Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B

เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ

กษัตริย์แห่งซีเรีย พระนามว่า อันติโอคุส เอปิฟาเนส ทรงอยากครอบครองดินแดนอียิปต์ พระองค์ทรงรวบรวมกองทัพและยกไปรุกรานในปี 168 ก่อนคริสตศักราช แต่ในขณะนั้นจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจอยู่ และได้หยามกษัตริย์แห่งซีเรียด้วยการออกคำสั่งให้ยกทัพกลับบ้านไป โดยการสั่งการเช่นนี้ กรุงโรมไม่ได้ส่งกองทัพมาขู่ด้วย เพราะผู้เรืองอำนาจในขณะนั้นไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น พวกเขาเพียงแต่ส่งสมาชิกสภาที่ชื่อว่า โปปิลิอุส เลนา มากับคณะเล็กๆ ที่ไม่ติดอาวุธ โปปิลิอุส กับกษัตริย์อันติโอคุส มาพบกันที่เขตแดนประเทศอียิปต์ ทั้งสองสนทนากัน ต่างรู้จักโรมดี และมีความเป็นมิตรต่อกัน ก่อนจากกัน โปปิลิอุสได้บอกกับอันติโอคุสอย่างอ่อนโยนว่า ทางโรมไม่ต้องการให้เดินทัพเข้าไปในประเทศอียิปต์ แต่ต้องการให้ยกทัพกลับบ้าน อันติโอคุสบอกว่าจะขอพิจารณาดูก่อน แต่โปปิลิอุสเรียกคนของเขามาล้อมรอบอันติโอคุสแล้วกล่าวว่า “จงพิจารณาเดี๋ยวนี้ ให้ตอบเรามาว่าท่านตัดสินใจอย่างไรก่อนออกไปจากวงล้อมของเรา” อันติโอคุสใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อย และตระหนักว่าการจะขัดแย้งต่อโรมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงตอบว่า “เราจะกลับบ้าน” แม้ว่าจะรู้สึกว่าถูกหยามพระเกียรติอย่างยิ่งในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องถือว่านี่เป็นการแสดงออกถึงคำสั่งที่ทรงอำนาจของซีซาร์แห่งจักรวรรดิโรมัน

ในวันนี้บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโกเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปในศาลาธรรมแห่งเมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งเป็นเมืองของสานุศิษย์ 4 คนแรกของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเริ่มสอน ผู้คนรู้สึกประทับใจมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับของบรรดาธรรมาจารย์

พระเยซูเจ้าทรงมีเอกลักษณ์ประจำพระองค์เป็นพิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ทั้งพระวาจาที่ตรัส และภารกิจที่ทรงกระทำ แตกต่างไปจากอาจารย์ท่านอื่นๆ และผู้คนที่ศาลาธรรมได้สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความโดดเด่นของพระองค์ ตั้งแต่ได้เห็นและฟังพระองค์เพียงครั้งแรก

พระเยซูเจ้านี่แหละที่เป็นคำสัญญาที่ท่านโมเสสได้ให้ไว้ ในบทอ่านแรกจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า….เราจะบันดาลให้ประกาศกคนหนึ่งเหมือนท่านเกิดขึ้นจากบรรดาพี่น้องของเขา เราจะใส่ถ้อยคำของเราไว้ในปากของเขา…” แท้จริงพระเยซูเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าบรรดาประกาศกทั้งหลาย ทรงใหญ่กว่าโมเสสอีกด้วย เพราะแม้แต่โมเสสยังกล่าวขึ้นต้นเสมอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า…” แต่สำหรับพระเยซูเจ้าแล้วมักตรัสว่า “แท้จริง แท้จริง เรากล่าวแก่ท่านว่า…”

ส่วนพระภารกิจที่ทรงกระทำในศาลาธรรมนี้คือ การขับไล่ปีศาจให้ออกจากชายคนที่มันสิงอยู่ นี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างความดีกับความชั่ว อำนาจของพระเจ้ากับของปีศาจ เพราะพระเยซูเจ้าทรงประกาศว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว การขับไล่ปีศาจออกไปเป็นการเสริมอำนาจที่พระเยซูเจ้าทรงมีอย่างเต็มบริบูรณ์ในพระองค์แต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง ปีศาจก็ดูเหมือนจะรับรู้อำนาจของพระองค์ เพราะมันร้องตะโกนออกมาว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม…” ที่ปีศาจกล่าวชื่อ เยซู ชาวนาซาเร็ธ ออกมาชัดเจน เป็นเกมประลองอำนาจกัน เพราะการเรียกชื่อแฝงไว้ถึงความหมายว่าผู้เรียกโดยรู้จักชื่อหรือตั้งชื่อเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่พระเยซูเจ้าทรงดุมัน และสั่งว่า “จงเงียบ และออกไปจากผู้นี้” นี่เป็นคำสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจจริงๆ ในสายตาของประชาชน และในความเป็นจริง

แม้เวลาผ่านมา 2000 กว่าปีจนปัจจุบัน ความพิเศษในองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงอำนาจในคำสั่งสอนและกิจการก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่า เราตระหนักหรือเปล่าว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ที่ทรงอำนาจ เป็นอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่สามารถขับไล่ปีศาจร้ายในตัวของเราให้ออกไปได้

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อาทิตย์ที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2012
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by : John Rose)

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B

“คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ”

พระเยซูเจ้าทรงเริ่มภารกิจที่สำคัญของพระองค์ คือ การเทศน์สอนและประกาศข่าวดี เหตุการณ์ในพระวรสารตอนนี้ นักบุญมาระโก บันทึกไว้ว่า ณ เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงเริ่มสั่งสอน ปรากฏว่าประสบความสำเร็จงดงาม ผู้ฟังรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากในคำสั่งสอนของพระองค์ ด้วยเหตุผลสองประการ

ประการหนึ่ง ทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ น่าเสียดายที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในรายละเอียดว่าวันนั้นสอนอะไร ซึ่งที่จริงแล้วก็คงไม่มีใครสามารถบันทึกทุกอย่างที่พระองค์ตรัสสอนไว้ได้ครบถ้วน นักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า “พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้” (ยน.20:30-31) ซึ่งหมายความว่า บรรดาหนังสือของโลกนี้ก็ไม่สามารถบรรจุคำสอนของพระองค์ไว้ได้หมด แต่พอทราบได้ค่อนข้างแน่ชัดว่าเป็นคำสอนที่มีพลัง มีชีวิตชีวา น่าทึ่ง น่าค้นหา และชวนศรัทธา

ประการที่สอง ทรงสอนไม่เหมือนธรรมาจารย์อื่นๆ ต้องมีความเป็นพิเศษในองค์พระเยซูเจ้า ที่ไม่ทรงเหมือนใคร คำสอนของพระองค์ก็ไม่เป็นไปตามวิธีการสอนแบบเดิมๆ ของพวกเขา การตีความพระคัมภีร์ของพระองค์มีความแตกต่างจากผู้อื่น และได้เผยแสดงให้เห็นคุณลักษณะของพระเจ้าได้ละเอียด ลึกซึ้งและชัดเจนกว่าผู้อื่น เพราะพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า

พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงทำให้ผู้คนแปลกใจเท่านั้น ยังทำให้ปีศาจแตกตื่นใจด้วย จนมันทนไม่ไหวร้องตะโกนออกมาจากชายคนหนึ่งที่มันสิงอยู่ว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

ในที่นี้นักบุญมาระโกต้องการชี้ให้เห็นว่า งานแรกแห่งภารกิจการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าเป็นการเผชิญหน้ากันของมหาอำนาจจาก 2 ขั้ว (two super powers) นั่นคืออำนาจของพระเจ้า กับ อำนาจของความมืด แน่นอนปีศาจไม่เห็นด้วยกับภารกิจของพระเยซูเจ้า ปีศาจไม่อยากให้พระองค์มายุ่งเกี่ยวด้วย ปีศาจเน้นคำว่า เยซู ชาวนาซาเร็ธ เพราะตอนแรกๆ ผู้คนพากันเชื่อพระเยซูเจ้า แต่ต่อๆ มาจะหาเหตุจับผิดพระองค์ พวกธรรมจารย์จะค้นพระคัมภีร์และบอกว่า จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธ (คือ พระเมสสิยาห์ ไม่ได้มาจากนาซาเร็ธ แน่ๆ) และปีศาจยังเน้นว่า เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า การที่มีความรู้ แต่ปราศจากความเชื่อในพระองค์ ไม่มีประโยชน์อันใด อันที่จริงการพูดว่า “ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์” มีนัยว่า อย่ามายุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะชาวยิวชอบแยกแยะความเป็นมลทินกับไม่เป็นมลทิน คนที่บริสุทธ์หรือสะอาดย่อมไม่แตะต้องคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เป็นมลทิน ดังนั้น ถ้าพระเยซูเจ้าทรงก้าวข้ามขอบเขตที่ชาวยิวตั้งขึ้นมาอย่างมีรากฐานแน่นหนา ก็เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มาจากพระเจ้าจริง นี่เป็นปีศาจที่ต้องการยุประชาชนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า

แต่พระเยซูเจ้าไม่ทรงสนใจคำของผี(สิง) ทรงก้าวข้ามการแบ่งขอบเขตที่มนุษย์ตั้งขึ้น ทรงขับไล่ผีที่สิงคนอยู่ให้ออกไปด้วยอำนาจที่เหนือกว่ามัน ทรงเห็นว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคนและแต่ละคนนั้นสำคัญกว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา เพราะกฎเกณฑ์เหล่านั้นก่อให้เกิดข้อจำกัดที่กีดกันมนุษย์ออกไปจากความรักของพระองค์มากกว่า นี่คือคำสอนที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก

ขอให้อำนาจแห่งความรักของพระองค์ครอบครองจิตใจของเราทั้งหลายเทอญ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R. )