือติดต่อกับพวกเราทางสื่อออนไลน์ ในโอกาสฉลองคาราวานแห่งสันติภาพ (Caravan of Peace) แม้จะมีภาวะฉุกเฉินเรื่องสุขภาพ ซึ่งปีนี้ก็เช่นเดียวกันโดยอาศัยความช่วยเหลือของพ่อแม่นักการศึกษาและศาสนบริกร พวกเขาได้จัดให้มีความคิดริเริ่มนี้ขึ้น พวกเขามีความคิดริเริ่มที่ดี พ่อขอชมเชยทุกคน ขอให้พยายามในการทำความดีต่อไป ขอบคุณทุกคน ต่อไปนี้ให้พวกเรามาฟังพร้อมกัน เกี่ยวกับสาส์นของบรรดาเยาวชนพวกเขา 

 [อ่านสาส์น] 

โดยปกติเยาวชนเหล่านี้จะนำลูกโป่งมาแล้วปล่อยลอยขึ้นจากหน้าต่างแห่งนี้ แต่วันนี้พวกเราถูกจำกัดตัวเองเพราะโรคระบาด ดันั้นเหตุการณ์จะเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำเหมือนเดิม แต่ปีหน้าพวกเธอคงจtทำเหมือนเดิมอย่างแน่นอน 

พ่อขอต้อนรับทุกคนที่เชื่อมสัมพันธ์กับพวกเราโดยอาศัยสื่อต่างๆ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ กรุณาอย่าลืมสวดภาวนาสำหรับพ่อด้วย ขอให้รับประทานอาหารกลางวันด้วยความสุข แล้วค่อยพบกันใหม่ 

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัย Angelus ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง) 

คณะธรรมทูตอิเดนเตส

คณะธรรมทูตอิเดนเตส

30 มกราคม 2021 (9.30 น.)

คณะธรรมทูตอิเดนเตส ก่อตั้งโดยฆราวาสชาวสเปญ ชื่อแฟร์นันโด เรียโลว์ ปาร์ดาล เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2502(ค.ศ.1959) เข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2522(ค.ศ.1979) และมาเชียงใหม่ พ.ศ.2545 (ค.ศ. 2002)

คณะธรรมทูตอิเดนเตส มีทั้งบ้านพระสงฆ์ และบ้านซิสเตอร์ ตั้งอยู่ บ้านยอแซฟแห่งปวงเทวา บ้านเลขที่ 180 หมู่ 4 บ้านหนองแฝก ต.หนองแฝก อ.สารภี จ.เชียงใหม่ 50140 www.idente.org บริเวณบ้านยอแซฟแห่งปวงเทวา มีวัดน้อยพระเมตตา คุณพ่อทินกร อยู่ประจำ มีมิสซาทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.00 น. คุณพ่อทินกร เป็นผู้รับผิดชอบแผนกเยาวชน สังฆมณทลเชียงใหม่ และจิตตาธิการ ของซิสเตอร์คณะกลาริส (สารภี) ซึ่งอารามกลาริส อยู่ใกล้กัน

คุณพ่อทินกร ลาทู อยู่ประจำที่สารภี คุณพ่อทนงค์ศักดิ์ บิโข่ (ช่วยงานที่วัดนักบุญเทเรซา เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย) และบราเดอร์ เรืองเดช สมบูรณ์พูลเพิ่ม (กำลังศึกษาเทววิทยาที่วิทยาลัยแสงธรรม จ.นครปฐม) ได้มาพบพระสังฆราชวันนี้ แจ้งว่า ทางผู้ใหญ่ของคณะแต่งตั้งให้บราเดอร์ เรืองเดช เป็นอธิการ เมื่อวันพฤหัส ที่ 28 มกราคม ค.ศ.2021

บราเดอร์ยอห์น บอสโก เรืองเดช สมบูรณ์พูลเพิ่ม เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2521 อายุ 42 ปี มาจาก วัด(สาขา) นักบุญเปโตร หมู่บ้านโป่งขนุน ต.แม่สึก อ.แม่แจ่ม เขตวัดนักบุญปาตริก ป่าตึง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้ถวายตัวครั้งแรกวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2007 ถวายตัวตลอดชีพเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 (ที่สหรัฐอเมริกา) สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ก่อนไปรับการศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา 3 ปี และกลับมาเมืองไทย เรียนที่วิทยาลัยแสงธรรม เพื่อจะบวชเป็นพระสงฆ์

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus) วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus) วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021

จากห้องสมุดวาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย 

พระวรสารของวันอาทิตย์นี้ (เทียบ มก. 1: 14-20) หากจะพูดไปแล้วก็เหมือนการส่งมอบ “คธา” จากยอห์นบัปติสต์ไปยังพระเยซูคริสต์ ยอห์นเป็นผู้เดินทางล่วงหน้าเตรียมหนทางให้กับพระเยซูคริสต์ โดยเริ่มทำพันธกิจด้วยการประกาศถึงความรอดซึ่งบัดนี้ได้มาถึงแล้ว  พระองค์ทรงเป็นองค์แห่งความรอด การเทศนาของพระองค์สรุปได้ด้วยคำพูดดังนี้ “เวลาได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว จงเป็นทุกข์เสียใจในบาป และจงเชื่อต่อพระวรสาร” (ข้อ 15) พระเยซูคริสต์ไม่ได้เล่นกับคำพูด ทว่าเป็นคำพูดที่เชิญให้พวกเราไตร่ตรองในเนื้อหาที่มีความสำคัญยิ่งสองประการด้วยกันคือ เวลา และ การกลับใจ  

ในข้อความของมาร์โกผู้นิพนธ์พระวรสาร คำว่า “เวลา” ต้องเข้าใจว่าเป็นระยะเวลาขอประวัติศาสตร์แห่งความรอดที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพันธกิจ ดังนั้นเวลาที่ “ลุล่วงไป” คือการกระทำที่ช่วยให้พวกเรามรอดนั้นได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว เป็นการกระทำที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว นี่เป็นเวลาแห่งประวัติศาสตร์ซี่งพระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มายังโลก และพระอาณาจักรของพระองค์ก็ “ใกล้เข้ามา” ยิ่งกว่าเดิมอีก เวลาแห่งความรอดสำเร็จลงแล้วเพราะพระเยซูคริสต์เสด็จมาแล้ว ทว่าความรอดไม่ใช่แบบอัตโนมัติ ความรอดเป็นพระหรรษทานแห่งความรัก และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงถูกมอบให้กับเสรีภาพของมนุษย์ เมื่อพวกเราพูดถึงความรักพวกเราจะพูดถึงเสรีภาพเสมอ  หากความรักปราศจากซึ่งเสรีภาพ จะไม่ใช่ความรัก ทว่าอาจจะเป็นผลประโยชน์ อาจเป็นความกลัว อาจเป็นหลายสิ่งหลายอย่าง  สำหรับความรักจะต้องเป็นเสรีภาพเสมอ และเมื่อเป็นเสรีภาพ จึงเรียกร้องการตอบสนองด้วยเสรีภาพเช่นเดียวกัน ความรักเรียกร้องให้พวกเราต้องกลับใจ  ดังนั้นความรักหมายถึงการเปลี่ยนชีวิตจิตใจ นี่คือการกลับใจ คือการเปลี่ยนความคิดความอ่าน คือการเปลี่ยนแปลงชีวิต จะม่มีการเลียนแบบฉบับของโลก แต่จะตามแบบฉบับของพระเจ้าซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ ดังที่พระองค์ได้ทรงกระทำและดังที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา เป็นการเปลี่ยนทัศนคติอย่างสิ้นเชิง ความจริงบาปที่อันตรายคือบาปแห่งโลกียวิสัยที่เป็นเหมือนกับอากาศ เพราะมันแทรกซึมเข้าไปในทุกสิ่ง ก่อให้เกิดความคิดที่จะโน้มเอียงไปในทางที่เหนือผู้อื่นและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า นี่เป็นเรื่องแปลก… อัตลักษณ์แท้จริงของพวกเราคืออะไร? บ่อยครั้งพวกเราจะได้ยินว่าอัตลักษณ์ของคนที่มีความหมกมุ่นในโลกียวิสัยจะแสดงออกมาในลักษณะ “ความขัดแย้ง”   เป็นการยากที่จะแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของคนที่มีทัศนคติแห่งโลกย์วิสัยด้วยคำพูดเชิงบวก และในเชิงแห่งความรอด เพราะว่าเป็นการขัดแย้งกับตนเอง กับผู้อื่น และกับพระเจ้า และเพราะความโน้มเอียงทางบาปและโลกียวิสัยมักจะไม่รีรอที่จะใช้เล่ห์หลอกลวงและความรุนแรง พวกเราเห็นว่าสิ่งใดบ้างที่เกิดขึ้นกับการใช้เล่ห์และความรุนแรง ความโลภ การอยากมีอำนาจ ไม่บริการรับใช้ ชอบทำสงคราม การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น… นี่คือจิตใจของคนที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยม ซึ่งแน่นอนว่ามีต้นตอมาจากหัวคิดแห่งการหลอกลวง นักแสแสร้งผู้ยิ่งใหญ่ คือเจ้าซาตานนั่นเอง มันคือเจ้าพ่อแห่งจอมโหกอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกมัน 

ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนขัดแย้งกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเชื้อเชิญให้พวกเรารับรู้ถึงตัวเราเองในฐานที่พวกเราต้องการพระเจ้า และพระหรรษทานของพระองค์เพื่อที่พวกเราจะได้มีทัศนคติที่สมดุลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของโลก เพื่อที่พวกเราจะได้ให้การต้อนรับผู้อื่น และมีความสุภาพต่อผู้อื่น เพราะช่วงเวลาที่พวกเรามี ในการที่พวกเราสามารถจะได้รับความรอดนั้นช่างสั้น นั่นคือช่วงเวลาแห่งชีวิตของพวกเราในโลกนี้ ชีวิตของพวกเรานั้นสั้นมาก บางทีดูเหมือนว่าจะยาว… พ่อจำได้ว่าเคยไปโปรดศีลเจิมให้คนคนป่วยสูงอายุที่ดีคนหนึ่ง ตอนนั้นก่อนรับศีลมหาสนิทและศีลเจิม เขาพูดกับพ่อว่า “ชีวิตของผมกำลังจะบินไป” นี่คือสิ่งที่พวกเราคนชรารู้สึกว่าชีวิตกำลังจะผ่านไป ชีวิตต้องผ่านไป และชีวิตเป็นของขวัญแห่งความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระเจ้า แต่การมีชีวิตก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักของพวกเราต่อพระองค์ด้วย ด้วยเหตุนี้ทุกวินาที ทุกรณีแห่งการมีชีวิตของพวกเราจึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ และพวกเราจะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร 

ประวัติศาสตร์แห่งชีวิตของพวกเรามีสองจังหวะด้วยกัน จังหวะแรกวัดได้ด้วยชั่วโมง วัน ปี ส่วนจังหวะที่สองกอปรด้วยการพัฒนาไปตาเวลา กล่าวคือ เกิดแก่เจ็บตาย  ทุกระยะทุกภาคส่วนมีคุณค่าในตัวเอง และสามารถเป็นเวลาแห่งอภิสิทธิ์ที่จะได้พบกับพระเยซูคริสต ความเชื่อทำให้พวกเราได้พบกับความสำคัญฝ่ายจิตแห่งระยะเวลาเหล่านั้น แต่ละช่วงจะมีการเรียกร้องเป็นพิเศษของพระเจ้าซึ่งพวกเราสามารถที่จะตอบสนองในเชิงลบหรือเชิงบวก ในพระวรสารพวกเราเห็แล้ว่า ซีมอน อันดรูว์ เจมส์ และอห์นตอบสนองอย่างไร พวกเขาเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะ พวกเขามีอาชีพเป็นชาวประมง พวกเขามีครอบครัว… แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ผ่านมาแล้วเรียกพวกเขา “พวกเขาก็ทิ้งอวนโดยทันทีแล้วติดตามพระองคไป” (มก. 1: 18) 

ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก  ขอให้พวกเราตั้งใจสักหน่อย อย่าปล่อยให้พระเยซูคริสต์ผ่านไปโดยที่พวกเราไม่ให้การต้อนรับพระองค์ นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเกรงพระเจ้า ขณะที่พระองค์ดำนินผ่าน” เกรงอะไรหรือ?  เกรงว่าจะจำพระองค์ไม่ได้ เกรงว่าจะไม่เห็นพระองค์ เกรงว่าจะไม่ให้การต้อนรับพระองค์ 

ขอพระแม่มารีย์พรหมจารีโปรดช่วยให้พวกเราเจริญชีวิตใแต่ะวัน ในแต่ละวินาทีดุจเป็นเวลาแห่งความรอด ซึ่งพระเยซูคริสตทรงดำเนินผ่านและเรียกให้พวกเราติดตามพระองค์ไป และขอพระแม่ได้โปรดช่วยพวกเราให้กลับใจจากโลกีย์วิสัย เปลี่ยนแปลงจากความฟุ้งเฟ้อที่เป็นเสมือนดอกไม้ไฟไปสู่ความรักและการบริการรับใช้เทอญ  

หลังการสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าวพระสันตะปาปาทรงมีพระดำรัส ดังนี้ 

ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก  วันอาทิตย์นี้มอบให้เป็นวันเฉลิมฉลองพระวาจาของพระเจ้า ของขวัญ” ที่ยิ่ใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยของพวกเราคือการพบกับพระคัมภีร์ในชีวิตของพระศสนจักรในทุกระดับ ไม่เคยเป็นเช่นเยี่ยงวันนี้มาก่อนที่ทุกคนจะเข้าถึงพระคัมภีร์ได้ในทุกภาษาแม้กระทั่งในรูปแบบของวีดีโอและดีจิตอล นักบุญเยโรมแห่งคริสตศตวรรษที่ 16 กล่าวว่า บุคคลที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์ก็ไม่รู้จักพระเยซูคริสต (เทียบ In Isiam Prol.และตรงกันข้ามพระเยซูคริสต์ พระวจนาตถ์ “Logos” ผู้ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ ผู้ทรงเปิดจิตใจพวกเราให้เข้าใจพระคัมภีร์ (เทียบ ลก. 24: 45นี่เกิดขึ้นเป็นพิเศษในจารีตพิธี และมื่อพวกเราสวดภาวนาเป็นการส่วนตัว หรือเป็นกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีการอ่านพระคัมภีร์และบทเพลงสดุดี พ่อขอบใจและสนับสนุนวัดที่ยืนหยัดในการสอนประชาสัตบุรุษให้รู้จักฟังพระวาจาของพระเจ้า ขอให้พวกเราจงอย่าได้ขาดความชื่นชมยินดีในการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสาร และขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าขอให้พวกเรามีนิสัยอันดีนี้ และพกพาหนังสือพระคัมภีร์เล่มน้อยๆ ไว้ในกระเป๋าของเราเสมอ เพื่อที่หาเวลาว่างอ่านในเวลากลางวันอย่างน้อยก็สามสี่วรรค ขอร้องให้พวกเรามีพระคัมภีร์ตดตัวเสมอ 

เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่เพิ่งผ่านมานี้ ห่างจากลานมหาวิหารนักบุญเปโตรเพียงไม่กี่เมตรมีชายชาวไนจีเรียคนหนึ่งอายุ 46 ปี ซึ่งไม่มีบ้านชื่อนายเอ็ดวิน (Edvin) ถูกพบว่านอนตายอยู่เพราะความหนาว เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ เหตุการณ์ของคนที่ไม่มีบ้าน ซึ่งตายไปที่กรุงโรมด้วยเหตุผลเดียวกัน ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาให้ ดวงวิญญาณของเอ็ดวิน (Edvin) ขอให้พวกเราได้รับคำเตือนใจจากสิ่งที่นักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่ ได้กล่าวไว้ ขอทานคนหนึ่งขอร้องก่อนตายเพราะความหนาวให้คิดถึงเขา เพราะพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณจะไม่มีในวันนั้นเพราะเป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้พวกเราคิดถึงเอ็ดวินชายอายุ 46 ปีผู้นี้เขาคิดอย่างไรท่ามกลางความหนาวเหน็บ ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ถูกทอดทิ้ง แม้กระทั่งจากพวกเรา ขอให้พวกเราสวดภาวนานาสำหรับดวงวิญญาณของเขาด้วย 

ช่วงายของพรุ่งนี้ (25 มกราคม) ภายในมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง พวกเราจะมีพิธีทำวัตรเย็นโอกาสการกลับใจของนักบุเปาโลหลังจากจบสัปดาห์อธิษฐานเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชนพร้อมกับผู้แทนของพระศาสนจักรและชุมชนคริสตชนนิกายอื่น ๆ พ่อขอเชิญชวนพวกเราให้ร่วมใจกันกับพ่อในการอธิษฐานภาวนาเพื่อเอกภาพของบรรดาคริสตชน 

วันนี้ (24 มกราคม) ยังเปนวันที่พวกเรารำลึกถึงนักบุญฟรัซิส เด ซาเลส องค์อุปถัมภ์ของนักข่าวและสื่อสารสังคม เมื่อวานนี้สันตะสำนักได้ออกสาส์นวันสื่อสารสังคมภายใต้ข้อรำพึง “มา และ ดูสิ” ซึ่งเป็นการพบกับประชนในที่ที่พวกเขาอยู่และอย่างที่พวกเขาเป็น พ่อขอสนับสนุนให้นักข่าวทุกคนจง “ไป และดูซิ” ในที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยากไปและเป็นประจักษ์พยานต่อความจริง 

พ่อขอต้อนรับทุกคน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการสื่อสาร ขอส่งคำภาวนาไปยังครอบครัวที่ต้องดิ้นรนเป็นพิเศษในยามนี้ ขอให้กล้าหาญไว้ ขอให้พวกเราก้าวออกไปขอให้พวกเราภาวนาสำหรับครอบครัวเหล่านี้เท่าที่จะทำได้  ขอให้พวกเราเป็นกัลยาณมิตรของพวกเขา ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ กรุณาอย่าลืมภาวนาสำหรับพ่อด้วย แล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

บทเทศน์ของพระสันตะปาปา ในวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021

บทเทศน์ของพระสันตะปาปา ในวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021

วันอาทิตย์เฉลิมฉลอง “พระวาจาของพระเจ้า”
พิธีบูชาขอบพระคุณ ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน

วันอาทิตย์แห่งการเฉลิมฉลองพระวาจานี้ ขอให้พวกเราฟังพระเยซูคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า ขอให้พวกเราพจารณาว่าพระองค์ตรัสอะไรและตรัสกับผู้ใด 

พระองค์ตรัสอะไร? พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มการเทศนาด้วยคำพูดเหล่านี้ “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด” (มก. 1: 15) พระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว นี่เป็นสาส์นแรก พระอาณาจักรของพระองค์ได้มาสู่ชาวโลกแล้ว ไม่ใชอย่างที่พวกเราชอบคิดกันบ่อยๆ พระเจ้าประทับอยู่ห่างไกล อยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่ทรงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ ไม่ใช่เช่นนั้นเลย พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา การอยู่ห่างไกลนั้นสินสุดลงในองค์พระเยซูคริสต์เอง พระองค์ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพระเจ้าก็ทรงประทับอยู่อย่างใกล้ชิดกับพวกเรา พระองค์จะไม่มีวันที่จะจากไปหรือเบื่อหน่ายกับสภาพมนุษย์ของพวกเรา ความไกล้ชิดนี้เป็สาส์นแรกแห่งพระวรสาร บทอ่านของวันนี้บอกพวกเราว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็น “ผู้ตรัส” (ข้อ 15) คำพูดเหล่านั้น พระองค์ทรงตรัสย้ำบ่อยๆ “พระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้” อันเป็นแรงจูงใจแห่งการเทศนา และนี่เป็นหัวใจแห่ข่าวดีของพระองค์ หากนี่เป็นการเปิดหัวเรื่องและการเทศนาซ้ำๆ ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะต้องเป็นจุดยืนและเป็นสาส์นสำหรับชีวิตของบรรดาคริสตชน ก่อนสิ่งใด ๆ พวกเราต้องเชื่อและประกาศว่าพระเจ้าทรงเสด็จมาประทับอยู่ใกล้พวกเรา  พวกเราไดรับการอภัยพระเมตตาจากพระอค์ ก่อนที่จะเอ่ยคำใดเกี่ยวกับพระเจ้า พระวาจาของพระองคสำหรับพวกเรา พระวจนาตถ์ยังทรงบอกพวกเราว่า “จงอย่าได้กลัว เราอยู่กับท่าน เราอยู่เคียงข้างท่าน และเราจะอยู่ที่นั่นเสมอ” 

พระวาจาของพระเจ้าทำให้พวกเราสามารถสัมผัสได้กับความใกล้ชิด เพราะดังที่หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบอกพวกเรา – พระวาจาอยู่ไม่ไกลจากเรา พระวาจาอยู่ใกล้หัวใจพวกเรา (เทียบ ฉธบ. 30: 14) พระวาจาเป็นยาต้านความกลัวของพวกเรา ที่ต้องเผชิญกับชีวิตตามลำพัง อันที่จริงโดยอาศัยพระวาจาพระองค์รงบรรเทาพวกเร กล่วคือทรงยืนอยู่ “กับ” (con-) ผู้ที่อยู่ “ตามลำพัง” (soli)  ในการตรัสกับพวกเราพระองค์ทรงเตือนใจพวกเราว่า พระองค์ทรงรักพวกเราอย่างเต็ทเปี่ยมในดวงพระทัย พวกเราเป็นบุคคลประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงทำนุพวกเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระวาจาของพระองค์ทำให้พวกเราเปี่ยมด้วยสันติสุข เป็นพระวาจาแห่งความบรรเทา ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้พวกเรากลับใจด้วย “จงเป็นทุกข์กลับใจ” พระเยซูคริสต์ตรัสทันทีหลังจากที่ประกาศถึงการประทับอยู่อย่าใกล้ชิดของพระเจ้า พวกเราต้องกตัญญูสำหรับการประทับอยู่อย่าใกล้ชิดนี้ เพราะว่าพวกเราไม่สามารถที่จะห่างเหินจากพระเจ้าและเพื่อนบ้านของพวกเรา ขณะที่พวกเรามัวแต่คิดถึงแต่ตนเองบัดนี้หมดเวลานั้นแล้ว การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นการกระทำของคริสตชน เพราะผู้ที่มีประสบการณ์กับความใกล้ชิดของพระเจ้าไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงต่อเพื่อนพี่น้อง หรือปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเฉยเมย ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าจะถูกเตือนใจเสมอว่าชีวิตไม่ใช่กีดกั้นตัวพวกเราออกจากผู้อื่น แต่จะต้องไปพบปะพวกเขาในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงประทับอยู่ใกล้ชิดพวกเรา พระวาจาที่หว่านลงบนผืนดินแห่งดวงใจของพวกเราต้องนำให้พวกเราหว่านความหวังด้วยการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น เฉกเช่นที่พระเจ้าทรงกระทำต่อพวกเรา 

บัดนี้ ขอให้พวกเราพิจาราดูว่าพระเยซูคริสต์ตรัสกับผู้ใด พระวาจาแรกของพระองค์ตรัสกับชาวประมง ชาวกาลิลียน ซึ่งพวกเขาเป็นชาวบ้านซื่อๆ ที่ดำเนินชีวิตด้วยการทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์ หรือเป็นคนที่มีความรู้ทั้งในวิชาการและวัฒนธรรม พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่ประกอบด้วยชนชาติพันธุ์ ชนเผ่า และวัฒนธรรมต่างๆ เป็นบุคคลจำพวกที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาในกรุงนครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นหัวใจของประเทศสักเท่าไร แต่นั่นเป็นจุดที่พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นการประกาศข่าวดี ไม่ใชจากศูนย์กลางเมือง แต่จากชายแดน และที่พระอค์ทรงกระทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะบอกพวกเราด้วยว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ห่างไกลจากหัวใจของพระเจ้า ทุกคนสามารถที่จะรับพระวาจาของพระองค์และพบปะกับพระองค์ด้วยตัวตนเอง พระวรสารเล่าละเอียดมากเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อสอนพวกเราว่าการเทศนาของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้น “ภายหลัง” การประกาศของอห์น บัปตีสต์ (เทียบ มก. 1: 14) คำว่า “ภายหลัง” เป็นคำชี้ขาด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง อห์นต้อนรับประชาชนในทะเลทราย ซึ่งคนเหล่านั้นสามารถทิ้งบ้านเท่านั้น ที่พวกเขาสามารถเดินทางไปได้ ส่วนประเยซูคริสต์นั้นทรงตรัสถึงพระเจ้าท่ามกลางสังคม กับทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด พระองคไม่ได้เทศน์สอนในเวลาหรือสถานที่จำกัด แต่พระองค์ทรง “ดำเนิไปตามชายฝั่งทะเล” ไปพบชาวประมงที่ “กำลังลงอวนจับปลา” (ข้อ 16) พระองค์เทศน์สอนประชาชนในเวลาและสถานที่ใช้ชีวิตตามปกติธรรมดา ณ จุดนี้พวกเราจะเห็นถึงอำนาจสากลแห่งพระวาจาของพระเจ้า ที่สามารถเข้าถึงทุกคนและทุกบริบทของชีวิต 

พระวาจาของพระเจ้ายังทรงมีอำนาจพิเศษด้วย กล่าวคือ พระวาจาสามารถสัมผัสโดยตรงกับแต่ละคน บรรดาศิษย์คงจะไม่มีวันลืมถึงพระวาจาที่พวกเขาได้ยินวันนั้นบนชายฝั่งทะเลสาบข้าง ๆ เรือในขะที่พวกอยู่พร้อมหน้ากับสมาชิกในครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน เป็นคำพูดที่ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขาตลอดไป พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะทำให้พวกท่านเป็นประมงมนุษย์” (ข้อ 17) พระองค์มิได้ตรัสกับพวกเขาโดยใช้ภาษาหรือความคิดที่สูงส่ง แตทรงกล่าวถึงชีวิตของพวกเขา พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะเป็นประมงจับมนุษย์ ถ้าพระองค์บอกพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะทำให้ท่านเป็นอัครสาวก ท่านจะถูกส่งไปยังโลกเพื่อประกาศพระวรสารในพระนามของพระจิต ท่านจะถูกสังหาร ที่สุดท่านจะกลายเป็นนักบุญ”  พวกเราคงแน่ใจได้เลยว่าทั้งเปโตรและอันดรูว์คงจะตอบว่า “ขอบคุณนะ ทว่าเราจะอยู่กับเรือหาปลาของเราดีกว่า” พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขาตามวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเขา “ท่านเป็นชาวประมง แล้วท่านจะกลายเป็นประมงจับมนุษย์” เหมือนถูกฟ้าผ่าด้วยคำพูดเหล่านั้น พวกเขารับรู้ทันทีว่าการหย่อนอวนลงจับปลานั้นเป็นเรื่องเล็ก ในขณะที่การแล่นเรือไปในที่ลึก ในการตอบสนองต่อพระวาจาของพระเยซูคริสต์นั้นเป็นความลับแห่งความชื่นชมยินดีที่แท้จริง 

พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับพวกเรา พระองค์ตามหาพวกเราตามที่ที่พวกเราเป็นอยู่ พระองค์ทรงรักพวกเราอย่างที่พวกเราเป็น และพระองค์ทรงเดินเคียงข้างพวกเราด้วยความอดทน เช่นเดียวกันกับที่พระอค์ทรงกระทำกับชาวประมงเหล่านั้น พระองค์ทรงรอคอยพวกเรา ณ ชายฝั่งแห่งชีวิตของพวกเรา ด้วยพระวาจาพระองค์ทรงต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเรา พระองค์ประสงค์ที่จะเชิญพวกเราใหดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์กว่า เพื่อที่จะแล่นเรือไปในที่น้ำลึกด้วยกันกับพระองค์ 

ดังนั้น ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอใหพวกเราอยาเมินเฉยต่อพระวาจาของพระเจ้า  เสมือนเป็นจดหมายรักที่เขียนถึงพวกเราจากผู้ที่รู้จักพวกเราดีที่สุด ในการอ่านจดหมายนั้นพวกราจะได้ยินเสียงของพระอค์อีกครั้งหนึ่ง จะเห็นพระพักตร์ของพระอค์ และจะได้รับพระจิตของพระองค์ คำพูดนั้นทำให้พวกเราเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า ขอให้พวกเราอย่าทิ้งจดหมายรักนั้นไป แต่ให้เก็บไว้กับตัวเสมอในกระเป๋า ในโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ขอให้พวกเราเก็บพระคัมภีร์ไว้ในสถานที่เหมาะสมภายในบ้าน ขอให้พวกเราเก็บพระวรสารไว้ในที่ที่พวกเราจะสามารถหยิบขึ้นมาอ่านได้โดยง่าย อาจเป็นตอนเริ่มต้นและตอนจบวันของแต่ละวัน เพื่อว่าพระวาจาเหล่านั้นจะได้ก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทหูของพวกเรา ในแต่ละวันอาจมีพระวาจาบางคำของพระเจ้าที่สะกิดใจเรา อันเป็นแรงบันดาลใจพวกเรา เพื่อที่จะทำเช่นนี้ได้ขอให้พวกเราวอนขอพลังจากพระเยซูคริสต ขอร้องให้พวกเราปิดโทรทัศน์สักครู่ แล้วหันมาเปิดพระคัมภีร์ ขอร้องให้ปิดโทรศัพท์สักครู่แล้วมาเปิดพระวรสารสักนิด ในปฏิทินปีพีธีกรรมของปีนี้ ปีบี พวกเรากำลังอ่านพระวรสารบันทึกโดยนักบุญมาร์โก ซึ่งเปนพระวรสารที่เรียบง่ายและสั้นที่สุดในบรรดาพระวรสารด้วยกัน ทำไมพวกเราไม่อ่านพระคัมภีร์ที่บ้านด้วยเล่า แมอ่านข้อความเพียงสันๆ ในแต่ละวัน นี่แหละจะทำให้รู้สึกว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ตัวพวกเรา และจะทำให้พวกเรามีความกล้าหาญในขณะที่พวกเราเดินทางไปในชีวิตของพวกเรา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง) 

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B

เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ

กษัตริย์แห่งซีเรีย พระนามว่า อันติโอคุส เอปิฟาเนส ทรงอยากครอบครองดินแดนอียิปต์ พระองค์ทรงรวบรวมกองทัพและยกไปรุกรานในปี 168 ก่อนคริสตศักราช แต่ในขณะนั้นจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจอยู่ และได้หยามกษัตริย์แห่งซีเรียด้วยการออกคำสั่งให้ยกทัพกลับบ้านไป โดยการสั่งการเช่นนี้ กรุงโรมไม่ได้ส่งกองทัพมาขู่ด้วย เพราะผู้เรืองอำนาจในขณะนั้นไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น พวกเขาเพียงแต่ส่งสมาชิกสภาที่ชื่อว่า โปปิลิอุส เลนา มากับคณะเล็กๆ ที่ไม่ติดอาวุธ โปปิลิอุส กับกษัตริย์อันติโอคุส มาพบกันที่เขตแดนประเทศอียิปต์ ทั้งสองสนทนากัน ต่างรู้จักโรมดี และมีความเป็นมิตรต่อกัน ก่อนจากกัน โปปิลิอุสได้บอกกับอันติโอคุสอย่างอ่อนโยนว่า ทางโรมไม่ต้องการให้เดินทัพเข้าไปในประเทศอียิปต์ แต่ต้องการให้ยกทัพกลับบ้าน อันติโอคุสบอกว่าจะขอพิจารณาดูก่อน แต่โปปิลิอุสเรียกคนของเขามาล้อมรอบอันติโอคุสแล้วกล่าวว่า “จงพิจารณาเดี๋ยวนี้ ให้ตอบเรามาว่าท่านตัดสินใจอย่างไรก่อนออกไปจากวงล้อมของเรา” อันติโอคุสใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อย และตระหนักว่าการจะขัดแย้งต่อโรมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงตอบว่า “เราจะกลับบ้าน” แม้ว่าจะรู้สึกว่าถูกหยามพระเกียรติอย่างยิ่งในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องถือว่านี่เป็นการแสดงออกถึงคำสั่งที่ทรงอำนาจของซีซาร์แห่งจักรวรรดิโรมัน

ในวันนี้บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโกเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปในศาลาธรรมแห่งเมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งเป็นเมืองของสานุศิษย์ 4 คนแรกของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเริ่มสอน ผู้คนรู้สึกประทับใจมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับของบรรดาธรรมาจารย์

พระเยซูเจ้าทรงมีเอกลักษณ์ประจำพระองค์เป็นพิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ทั้งพระวาจาที่ตรัส และภารกิจที่ทรงกระทำ แตกต่างไปจากอาจารย์ท่านอื่นๆ และผู้คนที่ศาลาธรรมได้สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความโดดเด่นของพระองค์ ตั้งแต่ได้เห็นและฟังพระองค์เพียงครั้งแรก

พระเยซูเจ้านี่แหละที่เป็นคำสัญญาที่ท่านโมเสสได้ให้ไว้ ในบทอ่านแรกจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า….เราจะบันดาลให้ประกาศกคนหนึ่งเหมือนท่านเกิดขึ้นจากบรรดาพี่น้องของเขา เราจะใส่ถ้อยคำของเราไว้ในปากของเขา…” แท้จริงพระเยซูเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าบรรดาประกาศกทั้งหลาย ทรงใหญ่กว่าโมเสสอีกด้วย เพราะแม้แต่โมเสสยังกล่าวขึ้นต้นเสมอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า…” แต่สำหรับพระเยซูเจ้าแล้วมักตรัสว่า “แท้จริง แท้จริง เรากล่าวแก่ท่านว่า…”

ส่วนพระภารกิจที่ทรงกระทำในศาลาธรรมนี้คือ การขับไล่ปีศาจให้ออกจากชายคนที่มันสิงอยู่ นี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างความดีกับความชั่ว อำนาจของพระเจ้ากับของปีศาจ เพราะพระเยซูเจ้าทรงประกาศว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว การขับไล่ปีศาจออกไปเป็นการเสริมอำนาจที่พระเยซูเจ้าทรงมีอย่างเต็มบริบูรณ์ในพระองค์แต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง ปีศาจก็ดูเหมือนจะรับรู้อำนาจของพระองค์ เพราะมันร้องตะโกนออกมาว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม…” ที่ปีศาจกล่าวชื่อ เยซู ชาวนาซาเร็ธ ออกมาชัดเจน เป็นเกมประลองอำนาจกัน เพราะการเรียกชื่อแฝงไว้ถึงความหมายว่าผู้เรียกโดยรู้จักชื่อหรือตั้งชื่อเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่พระเยซูเจ้าทรงดุมัน และสั่งว่า “จงเงียบ และออกไปจากผู้นี้” นี่เป็นคำสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจจริงๆ ในสายตาของประชาชน และในความเป็นจริง

แม้เวลาผ่านมา 2000 กว่าปีจนปัจจุบัน ความพิเศษในองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงอำนาจในคำสั่งสอนและกิจการก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่า เราตระหนักหรือเปล่าว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ที่ทรงอำนาจ เป็นอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่สามารถขับไล่ปีศาจร้ายในตัวของเราให้ออกไปได้

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อาทิตย์ที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2012
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by : John Rose)

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B

“คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ”

พระเยซูเจ้าทรงเริ่มภารกิจที่สำคัญของพระองค์ คือ การเทศน์สอนและประกาศข่าวดี เหตุการณ์ในพระวรสารตอนนี้ นักบุญมาระโก บันทึกไว้ว่า ณ เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงเริ่มสั่งสอน ปรากฏว่าประสบความสำเร็จงดงาม ผู้ฟังรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากในคำสั่งสอนของพระองค์ ด้วยเหตุผลสองประการ

ประการหนึ่ง ทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ น่าเสียดายที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในรายละเอียดว่าวันนั้นสอนอะไร ซึ่งที่จริงแล้วก็คงไม่มีใครสามารถบันทึกทุกอย่างที่พระองค์ตรัสสอนไว้ได้ครบถ้วน นักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า “พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้” (ยน.20:30-31) ซึ่งหมายความว่า บรรดาหนังสือของโลกนี้ก็ไม่สามารถบรรจุคำสอนของพระองค์ไว้ได้หมด แต่พอทราบได้ค่อนข้างแน่ชัดว่าเป็นคำสอนที่มีพลัง มีชีวิตชีวา น่าทึ่ง น่าค้นหา และชวนศรัทธา

ประการที่สอง ทรงสอนไม่เหมือนธรรมาจารย์อื่นๆ ต้องมีความเป็นพิเศษในองค์พระเยซูเจ้า ที่ไม่ทรงเหมือนใคร คำสอนของพระองค์ก็ไม่เป็นไปตามวิธีการสอนแบบเดิมๆ ของพวกเขา การตีความพระคัมภีร์ของพระองค์มีความแตกต่างจากผู้อื่น และได้เผยแสดงให้เห็นคุณลักษณะของพระเจ้าได้ละเอียด ลึกซึ้งและชัดเจนกว่าผู้อื่น เพราะพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า

พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงทำให้ผู้คนแปลกใจเท่านั้น ยังทำให้ปีศาจแตกตื่นใจด้วย จนมันทนไม่ไหวร้องตะโกนออกมาจากชายคนหนึ่งที่มันสิงอยู่ว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

ในที่นี้นักบุญมาระโกต้องการชี้ให้เห็นว่า งานแรกแห่งภารกิจการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าเป็นการเผชิญหน้ากันของมหาอำนาจจาก 2 ขั้ว (two super powers) นั่นคืออำนาจของพระเจ้า กับ อำนาจของความมืด แน่นอนปีศาจไม่เห็นด้วยกับภารกิจของพระเยซูเจ้า ปีศาจไม่อยากให้พระองค์มายุ่งเกี่ยวด้วย ปีศาจเน้นคำว่า เยซู ชาวนาซาเร็ธ เพราะตอนแรกๆ ผู้คนพากันเชื่อพระเยซูเจ้า แต่ต่อๆ มาจะหาเหตุจับผิดพระองค์ พวกธรรมจารย์จะค้นพระคัมภีร์และบอกว่า จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธ (คือ พระเมสสิยาห์ ไม่ได้มาจากนาซาเร็ธ แน่ๆ) และปีศาจยังเน้นว่า เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า การที่มีความรู้ แต่ปราศจากความเชื่อในพระองค์ ไม่มีประโยชน์อันใด อันที่จริงการพูดว่า “ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์” มีนัยว่า อย่ามายุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะชาวยิวชอบแยกแยะความเป็นมลทินกับไม่เป็นมลทิน คนที่บริสุทธ์หรือสะอาดย่อมไม่แตะต้องคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เป็นมลทิน ดังนั้น ถ้าพระเยซูเจ้าทรงก้าวข้ามขอบเขตที่ชาวยิวตั้งขึ้นมาอย่างมีรากฐานแน่นหนา ก็เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มาจากพระเจ้าจริง นี่เป็นปีศาจที่ต้องการยุประชาชนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า

แต่พระเยซูเจ้าไม่ทรงสนใจคำของผี(สิง) ทรงก้าวข้ามการแบ่งขอบเขตที่มนุษย์ตั้งขึ้น ทรงขับไล่ผีที่สิงคนอยู่ให้ออกไปด้วยอำนาจที่เหนือกว่ามัน ทรงเห็นว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคนและแต่ละคนนั้นสำคัญกว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา เพราะกฎเกณฑ์เหล่านั้นก่อให้เกิดข้อจำกัดที่กีดกันมนุษย์ออกไปจากความรักของพระองค์มากกว่า นี่คือคำสอนที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก

ขอให้อำนาจแห่งความรักของพระองค์ครอบครองจิตใจของเราทั้งหลายเทอญ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R. )

ซิสเตอร์คณะธิดานักบุญเปาโล ในไทย

ซิสเตอร์คณะธิดานักบุญเปาโล ในไทย

เนื่องจากที่สำนักงานสภาประมุขบาทหลวงฯ  ที่ ซอยนนทรี  14 กรุงเทพ มี  ซิสเตอร์มารีอา  วิมลรัตน์  ศรีธรักษา  คณะพระหฤทัยพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพ  และซิสเตอร์ คอร่า  ดามาลิโอ  คณะธิดานักบุญเปาโล ร่วมงานกัน  แต่ซิสเตอร์คอร่า    ทำงานในเมืองไทย  ประมาณ 20 ปี โดยทำงานที่สื่อมวลชนคาทอลิกฯ และที่สำนักงานสภาฯ   ในที่สุด ผู้ใหญ่ของคณะขอให้ซิสเตอร์เปลี่ยนงาน   จึงส่ง  ซิสเตอร์ อาทิตยา  จามู   ลูกวัดนักบุญยอแซฟ เขตวัดแม่พระแห่งลูกประคำ อำเภอขุนยวม สังฆมณฑลเชียงใหม่  มาแทน  ซิสเตอร์ คอร่า  ตั้งแต่  มกราคม  2021                                                                                                                                                          

คุณพ่อ  ยาโกเบ  อัลเบริโอเน  เป็นผู้สถาปนา คณะธิดานักบุญเปาโล  ที่เมืองอัลบา ประเทศอิตลี  เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2458 (ค.ศ. 1915)  ได้มาเริ่มภารกิจในประเทศไทย  ตามคำเชิญของพระคุณเจ้ายอด  พิมพิสาร  ประธานสภาในสมัยนั้น  และซิสเตอร์กลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงประเทศไทย  เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2537  (1994) สมาชิกทั่วโลกประมาณ 2700 คน จาก ประมาณ 50 ประเทศ 

ภารกิจของ คณะ Daughters of Saint Paul  คือ ประกาศพระวาจาแก่มวลมนุษย์ …โดยผ่านทางสื่อสารมวลชน   จึงผลิตวีดีทัศน์ หนังสือพระคัมภีร์ ฯลฯ และมีร้านจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า   แต่ประเทศไทย มีที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์  ล่าสุดได้แปลและพิมพ์ หนังสือ “ซุปเปอร์ฮืโร่” เพื่อสงเสริมเด็กและเยาวชนให้รู้จัก พระเยซูเจ้า

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน