สาส์นวันผู้ป่วยสากล โอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29
( 11 กุมภาพันธ์ 2021 )
โดยพระสังฆราชยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม

สาส์นวันผู้ป่วยสากล โอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29
( 11 กุมภาพันธ์ 2021 )
โดยพระสังฆราชยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม

พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า

องค์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงมอบสาส์นโอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29 ให้แก่เราคริสตชนเพื่อให้เราตระหนักถึง ความสําคัญของวันผู้ป่วยสากล ในหัวข้อ

“อาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน” (มธ. 23:8)

ความสัมพันธ์บนพื้นฐานความไว้วางใจเพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย ในห้วงเวลาของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทําให้เราทุกคนต้องอยู่ห่างกัน เพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสนี้ แต่ความห่างไกลกันทางกายภาพ มิได้ทําให้เราทุกคนอยู่ห่างไกลกันในชีวิตฝ่ายจิต
ในโอกาสนี้พ่อจึงขอเชิญชวนพี่น้องคริสตชนทุกคนได้ร่วมกันพิจารณาสาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นพิเศษ เพื่อเราจะได้ร่วมฉลองวันผู้ป่วยสากลอย่างมีความหมาย โดยใช้แนวทางที่องค์สมเด็จพระสันตะปาปาได้ทรงมอบให้กับเรา ในเรื่องความสัมพันธ์บนพื้นฐานความไว้วางใจ เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยมาใช้ในการปฏิบัติตนเองในห้วงเวลาของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ด้วย

องค์สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแนะนําเราให้หยุดรับฟัง สร้างความสัมพันธ์โดยตรงและเป็นส่วนตัวกับบุคคลผู้เจ็บป่วย ทนทุกข์ทรมานและเปราะบางที่สุดในสังคม ให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจและมีความรักเมตตา เพราะการที่เราอยู่ใกล้ชิดกันในความสัมพันธ์นี้ เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเยซูคริสตเจ้า ถึงแม้สภาพของการแพร่กระจายของไวรัสโควิด – 19 จะทําให้เรา ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม แต่เราก็สามารถอยู่ใกล้ชิดกันได้ทางคําภาวนาและการให้กําลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งแสดงออกว่า “ทุกคนเป็นพี่น้องกัน”

เพื่อให้การฉลองวันผู้ป่วยสากลในปีนี้ดําเนินไปอย่างมีความหมาย พ่อขอให้ทุกคนระลึกถึงในคําภาวนาเป็นพิเศษสําหรับ ผู้ป่วยด้วยไวรัสโควิด-19 ผู้ที่กําลังดูแลรักษาพวกเขา และผู้ที่กําลังทําหน้าที่เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้ และหากที่ใดที่สามารถประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณโอกาสฉลองวันผู้ป่วยสากลได้ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ไวรัสโควิด-19 ตามที่ภาครัฐและแต่ละสังฆมณฑลได้กําหนดไว้ และในพิธีบูชาขอบพระคุณดังกล่าว หากเป็นไปได้ ควรมีการ โปรดศีลเจิมผู้ป่วยให้กับบรรดาผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ควรมีการเตรียมตัวเพื่อเข้าใจความหมายและประสิทธิผลของศีลเจิมผู้ป่วยอย่างดี และขอให้ทุกท่านได้ออกไปพบปะกับองค์พระคริสตเจ้าผู้ทรงประทับอยู่ในบรรดาพี่น้องผู้สูงอายุและเจ็บป่วย ซึ่งไม่สามารถที่จะมาที่วัดได้ ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงการเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักรที่มีพันธกิจการรับใช้ตามแบบอย่างขององค์พระคริสตเจ้า โดยรักษาระยะห่างทางสังคมตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

พ่อขอมีส่วนร่วมเป็นกําลังใจให้กับทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานในการรับใช้ผู้ป่วยไม่ว่าจะอยู่ในสถานพยาบาลของภาครัฐ ภาคเอกชนหรือผู้ที่เป็นอาสาสมัครในการเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน ขอให้ท่านแต่ละคนได้รับพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีแรงกาย และแรงใจในการรับใช้บรรดาเพื่อนพี่น้องผู้เจ็บป่วยต่อไป นอกนั้นพ่อขอส่งความปรารถนาดีให้กับพี่น้องที่เจ็บป่วยอยู่ในขณะนี้ ขอให้ทุกท่านทราบว่า พระศาสนจักรไม่เคยทอดทิ้งพวกท่านพร้อมเสมอที่จะอยู่เคียงข้างท่าน

ขอพระนางมารีย์องค์อุปถัมภ์ของผู้ป่วย ได้เสนอวิงวอนต่อพระเยซูคริสตเจ้าเพื่อทรงโปรดประทานพระพรอย่างอุดม มายังทุกท่านตลอดไป

(พระสังฆราชยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม)
ผู้รับผิดชอบ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนาสังคม
แผนกสุขภาพอนามัย

สาส์นองค์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
โอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29
(11 กุมภาพันธ์ 2021)

สาส์นองค์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29 (11 กุมภาพันธ์ 2021)

“อาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน” (มธ. 23:8) ความสัมพันธ์บนพื้นฐานความไว้วางใจเพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย

บรรดาพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย
การเฉลิมฉลองวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 29 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2021 ซึ่งตรงกับวันระลึกถึงแม่พระประจักษ์ที่เมืองลูร์ด เป็นโอกาสที่ทําให้เรามุ่งความสนใจเป็นพิเศษสําหรับบรรดาผู้เจ็บป่วย และผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลพวกเขาทั้งในรูปแบบสถาบันสุขภาพอนามัยภายในครอบครัวและภายในชุมชน เราคิดคํานึงถึงเป็นพิเศษสําหรับผู้ที่ได้ทนทุกข์ทรมาน และยังคงทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องจากผลของการแพร่กระจายไปทั่วโลก ของการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า พ่อขอให้พวกลูกทุกคนและโดยเฉพาะบรรดาคนยากจนและบุคคลชายขอบของสังคม ได้ทราบว่าพ่ออยู่ใกล้ชิดพวกลูกและอยากให้พวกลูกมั่นใจว่าพระศาสนจักรคํานึงถึงพวกลูก ด้วยความรักอยู่เสมอ

1.สําหรับหัวข้อของวันผู้ป่วยสากลปีนี้มาจากข้อความในพระวรสาร ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระเยซูเจ้าทรง ตําหนิความหน้าชื่อใจคดของพวกที่ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาได้เทศน์สอน (อ้างอิง มธ. 23:1-12) เมื่อความเชื่อ ศรัทธาของเราถูกทําให้ลดลงเป็นเพียงคําพูดที่ว่างเปล่า ที่ไม่คํานึงถึงชีวิตและความต้องการของบุคคลอื่น บทยืนยันความเชื่อที่เราประกาศออกมานั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่สอดคล้องกับชีวิตที่เรา ดําเนินอยู่จริง ความเสี่ยงนั้น ร้ายแรงจริงๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พระเยซูใช้ภาษาที่หนักเกี่ยวกับภยันตรายของการตกอยู่ในการหลงตนเอง พระองค์ทรงตรัสกับเราว่า “อาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน” (ข้อ 8)

การตําหนิของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับคนที่ “พูด แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ” (ข้อ 3) เป็นถ้อยคําที่ตรัสกับเราทุกคนเสมอ เพราะไม่มีพวกเราคนใดที่รอดพ้นจากความชั่วร้ายของความหน้าซื่อใจคดที่ขวางกั้นเราไม่ให้เจริญรุ่งเรืองในฐานะบุตรของพระบิดาองค์เดียว ที่ถูกเรียกมาเพื่อดํารงชีวิตอยู่ในความเป็นพี่น้องกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับเงื่อนไขความต้องการของพี่น้องชายหญิงของเรา พระเยซูเจ้าทรงเสนอรูปแบบพฤติกรรม ที่ตรงกันข้ามกับความหน้าซื่อใจคดอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงเสนอให้หยุดรับฟัง สร้างความสัมพันธ์โดยตรง และเป็นส่วนตัวกับอีกฝ่ายหนึ่ง ให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจและมีความรักเมตตาสําหรับเขาหรือเธอ และทําให้ตนเอง มีส่วนร่วมในความทุกข์ทรมานของเขาจนถึงจุดที่ต้องรับผิดชอบในการให้การช่วยเหลือบริการ (เทียบ ลก. 10:30 – 35)

2. ประสบการณ์ของความเจ็บป่วย ทําให้เรารู้สึกถึงความเปราะบางของเราและในขณะเดียวกัน ความต้องการโดยธรรมชาติของอีกฝ่ายหนึ่ง เงื่อนไขของการเป็นสิ่งสร้างจะชัดเจนยิ่งขึ้นและเราจะสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าเราต้องพึ่งพาองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่จริงแล้วเมื่อเราเจ็บป่วย ความไม่แน่นอน ความกลัว บางครั้งการรู้สึก ถอดใจก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งความคิดและจิตใจ เราจะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไร้ความสามารถ เพราะสุขภาพ ของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา หรือ “ความกังวล” ของเรา (เทียบ มธ 6:27)

ความเจ็บป่วยก่อให้เกิดคําถามเกี่ยวกับความหมาย ซึ่งในความเชื่อมุ่งหันไปหาพระเจ้า เป็นคําถามที่แสวงหาความหมายใหม่และแนวทางใหม่ในการดํารงชีวิตอยู่ ซึ่งในบางครั้งอาจจะไม่พบคําตอบในทันที เพื่อนๆ และญาติพี่น้องของตนก็ไม่สามารถช่วยเราในการค้นหาคําตอบที่ยากลําบากนี้ได้เสมอไป

ในเรื่องนี้ เรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับมหาบุรุษโยบแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้ ภรรยาและเพื่อนๆ ของโยบไม่สามารถอยู่ร่วมกับโยบได้ในความโชคร้ายของเขา ในทางตรงกันข้าม พวกเขากล่าวโทษโยบ ซึ่งส่งผลให้โยบเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและสับสนในตัวเอง โยบตกอยู่ในสภาพของการถูกทอดทิ้งและความเข้าใจผิด แต่ด้วยความเปราะบางอย่างยิ่งนี้ โยบปฏิเสธความหน้าชื่อใจคดทั้งสิ้นและเลือกเส้นทางแห่งความสัตย์ซื่อจริงใจต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อผู้อื่น เขาส่งเสียงร้องอย่างแน่วแน่ไปถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งทรงตอบต่อ โยบในท้ายที่สุด เปิดขอบฟ้าใหม่ให้กับเขา เป็นการยืนยันว่าความทุกข์ทรมานของเขาไม่ใช่การลงโทษ หรือการอยู่ในสถานะแยกจากพระเจ้า มันไม่ได้เป็นสถานะของการอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าหรือเป็นสัญญาณของความเฉยเมยของพระองค์ ดังนั้นจากหัวใจที่ได้รับบาดเจ็บและได้รับการรักษาให้หายของโยบ ทําให้โยบกล่าวออกมาอย่างมีชีวิตชีวาและจับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า: “ข้าพเจ้าเคยรู้จักพระองค์เพียงจากคําพูดของผู้อื่น แต่บัดนี้ดวงตาของข้าพเจ้าแลเห็นพระองค์” (โยบ 42.5)

3. ความเจ็บป่วยมีภาพใบหน้าเสมอ ไม่ใช่แค่เพียงใบหน้าเดียว แต่มีใบหน้าของผู้ป่วยทุกคนทั้งชายและหญิง แม้แต่คนที่รู้สึกว่าถูกเพิกเฉย ถูกกีดกัน เหยื่อของความอยุติธรรมทางสังคมที่ปฏิเสธสิทธิอันจําเป็นของพวกเขา (เทียบ สมณสาส์น ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ข้อ 22) การระบาดใหญ่ในปัจจุบันทําให้เราเห็นระบบ การดูแลสุขภาพที่ไม่เพียงพอและข้อบกพร่องหลายประการในการช่วยเหลือบรรดาผู้เจ็บป่วย บรรดาผู้สูงอายุ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดและผู้เปราะบางทางสังคมไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเข้าถึงการดูแลรักษา และการเข้าถึง
การรักษาก็ไม่เท่าเทียมกันเสมอไป สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกในทางการเมือง ในวิธีการบริหารทรัพยากรและ ความมุ่งมั่นของผู้ดํารงตําแหน่งที่รับผิดชอบ การลงทุนทรัพยากรในการดูแลและช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ถือเป็นสิ่งสําคัญที่เชื่อมโยงกับหลักการที่ว่าสุขภาพเป็นผลดีร่วมที่เป็นพื้นฐานหลัก ในขณะเดียวกัน การแพร่ระบาด ของโรคนี้ยังเน้นย้ำถึงความทุ่มเทและความเอื้ออาทรของบุคลากรด้านสุขภาพอนามัย อาสาสมัคร บุคลากร ฝ่ายสนับสนุน พระสงฆ์ นักบวชชายและหญิง ผู้ซึ่งด้วยความเป็นมืออาชีพ เสียสละตนเอง สํานึกรับผิดชอบและ รักเพื่อนมนุษย์ ได้ช่วยเหลือ ดูแล ปลอบโยนและให้บริการผู้ป่วยจํานวนมากและครอบครัวของพวกเขาด้วย กลุ่มบุคคลทั้งชายและหญิงที่ทํางานอย่างเงียบๆ ผู้ซึ่งเลือกที่จะเฝ้าดูใบหน้าเหล่านั้น ดูแลบาดแผลของผู้ป่วย ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ในคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมนุษยชาติ

โดยแท้จริงแล้ว ความใกล้ชิดเปรียบเสมือนยารักษาแผลที่มีคุณค่า ซึ่งให้การสนับสนุนและการปลอบโยน แก่ผู้ทุกข์ทรมานในความเจ็บป่วย ในฐานะคริสตชน เราอยู่ใกล้ชิดกันเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเยซูคริสตเจ้า ชาวสะมาเรียผู้ใจดี ผู้ทรงพระเมตตากรุณา ทรงอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ทุกคน ที่ได้รับบาดแผลจากบาป ร่วมกับพระองค์ผ่านบทบาทของพระจิตเจ้า เราได้รับเรียกให้มีความรัก เมตตาเฉกเช่นพระบิดาเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้รักบรรดาพี่น้องผู้เจ็บป่วย อ่อนแอและทุกข์ทรมาน (เทียบ ยน 13:34-35) และเรา ดําเนินชีวิตด้วยความใกล้ชิดนี้ในรูปแบบหมู่คณะเช่นเดียวกับที่เป็นส่วนตัว อันที่จริงความรักฉันพี่น้องในองค์พระคริสตเจ้าก่อให้เกิดชุมชนที่สามารถรักษาได้ ซึ่งไม่ทอดทิ้งผู้ใด ซึ่งนับรวมถึงผู้ที่เปราะบางที่สุดและ ยอมรับเขาด้วยในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะระลึกถึงความสําคัญของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในภราดรภาพ ซึ่งแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในการบริการรับใช้และสามารถใช้รูปแบบที่แตกต่างกันมาก โดยทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ “การบริการรับใช้หมายถึง การดูแลผู้ที่เปราะบางในครอบครัวของเรา ในสังคมของเรา ในประชากรของเรา” (บทเทศน์ที่ Havana คิวบา, 20 กันยายน ค.ศ.2015) ในคํามั่นสัญญานี้ ทุกคนสามารถละทิ้งความต้องการและความคาดหวังของตน ความปรารถนาที่จะมีอํานาจทุกอย่างต่อการมองเห็น ผู้ที่เปราะบางที่สุดอย่างเป็นรูปธรรม […] การบริการรับใช้มักจะมองไปที่ใบหน้าของพี่น้อง สัมผัสเนื้อหนังของเขา รู้สึกถึงการอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งที่ทําให้เขา “ทุกข์ทรมาน” และแสวงหาการสนับสนุนการเป็นพี่น้องกัน ด้วยเหตุนี้การบริการรับใช้จึงไม่เป็นเรื่องอุดมคติ ไม่ใช่การรับใช้ความคิด แต่เป็นการรับใช้บุคคล” (อ้างเรื่องเดียวกัน)

4. เพื่อให้มีการบําบัดรักษาที่ดี ท่าที่เชิงความสัมพันธ์จึงมีความสําคัญ ซึ่งสามารถมีแนวทางแบบองค์รวม สําหรับผู้ป่วยได้ การเน้นในด้านนี้ยังช่วยให้แพทย์ พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญและอาสาสมัครสามารถดูแลผู้ที่ต้อง ทนทุกข์ทรมาน เพื่อร่วมเดินทางไปกับพวกเขาในเส้นทางการรักษาด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ไว้วางใจ (เทียบ ธรรมนูญใหม่ของผู้ทํางานด้านการดูแลสุขภาพอนามัย (2016), ข้อ 4) ดังนั้นนี่จึงเป็นการคิดเกี่ยวกับการสร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ที่ต้องการการดูแลและผู้ที่ดูแลพวกเขา ข้อตกลงที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน ของความจริงใจ ของความพร้อมให้การช่วยเหลือ ดังนั้นเพื่อที่จะเอาชนะทุกอุปสรรคขัดขวางให้วางศักดิ์ศรีของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ปกป้องความเป็นมืออาชีพของบุคลากร

ด้านการดูแลสุขภาพอนามัยและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของผู้ป่วย ความสัมพันธ์กับผู้ป่วยเช่นนี้พบแหล่งที่มาของแรงจูงใจและความเข้มแข็งในความรักของพระคริสตเยซูอย่างไม่สิ้นสุด ดังที่เห็นได้จากประจักษ์พยานนับพันปีของชายและหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศตนในการรับใช้ผู้ป่วยในความเป็นจริง จากรหัสธรรมเรื่องการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า ทําให้เกิดความรักที่สามารถให้ความหมายได้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งจากสภาพของผู้ป่วยและของผู้ที่ดูแลรักษาเขา พระวรสาร เป็นพยานถึงเรื่องนี้หลายครั้ง โดยแสดงให้เห็นว่าการรักษาของพระเยซูเจ้า ไม่เคยใช้ท่าทางที่เป็นเวทมนตร์ใดๆ แต่เป็นผลจากการพบหน้ากันเสมอ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งของขวัญของพระเจ้าได้รับการตอบสนอง ในความเชื่อแก่ผู้ที่ยอมรับมัน เหมือนกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสอยู่เสมอว่า “ความเชื่อของท่าน ช่วยท่าน ให้รอด”

5.พี่น้องที่รัก พระบัญญัติแห่งความรักซึ่งพระเยซูเจ้าได้ทรงมอบให้เหล่าสาวกของพระองค์ พบความสมบูรณ์ ที่เป็นรูปธรรม แม้กระทั่งในความสัมพันธ์กับผู้ป่วยด้วย สังคมที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้วิธีดูแลรักษาสมาชิกที่เปราะบางและทุกข์ทรมานของตนมากขึ้นเท่านั้น และรู้วิธีที่จะทําอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความรักฉันพี่น้อง เรามุ่งเป้าไปที่เป้าหมายนี้และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้สึกว่าถูกกีดกันและถูกทอดทิ้ง

พ่อขอมอบบรรดาผู้เจ็บป่วย บุคลากรด้านสุขภาพอนามัยและผู้ที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ทนทุกข์ทรมานไว้กับพระนางมารีย์ พระมารดาแห่งความเมตตากรุณาและองค์อุปถัมภ์ผู้ป่วย จากถ้ำแม่พระเมืองลูร์ดและสักการสถานนับไม่ถ้วนทั่วโลกของพระนาง ขอให้พระนางค้ำจุนรักษาความเชื่อศรัทธาและ ความหวังของเรา และช่วยให้เราดูแลกันและกันด้วยความรักฉันพี่น้อง พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าขออํานวยพรศักดิ์สิทธิ์ มายังพวกท่านทุกคนด้วย

โรม, มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน 20 ธันวาคม 2020
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส
(แปลโดย คณะนักบวชคามิลเลียนประเทศไทย)

วันที่ 21 มกราคม
ระลึกถึง นักบุญอักแนส พรหมจารีและมรณสักขี

วันที่ 21 มกราคม ระลึกถึง นักบุญอักแนส พรหมจารีและมรณสักขี

( St Agnes, Virgin & Martyr, memorial )

นักบุญอักแนส เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างสูงทั่วทั้งพระศาสนจักร ชื่อของท่านนักบุญปรากฏอยู่ใน “บทขอบพระคุณ” ในบูชามิสซา (The Canon of the Mass) เรารู้ความจริงแน่ๆ เกี่ยวกับชีวิตแสนสั้นของเธอน้อยมาก แต่จากความรู้น้อยนิดที่เกี่ยวกับเธอนั้น มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ เธอปรารถนาอย่างยิ่งจะถวายชีวิตของเธอแด่พระคริสตเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และได้ปฏิเสธอย่างสุภาพต่อชายหลายคนที่หมายปองในตัวเธอ นี่ทำให้เธอถูกจับไปอยู่ในสถานโสเภณี แต่ไม่มีใครได้สัมผัสเธอ เธอมักจะประกาศว่า “พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าบ่าวของดิฉัน พระองค์ทรงเป็นผู้เลือกดิฉันก่อน และฉันจะเป็นของพระองค์ผู้เดียว” ตามตำนานเล่าว่า เหตุการณ์นี้เกิดราวต้นศตวรรษที่ 4 โดยที่อักแนสเป็นคนที่ร่ำรวยและเป็นคนสวย แต่เธอปฏิเสธหนุ่มๆ ชาวโรมันทุกคน บางคนพยายามบังคับให้เธอแต่งงานด้วย มิฉะนั้นจะฟ้องว่าเธอเป็นคริสตชน เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการเบียดเบียนคริสตชนในสมัยของพระจักรพรรดิดิโอเคลเตียน (The Emperor Diocletian) ในเมื่อเธอไม่ยอม จึงถูกทรมานในหลายรูปแบบ แต่เธอก็ยังกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องผู้ที่เป็นของพระองค์” ที่สุด ผู้ปกครองโรมันได้ตัดสินประหารชีวิตเธอ ขณะนั้นเธอมีอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น เราไม่รู้ว่าเธอถูกประหารด้วยการตัดศีรษะหรือถูกแทงทะลุลำคอ อย่างไรก็ตาม นักบุญอักแนสได้หันคอให้กับเพชฌฆาตและยอมรับความตาย ร่างของเธอถูกฝังไว้บนพื้นที่ของครอบครัวเธอที่ถนนโนเมนตานา (Nomentana) ห่างจากกรุงโรมไปประมาณหนึ่งไมล์ครึ่ง มีการสร้างบาสิลิกาขึ้นเหนือหลุมศพของเธอในปี ค.ศ.324 และต่อมาพระสันตะปาปา Honorius ได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดในปี ค.ศ. 630 และยังคงตั้งอยู่เรื่อยมานับแต่บัดนั้น ถือเป็นเพชรเม็ดงามของสถาปัตยกรรมโรมันแบบเก่าเลยทีเดียว

จากความมีชื่อเสียงของเธออันเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างแพร่หลาย เล่าขานกันว่า เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินอยากจะให้พระธิดาของพระองค์ทรงรับศีลล้างบาป พระองค์ทรงโปรดให้ทำพิธีใกล้จุดที่ฝังร่างของนักบุญอักแนส
นักบุญอักแนสเป็นองค์อุปถัมภ์ของความบริสุทธิ์ ของเยาวสตรีโดยทั่วๆไป ตามธรรมประเพณีได้ยกย่องเธอเสมอว่าเป็นแบบอย่างของความบริสุทธิ์ ความถ่อมตน และการที่เธอสามารถรักษาความเชื่อของเธอ แม้ว่าจะถูกล่อลวงในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งถูกข่มขู่ และได้รับความทรมาน

ในทุกๆปี วันที่ 21 มกราคมนี้ที่เป็นวันระลึกถึงท่านจะมีการนำลูกแกะสีขาว 2 ตัว – สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ – นำมาอวยพรอย่างสง่าบนพระแท่นในวัดของนักบุญอักแนส และจะนำไปถวายพระสันตะปาปา และจากขนของพวกมัน ต่อมาจะนำไปทำ “ผ้าแถบคล้องคอ” (Pallium – a) ที่พระสันตะปาปาจะส่งให้พระอัครสังฆราชประจำอัครสังฆมณฑล (The Metropolitan) ทั่วโลก เพื่อสวมใส่ในพิธีกรรม อันเป็นสัญลักษณ์ถึงการมีส่วนร่วมของพวกเขากับพระองค์อย่างครบสมบูรณ์ในตำแหน่งหน้าที่พระสันตะปาปาของพระองค์ (“the plenitude of pontifical office”)

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ 1. Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe
2. A Calendar of Saints ; เขียนโดย James Bentley)

ข้อมูล “นักบุญยอแซฟ” ในสังฆมณฑลเชียงใหม่

ข้อมูล “นักบุญยอแซฟ” ในสังฆมณฑลเชียงใหม่

ในสังฆมณฑลของเรา มีบรรดาพระสงฆ์ที่มีนามนักบุญยอแซฟเป็นองค์อุปถัมภ์  9 คน คือ คุณพ่อดุรงค์ฤทธิ์  คุณพ่อณรงค์ชัย  คุณพ่อจตุพงษ์  คุณพ่อศราวุธ  คุณพ่อศตวรรษ  คุณพ่อศรชัย  คุณพ่อชูพงษ์  คุณพ่อประทีป  และ คุณพ่อไวยากรณ์

            วัด  2 เขตวัด คือ         

– วัดนักบุญยอแซฟกรรมกร  อ. แม่ริม  ( เขต 1 )

– วัดนักบุญยอแซฟ   อ.สะเมิง  ( เขต 3 )

            วัดสาขา  24 แห่ง คือ

  1. อาสนวิหาร มีวัดสาขานักบุญยอแซฟ  ดอยสะเก็ด
  2. วัดพระมหาไถ่ (ศูนย์ม้งคาทอลิก) 2 แห่ง คือ บ้านห้วยกว้าง และบ้านปง
  3. แม่ปอน  –  บ้านเมืองอาง
  4. ห้วยตอง –  บ้านห้วยข้าวลีบ  ตำบลแม่วิน
  5. อมก๋อย (2 แห่ง) –  บ้านแพะ    – บ้านห้วยน้ำผึ้ง  ต.สบโขง
  6. ขุนแปะ (2 แห่ง) –  บ้านส้มป่อย  ตำบลดอยแก้ว   –  บ้านผาขาว  ต.บ้านแปะ
  7. เชียงดาว –  บ้านแม่กอนใน  ตำบลทุ่งข้าวพวง
  8. สะเมิง  (5 แห่ง)
    –  บ้านสันป่าตุ๊  ตำบลบ่อแก้ว
    – บ้านขุนสานอก  ตำบลโป่งสา
    –  บ้านห้วยเฒ่า  ตำบลบ่อแก้ว
    – บ้านสนามกีฬา  ตำบลบ่อแก้ว
    –   บ้านห้วยเต่า  ตำบลบ่อแก้ว
  9. ฝาง –  บ้านบาหลา
  10. แม่โถ – บ้านแม่อุมพายเหนือ
  11. แม่สะเรียง – บ้านฮากไม้ใต้
  12. แม่เหาะ  (2 แห่ง)  – บ้านแม่ลิดน้อย –  บ้านดอกแดง
  13. แม่ลาน้อย ( 4 แห่ง ) – บ้านห้วยกองเป๊าะ –  บ้านแม่ลางิ้ว – บ้านแม่แป –  บ้านดูลอเปอ

โรงเรียนเซนต์โยเซฟ  แม่แจ่ม  และซิสเตอร์คณะนักบุญยอแซฟแห่งการประจักษ์  ตำบลช่างเคิ่ง  อำเภอแม่แจ่ม

            เด็กและเยาวชนสัตบุรุษที่มีนักบุญยอแซฟเป็นองค์อุปถัมภ์มีใครบ้าง  จำนวนเท่าไหร่ต้องขอคุณพ่อตอบกันเองนะครับ   ที่พ่อค้นคว้ามา เป็นข้อมูลเพื่อจัดกิจกรรมใน ปีนักบุญโยเซฟ

(ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  21/01/2021)

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 13 มกราคม 2021

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 13 มกราคม 2021

คำสอนเรื่องการสวดภาวนา – 21 การภาวนาสรรเสริญ

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

ขอให้พวกเราเรียนคำสอนกันต่อไปเรื่องการสวดภาวนา วันนี้พวกเราจะพูดกันถึงมิติแห่งการสรรเสริญ

พวกเราจะเริ่มต้นกันด้วยช่วงชีวิตอันน่าตื่นเต้นของพระเยซูคริสต์  หลังจากการทำอัศจรรย์แรกๆ และการมีส่วนร่วมของบรรดาศิษย์ในการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า พันธกิจของพระผู้ไถ่ต้องประสบกับวิกฤต ยอห์นบัปติสต์เกิดสงสัยและทำให้พระเยซูคริสต์ทราบถึงสารของท่านในขณะที่ท่านอยู่ในคุก “ท่านเป็นผู้ที่จะเสด็จมาหรือว่าเราต้องรอคอยอีกผู้หนึ่ง?” (มธ. 11: 3) เพราะยอห์น แบปตีสต์รู้สึกทนไม่ไหวที่ไม่ทราบว่าตนผิดหรือเปล่าที่ได้ทำการประกาศไปเช่นนั้น เพราะช่วงนั้นเป็นเวลาที่มืดมัว เป็นเวลาที่ฝันร้ายฝ่ายจิตของประชาชน และยอห์น แบปตีสต์ก็กำลังอยู่ในเวลาแห่งการฝันร้ายเช่นกัน มีความขัดแย้งกันในหมู่บ้านตามชายทะเลสาบที่พระเยซูคริสต์ทรงทำเครื่องหมายที่สำคัญหลายอย่าง (ดู มธ. 11: 20-24) เพราะเวลาที่ทุกคนต้องผิดหวังนี้มัทธิวจึงเล่าความจริง พระเยซูคริสต์ไม่ได้ยกพระเนตรขึ้นบ่นต่อพระบิดา แต่ทรงถวายบทเพลงแห่งการสรรเสริญ “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐาน “ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย” (มธ. 11: 25) ดังนั้นท่ามกลางวิกฤตท่ามกลางความมืดมนแห่งดวงวิญญาณของผู้คนจำนวนมากเช่นยอห์นบัปติสต์ พระเยซูคริสต์ทรงถวายการสรรเสริญต่อพระบิดา เพราะเหตุใด?

ประการแรก พระเยซูคริสต์สรรเสริญพระบิดาเพราะพระองค์ทรงเป็น “พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” พระเยซูคริสต์ทรงชื่นชมยินดีในพระบิดาเพราะทราบดี และรู้สึกว่าพระบิดาของพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก และเป็นพระเจ้าของทุกสิ่งที่มีอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ การสรรเสริญเกิดจากประสบการณ์ที่รู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็น “พระบุตรของพระผู้ที่มีอำนาจสูงสุด” พระเยซูคริสต์ทรงรับรู้อย่างดีดีว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด

พระเยซูคริสต์ทรงสรรเสริญพระบิดาเพราะทรงอยู่ข้างคนต่ำต้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์มีประสบการณ์ ทรงเทศนาตามหมู่บ้าน แก่ “บุคคลที่แก่เรียน” และ “ฉลาด” ทว่าพวกเขาเกิดสงสัยและปิดกั้นตนเอง พวกเขาพากันคิดไปต่างๆ นานาในขณะที่คนต่ำต้อยเปิดใจกว้างต้อนรับคำสอนของพระองค์ นี่สามารถเป็นไปได้ก็ด้วยพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น และพระเยซูคริสต์ก็ชื่นชมในประเด็นนี้ พวกเราทุกคนก็ต้องชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าเช่นเดียวกันเพราะคนที่สุภาพและเรียบง่ายให้การต้อนรับพระวรสาร  เมื่อพ่อมองเห็นคนเรียบง่าย คนที่สุภาพเหล่านี้พากันเดินทางต่อไป พวกเขาสวดภาวนา ขับร้องบทเพลง ถวายการสรรเสริญ  พวกเขาอาจเป็นผู้ที่ขาดหลายสิ่ง แต่ความสุภาพนำให้พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า… ในอนาคตของโลกและในความหวังของพระศาสนจักรจะมี “คนต่ำต้อย” คนที่ไม่ถือว่าตนดีกว่าผู้อื่น คนที่รับรู้อย่างดีถึงข้อจำกัดและบาปของตนเอง คนที่ไม่ต้องการที่จะเป็นเจ้านายเหนือหัวผู้อื่น ผู้ซึ่งในพระบิดาเจ้าทรงรับรู้ว่าพวกเราทุกคนล้วนเป็นพี่เป็นน้องกัน

เพราะฉะนั้นในยามที่ดูเหมือนจะเป็นความล้มเหลว ซึ่งทุกสิ่งมืดมนพระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานภาวนาสรรเสริญพระบิดา และการอธิษฐานของพระองค์ยังนำพวกเราผู้อ่านพระวรสารให้ไตร่ตรองพิจารณาถึงความล้มเหลวของพวกเราในรูปแบบที่แตกต่าง ที่จะตัดสินสถานการณ์ด้วยวิธีที่แตกต่าง ซึ่งพวกเรามองไม่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงการประทับอยู่ และการกระทำของพระเจ้า เมื่อดูเหมือนว่าความชั่วร้ายจะเป็นฝ่ายชนะและไม่มีทางที่จะหยุดยั้งได้ ในเวลาดังกล่าวพระเยซูคริสต์ผู้ทรงแนะนำให้พวกเราอธิษฐานภาวนาถามคำถาม ทว่าพระองค์กลับไปถวายการสรรเสริญต่อพระบิดา ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นความจริง

การอธิษฐานสรรเสริญจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใดบ้าง?  กับตัวเราหรือกับพระเจ้า?  ข้อความแห่งจารีตพิธีศีลมหาสนิทบูชาขอบพระคุณเชื้อเชิญให้พวกเราอธิษฐานถึงพระเจ้าดังนี้ว่า “แม้พระองค์จะไม่ทรงต้องการคำสรรเสริญจากพวกเรา แต่การขอบคุณคุณของพวกเราในตัวเองก็เป็นของขวัญอันประเสริฐ เพราะแม้การสรรเสริญของพวกเรามิได้เพิ่มพูนอะไรให้กับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทว่าเป็นประโยชน์ต่อความรอดของพวกเรา” (Roman Missal, Common Preface IV) โดยอาศัยการถวายการเสรรเสริญพวกเราจะได้รับความรอด

การอธิษฐานสรรเสริญจะช่วยให้พวกเรารอด คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกให้คำจำกัดความดังนี้ คำภาวนาสรรเสริญ “มีส่วนร่วมในความบรมสุขแห่งผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ ผู้ที่ รักพระเจ้าในความเชื่อ ก่อนที่จะเห็นพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์” (ข้อ 2639) นี่เป็นเรื่องน่าคิดที่พวกเราต้องปฏิบัติไม่เพียงแค่ขณะที่พวกเราเปี่ยมด้วยความสุข แต่ที่สำคัญต้องในยามที่มีความยุ่งยากด้วย ในยามที่พวกเรารู้สึกมืดมน ในยามที่การเดินทางเหมือนกการไต่ภูเขา นี่เป็นเวลาที่พวกเราต้องถวายการสรรเสริญเช่นเดียวกัน เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ซึ่งถวายการสรรเสริญแด่พระบิดาในยามที่มืดมน เพราะพวกเราเรียนรู้ว่าโดยอาศัยการยกจิตใจขึ้นดังกล่าว หนทางที่ยากลำบาก หนทางที่เหน็ดเหนื่อย หนทางที่เป็นภาคบังคับเหล่านั้น พวกเราจะเห็นขอบฟ้าใหม่ที่เปิดกว้างกว่า การถวายการสรรเสริญก็เหมือนการสูดอ็อกซีเจนบริสุทธิ์ ทำใหวิญญาณสะอาด ทำให้พวกเรามองการณ์ไกลไปข้างหน้า เพื่อที่จะไม่ติดคุกอยู่ในยามที่มีความยุ่งยากลำบากในความมืดแห่งความยุ่งยาก

การสอนที่ยิ่งใหญ่ในการอธิษฐานดังกล่าวซึ่งตลอดเวลา 8 ศตวรรษที่แล้วเป็นต้นมาไม่เคยหยุดค่านิยมซึ่งนักบุญฟรานซิสได้ประพันธ์ขึ้น ก่อนที่ท่านจะมรณะภาพ “Canticle of Brother Sun” หรือ “of the creatures” (เพลงสรรเสริญแห่งดวงอาทิตย์หรือสิ่งสร้าง) “Poverello” (น. ฟรานซิสเรียกตัวเองผู้ยากไร้) ไม่ได้ประพันธ์ขึ้นในเวลาแห่งความชื่นชมยินดี ในเวลาที่มีความสุข แต่ตรงกันข้ามบทเพลงสรรเสริญถูกประพันธ์ขึ้นในยามทุกข์ ซึ่งขณะนั้นฟรานซิสเกือบตาบอด ท่านรู้สึกดวงวิญญาณของตนเองหนักอึ้งเพราะความสันโดษชนิดที่ท่านไม่เคยเป็นมาก่อน โลกไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ที่ท่านเริ่มเทศน์ ยังมีผู้คนที่ปล่อยตัวหลงวุ่นวายอยู่กับการทะเลาะวิวาท นอกจากนั้นท่านยังรับรู้ด้วยว่าความตายกำลังย่างกายเข้ามาใกล้ทุกที ซึ่งสามารถเป็นเวลาแห่งความสิ้นหวังอย่างมากที่สุด และทำให้เข้าใจถึงความล้มเหลวของตน แต่ฟรานซิสอธิษฐานทันที ณ เวลาแห่งความโศกเศร้าในช่วงแห่งเวลาความมืดมนนั้น “ข้าแต่พระเจ้า การสรรเสริญทุกอย่างเป็นของพระองค์” ท่านอธิษฐานภาวนาสรรเสริญ ฟรานซิสสรรเสริญพระเจ้าในทุกสิ่ง สำหรับของขวัญแห่งการสร้างสรรพสิ่งสรรพสัตว์ แม้กระทั่งสำหรับความตายซึ่งท่านกล้าที่จะเรียกว่า น้องสาว – sister”  แบบฉบับของนักบุญเหล่านี้และของพระเยซูคริสต์ในการสรรเสริญพระเจ้า ณ เวลาที่เกิดความยุ่งยากจะเปิดประตูให้พวกเราก้าวไปสู่ถนนยิ่งใหญ่ไปยังพระเจ้าและจะชำระล้างพวกเราให้บริสุทธิ์เสมอ การเสรรเสริญทำให้บริสุทธิ์เสมอ

บรรดานักบุญแสดงให้พวกเราเห็นว่าพวกเราสามารถถวายการสรรเสริญได้เสมอทั้งยามดีและยามร้าย เพราะพระเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรที่ซื่อสัตย์ นี่คือรากฐานแห่งการสรรเสริญ พระเจ้าคือกัลยาณมิตรที่ซื่อสัตย์และความรักของพระองค์ไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง พระองค์ทรงประทับอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ พระองค์ทรงรอคอยพวกเราอยู่เสมอ ซึ่งมีการกล่าวกันว่า “พระองค์ทรงเป็นองครักษ์ที่อยู่ใกล้ท่านคอยชี้นำให้ท่านเดินไปด้วยความมั่นใจ” ในยามที่มีความยุ่งยากและความมืดมนขอให้พวกเรามีความกล้าหาญที่จะพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอถวายพระพรแด่พระองค์” จงสรรเสริญพระเจ้า นี่จะช่วยช่วยชีวิตของพวกเราได้มาก ขอขอบคุณ

การกล่าวต้อนรับ

ขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ขอให้วันฉลองการรับพิธีล้างของพระเยซูคริสต์ ที่พวกเราเพิ่งทำการเฉลิมฉลองเตือนใจให้พวกเราคิดถึงศีลล้างบาปของตัวเราเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยความซื่อสัตย์ยิ่งขึ้นในแต่ละวัน ขอความชื่นชมยินดีและสันติสุขของพระเจ้าสถิตอยู่กับพวกท่านและครอบครัวของท่าน ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน

สรุปพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปา

ลูก ๆ และ พี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการอธิษฐานภาวนาวันนี้ พวกเราจะพูดกันถึงการอธิษฐานภาวนาในลักษณะการสรรเสริญ พระวรสารโดยนักบุญมัทธิวบอกพวกเราว่าพระเยซูคริสต์เอง เมื่อพบปะกับอริศัตรูและการไม่ได้รับการต้อนรับ พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการสรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงขอบคุณพระบิดาเจ้าสำหรับความรักของพระองค์ที่ทรงแสดงตนแก่ “ผู้ต่ำต้อย” (มธ. 11: 25) แก่คนยากจน และคนสุภาพ แบบฉบับการสรรเสริญของพระเยซูคริสต์เรียกร้องให้พวกเรากระทำดังที่พระองค์ทรงกระทำในเวลาที่พวกเรารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงประทับอยู่ หรือความชั่วร้ายดูจะเป็นฝ่ายมีชัย โดยอาศัยวิธีนี้พวกเราจะมองสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะอย่างที่คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกสอนไว้ โดยอาศัยการสรรเสริญพวกเรามีส่วน “ในความบรมสุขแห่งดวงใจบริสุทธิ์ที่รักพระเจ้าในความเชื่อ ก่อนที่พวกเราจะเห็นพระเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์” (ข้อ 2639) พวกเราเห็นประเด็นนี้ได้อย่างชัดเจนในแบบฉบับของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี ผู้ประพันธ์บทสรรเสริญของสรรพสิ่งสรรพสัตว์เมื่อท่านประสบกับความเจ็บป่วยที่ดวงตาใกล้จะบอด ในการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งแม้กระทั่งความตายที่คืบคลานเข้ามา “Sister Death” ฟรานซิสพร้อมด้วยบรรดานักบุญสอนพวกเราถึงความสำคัญว่าในทุกกรณีแห่งชีวิตของพวกเรา ต้องสรรเสริญพระเจ้าผู้ซึ่งซื่อสัตย์เสมอ และความรักของพระองค์นั้นถาวรตลอดนิรันดร

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ขอเชิญร่วมลงนามคัดค้านกฎหมายการทําแท้ง (มาตรา 301 และมาตรา 305)

เรื่อง ขอเชิญร่วมลงนามคัดค้านกฎหมายการทําแท้ง (มาตรา 301 และมาตรา 305)

ทางมิสซัง​ ขอรบกวนคุณพ่อ​ทุกท่านได้ปริ้นเอกสาร​ ที่เป็นรายชื่อ​ พร้อมกับให้พี่น้องสัตบุรุษทำการเซนต์​ เพื่อต่อต้านการทำแท้ง​ และส่งคืนให้มิสซังฯ ​(ชื่อคพ.ศราวุธ​ แฮทู)​ ภายในวันที่​ 21​ มกราคม​ 2021​ นี้​ และผมจะรวบรวมส่งต่อให้สภาพระสังฆราช

ขอบคุณ​ คุณพ่อทุกท่านครับ
(ฟ. วีระ อาภรณ์รัตน์)

ที่ สสท. 06/2021
วันที่ 14 มกราคม 2021

เรื่อง ขอเชิญร่วมลงนามคัดค้านกฎหมายการทําแท้ง (มาตรา 301 และมาตรา 305)
เรียน พระคุณเจ้าประมุขศาสนปกครองและประธานสหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย
เอกสารแนบ แบบฟอร์มลงนามคัดค้านกฎหมายการทําแท้ง

          ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีความเห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายอาญาเรื่องการทําแท้ง ในขั้นต้นสภาพระสังฆราชฯ ได้ยื่นจุดยืนและคําสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก เกี่ยวกับกฎหมายการทําแท้ง ถึงประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรแล้ว หลังจากนี้จะรวบรวมรายชื่อคริสตชนเพื่อคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม จึงขอความร่วมมือจากท่านได้เชิญชวนคริสตชนหรือสมาชิกใน สังกัดได้ร่วมลงนามตามแบบฟอร์มที่ส่งมา ณ ที่นี้

          และส่งกลับมายังสํานักเลขาธิการ สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยฯ เลขที่ 122/11 ซอยนนทรี 14 (ซอยนาคสุวรรณ) ถนนนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 ในรูปแบบเอกสาร (Hard copy) ภายในวันที่ 25 มกราคม ศกนี้ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนต่อไป

          จึงเรียนมาเพื่อทราบและขอความร่วมมือ ขอพระเจ้าประทานพระพร ปรีชาญาณ และทรงนําในชีวิตและภารกิจของท่านเสมอ

          รักในพระคริสตเจ้า

(บิชอบฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
เลขาธิการสภาพระสังฆราชคาทอลิกฯ

บทภาวนาของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อนักบุญโยเซฟ

บทภาวนาของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อนักบุญโยเซฟ

ข้าแต่นักบุญโยเซฟ
พระเจ้าได้มอบท่านให้ดูแลเอาใจใส่พระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ท่ามกลางอันตรายมากมายของโลกนี้ เรามาหาท่าน ขอให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองลูกๆ ที่พระเจ้าทรงมอบให้ อาศัยศีลล้างบาปพวกเขาได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า และสมาชิกของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ เราขอท่านทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ พวกเขาจะได้กลายเป็นลูกบุญธรรม โปรดพิทักษ์รักษา ชี้แนะขั้นบันไดในชีวิตอบรมให้ใจละม้ายคล้ายดวงหทัยของพระเยซูและพระนางมารีย์

ข้าแต่นักบุญโยเซฟ ผู้ประสบความยากลำบาก และความกังวลใจฉันบิดา เมื่อพระเยซูได้หายไป โปรดคุ้มครองลูกๆที่รักของเราในเวลานี้ และนิรันดร์
ขอท่านเป็นบิดา และที่ปรึกษาของพวกเขา ให้พวกเขาเจริญขึ้นเหมือนพระเยซูเจ้า ทั้งในปรีชาญาณ อายุ และพระหรรษทานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และต่อหน้ามนุษย์
โปรดคุ้มครองพวกเขาจากความทุจริตของโลกและประทานพระหรรษทาน แก่เรา
เพื่อวันหนึ่งจะได้อยู่ร่วมกันในสวรรค์นิรันดร อาแมน

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
12/1/2021

A Parent’s Prayer to Saint Joseph

O glorious St. Joseph, to you God committed the care of His only begotten Son amid the many dangers of this world. We come to you and ask you to take under your special protection the children God has given us. Through holy baptism they became children of God and members of His holy Church. We consecrate them to you today, that through this consecration they may become your foster children. Guard them, guide their steps in life, form their hearts after the hearts of Jesus and Mary.

St. Joseph, who felt the tribulation and worry of a parent when the child Jesus was lost, protect our dear children for time and eternity. May you be their father and counsellor. Let them, like Jeus, grow in age as well as in wisdom and grace before God and men. Preserve them from the corruption of his world, and give us the grace one day to be united with them in Heaven forever.
Amen

การอบรม เลาดาโตซีในบ้านเณร

การอบรม เลาดาโตซีในบ้านเณร

เอกสาร FABC เล่มที่ 162 (6 มกราคม 2021 หน้า 2-3) มีรายงานการสัมมนา  เรื่อง การสอนการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในบ้านเณร  วันที่ 4-8 พฤศจิกายน  2018  ที่บ้านฟื้นฟูจิตใจซาเลเซียน  หัวหิน ประเทศไทย  ผู้เข้าอบรม 40 คนจาก 10 ประเทศในทวีปเอเชีย

            ในถ้อยแถลงมีกล่าวว่า  พระสงฆ์ในอนาคตจะเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้เพื่อโลกที่ยั่งยืน  จึงควรมีการอบรมสามเณรให้มีการพัฒนาทัศนคติ  วิถีปฏิบัติ  และมุ่งมั่นในเรื่องนี้

            ผู้ร่วมสัมมนาอุทิศตนแนะนำวิชา  เทววิทยาด้านสิ่งแวดล้อม  คำสอนคาทอลิก  และการปฏิบัติ  ที่เข้ากับสภาพท้องถิ่น  ในสามเณราลัย

            ส่งเสริมให้มีการกลับใจด้านนิเวศวิทยาอย่างต่อเนื่อง  แก่ผู้อบรมสามเณร และทีมงานบ้านเณร  ให้ไตร่ตรองเรื่องสิ่งสร้างของพระเจ้า  อาศัยพิธีกรรม  การภาวนา  การฟื้นฟูจิตใจเรื่องสิ่งแวดล้อม  และมีช่วงเวลาเงียบอยู่กับธรรมชาติด้วย

            เพื่อเข้าใจเสียงร้องคร่ำครวญของโลกให้ดีขึ้น  จำเป็นต้องฟังเสียงร้องคร่ำครวญของคนจน  สตรี  ชนพื้นเมือง  และกลุ่มเปราะบาง  ที่ต้องทนทุกข์มากที่สุดจากภัยพิบัติด้านสภาพอากาศ  ควรให้สามเณรไปสัมผัสชีวิตจริงของคนจน  และเรียนรู้จากพวกเขา  อยู่กับพวกเขาไม่ว่าระยะสั้น  หรือระยะยาว  อาจมีการเสวนากับบุคคลต่างความเชื่อ  เรียนรู้ประเพณีความเชื่อของเขา  ในเรื่องเอาใจใส่บ้านที่เราอาศัยร่วมกันนี้

            วิกฤติสภาพอากาศอยู่รอบตัวเรา  ช่วงเวลานี้  เราจึงพิจารณาถึงโครงสร้างการอบรมในบ้านเณร  อาจจะมีวิธีการอบรมใหม่ๆ  ขอให้พูดคุยกันด้วยความจริงใจ  และโปร่งใส   ฟังเสียงร้องคร่ำครวญของโลก  และที่พระเจ้ากำลังขอให้เรากระทำ

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน  (11 มกราคม 2021)

คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับกฎหมายการทำแท้ง

คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับกฎหมายการทำแท้ง

โดย บาทหลวง ดร.เชิดชัย เลิศจิตรเลขา คณะกรรมการที่ปรึกษาเทววิทยา ในสภาประมุขบาทหลวงฯ

การทำแท้งเป็นปัญหาที่มีการโต้เถียงกันมากที่สุดปัญหาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโต้เถียงเกี่ยวกับการให้มีกฎหมายที่อนุญาตให้มีการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งได้มีการพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย หรือผลดีและผลเสียที่จะตามมา เช่น ผู้ที่สนับสนุนให้มีกฎหมายการทำแท้งได้มักอ้างว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หญิงที่ตั้งครรภ์ไปแอบทำแท้งกับหมอเถื่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ให้บริการการทำแท้งซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อหญิงเอง เพราะไม่ถูกหลักวิชาการและไม่ถูกหลักสุขอนามัย โดยในแต่ละปีมีผู้หญิงที่ต้องเสียชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่วนกลุ่มผู้คัดค้านกฎหมายการทำแท้งก็อ้างว่า ทั้ง ๆ ที่การทำแท้งซึ่งเป็นการฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์ มีกฎหมายห้ามและมีบทลงโทษ แต่ก็ยังมีผู้ที่ลักลอบทำแท้งกันมากมาย ดังนั้น ถ้ากฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว คงจะมีทารกผู้บริสุทธิ์อีกเป็นจำนวนมากถูกฆาตกรรม โดยจะกลายเป็นการฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย  

          รายงานฉบับนี้ จะพิจารณาถึงปัญหาศีลธรรมเกี่ยวกับเรื่องการทำแท้ง ในหัวข้อต่าง ๆ ดังต่อไปนี้                1) เหตุผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแก้ไขกฎหมายห้ามทำแท้ง 2) คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับเรื่องการทำแท้ง 3) ศักดิ์ศรีและสถานภาพความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์ 4) ความขัดแย้งของมโนธรรมต่อกฎหมายการทำแท้งที่ผิดศีลธรรม 5) มโนธรรมของคริสตชนในการเผชิญหน้ากับกฎหมายที่ผิดศีลธรรม และ 6) แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานในเรื่องสุขภาพ เช่น แพทย์ พยาบาล และเวชบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้บริสุทธิ์

1. เหตุผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแก้ไขกฎหมายห้ามทำแท้ง

ตามกฎหมายไทย การทำแท้งเป็นความผิดอาญาฐานทำให้แท้งลูก ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการทำแท้งไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301-305 ซึ่งสรุปได้ว่า 1) ในกรณีที่หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้แท้งลูก หญิงนั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูก               2) ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอมหรือโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ผู้นั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูก และ 3) และหากการทำแท้งนั้นเป็นเหตุให้หญิงได้รับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย หรือเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น

ดังนั้น การทำแท้งจึงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ยกเว้นเป็นการตั้งครรภ์ที่มีผลมาจากการถูกข่มขืน หรือการตั้งครรภ์นั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของหญิงนั้นที่ตั้งครรภ์ เงื่อนไขนี้ทำให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จากสาเหตุอื่นๆ เช่น ตั้งครรภ์เพราะมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ ไม่สามารถทำแท้งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นสาเหตุให้ผู้หญิงเหล่านี้พึ่งพาคลินิกทำแท้งเถื่อนดังที่เป็นข่าว ในอดีตมีความพยายามจะแก้กฎหมาย มาตรา 305 หลายครั้ง ช่วงเวลาที่ไปได้ไกลที่สุดคือ ระหว่างการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) ซึ่งระบุว่าจะต้องแก้ มาตรา 305 โดยเพิ่มข้อยกเว้นให้ทำแท้งได้ถูกกฎหมายอีก 2 ประการ คือ 1) เมื่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มีปัญหาด้านสุขภาพกายหรือจิต และ 2) เมื่อการตั้งครรภ์เกิดจากการคุมกำเนิดล้มเหลวจากการปฏิบัติของแพทย์

เมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำให้แท้งลูกหรือ “ทำแท้ง” โดยมีที่มาคือ ก่อนหน้านั้นได้มีผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 213 กรณีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ 305 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 27 มาตรา 28 และมาตรา 77 หรือไม่ และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 กำหนดให้หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกมีความผิดอาญานั้น เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของหญิงเกินจำเป็น ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 28 “บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย” และเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2563 ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ 305 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563  คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ 305 ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีเหตุผลในการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ 305 คือ

  1. กำหนดอายุครรภ์สำหรับความผิดฐานหญิงทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ มีความผิดและต้องรับโทษ เพื่อคุ้มครองสิทธิของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ให้เกิดความสมดุลกัน
  2. เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานทำให้แท้งลูก ให้ครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นและสมควรต้องทำแท้ง หรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง และกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องทำตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา เพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 301 ให้หญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์สามารถทำแท้งได้ จากเดิมที่ห้ามหญิงตั้งครรภ์ “ทำแท้ง” โดยเด็ดขาด ซึ่งการกำหนดอายุครรภ์ดังกล่าวเป็นไปตามความเห็นของแพทย์สภาและราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ปลอดภัยที่สุดในการทำแท้ง ไม่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ทำแท้งเกิดอาการแทรกซ้อนและเป็นอันตรายแก่ชีวิต นอกจากนี้ ได้มีการแก้ไขลดอัตราโทษ เพื่อให้เหมาะสมกับการที่ผู้ทำแท้งต้องได้รับความเจ็บปวดทางร่างกายอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดโทษสูงอีก โดยมีรายละเอียดดังนี้  “มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” จากเดิมที่กำหนดให้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับมาตรา 305 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานทำให้แท้งลูก ให้ครอบคลุมกรณีที่จำเป็นและสมควรต้องทำแท้ง หรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ “มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 301 หรือ 302 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด 1) จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น                      2) จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากหากทารกคลอดออกมาจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติทางกายหรือจิตใจถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง 3) หญิงมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ และ 4) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์”

2. คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับเรื่องการทำแท้ง

พระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่า การทำแท้งโดยตรงเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมและเลวทรามที่สุด พระสมณสาสน์ “ข่าวดีเรื่องชีวิต” (Evangelium Vitae) ที่กล่าวถึงพระบัญญัติ “อย่าฆ่าคน” นั้น พระสันตะปาปาทรงแถลงในเบื้องต้นว่า “…โดยอาศัยอำนาจที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้แก่นักบุญเปโตร และผู้ที่สืบตำแหน่งต่อจากท่าน และในการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาพระสังฆราชในพระศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลก เราขอย้ำว่า การฆ่าชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์โดยตรงและกระทำด้วยความสมัครใจเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมอย่างหนักในทุกกรณี” (เทียบ EV ข้อ 57) จากคำสอนดังกล่าว จึงเห็นได้ว่าพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงต้องการให้คำนิยามความหมายเฉพาะของการทำแท้งโดยตรงว่าเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมอย่างร้ายแรงใน 2 ลักษณะ คือ ในลักษณะแรก พระองค์ทรงเน้นถึงการกระทำทางศีลธรรมที่ในตัวมันเองเป็นสิ่งที่ชั่ว ไร้ศีลธรรม (intrinsice malum) นั่นคือ เป็นการฆ่าชีวิตโดยตรงและด้วยความสมัครใจ และในลักษณะที่สอง พระองค์ทรงเน้นถึงความบริสุทธิ์ของผู้ที่ถูกกระทำ (the innocent) กล่าวคือ ทารกเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีความผิด

จุดยืนอันมั่นคงของพระศาสนจักรคาทอลิกที่ประณามการทำแท้งด้วยความจงใจ (direct abortion) นั้นมีมาตลอด เพราะการทำแท้งนี้เป็นการฆาตกรรมชีวิตผู้บริสุทธิ์ ซึ่งการทำแท้งโดยความตั้งใจเป็นการกระทำที่ชั่วในตัวเอง และทารกที่อยู่ในครรภ์ก็ไม่เคยเป็นผู้รุกรานที่ก้าวร้าว (an unjust aggressor) เพราะจากความเชื่อของคริสตชน สิทธิขั้นพื้นฐานแห่งการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์เป็นของประทานจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิต มนุษย์เป็นผู้เฝ้ารักษา แม้แต่มารดาก็มิใช่เจ้าของชีวิตบุตรของตน ชีวิตเป็นของประทานอันล้ำค่าจากพระเจ้าซึ่งมนุษย์มีหน้าที่เฝ้ารักษาเท่านั้น แล้วเหตุอันใดมนุษย์จะทำลายของขวัญอันล้ำค่านี้เสียเล่า พระศาสนจักรคาทอลิกเล็งเห็นความสำคัญของชีวิตมนุษย์ตลอดมา และยังคงต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและคุณค่าพื้นฐานของชีวิตมนุษย์เรื่อยมา

ศักดิ์ศรีและคุณค่านี้เป็นสิทธิพื้นฐานของความเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถทำลายลงได้  แต่ในสังคมปัจจุบันชีวิตมนุษย์ได้ถูกคุกคามและถูกทำลายอย่างน่าสยดสยอง เช่น การฆ่าคนในทุกรูปแบบ การทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ การทำแท้ง เมตตามรณะ การจงใจฆ่าตัวตาย  สิ่งต่าง ๆ ที่ละเมิดต่อบูรณภาพของความเป็นบุคคล เช่น การทำให้พิการ การทรมานทางร่างกายและจิตใจ การบีบคั้นจิตใจ สิ่งต่าง ๆ ที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นบุคคล (the human dignity) เช่น สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สมกับความเป็นมนุษย์ การขังคุกตามอำเภอใจ การเนรเทศ การจับเป็นทาส การบังคับค้าประเวณี การซื้อขายเด็กและสตรี ตลอดจนการใช้แรงงานมนุษย์ดุจเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นบุคคลที่เป็นอิสระและมีความรับผิดชอบ [ดูรายละเอียดในพระสมณสาส์น “เรื่องความรุ่งโรจน์แห่งความจริง” (Veritatis Splendor) ข้อ 80 เกี่ยวกับ “การกระทำที่ชั่วในตัวเอง” (intrinsice malum) ซึ่งหมายถึงการกระทำที่ผิดศีลธรรมเสมอในทุกกรณีและในทุกสถานการณ์ และเทียบกับ Gaudium et Spes ข้อที่ 27]

          สภาพสังคมปัจจุบันที่โน้มเอียงใฝ่หา “วัฒนธรรมแห่งความตาย” (the culture of death) มากกว่า “วัฒนธรรมแห่งชีวิต” (the culture of life) พระศาสนจักรคาทอลิกที่เป็นผู้เผยพระวาจาของพระเจ้าซึ่งเป็นพระวาจาที่ให้ชีวิต (the gospel of life) ได้สอนถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าพื้นฐานที่ต้องได้รับการเคารพอย่างสูงสุด โดยไม่อาจถูกละเมิดได้ [ดูรายละเอียดในพระสมณสาส์น “ข่าวดีเรื่องชีวิต” (Evangelium Vitae) เกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งชีวิตในบทที่สอง] นอกจากนั้น พระศาสนจักรคาทอลิกยังคงเลือกที่จะอยู่ข้างผู้อ่อนแอและถูกเบียดเบียนในสังคมปัจจุบัน ที่ไม่สามารถป้องกันสิทธิพื้นฐานของตนได้

          พระศาสนจักรคาทอลิกในฐานะที่เป็นผู้ปกป้องชีวิตมนุษย์ (pro-life) ชีวิตที่เริ่มตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิในครรภ์มารดาและสิ้นสุดลงเมื่อต้องตายตามธรรมชาติ ได้ยืนยันถึงคำสอนที่ไม่อาจละเมิดได้นี้ โดยไม่จำกัดเฉพาะในขอบเขตของพระศาสนจักรเท่านั้น แต่รวมไปถึงมนุษย์ทุกคนที่มีน้ำใจดี (all people of good will) ให้พิจารณาถึงการเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ดังกล่าว โดยยึดมั่นว่าการปกป้องชีวิตมนุษย์นั้นตั้งอยู่บน “กฎศีลธรรมตามธรรมชาติ” ที่พระเจ้าทรงจารึกลงในจิตใจของมนุษย์ทุกคน และโดยอาศัยเหตุผลมนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงนี้ได้อย่างเท่าเทียมเสมอกัน

3. ศักดิ์ศรีและสถานภาพความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์ (the dignity and the status of person of the embryo)

กฎบัตรขององค์การสหประชาชาติได้รับรองถึงสิทธิมนุษย์สากล เช่น ในข้อที่ 1 กล่าวว่า  “มนุษย์ทุกคนที่เกิดมามีเสรีภาพ สิทธิ และศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ทุกคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลเท่าเทียมกันจึงต้องปฏิบัติต่อกันและกันฉันพี่น้อง” และข้อที่ 3 กล่าวว่า  “ตามปัจเจกบุคคล ทุกคนมีสิทธิในการดำเนินชีวิตตามเสรีภาพและความมั่นคงในแต่ละบุคคลเอง” จากกฎบัตรดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าองค์การสหประชาชาติรับรองความเสมอภาคและเสรีภาพของบุคคล (human person) ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของปัจเจก (individual) หรือบุคคล (human person) ในฐานะที่เกิดและคลอดออกมาพ้นจากครรภ์มารดาแล้วเท่านั้น แต่ปัญหาที่ต้องเผชิญในขณะนี้คือ สิทธิและศักดิ์ศรีดังกล่าวครอบคลุมถึงความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์หรือไม่ ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นบุคคลที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะต้องได้รับการปกป้องหรือไม่ ความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์มารดาเริ่มต้นเมื่อใด ความเป็นบุคคลหมายถึงอะไร มาตรการอะไรที่จะใช้วัดความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์ คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีและสถานภาพความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์

          พระศาสนจักรคาทอลิกเชื่อถึงการสร้างวิญญาณของมนุษย์โดยตรงจากพระเจ้า ในพระสมณสาสน์เรื่องของขวัญแห่งชีวิต (Donum Vitae) ข้อที่ 1 กล่าวว่า “ความเป็นมนุษย์ควรที่จะได้รับการเคารพและปฏิบัติอย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับบุคคลโดยนับตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิสนธิ” ดังนั้น พระสมณสาสน์เรื่องของขวัญแห่งชีวิต (Donum Vitae) ได้รับรู้ถึงการโต้แย้งถึงปัญหาที่ว่า ความเป็นบุคคลนั้นเริ่มต้นเมื่อใด แต่พระสมณสาสน์เรื่องของขวัญแห่งชีวิต (Donum Vitae) ก็กล่าวเพียงว่า “ความเป็นมนุษย์ (Human being) จำต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติในฐานะที่เป็นบุคคล (human person) ตั้งแต่เริ่มการปฏิสนธิ”

พระสมณสาสน์ “ข่าวดีเรื่องชีวิต” (Evangelium Vitae) ข้อที่ 60 กล่าวย้ำว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นในขณะที่เกิดการปฏิสนธิ และพระสันตะปาปาทรงเน้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “…ในความเป็นจริง ขณะที่ไข่ของมารดา (ovum) ได้รับการผสมนั้น ชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วซึ่งไม่ใช่ชีวิตของบิดาหรือมารดา แต่เป็นชีวิตใหม่ของมนุษย์ที่เจริญพัฒนาโดยตัวของตนเอง โดยความเป็นมนุษย์เริ่มต้นที่นี่ วิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมก็ได้รับรองความเป็นจริงข้อนี้ นอกนั้นยังได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ในระยะเริ่มแรกแห่งชีวิตโครงการเจริญพัฒนาชีวิตได้ถูกสร้างขึ้นแล้วในความเป็นบุคคลที่ปัจเจกบุคคลซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นแบบเฉพาะ ดังนั้น ตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิชีวิตมนุษย์ได้เริ่มขึ้น ซึ่งการพัฒนาความสามารถนั้นต้องการเวลาในความพร้อมที่จะปฏิบัติเยี่ยงบุคคล” [เทียบ EV ข้อที่ 60 อ้างเอกสารจากกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ เรื่องการทำแท้ง ใน ASS 66 (1974) ข้อที่ 738 และ เทียบ ธรรมนูญใหม่ฯ ข้อ 51]

          ตามที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า สถานภาพความเป็นบุคคลของทารกที่อยู่ในครรภ์มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการใช้เป็นข้ออ้างอิงในการปกป้องชีวิตของเขา ซึ่งในขณะที่เกิดการปฏิสนธินั้นชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วและพร้อมที่จะพัฒนาโดยตัวของตนเอง ซึ่งต้องการเวลาในความพร้อมที่จะปฏิบัติเยี่ยงบุคคล และจากความคิดในปัจจุบันที่เน้นว่า เฉพาะบุคคลเท่านั้นที่ได้รับการปกป้องศักดิ์ศรี และสิทธิขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะจากกฎหมายบ้านเมืองที่มีบทลงโทษ และที่เน้นว่าการให้คำนิยามความหมายของความเป็นบุคคลก็แตกต่างกันไป แล้วแต่มาตรการที่ใช้วัดความเป็นบุคคล ซึ่งไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้สำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์ ในเรื่องนี้จำเป็นต้องพิจารณาดูว่าคำนิยามความหมายของความเป็นบุคคลจากมิติต่าง ๆ มีข้อบกพร่องอย่างไร เมื่อใช้ประยุกต์กับสถานภาพของทารกในครรภ์ นอกจากนั้น การให้คำนิยามความหมายของความเป็นบุคคลที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบบูรณาการ (integral) ยังคงเป็นความพยายามที่กำลังแสวงหากันอยู่

4. ความขัดแย้งของมโนธรรมต่อกฎหมายการทำแท้งที่ผิดศีลธรรม

กฎหมายบ้านเมืองที่มีผลบังคับใช้ในการปฏิบัติในสังคมและมีบทลงโทษ สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนซึ่งมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม (concrete) มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีของกฎหมายดังกล่าวคือ สามารถนำไปประยุกต์ปฏิบัติได้โดยตรง แต่ข้อเสียคือ ความไม่สมบูรณ์ของกฎหมาย กล่าวคือ โดยธรรมชาติกฎหมายบ้านเมืองมักจะมีช่องว่างอยู่เสมอ เพราะผู้ที่มีอำนาจออกกฎหมายไม่สามารถบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมความเป็นศีลธรรมในทุกสถานการณ์โดยที่ไม่มีข้อยกเว้นได้ ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและเข้ากับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

กฎหมายบ้านเมืองที่สอดคล้องกับกฎศีลธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น จึงจะสามารถมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ แต่ถ้ากฎหมายขัดกับกฎศีลธรรมตามธรรมชาติก็จะขาดอำนาจความเป็นกฎหมายในทันที และโดยธรรมชาติแล้วไม่มีกฎหมายฉบับใดที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วน (imperfect law) เพราะกฎหมายไม่สามารถครอบคลุมคุณค่าศีลธรรม (moral values) ที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วน เพราะช่องว่างของกฎหมาย ดังนั้น ในสถานการณ์ที่กฎหมายมีช่องว่าง ประชาชนที่อยู่ในสังคมที่เป็นผู้มีความรับผิดชอบจำต้องประยุกต์คุณธรรม epikeia ซึ่งเป็นคุณธรรมที่มุ่งปฏิบัติตามเจตนารมณ์หรือจุดมุ่งหมายของกฎหมาย (spirit of the law) มากกว่าที่จะปฏิบัติตามกฎหมายตามตัวอักษร (letter of the law)

นอกจากกฎหมายบ้านเมืองจะมีช่องว่างและไม่ยุติธรรมแล้ว (unjust law) กฎหมายอาจจะผิดศีลธรรม (immoral law) ก็ได้ ถ้ากฎหมายดังกล่าวขัดกับกฎศีลธรรมตามธรรมชาติ (natural moral law) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เช่น การทำแท้ง ซึ่งขัดกับสิทธิในการถือกำเนิด การุณยฆาตซึ่งขัดกับสิทธิในการมีชีวิตอยู่ การค้ามนุษย์ซึ่งขัดกับสิทธิในการดำเนินชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นต้น

ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 305 (ที่เป็นกฎหมายที่ใช้มานานถึง 52 ปี) ขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 28 “บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของตนเอง” จนนำไปสู่การร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำให้แท้งลูก และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และขั้นต่อไปจะมีการส่งร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วจึงเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาโดยด่วน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 จึงเป็นการบัญญัติกฎหมายที่อนุญาตให้เปิดโอกาสให้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย กฎหมายฉบับดังกล่าวนี้จึงเป็นกฎหมายที่ผิดศีลธรรม เพราะขัดกับกฎศีลธรรมตามธรรมชาติ ที่ชีวิตมนุษย์ควรได้รับการเคารพและไม่สามารถละเมิดได้ตั้งแต่การปฏิสนธิ

5. มโนธรรมของคริสตชนในการเผชิญหน้ากับกฎหมายที่ผิดศีลธรรม

คำสอนของพระศาสนจักรสอนว่า มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของมโนธรรมของตนเอง สังฆธรรมนูญว่าด้วยเรื่อง พระศาสนจักรในโลกสมัยใหม่ “ความปีติยินดีและความหวัง” (Gaudium et Spes) ข้อที่ 16 กล่าวถึงธรรมชาติของมโนธรรมไว้ว่า “มนุษย์ค้นพบว่า ในส่วนลึกของมโนธรรมมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ตนไม่ได้เป็นผู้กำหนดให้เพื่อตนเอง แต่เขาต้องเชื่อฟัง และเสียงของกฎนี้เชิญชวนเขาอยู่ตลอดเวลาให้ทำความดีและหลีกหนีความชั่ว และเมื่อใดถึงเวลาที่จำเป็นกระซิบอยู่ในหูของหัวใจว่า “จงทำการนี้ จงหลีกเลี่ยงการนั้น” อันที่จริง มนุษย์มีกฎที่พระเจ้าทรงจารึกไว้ในใจของตน การเชื่อฟังกฎนี้จึงเป็นศักดิ์ศรีของเขา และเขาก็จะถูกพิพากษาตัดสินตามกฎนี้” (เทียบ รม. 2: 14-16) และยังกล่าวต่อไปว่า “มโนธรรมเป็นจุดลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของมนุษย์ ที่จุดนี้ มนุษย์อยู่เป็นส่วนตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งตรัสกับเขาในส่วนลึกของจิตใจ มโนธรรมทำให้กฎนี้ปรากฏแจ้งอย่างน่าพิศวงว่า การปฏิบัติตามกฎอย่างสมบูรณ์ คือ ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ คริสตชนจึงพยายามแสวงหาความจริงร่วมกับเพื่อนมนุษย์โดยความซื่อสัตย์ต่อมโนธรรม” ด้วยเหตุนี้เอง จึงสังเกตได้ว่าศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ที่การตัดสินใจกระทำตามคำสั่งของมโนธรรมของตนเอง

ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำให้แท้งลูกเป็นกฎหมายบ้านเมืองที่ผิดศีลธรรม (immoral law) เพราะขัดกับกฎศีลธรรมตามธรรมชาติ กฎหมายบ้านเมืองที่ถูกต้องสอดคล้องกับกฎศีลธรรมธรรมชาติเท่านั้น จึงมีผลบังคับต่อมโนธรรม และกฎหมายที่ผิดศีลธรรมจึงไม่มีผลบังคับต่อมโนธรรมของประชาชนและไม่ต้องปฏิบัติตาม ประชาชนที่มีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบ จำต้องต่อต้านกฎหมายที่ผิดศีลธรรมอย่างแข็งขัน โดยมีลำดับของความเข้มข้น โดยเริ่มจากการปฏิเสธในการให้ร่วมมือจนถึงขั้นการชุมนุมประท้วงโดยสันติวิธี ซึ่งการยอมสู้ทน (tolerance) หรืออหิงสาเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับบุคคลที่อยู่ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะต่อกฎหมายบ้านเมืองที่ผิดศีลธรรม

การตัดสินมโนธรรมของคริสตชนที่เผชิญกับกฎหมายที่ผิดศีลธรรม ในหนังสือกิจการอัครสาวกนักบุญเปโตรกล่าวว่า “ควรที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์” (เทียบ กจ 5:29) ซึ่งในสมัยอัครสาวกถือว่าการนอบน้อมเชื่อฟังพระเจ้าเป็นการตัดสินใจในระดับมโนธรรมของตน ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งระหว่างมโนธรรมกับกฎหมายที่ผิดศีลธรรม คริสตชนและมนุษย์ทุกคนจำต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของมโนธรรมของตนเอง

นอกนั้น ธรรมนูญใหม่ฯ ข้อที่ 59 กล่าวถึงการคัดค้านที่เกิดจากมโนธรรมเมื่อมีกฎหมายทำแท้งว่า “เมื่อกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้ ผู้ทำงานด้านสุขภาพอนามัยต้อง ‘ปฏิเสธอย่างสุภาพแต่หนักแน่น’ มนุษย์ไม่สามารถเชื่อฟังกฎหมายที่ผิดศีลธรรม เช่น กรณีของกฎหมายที่อนุญาตให้ทำแท้งได้ตามหลักการที่ว่าการทำแท้งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจละเมิดชีวิตมนุษย์ที่ทำลายไม่ได้ เพราะกฎของพระเจ้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตต้องมาก่อนกฎหมายใด ๆ ของมนุษย์ เมื่อกฎหมายของมนุษย์ขัดแย้งกับมโนธรรมต้องยืนยันถึงสิทธิประการแรกและความเป็นเลิศสูงสุดของบัญญัติของพระเจ้า ‘เราต้องนบนอบเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์’ (กจ 5:29)” (เทียบ ธรรมนูญใหม่ฯ ข้อ 59)

6. แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานในเรื่องสุขภาพ

บทสรุปในแนวทางการปฏิบัติสำหรับบรรดาผู้ที่ทำงานด้านการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล สำหรับแพทย์ พยาบาล และผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง จากสภาพระสังฆราชคาทอลิกทั่วโลกในปี ค.ศ. 1974 สามารถสรุปเนื้อหาได้ดังต่อไปนี้

  1. โรงพยาบาลคาทอลิกไม่สามารถให้การบริการการทำแท้งได้ ไม่ว่ากฎหมายจะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม และพวกเขาก็ไม่สามารถร่วมมือในการให้บริการดังกล่าวได้แม้แต่การร่วมมือในด้านการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือ (material cooperation)
  2. แพทย์ พยาบาล และผู้เกี่ยวข้องในด้านสุขภาพที่ทำงานในแผนกซึ่งให้การบริการการทำแท้งในโรงพยาบาลที่ไม่ใช่ของคาทอลิก ไม่สามารถปฏิบัติงานในแผนกนี้อย่างผู้ที่มีมโนธรรมถูกต้องได้
  3. แพทย์ พยาบาล และผู้เกี่ยวข้องในด้านสุขภาพควรที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อสาธารณชนในความเชื่อแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต ความเป็นของบุคคลทั้งครบ คุณค่าของชีวิตในทุกขั้นตอน และการมีความเมตตากรุณาต่อผู้เจ็บป่วย
  4. แพทย์ พยาบาล และผู้เกี่ยวข้องในด้านสุขภาพควรร่วมลงชื่อด้วยมโนธรรมของตน ในการปฏิเสธให้ความร่วมมือต่อสถานพยาบาลที่มีการทำแท้ง
  5. การทำแท้งเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมอย่างหนัก โรงพยาบาลคาทอลิกที่ให้บริการทำแท้งหรือรับบริการการทำแท้งหรือชักชวนให้ผู้อื่นทำแท้ง ก็ได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรงต่อมนุษย์ซึ่งขัดกับพระบัญญัติแห่งความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
  6. การให้ความร่วมมือในการทำแท้งถึงแม้ว่าจะเป็นการร่วมมือประเภทจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือให้พร้อมก่อนล่วงหน้า (the remote material cooperation) แต่เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อ คริสตชนพยาบาลควรหลีกเลี่ยงในการกระทำนั้น ถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นสิ่งชั่วในตัวมันเองก็ตาม
  7. กฎหมายของพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อที่ 1398 กล่าวถึงผู้ที่กระทำหรือได้รับการกระทำหรือชักชวนให้ผู้อื่นกระทำแท้งด้วยความสมัครใจว่า เขาตัดตนเองออกจากพระศาสนจักรโดยอัตโนมัติ (automatic excommunication) โดยที่จุดประสงค์ของการขับออกจากพระศาสนจักรนี้ ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงธรรมเนียมของคริสตชนในสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่ประกาศว่า “การทำแท้ง การฆ่าทารก เป็นการฆาตกรรมที่ไม่มีข้อโต้แย้ง” แต่แน่นอนที่สุดการตัดตนเองออกจากพระศาสนจักรนี้ใช้กับผู้ที่กระทำการนี้ด้วยความรู้ตัวและด้วยความเต็มใจในการกระทำผิด แต่พวกเขาสามารถกลับคืนสู่พระ ศาสนจักรได้อีก ในการกลับใจ ในศีลอภัยบาป ในการเป็นทุกข์เสียใจ เพราะพระศาสนจักรต้องการความรอดพ้นของวิญญาณเหนือสิ่งอื่นใด

บรรณานุกรม

  1. Catechism of the Catholic Church, 2258. 
  2. Congregation for the Doctrine of the Faith, Instruction Dignitas personae. On Certain Bioethical Questions (September 8, 2008) AAS 100 (2008).
  3. Congregation for the Doctrine of the Faith, Declaration on Procured Abortion(18 November 1974), Nos. 12-13: AAS 66 (1974), 738. 
  4. Congregation for the Doctrine of the Faith, Instruction on Respect for Human Life in its Origin and on the Dignity of Procreation Donum Vitae(22 February 1987), I, No. 1: AAS 80 (1988), 78-79.
  5. John Paul II, Evangelium Vitae. Encyclical Letter of Pope John Paul II on the Value and Inviolability of Human Life. (March 25, 1995) AAS 87 (1995).
  6. John Paul II, Veritatis Splendor, Encyclical Letter of Pope John Paul II Regarding Certain Fundamental Questions of the Church’s role in moral Teaching. (August 1993)
  7. Second Vatican Council, Pastoral Constitution on the Church in the Modern WorldGaudium et Spes.
  8. Pontifical Council for Pastoral Assistance to Health Care Workers, New Charter for Health Care Workers. The National Catholic Bioethics Center : Philadelphia 2017.
  9. สมณสภาเพื่อช่วยเหลืองานอภิบาลสำหรับผู้ทำงานด้านการดูแลสุขภาพอนามัย ธรรมนูญใหม่สำหรับผู้ทำงานด้านการดูแลสุขภาพอนามัย, ส สยามออฟเซ็ท : กรุงเทพฯ 2563

โดย บาทหลวง ดร.เชิดชัย เลิศจิตรเลขา คณะกรรมการที่ปรึกษาเทววิทยา ในสภาประมุขบาทหลวงฯ

ข้อคิดข้อรำพึง
ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง ปี B

สุภาพสตรีชราคนหนึ่งได้เดินทางกลับจากวัดมาถึงบ้านของเธอ เธอพบขโมยคนหนึ่งกำลังขโมยของอยู่ในบ้าน ด้วยความตกใจ เธอตะโกนขึ้นมาสุดเสียงว่า “Acts 2:38 ( = หนังสือกิจการอัครสาวกบทที่ 2 ข้อ 38 ) – จงกลับใจ และรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป” ขโมยได้ยินเช่นนั้นก็หยุดนิ่งและยืนตัวแข็งไม่เคลื่อนไหวใดๆ ในขณะที่หญิงชราได้แจ้งไปยังตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึง พวกเขาก็ใส่กุญแจมือขโมยผู้นั้น ตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “โอ๊ะ น่าแปลกใจจริงๆ ทำไมคุณถึงหยุดนิ่งเมื่อเธอตะโกนถ้อยคำจากพระคัมภีร์ออกมา” “ถ้อยคำจากพระคัมภีร์หรือ” ขโมยถามด้วยความแปลกใจ “ผมคิดว่าเธอมีขวาน ( = AXE ตอนที่เธอร้องคำว่า Acts ) และมีปืน .38 อีก 2 กระบอกซะอีก”

วันฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลคริสต์มาส มีการเล่าเรื่องการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้านี้โดยผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสาม ได้แก่ นักบุญมัทธิว นักบุญมาระโก และนักบุญลูกา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแต่ละท่านให้ความสำคัญที่จะนำเสนอเหตุการณ์ที่สำคัญมากนี้ เพราะถือเป็นจุดเปลี่ยนในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเลยทีเดียว ในขณะที่เรารำพึงว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ณ ที่นี้ในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า เราต้องเชื่อมโยงกับชีวิตของเรา กับศีลล้างบาปที่เราได้รับ และอะไรที่มีความหมายต่อเราแต่ละคน

ศีลล้างบาปมีความหมายอะไรสำหรับเรา ก็เป็นความหมายเดียวกันนั้นสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์กำลังจะทรงเริ่มต้นพระชนมชีพเปิดเผยต่อสาธารณะ นั่นคือการเริ่มต้นพระภารกิจของพระองค์นั่นเอง การรับพิธีล้างของพระองค์ถือเป็นจุดเริ่มต้น เป็นเหมือนจารีตพิธีในการเข้าไปสู่พระภารกิจนั้น ในน้ำแห่งแม่น้ำจอร์แดนพระองค์ทรงถูกนำไปสู่การเริ่มต้นและการเรียกให้ไปสู่ภารกิจที่ทรงได้รับมอบหมาย

คริสตชนทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปต่างก็มีภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้นำข่าวดีไปถึงทุกผู้ทุกคนที่อยู่ล้อมรอบเรา ข่าวดีนั้นคือพระเยซูคริสตเจ้า จะมีสักกี่คนที่เราได้นำข่าวดีนี้ไปมอบให้ จะมีสักคนหนึ่งไหมที่ประทับใจในตัวเราหรือในสิ่งที่เราได้กระทำ จนเขาขอเรียนรู้เรื่องพระคริสตเจ้ามากขึ้น หรือเขาขอมาเป็นคริสตชนด้วย เราอาจจะรู้สึกละอายใจที่เราไม่ได้เป็นคาทอลิกหรือเป็นคริสตชนที่ดีเพียงพอก็เป็นไปได้

ในศีลล้างบาปของเรา พระเจ้าทรงนับเราเป็นบุตรสุดที่รักของพระองค์ ดังนั้น สิ่งที่เราจะดำเนินการต่อจากนี้ไปคือต้องออกมาจากตัวตนที่เราได้รับมา ดังเช่นพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรที่รักของพระเจ้า เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่เราจะตระหนักว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงค้นพบอัตลักษณ์ของพระองค์ ได้ทรงพร้อมจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และทรงติดตามชะตากรรมของพระองค์ ความเชื่อของพระเยซูเจ้านั่นเองที่ช่วยพระองค์ แล้วความเชื่อของเราจะช่วยเราได้อย่างไร

ศีลล้างบาปได้ทำให้เราเป็นบรรดาบุตรสุดที่รักของพระเจ้า และภารกิจที่เราได้รับมอบหมายคือติดตามพระเยซูเจ้าเพื่อช่วยสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้า – ให้เป็นอาณาจักรแห่งความยุติธรรม แห่งการรักษาเยียวยา และแห่งการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ในศีลล้างบาปของเรา เราถูกชำระให้สะอาดโดยน้ำ และพระจิตเจ้าทรงส่องสว่างเราให้ก้าวไปไกลกว่าขอบเขตที่กำหนด ให้ไกลกว่าความคุ้นเคยชิน และให้ไกลกว่าระดับความพึงพอใจของเรา ชีวิตตามธรรมชาติจมลงไปในน้ำ และเริ่มต้นการเกิดใหม่โดยฉายแสงความสว่างของเราไปในทิศทางเดียวกับที่เป็นของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเริ่มต้นงานสู่สาธารณะโดยทรงเป็นผู้นอบน้อมต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่แท้จริงแห่งตัวตนของพระองค์ ให้เราภาวนาเพื่อเราจะพบอัตลักษณ์ของเราผ่านทางพระคริสตเจ้าโดยศีลล้างบาปของเรา เพื่อว่าเราจะสามารถได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ด้วย ที่ว่า “ท่านเป็นบุตรชายและหญิงที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

ขณะที่เราจุ่มมือของเราลงไปในอ่างศีลล้างบาป ให้เราคิดถึงศักดิ์ศรี คิดถึงกระแสเรียกของเรา และพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงมอบหมายภาระหน้าที่นี้ให้กับเรา “ท่านเป็นที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราโปรดปราน จงไป และจงเป็นศิษย์ของเรา” แล้วนั้น ขอให้เราจงเป็นเช่นนั้นเทอญ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2021
Based on : The Table of the Word ; by : Fr John Pichappilly)

ข้อคิดข้อรำพึง ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง ปี B

พระสงฆ์เยสุอิตองค์หนึ่งในประเทศอินเดียกำลังประกอบพิธีล้างบาปให้กับเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสี่ขวบ ตามจารีตพิธีกรรมตอนเริ่มต้นพระสงฆ์จะถามว่า “ท่านมาขออะไรจากพระศาสนจักรให้ลูกของท่าน” จริงๆพ่อแม่จะต้องตอบว่า “ขอให้ลูกของเราได้รับศีลล้างบาป” แต่พ่อแม่ของเด็กชายคนนี้ตอบอย่างจริงใจว่า “ขอให้ลูกของเราได้ถูกรับเข้าในโรงเรียนของคุณพ่อ” ที่จริงพระสงฆ์เยสุอิตจะไม่ค่อยอยากล้างบาปเด็กที่อายุสี่ขวบก่อนเริ่มต้นปีการศึกษา เพราะการล้างบาปในกรณีเช่นนี้ พ่อแม่ถือเป็นหลักประกันว่าลูกของตนจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิก อย่างไรก็ตาม การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าเป็นการยอมรับในแบบอื่นที่ต่างออกไป – เป็นการยอมรับถึงความเป็นพระบุตร และยอมรับบทบาทของผู้รับใช้

ในความหมายทางเทววิทยาแล้ว เรื่องวันสมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์ กับวันฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพราะพิธีล้างของพระเยซูเจ้าก็เป็นการแสดงองค์ด้วย (also an epiphany) ตราบเท่าที่พระองค์ทรงถูกเผยแสดงในฐานะ “พระบุตรสุดที่รักของพระเจ้า” ให้เรามาพิจารณาถึงสัญลักษณ์ และสิ่งบ่งชี้ ที่เกิดขึ้นในการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้า

การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าที่เล่าไว้ในพระวรสารของนักบุญมัทธิว มาระโก และลูกา มีความแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดเป็นสำคัญ สำหรับปี B นี้เราใช้พระวรสารของนักบุญมาระโก ซึ่งไม่เหมือนกับของนักบุญมัทธิว และลูกา ที่ทั้งสองแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหมือนกับการแสดงองค์จากภายนอก ด้วยเสียงที่ประกาศว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” แต่พระวรสารของนักบุญมาระโกแสดงให้เห็นว่าการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าเป็นประสบการณ์ภายในสำหรับพระเยซูเจ้า ผู้ทรงได้ยินถ้อยคำที่ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา” ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนักบุญมาระโกต้องการให้กลุ่มคริสตชนตระหนักว่าพระเยซูเจ้าคือใคร และจะทรงมาทำกิจการอะไรให้สำเร็จลุล่วงไป ต่อจากเหตุการณ์นี้เป็นต้นไป คือจากน้ำแห่งแม่น้ำจอร์แดน พระเยซูเจ้าจะเคลื่อนองค์ไปสู่ภูเขาแห่งการแสดงองค์อย่างรุ่งโรจน์ (Transfiguration) และที่สุดไปสู่กรุงเยรูซาเล็มและสู่ภูเขาแห่งความตาย

ในวันฉลองนี้ สัญลักษณ์ของน้ำเป็นที่เด่นชัด ในหนังสือปฐมกาลมีข้อความอธิบายจุดเริ่มต้นของโลกในแบบเป็นแผ่นดินที่ร้างไร้รูปร่าง ความมืดมิดปกคลุมอยู่เหนือทะเลลึก และลมพายุแรงกล้าพัดอยู่เหนือน้ำ แล้วนั้นพระองค์ทรงสร้างจักรวาลขึ้นมา (คำว่าลมพายุแรงกล้าพัดอยู่เหนือน้ำ = ลมของพระเจ้า = การเนรมิตสร้างเกิดขึ้นโดย “พระวาจา” ของพระเจ้า หรือโดย “กิจการของพระองค์ – ผู้แปล นำมาจาก footnote หนังสือพระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ หน้า 16 ข้อ d) พระคัมภีร์ตอนอื่นที่พูดถึงเรื่องน้ำก็มีเช่น ประกาศกอิสยาห์ ที่ว่า “ทุกคนที่กระหาย จงมาดื่มน้ำเถิด” น้ำจึงสื่อความหมายถึงชีวิต

พระวรสารของนักบุญลูกาที่เล่าเรื่องนี้ไม่ได้ชี้ชัดเป็นพิเศษว่าท่านยอห์น บัปติสต์ทำพิธีล้างให้พระเยซูเจ้า และบทอ่านที่สองวันนี้ได้นำมาจากหนังสือกิจการอัครสาวก(ซึ่งผู้ที่เขียนก็คือนักบุญลูกา) ดูเหมือนจะโยงความคิดที่ว่า “พิธีล้างเพื่อการกลับใจ” นั้นยังขาดยังพร่องไป และจะไปถึงจุดที่เติมเต็มบริบูรณ์ก็เพียงแต่พิธีล้างที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเทศน์สอนนั่นเอง กล่าวคือ ในพระนามของพระองค์ และด้วยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า พระจิตของพระเจ้าก็คือ “น้ำที่ให้ชีวิต” (ดู ยน 4:10) และดังนั้น ในพิธีล้างของพระเยซูเจ้า พระวาจาของพระบิดาจะเป็นตราประทับถึงความเที่ยงแท้ของการเป็นพระบุตรของพระเยซูเจ้า ซึ่งก็คือพระวจนาตถ์ของพระเจ้า การที่พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปในน้ำ(ที่กาลิลี = Galilee) จะตีคู่ขนานไปกับการถูกยกขึ้นของพระองค์บนไม้กางเขน(ที่กัลวาริโอ = Calvary) ที่ซึ่งโลหิตและน้ำไหลหลั่งจากด้านข้างของพระวรกายพระองค์ (ยน 19:34) หรืออาจพูดได้ว่า พระองค์ได้ถูกเผยแสดงว่าเป็น “ผู้ไถ่” และ “ผู้รับใช้” ในแม่น้ำจอร์แดน ที่นี่ พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่กับบรรดาคนบาปเพื่อรับใช้และเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด ดังที่นักบุญเปาโลได้เขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป” (2 คร 5:21)

น้ำ เป็นสัญลักษณ์ถึงชีวิต การเติบโต ความสะอาด และการชำระล้าง ในประเทศอินเดีย น้ำเชื่อมโยงกับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่นแม่น้ำคงคา พิธีล้างของพระเยซูเจ้าท้าทายเราให้ลงไปในน้ำ และค้นพบประสบการณ์ที่เป็นการเผยแสดงจากภายในถึงน้ำที่ให้ชีวิต พระเยซูเจ้าในแม่น้ำจอร์แดนท้าให้บรรดาคริสตชนกล้าเผชิญหน้ากับการจุ่มตัวลงไปในน้ำที่กาลิลี และการถูกยกขึ้นบนกางเขนที่กัลวาริโอ ในฐานะที่พวกเขาเป็นบรรดาบุตรชายหญิง และเป็นผู้รับใช้ ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ ศีลล้างบาปก็จะไม่เป็นพิธีที่ใช้น้ำเพื่อทำให้ปลอดเชื้อ และไม่ใช่พิธีเพื่อประโยชน์บางอย่างเช่นการถูกยอมรับเข้าในโรงเรียน แต่จะเป็นพิธีที่นำไปสู่การยอมรับ ซึ่งเป็นการยอมรับของพระบิดาที่ตรัสว่า “พวกท่านเป็นบุตร เป็นธิดา เป็นผู้ที่เราโปรดปราน”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญการ เขียนเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2021
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by : Francis Gonsalves, S.J.)