ประกาศ เลขที่ ชม. 036/2021

ประกาศ เลขที่ ชม. 036/2021

เรื่อง การอภิบาลและการปฏิบัติพันธกิจในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในขณะนี้กระจายไปในวงกว้างมากและผู้ติดเชื้อจํานวนมากก็ไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้ ดังนั้น “เพื่อให้การอภิบาลสัตบุรุษของแต่ละเขตวัดดําเนินไปอย่างรอบคอบ ปลอดภัย ถูกต้อง เหมาะกับสถานการณ์มากที่สุด” ทางสังฆมณฑลเชียงใหม่

1. จึงขอให้คุณพ่อเจ้าอาวาส และคุณพ่อทุกท่านได้พิจารณา กล้าตัดสินใจ จัดการในการปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีกรรม พิธีสมรส พิธีบูชาขอบพระคุณ และกิจการต่างๆ ของวัดและที่เกี่ยวข้อง จัดให้ถูกต้อง เหมาะสมที่สุด โดยให้ถือเคร่งครัดตามมาตรการฯ คําประกาศ ระเบียบปฏิบัติ ที่ออกโดยภาครัฐฯ เขตพื้นที่ จังหวัดที่วัดตั้งอยู่

2. เพื่อให้สัตบุรุษในเขตวัดได้ร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณวันอาทิตย์ และวันธรรมดา ตามที่พระศาสนจักรสากลได้ให้คําแนะนําไว้ในภาวะโรคระบาดนี้ ขอให้คุณพ่อเจ้าอาวาส และคุณพ่อทุกท่านแนะนําให้สัตบุรุษร่วมมิสซาทางออนไลน์ เจริญชีวิตปกติแบบใหม่ (New Normal) ร่วมกันอย่างเต็มความสามารถ

3. งดจัดกิจกรรมสงกรานต์ จึงขอให้คุณพ่อเจ้าอาวาส และคุณพ่อทุกท่าน ได้ทบทวนคําประกาศติดตามและตัดสินใจให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพปัจจุบัน และเพื่อความดีสูงสุดของส่วนรวม

ขอพระเจ้าผ่านทางคําเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟ โปรดปกป้องคุ้มครองเราจากโรคร้ายต่างๆ ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ

ประกาศ ณ วันที่ 12 เมษายน ค.ศ.2021

(บิชอป ฟรังซิส เซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
สมณประมุขศาสนปกครองเขตเชียงใหม่

(บาทหลวง ยอแซฟ ศราวุธ แฮทู)
เลขาธิการศาสนปกครองเขตเชียงใหม่

จดหมายจากพระสันตะปาปาฟรานซิส
ถึงผู้เข้าประชุมกลุ่มธนาคารและกองทุนโลกปี ค.ศ. 2021

จดหมายจากพระสันตะปาปาฟรานซิสถึงผู้เข้าประชุมกลุ่มธนาคารและกองทุนโลกปี ค.ศ. 2021

"กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF)" วันที่ 5-11 เมษายน 2021

เจริญพรมายังผู้เข้าร่วมประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

        ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณที่ได้รับเชิญให้มาปราศรัยต่อผู้เข้าร่วมประชุมของสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประจำปี 2021 ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบให้พระคาร์ดินัลปีเตอร์ เตอร์กสัน (Peter Turkson) สมณมนตรีแห่งสมณกระทรวงเพื่อการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวมมาแทนข้าพเจ้า

        ในปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 โลกของพวกเราถูกผลักดันให้ต้องเผชิญกับวิกฤตสังคม เศรษฐกิจ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการเมือง ที่ภัยนานัปการเข้ามาเป็นระรอก ข้าพเจ้าหวังว่าการอภิปรายกันของพวกท่านจะสร้างรูปแบบแห่ง “การฟื้นตัว” ที่สามารถก่อให้เกิดการแก้ปัญหาใหม่ที่ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ การช่วยเหลือปัจเจกบุคคลและชุมชนเพื่อให้บรรลุถึงแรงปรารถนาและความดีคุณประโยชน์สากลทั่วไป การฟื้นฟูไม่อาจหยุดอยู่ที่ความพึงพอใจอยู่กับการกลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันและไม่ยั่งยืน ซึ่งผู้คนเพียงกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของความมั่งมีของครึ่งโลก

        เนื่องจากพวกเราทุกคนเชื่อมั่นว่ามนุษย์ชายหญิงทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรี พี่น้องชายหญิงของพวกเราล้วนสังกัดในครอบครัวมนุษยชาติเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ตามชายขอบสังคมที่ถูกตัดขาดออกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ขณะที่โรคระบาดเตือนใจพวกเราอีกครั้งหนึ่งว่าไม่มีผู้ใดจะเอาตัวรอดได้ตามลำพัง พวกเราสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ด้วยการที่โลกของพวกเรา ถ้าหากพวกเรามีความเป็นมนุษย์และความเอื้ออาทรมากกว่าเดิม รูปแบบที่สร้างสรรค์ใหม่ของการมีส่วนร่วมในสังคม การเมือง และเศรษฐกิจต้องมีการรื้อฟื้นกันขึ้นมาใหม่ ต้องมีความรู้สึกละเอียดอ่อนต่อเสียงของคนยากจน และมีการปวารณาที่จะรวมพวกเขาเข้ามาในการสร้างอนาคตร่วมกันกับพวกเรา (เทียบ Fratelli tutti, ข้อ 169) ในฐานะที่พวกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐกิจ พวกท่านทราบดีว่าความไว้วางใจกันที่เกิดจากความสัมพันธ์กันระหว่างประชากร อันเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์กันทุกประเภทรวมทั้งความสัมพันธ์ทางการเงินด้วย ความสัมพันธ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการพัฒนา “วัฒนธรรมแห่งการพบปะกัน” ซึ่งทุกเสียงร้องจะต้องได้รับการฟังและทุกฝ่ายพยายามที่จะแสวงหาความสัมพันธ์กันในการสร้างสะพาน และมองการณ์ไกลถึงโครงการที่ครอบคลุมทุกคนในระยะยาว (เทียบ Ibid., ข้อ 216)

        บัดนี้ ณ ที่นี่ ในขณะที่หลายประเทศกำลังพิจารณากันเกี่ยวกับการฟื้นฟูวิกฤต ก็ยังมีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับโครงการสากลที่สามารถสร้างและเปลี่ยนแปลงสถาบันที่มีอยู่แล้วขึ้นในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันที่มีอิทธิพลควบคุมโลก และช่วยสร้างเครือข่ายแห่งความสัมพันธ์ระดับสากลเพื่อการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวมที่ครอบคลุมถึงทุกคน นี่จำเป็นต้องหมายถึงประเทศที่ยากจนและประเทศด้อยพัฒนาเพื่อให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเอื้อให้พวกเขาเข้าถึงตลาดโลก เจตนารมณ์ในความเอื้ออาทรระดับสากลยังเรียกร้องให้มีการลดหนี้สินที่เป็นภาระของประเทสที่ยากจน ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่สาหัสเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากโรคระบาด การบรรเทาภาระหนี้สินของหลายประเทศและชุมชนในทุกวันนี้เป็นทีท่าอันล้ำลึกของความเป็นมนุษย์ซึ่งสามารถช่วยประชากรให้มีการพัฒนาได้ ทุกคนต้องสามารถไดรับวัคซีน การประกันด้านสุขภาพ การศึกษา และการทำงาน

        และ พวกเราก็ไม่สามารถมองข้ามหนี้อีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ “หนี้ในระบบนิเวศ” ที่ยังคงปรากฏอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ความจริงแล้วพวกเราเป็นหนี้ต่อธรรมชาติเอง รวมถึงประชากรและประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศและความหลากหลายแห่งชีวภาพด้วยฝีมือของมนุษย์ ในประเด็นนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าอุตสาหกรรม การเงิน ซึ่งมีความแตกต่างกันในความคิดสร้างสรรค์ของตนจะพิสูจน์ได้ว่าสามารถที่จะพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อคำนวณการเป็นหนี้ต่อระบบนิเวศ เพื่อประเทศที่พัฒนาแล้วจะเป็นผู้จ่าย ไม่ใช่เพียงแค่ลดการบริโภคพลังงานที่หมุนเวียนไม่ได้ หรือด้วยการช่วยเหลือประเทศที่ยากจนในการสร้างนโยบายและโครงการที่ยั่งยืนเท่านั้น แต่จะต้องอุดหนุนงบประมาณที่จำเป็นสำหรับเป้าหมายนี้ด้วย (เทียบ Laudato Si”, ข้อ 51-52)

        หัวใจของการพัฒนาที่ชอบธรรม และเป็นองค์รวมเป็นความนิยมอย่างล้ำลึกถึงเป้าหมายสุดท้ายแห่งชีวิตเศรษฐกิจทุกประเภท กล่าวคือเพื่อความดีและคุณประโยชน์สากลส่วนรวม จึงเป็นเหตุผลว่าการเงินแบบสาธารณะจะไม่ต้องมีการแยกออกจากความดีคุณประโยชน์ส่วนรวม และตลาดการเงินควรที่จะถูกกำหนดด้วยกฎหมายและระเบียบที่มีเป้าหมายเพื่อที่จะสร้างหลักประกันว่าระบบการตวาดและการเงินถูกนำมาใช้เพื่อความดีคุณประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้นการทำหน้าที่ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคมจึงหมายถึงสิ่งที่มากไปกว่าการแสดงความใจดีเป็นครั้งคราวเท่านั้น “นี่หมายถึงการคิดและการกระทำในรูปแบบของชุมชน นี่หมายความว่าชีวิตของทุกคนมีคุณค่า และมีความสำคัญมากว่าการร่ำรวยของเพียงบางคน บางกลุ่ม นี่ยังหมายถึงการต่อสู้กับโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความยากจน ความไม่เท่าเทียมกัน การตกงาน การไม่มีที่ดินและไม่มีบ้าน การถูกปฏิเสธสิทธิทางสังคมและการทำงาน… ความเอื้ออาทรที่เข้าใจในความหมายนล้ำลึก  คือหนทางที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ (Fratelli Tutti, ข้อ 116)

        นี่ถึงเวลาแล้วที่ต้องยอมรับว่าระบบการตลาด – โดยเฉพาะระบบการเงิน – ไม่ได้มีอำนาจปกครองตัวเอง การตลาดต้องมีการควบคุมด้วยกฎหมายและระเบียบที่สร้างหลักประกันว่าทั้งระบบต้องทำงานเพื่อความดีและคุณประโยชน์ส่วนรวม โดยให้หลักประกันว่า – แทนที่จะพะวงอยู่กับการทำงานในวงแคบๆ หรือแสวงหางบประมาณให้กับตนเอง – ควรทำเพื่อเป้าหมายทางสังคมที่มีความต้องการเป็นอย่างยิ่งในบริบทของความเร่งด่วนกับปัญหาสุขภาพในโลกปัจจุบัน ในประเด็นนี้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะขอให้พิจารณาช่วยสนับสนุนวัคซีนเป็นพิเศษ เพราะพวกเราไม่อาจที่จะปล่อยให้กฎแห่งการตลาดมาก่อนบัญญัติแห่งความรักและสุขภาพของทุกคน ณ จุดนี้ข้าพเจ้าขอเรียกร้องไปยังผู้นำประเทศ นักธุรกิจ และองค์กรสากลให้ทำงานด้วยกันในการจัดหาวัคซีนสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้คนที่มีความอ่อนแอเปราะบางมากที่สุด และเผชิญความทุกข์ร้อนมากที่สุด (เทียบ Urbi et Orbi สาส์นวันคริสต์มาส ปี 2020)

        ข้าพเจ้าหวังว่าในวันที่พวกท่านประชุมเหล่านี้ การตัดสินใจอย่างเป็นทางการของพวกท่านและพรรคพวกเพื่อนพ้องของท่านจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์มากมายในการไตร่ตรองหาทางแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน    

        นี่เป็นอนาคตที่ระบบการเงินสามารถบริการรับใช้ความดีและคุณประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งผู้ที่อ่อนแอเปราะบาง และผู้ที่อยู่ตามชายขอบสังคมจะถูกนำมาไว้เป็นจุดศูนย์กลาง และเป็นที่ซึ่งโลกนี้อันเป็นบ้านส่วนรวมของพวกเราได้รับการเอาใส่ดูแลเป็นอย่างดี

        ในการแสดงความปรารถนาดีอย่างจริงใจจากข้าพเจ้า เพื่อการประชุมนี้จะได้บังเกิดผลอย่างเต็มที่  ข้าพเจ้าวิงวอนพระพรพระเจ้าแห่งปรีชาญาณและความเข้าใจ การปรึกษาหารืออย่างดี พละกำลัง และสันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทุกคน

จากนครรัฐวาติกัน วันที่ 4 เมษายน 2021
ฟรานซิส

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บเนื้อหาสาระในจดหมายของพระสันตะปาปาถึงสมาชิก IMF มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

การเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาแบบทั่วไป (General Audience)
วันพุธที่ 7 เมษายน 2021

การเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาแบบทั่วไป (General Audience) วันพุธที่ 7 เมษายน 2021

ณ ห้องสมุดวาติกัน

คำสอนเรื่องการสวดภาวนา – 28 การภาวนาพร้อมกับสหพันธ์นักบุญ  

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก

        วันนี้พ่อปรารถนาที่จะไตร่ตรองถึงการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างการสวดภาวนากับสหพันธ์นักบุญ ความจริงเมื่อพวกเราสวดภาวนาพวกเราไม่เคยสวดตามลำพัง แม้พวกเราจะไม่คิดถึงเรื่องนี้มากนัก แต่พวกเราก็จุ่มตัวของเราเองลงไปในแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่แห่งการอธิษฐานที่เกิดขึ้นก่อนที่พวกเราจะสวดและดำเนินไปพร้อมกันกับพวกเรา ซึ่งเป็นดุจแม่น้ำสายใหญ่

        สิ่งที่อยู่ในการสวดภาวนานั้น พวกเราพบได้ในพระคัมภีร์ที่บ่อย ๆ ครั้งสะท้อนให้เห็นในจารีตพิธีนั้น ล้วนเป็นเรื่องราวโบราณของการช่วยให้ประชากรเป็นไท ของการอพยพ และของการเนรเทศที่น่าเศร้าใจ ของความชื่นชมยินดีที่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน ของการสรรเสริญที่ก้องกังวานต่อความอัศจรรย์แห่งการสร้างสรรพสิ่งสรรพสัตว์… ดังนั้นเสียงแห่งคำภาวนาเหล่านั้นจึงถูกส่งต่อจากชนรุ่นหนึ่งสู่ชนอีกรุ่นหนึ่งในความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของประชากรรวมถึงมนุษยขาติ ซึ่งพวกเราก็เป็นสมาชิกด้วยคนหนึ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถแยกตนเองออกจากประวัติศาสตร์ของตนได้เพราะนั่นเป็นประวัติศาสตร์แห่งประชากรของพวกเขา ทัศนคตินี้จะฝังรากอยูในมรดกตกทอดของพวกเราเสมอ แม้กระทั่งในวิธีที่พวกเราสวดภาวนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำภาวนาที่หลั่งไหลออกมาจากหัวใจของผู้ที่ต่ำต้อยและสุภาพถ่อมตน เป็นเสียงสะท้อนบางส่วนของบทเพลงมักญีฟิกัต (Magnificat) ที่พระแม่มารีย์ยกจิตใจขึ้นสู่พระเจ้าต่อหน้าเอลีซาเบ็ธ ผู้เป็นญาติ หรือการอุทานของผู้อาวุโสซีเมโอนซึ่งหลังจากนำพระกุมารมาอุ้มแล้วก็กล่าวว่า “บัดนี้พระองค์ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปในสันติสุขตามพระวาจาของพระองค์” (ลก. 2: 29)

        คำภาวนาที่ดีเหล่านั้นเป็น “สิ่งที่แพร่ขยายได้” ดุจทุกสิ่งที่ดีงาม เผยแพร่ตนเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีการประกาศในเครือข่ายสื่อสารมวลชน จากห้องผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล จากช่วงที่มีการชุมนุมเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ กับผู้ที่พวกเรารับฟังทุกข์อย่างเงียบๆ… ความเจ็บปวดของคน ๆ หนึ่งเป็นความเจ็บปวดของทุกคน และความสุขของคน ๆ หนึ่งจะถูกถ่ายทอดไปสู่ดวงวิญญาณของอีกใครบางคน ความเจ็บปวดความสุขและเรื่องราวทุกอย่างที่สร้างเป็นเหตุการณ์ขึ้นมาในชีวิตของพวกเรา เรื่องราวเหล่านี้จะถูกรื้อฟื้นด้วยการบอกเล่าของพวกเรา ประสบการณ์นั้นจะเป็นสิ่งเดียวกัน

        การสวดภาวนาจะทำให้พวกเราเกิดใหม่เสมอ แต่ละครั้งที่พวกเราพนมมือและเปิดใจสู่พระเจ้า พวกเราจะพบตัวเราอยู่ท่ามกลางบรรดานักบุญ ทั้งนักบุญที่เรารู้จักและไม่รู้จักซึ่งสวดภาวนาพร้อมกับพวกเราและอธิษฐานวิงวอนเพื่อพวกเรา ในฐานะที่บรรดานุกบุญเป็นพี่เป็นน้องกันซึ่งล่วงไปก่อนหน้าพวกเรา ในการประจญภัยของชีวิตมนุษย์แบบเดียวกัน ไม่มีความทุกข์โศกใด ๆ ในพระศาสนจักรที่ต้องทนตามลำพัง ไม่มีการหลั่งน้ำตาโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็น  เพราะว่าทุกคนหายใจเข้าออกและมีส่วนร่วมในพระหรรษทานเดียวกัน นี่ไม่ใช่เป็นการบังเอิญที่ในพระศาสนจักรดั่งเดิมถูกฝังในสวนที่อยู่รอบอาคารศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่าเป็นการบอกกล่าวในวิธีใดวิธีหนึ่งเกี่ยวกับผู้ที่เดินทางชีวิตล่วงหน้าไปก่อนพวกเรานั้นต่างก็มีส่วนร่วมในศีลมหาสนิท พ่อแม่ปู่ยาตายายของพวกเราอยู่ที่นั้น พ่อแม่ทูนหัวของพวกเราก็อยู่ที่นั้น ครูคำสอนและอาจารย์ของพวกเราก็อยู่ที่นั้น… ความเชื่อที่ส่งต่อและถ่ายทอดกันมาที่พวกเราได้รับ พร้อมกับความเชื่อก็ยังมีวิธีการสวดภาวนาและคำภาวนาก็มีการถ่ายทอดติดต่อกันมาด้วย

        บรรดานักบุญยังอยู่ที่นี่ พวกท่านไม่ห่างไกลจากพวกเราและการเป็นผู้แทนของพวกเขาในพระศาสนจักรชี้ให้เห็นเสมอถึง “เมฆแห่งประจักษ์พยาน” ที่อยู่รอบตัวเรา (ดู ฮบ. 12: 1) เมื่อเริ่มต้นการสอนคำสอนวันนี้พวกเราได้ยินบทอ่านจากข้อความในจดหมายถึงชาวฮีบรู พวกเขาเป็นประจักษ์พยานที่พวกเราไม่ได้นมัสการดุจพระเจ้า – นั่นเป็นที่เข้าใจกันว่าพวกเราไม่นมัสการนักบุญเหล่านั้น – แต่ท่านนักบุญเป็นผู้ที่พวกเราให้ความเคารพ และด้วยวิธีการร้อยแปดบรรดานักบุญเป็นผู้ที่นำพวกเราไปพบปะพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเจ้าและเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ “นักบุญ” ที่ไม่นำพวกลูกไปพบปะพระเยซูคริสต์ นั่นไม่ใช่นักบุญ นักบุญเป็นผู้ที่ทำให้พวกลูกรำลึกถึงพระเยซูคริสต์ เพราะว่าบรรดานักบุญดำเนินชีวิตตามหนทางในฐานะที่เป็นคริสตชนคนหนึ่ง นักบุญเตือนใจพวกเราว่าแม้ในชีวิตของพวกเราถึงแม้ว่าพวกเรามีความอ่อนแอและเต็มไปด้วยบาป ทว่าความศักดิ์สิทธิ์ก็อาจที่จะตามมาได้ แม้กระทั่งเป็นช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต อันที่จริงพวกเราอ่านพบในพระวรสารว่า นักบุญองค์แรก ๆ ที่พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนานั้นเป็นโจรด้วยซ้าไปไม่ใช่พระสันตะปาปา ความศักดิ์สิทธิ์เป็นการเดินทางแห่งชีวิต อาจจะยาวหรือสั้นหรือทันทีทันใดที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ แต่พวกเขาจะต้องเป็นประจักษ์พยานเสมอ นักบุญล้วนเป็นประจักษ์พยานเป็นผู้ที่พบกับพระเยซูคริสต์แล้วติดตามพระองค์ไป ในชีวิตไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะกลับใจหาพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์แห่งความดีและความรักที่ยิ่งใหญ่ (ดู สดด. 103: 8)

        คำสอนของพระศาสนจักรอธิบายว่าบรรดานักบุญพิศเพ่งพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ เอาใจใส่เสมอต่อผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก […] การวิงวอนของบรรดานักบุญคือการรับใช้จนสุดความสามารถในแผนการของพระเจ้า พวกเราสามารถและควรขอร้องบรรดานักบุญให้ช่วยวิงวอนเพื่อชาวเราและเพื่อชาวโลก” (CCC, ข้อ 2683) อันเป็นความเอื้ออาทรอย่างเร้นลับในพระเยซูคริสต์ระหว่างผู้ที่ได้ผ่านเข้าไปสู่อีกชีวิตหนึ่งแล้วกับพวกเราผู้ทีกำลังเดินทางในโลกนี้ จากสรวงสวรรค์ผู้ที่จากไปแล้วยังคงดูแลพวกเราอยู่ บรรดานักบุญอธิษฐานภาวนาสำหรับพวกเรา และพวกเราก็ภาวนาผ่านทางบรรดานักบุญ และภาวนาสำหรับผู้ล่วงลับเช่นเดียวกัน

        การเชื่อมสัมพันธ์กันในคำภาวนาระหว่างพวกเรากับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นทำไห้พวกเรามีประสบการณ์ในความสัมพันธ์แห่งการสวดภาวนาตั้งแต่ที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเราสวดภาวให้กันและกัน พวกเราทั้งขอและมอบคำภาวนาให้แก่กันและกัน… วิธีแรกที่จะสวดภาวนาสำหรับใครบางคนก็คือพูดกับพระเจ้าเกี่ยวกับผู้นั้น หากพวกเราเช่นนี้บ่อยๆทุกวัน พวกเราจะไม่ปิดหัวใจตนเอง แต่จะเปิดหัวใจสู่บรรดาพี่น้องของพวกเรา การสวดภาวนาสำหรับผู้อื่นเป็นก้าวแรกที่จะรักพวกเขา และจะผลักดันให้พวกเราเข้าใกล้พวกเขา แม้ในยามที่เกิดความขัดแย้งกันวิธีแก้ปัญหาหรือทำให้เบาลงคือการสวดภาวนาให้กับคนที่พวกเราเผชิญปัญหาขัดแย้ง การสวดภาวนาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งแรกที่จะเปลี่ยนแปลงคือหัวใจและทัศนคติของพวกเราเอง พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงหัวใจเพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นการพบปะกันแบบกัลบาณมิตร เป็นการพบปะกันแบบใหม่เพื่อว่าความขัดแย้งจะไม่กลายเป็นสงครามที่ไม่สิ้นสุด

        วิธีที่สองในการเผชิญกับเวลาที่พวกเรามีความเจ็บปวดคือขอบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเรา และที่สำคัญคือบรรดานักบุญให้ช่วยภาวนาสำหรับพวกเรา ชื่อนักบุญที่มอบให้พวกเราแต่ละคนในวันรับศีลล้างบาปไม่ใช่เป็นยี่ห้อหรือเครื่องประดับ! ปกติแล้วจะเป็นชื่อนักบุญของแม่พระ หรือนักบุญผู้ซึ่งไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากจะ “ช่วยเหลือ” ในชีวิตของพวกเรา เพื่อที่จะช่วยให้พวกเราได้รับพระหรรษทานจากพระเจ้าที่พวกเราต้องการ หากการทดลองแห่งชีวิตไม่ถึงจุดแตกหัก หากพวกเรายังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ หากพวกเราดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหาทุกอย่างโดยไว้วางใจมากว่าบุญบารมีของพวกเราเอง บางทีพวกเราเป็นหนี้บุญคุณเหล่านี้เพราะการวอนขอของบรรดานักบุญ ซึ่งบางท่านก็อยู่ในสวรรค์ ส่วนอีกหลายคนก็ยังคงเป็นผู้เดินทางในโลกนี้เช่นเดียวกันกับพวกเรา บรรดาบุรุษและสตรีเหล่านั้นเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์  พวกเขาไม่ทราบเรื่องนี้และพวกเราก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน ทว่ามีนักบุญที่เป็นนักบุญทุกวันเป็นนักบุญที่ซ่อนเร้น หรืออย่างที่พ่อเองเคยพูด พวกเขา “เป็นนักบุญที่อยู่ข้างบ้าน” เป็นบุคคลเหล่านั้นที่แบ่งปันชีวิตกับพวกเราและดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์

        เพราะฉะนั้นพระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่เพียงพระองค์เดียวของโลกพร้อมกับบรรดาชายหญิงที่เป็นนักบุญ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอยู่มากมายในโลก และเป็นผู้ที่สรรเสริญพระเจ้าด้วยชีวิตของพวกเขา – เฉกเช่นที่นักบุญบาซิล ได้ยืนยันว่า – “พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ดำรงอยู่อย่างแท้จริงในนักบุญเหล่านั้น เพราะว่าบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้อุทิศตนเองเป็นที่ประทับของพระเจ้าและถูกเรียกว่าเป็นวิหาร” (On the Holy Spirit, 26, 62: PG 32. 1844A; see CCC, ข้อ 2684)

 


การทักทายของพระสันตะปาปา

        ขอต้อนรับผู้จาริกแสวงบุญที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งพระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จกลับคืนชีพ พ่อขอให้พระเมตตาของพระบิดาเจ้า จงประทับอยู่กับพวกลูกและครอบครัวของพวกลูก ขอพระเยซูคริสต์โปรดอวยพรทุกคน

 


คำอุทธรณ์จากพระสันตะปาปา

        พ่อระลึกถึงในคำภาวนาสำหรับผู้ที่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายของอุทกภัยเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ประเทศอินโดนีเซียและประเทศติมอร์ตะวันออก ขอพระเจ้าโปรดต้อนรับผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตไป บรรเทาใจครอบครัวของพวกเขา และให้การสนับสนุนพวกเขาที่เสียบ้านเรือนไป

        เมื่อวานนี้เป็นวันกีฬาเพื่อการพัฒนาและสันติสากลที่สถาปนาขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ พ่อหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้การกีฬาเป็นประสบการณ์แห่งเหตุการณ์ที่เป็นทีม เพื่อส่งเสริมการเสวนาอาศัยวัฒนธรรม และประชากรที่มีความแตกต่างกัน

        ในมุมมองนี้พ่อปรารถนาที่จะให้กำลังใจบรรดานักกีฬาของวาติกัน ขอให้ช่วยกันเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งความเป็นพี่น้องกันในโลกของการกีฬาโดยใส่ใจต่อผู้ที่มีความอ่อนแอมากที่สุด เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานแห่งสันติสุข

 


สรุปพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก การเรียนคำสอนของพวกเราดำเนินต่อไปเกี่ยวกับการสวดภาวนา  วันนี้พวกเราจะพูดกันถึงสหพันธ์นักบุญ เมื่อใดที่พวกเราสวดภาวนา พวกเราจะพบว่าตัวเราเองจุ่มเข้าไปในสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นการวิงวอนขอสิ่งที่จำเป็นสำหรับปัจเจกบุคคลและของชาวโลก เพราะว่าพวกเราสวดพร้อมกันกับบรรดานักบุญในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระกายทิพย์ของพระเยซูคริสต์ซึ่งได้แก่พระศาสนจักร  บรรดานักบุญซึ่งเป็น “เมฆแห่งประจักษ์พยาน” (ฮบ. 12: 1) ที่ทั้งที่พวกเรารู้จักและไม่รู้จัก ทุกท่านต่างอธิษฐานภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อนกับพวกเราและสำหรับพวกเราเพื่อถวายพระสิริมงคลแด่พระเจ้า การเคารพนับถือนักบุญทำให้พวกเรามีความใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นคนกลางแต่เพียงผู้เดียวระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ก็เช่นเดียวกัน พวกเรามีจิตสำนึกในความเอื้ออาทรที่เร้นลับกับบุคคลที่พวกเรารักที่ตายปราศจากจากความรู้สึก ในความเอื้ออาทรพวกเรายังสวดภาวนาให้พวกเขาอยู่ พวกเรายังรู้สึกมีความเอื้ออาทรด้วยการสวดภาวนาสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ในขณะที่อธิษฐานภาวนาให้กันและกันสำหรับบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเราที่ยากจน ที่เผชิญความทุกข์ และมีความเดือดร้อนมากที่สุด ในเวลาที่กำลังท้าทายพวกเราอยู่นี้ ขอให้พวกเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งได้แก่บรรดานักบุญ และพวกเราขอมอบตนเองด้วยความไว้วางใจกับการวอนขอของบรรดานักบุญเพื่อการประกาศพระวรสารและเพื่อความรอดแห่งครอบครัวมนุษย์ของพวกเรา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

10 ข้อคิดจาก “ความปิติยินดีแห่งความรัก”

10 ข้อคิดจาก “ความปิติยินดีแห่งความรัก”

โดย คุณพ่อ เจมส์ มาร์ติน SJ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ออก  พระสมณลิขิตเตือนใจ  “ความปิติยินดีแห่งความรัก” (Amoris  Laetitia – The Joy of Love) 19 มีนาคม 2016  ทรงขอให้พระศาสนจักรพบกับประชาชนแบบที่เขาเป็น  เข้าใจชีวิตที่ซับซ้อนของประชาชน  และเคารพมโนธรรมของประชาชน  เมื่อเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านศีลธรรม ทรงขอให้เราอย่าตัดสินเร็วไป  และอย่ายื่นกฎเกณฑ์ให้โดยมิได้พิจารณาสิ่งที่ประชาชนติดขัด 

            จากการประชุมสมัชชาบิชอปสมัยวิสามัญ  เรื่องครอบครัว  5-19 ตุลาคม 2014 และ สมัยสามัญ  (ครั้งที่ 14) เรื่องครอบครัว ระหว่างวันที่ 4-25 ตุลาคม 2015  ณ นครรัฐวาติกัน  สมเด็จพระสันตะปาปาทรงยืนยันคำสอนของพระศาสนจักร เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและการแต่งงาน  แต่ทรงเน้นบทบาทมโนธรรม  และการไตร่ตรองด้านอภิบาล   จุดประสงค์เพื่อช่วยครอบครัวให้มีประสบการณ์ความรักของพระเจ้า  และรับรู้ว่าพระศาสนจักรต้อนรับสมาชิก  อาจเรียกได้ว่าเป็น วิธีอภิบาลใหม่ (ข้อ 199)

            ต่อไปนี้เป็น 10 ข้อที่เราควรรู้เกี่ยวกับพระสมณลิขิตเตือนใจฉบับนี้

  1. พระศาสนจักรต้องเข้าใจครอบครัว และเข้าใจแต่ละคนในความซับซ้อนของพวกเขา  ต้องพบประชาชนในที่เขาอยู่  ผู้อภิบาลต้องหลีกเลี่ยงการตัดสินที่ไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของสถานการณ์หลากหลาย” (296) “ไม่ควรจะแยกออกเป็นพวกๆ  หรือจัดหมวดหมู่โดยใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดมากเกินไป  จนไม่เหลือที่ว่างสำหรับการไตร่ตรองแยกแยะส่วนตัว  หรือสำหรับการอภิบาลที่เหมาะสม” (298) สัตบุรุษควรได้รับกำลังใจให้ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร  ได้รับการต้อนรับให้เข้าวัด  เข้าใจความลำบาก  และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยเมตตาธรรม  “การคิดว่าทุกสิ่งเป็นขาวหรือดำ” ต้องหลีกเลี่ยง (305)  พระศาสนจักร  ไม่สามารถประยุกต์ศีลธรรม  ราวกับว่ากฎเหล่านั้นเป็นเสมือนก้อนหินที่ทุ่มใส่ชีวิตของผู้คน (305)  พระองค์ขอให้เราเข้าใจ   มีเมตตา  และ ก้าวเดินไปด้วยกัน
  2. บทบาทของมโนธรรม เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจด้านศีลธรรม “มโนธรรมส่วนบุคคลจำเป็นต้องรวมเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมกับธรรมเนียมปฏิบัติของพระศาสนจักรในสถานการณ์หนึ่งๆ ถึงแม้ว่าไม่ตรงกับความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานตามความคิดของเรา” (303) กล่าวคือเราลืมความเชื่อตามประเพณีที่ว่ามโนธรรมส่วนบุคคล เป็นผู้ตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับชีวิตศีลธรรม พระศาสนจักร “ถูกเรียกร้องให้สร้างมโนธรรม (จิตสำนึก) ไม่ใช่หาสิ่งอื่นมาทดแทน” (37) สมเด็จพระสันตะปาปากล่าวว่าการสอนของพระศาสนจักรต้องสร้างมโนธรรม  แต่มโนธรรมเป็นมากว่าตัดสินว่าอะไรสอดคล้อง  หรือไม่สอดคล้องกับการสอนของพระศาสนจักร  มโนธรรมสามารถตระหนักถึงสิ่งที่พระเจ้าเองทรงเรียกร้อง (303) ด้วยความมั่นคงด้านศีลธรรม” ดังนั้นบรรดาผู้อภิบาลจำเป็นต้องช่วยประชาชนมิให้ทำตามกฎเกณฑ์ แบบชื่อๆ แต่ต้องรู้จัก “ไตร่ตรองแยกแยะ “ที่รวมการตัดสินใจ อาศัยการอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือ (304)
  3. ชาวคาทอลิกที่อย่าร้าง และสมรสใหม่ต้องการการยอมรับเข้ามาในพระศาสนจักรอย่างเต็ม(ใจ) มากยิ่งขึ้น  อย่างไร  ด้วยการมองสถานการณ์เฉพาะของพวกเขา  ด้วยการระลึกถึง “องค์ประกอบที่ทำให้บรรเทาลง” ด้วยการให้การแนะนำ “เรื่องภายใน”  (คือ สนทนาส่วนตัวระหว่างพระสงฆ์  และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  หรือ ทั้งคู่) และด้วยการเคารพการตัดสินใจสุดท้ายเกี่ยวกับระดับการมีส่วนร่วมในวัด  ปล่อยให้ตามมโนธรรมของบุคคล (305.300)  คู่สมรสที่อย่าร้าง และสมรสใหม่  ควรได้รับความรู้สึกยังเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักร  “พวกเขาไม่ได้ถูกขับออกจากพระศาสนจักร  และพวกเขาไม่ควรจะได้รับการปฏิบัติในทำนองนั้น  เพราะพวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพระศาสนจักร “(243)
  4. สมาชิกทุกคนของครอบครัว ต้องได้รับการให้กำลังใจที่จะดำเนินชีวิตคริสตชนที่ดี   ข้อความส่วนใหญ่ในพระสมณลิขิตเตือนใจนี้  ประกอบด้วยข้อไตร่ตรองจากพระวรสาร และ การสอนของพระศาสนจักร  เรื่องความรัก  ครอบครัว และลูก  รวมทั้งข้อแนะนำภาคปฏิบัติ  จากสมเด็จพระสันตะปาปา ข้อตักเตือน  และบทเทศน์เกี่ยวกับครอบครัว  การแต่งงานที่ดีเป็นกระบวนการที่มีพลวัต  แต่ละฝ่ายไม่สมบูรณ์  “ความรักไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ  เพื่อจะทำให้เราเห็นคุณค่า”  (113,122) สมเด็จพระสันตะปาปา กำลังตรัสในฐานะผู้อภิบาล  ทรงให้กำลังใจไม่เฉพาะแก่คู่แต่งงานแล้วเท่านั้น  แต่คู่หมั้น  มารดามีครรภ์  ผู้ปกครองที่รับลูกบุญธรรม  แม่ม่าย  ลุงป้าและปู่ย่าตายายด้วย  พระองค์สนใจเป็นพิเศษไม่ให้ใครรู้สึกว่าไม่สำคัญหรือถูกตัดออกจากความรักของพระเจ้า
  5. เราไม่ควรพูดอีกต่อไปเกี่ยวกับประชาชน “ที่กำลังมีชีวิตในบาป” สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสชัดเจนว่า  “เราจึงไม่อาจกล่าวอย่างง่ายๆอีกต่อไปว่าสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะ “ไม่ปกติ” ทั้งหมดตกอยู่ในสถานะของบาปที่ทำให้ตาย” (301)  บางคนใน “สถานการณ์ไม่ปกติ” หรือครอบครัวไม่ตามประเพณี  เช่น แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกลำพังคนเดียว  จำเป็นต้องได้รับ “ความเข้าใจ  การปลอบโยน  และการยอมรับ” (49) พระศาสนจักรต้องหยุดการพิจารณาประยุกต์ตามกฎเกณฑ์ด้านศีลธรรม  “ราวกับว่ากฎเหล่านั้นเป็นเสมือนก้อนหินทุ่มใส่ชีวิตของผู้คน”(305)
  6. สิ่งที่อาจเกิดผลในสถานที่หนึ่ง อาจไม่เกิดผลในสถานที่อื่น  สมเด็จพระสันตะปาปามิได้ตรัสในเรื่องปัจเจกชนเท่านั้น  แต่แบบสถานที่ทางภูมิภาคด้วย  “แต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาคสามารถแสวงหาทางออกที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับวัฒนธรรม  และความอ่อนไหวต่อขนบธรรมเนียมประเพณี  และความต้องการในท้องถิ่นของตน” (3) สิ่งที่มีเหตุผลด้านอภิบาลในประเทศหนึ่ง อาจดูไม่เหมาะในประเทศอื่น ด้วยเหตุนี้และอื่นๆ  ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสตอนเริ่มเอกสารนี้ว่าด้วยเหตุผลนี้  มิใช่ทุกปัญหาสามารถได้รับการจัดการด้วยอำนาจทางการของพระศาสนจักร (3)
  7. เรายืนยันคำสอนตามธรรมประเพณี เรื่องการแต่งงาน  แต่พระศาสนจักรไม่ควรทำให้ประชาชนแบกภาระด้วยการคาดหวังต่างๆที่ไม่ตรงสภาพข้อเท็จจริง  การแต่งงานเป็นระหว่างชายหนึ่ง และหญิงหนึ่ง  และอย่าร้างไม่ได้  เราไม่ถือว่าการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันเป็นการแต่งงาน  ในเวลาเดียวกัน บ่อยครั้งพระศาสนจักรได้ยัดเยียดความคิดด้านเทววิทยาที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเรื่องการแต่งงาน  ให้แก่ประชาชน  ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของประชาชน  (36)  บางครั้งอุดมคติเหล่านี้เป็น “ภาระอันใหญ่หลวง” (122) ตามจุดมุ่งหมายนั้น  บรรดาสามเณรและพระสงฆ์จำเป็นต้องได้รับการอบรมดีขึ้น ให้เข้าใจความซับซ้อนชีวิตสมรส  “บรรดาพระสงฆ์ผู้อภิบาลมักจะไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมที่จำเป็นสำหรับการจัดการกับปัญหาอันซับซ้อนที่ครอบครัวกำลังเผชิญกันอยู่” (202)
  8. เด็กๆต้องได้รับการอบรมเรื่องเพศ และเพศภาวะ  ในวัฒนธรรมหนึ่งที่ทำให้การแสดงออกด้านเพศเป็นเรื่องธรรมดา(ไม่ใช่เรื่องสำคัญ) และ ถูกทำให้เสื่อมคุณค่าลง  เด็กๆต้องเข้าใจเรื่องเพศ “ด้วยกรอบความคิดที่กว้างขึ้น  ในเรื่องของความรัก  การเสียสละตนเองแก่กันและกัน” (280) น่าเศร้าที่ “ร่างกายของบุคคลอื่นถูกมองว่าเป็นวัตถุที่ใช้การได้” (153)   เราต้องอบรมให้เด็กๆเข้าใจว่าเพศเป็นของขวัญแห่งชีวิตใหม่
  9. สมาชิกชายหญิงผู้ชอบเพศเดียวกัน ควรได้รับความเคารพต่อศักดิ์ศรี  พระศาสนจักรไม่อนุญาตการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน  สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะยืนยัน” ก่อนใดหมด” ว่าบุคคลที่รักเพศเดียวกัน  ควรได้รับความเคารพต่อศักดิ์ศรีของพวกเขา และได้รับการปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ในขณะที่เราต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจส่งสัญญาณของการเลือกปฏิบัติทุกประการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวร้าวและความรุ่นแรงในทุกรูปแบบ  ครอบครัวที่มีสมาชิกที่มีความหลากหลายทางเพศ ( LGBT ) ต้องได้รับ “การแนะนำด้านอภิบาลด้วยความเคารพ “จากพระศาสนจักรและบรรดาผู้อภิบาล   เพื่อบรรดารักร่วมเพศสามารถ ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ในชีวิตของพวกเขา (250)
  10. ยินดีต้อนรับทุกคน พระศาสนจักรต้องช่วยครอบครัวทุกชนิด  และประชาชนทุกฐานะ  แม้ในความบกพร่องของพวกเขา  ให้รู้ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา ช่วยให้มีประสบการณ์ความรักนี้  ดังนั้นบรรดาผู้อภิบาลต้องทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการต้อนรับในเขตวัด   สมณลิขิตเตือนใจนี้ มอบวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักรด้านการอภิบาล  และเมตตาธรรม  ซึ่งให้กำลังใจประชาชนประสบ“ความปิติยินดีแห่งความรัก”  ครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในพระศาสนจักร  เพราะเหตุว่า “พระศาสนจักรเป็นครอบครัวของครอบครัวทั้งหลาย” (87)

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล (9 เมษายน 2021)
www.americanmagazine.org 8 เมษายน 2016

ที่ ชม.035 / 2021 ปีครอบครัว

ที่ ชม.035 / 2021

ปีครอบครัว

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเข้าใจสิ่งท้าทายในสังคม และเห็นความสําคัญของครอบครัวในปัจจุบัน จึงได้ออกพระสมณลิขิตเตือนใจ ความปิติยินดีแห่งความรัก (Amoris Laetitia ) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2016 เกี่ยวกับ ความรักในครอบครัว และในโอกาสครบรอบ 5 ปี ของสมณลิขิตเตือนใจฉบับนี้ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2020 พระองค์ได้ประกาศ ปีครอบครัว วันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2021 ถึง 26 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ปิดงานประชุมครอบครัวสากล (ครั้งที่ 10) ณ กรุงโรม

โดยมีวัตถุประสงค์ 5 ประการ คือ

1. ศึกษาเนื้อหาสมณลิขิตเตือนใจ ความปีติยินดีแห่งความรัก (Amoris Laetitia )
2. เครื่องหมายแห่งการสมรส เป็นของขวัญประเสริฐ
3. ทําให้ครอบครัวเป็นครอบครัวอภิบาล
4. ทําให้เยาวชนรับรู้ถึงความสําคัญของความรัก และพระพรของตนเอง
5. ขยายขอบเขตและพันธกิจแห่งการอภิบาลครอบครัว คือ สามี ภรรยา เด็ก เยาวชน คนชรา และสถานการณ์เปราะบางของครอบครัว

แม้พระศาสนจักรคาทอลิกประเทศไทยเราถือว่าปี 2021 นี้เป็นปีเยาวชน และพระศาสนจักรคาทอลิกสากล ประกาศ ปีนักบุญโยเซฟ (8 ธันวาคม 2020 – 2021) แต่ละแผนกสามารถจัดกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ขัดแย้ง หรือซ้ําซ้อนกัน

คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตชนฆราวาส แผนกครอบครัว ในสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้พิมพ์แผนยุทธศาสตร์ งานอภิบาลครอบครัว ค.ศ.2020 – 2024 มีเสนอโครงการตามแผนงาน คือ มิติการป้องกัน (การเตรียมสู่ชีวิตครอบครัว) มิติการส่งเสริม (การสนับสนุนให้เข้มแข็ง) และมิติการเยียวยา (การอภิบาลช่วยเหลือ )

สําหรับมิสซังเชียงใหม่ พ่อขอให้ เจ้าอาวาส พระสงฆ์ นักบวช ครูคําสอน สภาภิบาล ผู้นําคริสตชนทุกคน นําแผนนั้นมาศึกษาในเขต และเขตวัด ช่วยดูแล เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ครอบครัวที่มีความยากลําบากมากในหมู่บ้าน ในเขตวัด ในช่วงปีครอบครัวนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านให้ช่วยเหลือ 2 ครอบครัว ที่ลําบาก โดยพิจารณาหาครอบครัวที่จะ

1. ภาวนาให้
2. หาทางช่วยติดตาม เชิญผู้อภิบาลไปเยี่ยมเยียน ในโอกาสพิเศษนี้ ให้ทําพิธีแต่งงาน หรือ ศีลสมรสให้เรียบร้อย
3. หากเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ พิการ หรือถูกทอดทิ้ง ให้พี่น้องหาทางให้ความช่วยเหลือเขา ให้มีความสุขขึ้น ในชุมชนของเรา

ครอบครัวดี คนดี สังคมดี มีกระแสเรียก

ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2021

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ )
บิชอปสังฆมณฑลเชียงใหม่

(บาทหลวง ศราวุธ แฮทู)
เลขาธิการสังฆมณฑลเชียงใหม่

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี B

“พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกายแก่บรรดาศิษย์”

นักบุญ ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2005 พระองค์ได้ทรงปกครองพระศาสนจักรคาทอลิกเกือบ 27 ปี พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่ทรงรักการเดินทาง ทรงเฉียดความตายหลายครั้ง ในช่วงต้นสมณสมัยของพระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ (ปี ค.ศ. 1981) ทรงถูกพบว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ในปี 1992 ทรงทนทุกข์จากอาการบาดเจ็บที่ไหล่และสะโพก ในปี 1992 และ 1993 ทรงได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งปี 1996 และในปี 2001 พระองค์ต้องทรงทนทุกข์ทรมานจากโรคพาร์กินสัน ช่วงบั้นปลายพระชนม์ทรงได้รับความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด แต่พระองค์ทรงนำความเจ็บปวดของพระองค์หลอมให้เป็นหนึ่งเดียวกับของพระเยซูคริสตเจ้า และทรงอดทนด้วยความสงบ

วันหนึ่ง ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “พระบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดอภัยในความบ้าบิ่นของผม พระองค์ก็อายุมากแล้ว พระหัตถ์ก็สั่นด้วยโรคพาร์กินสัน พระสุรเสียงก็แหบเบาจนแทบไม่ได้ยิน และการเดินก็ลำบาก พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานมาก และก็ทรงงานไม่ได้เต็มที่ ทำไมพระองค์ไม่ทรงลาออกเพื่อพักผ่อน และเปิดทางให้คนอื่นๆ รับหน้าที่นี้แทน”

พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า “ถ้าพระเยซูเจ้าทรงลงจากกางเขนเมื่อไร ฉันก็จะลงจากหน้าที่ด้วย แต่เนื่องจากว่าพระองค์ยังทรงอยู่บนกางเขน และทรงรับความทรมาน ฉันก็จะยังรับผิดชอบในหน้าที่ต่อไป และรับความทรมานด้วย”

การทนรับความทุกข์ทรมานซึ่งพระองค์ทรงรับเพื่อเห็นแก่ความรักต่อพระคริสตเจ้า และประชากรที่พระคริสตเจ้าทรงมอบไว้ให้พระองค์ ความทุกข์ทรมานของพระสันตะบิดรเป็นสิ่งเดียวกับความรักของพระองค์นั่นเอง

ในพระวรสารของวันนี้ เราได้ยินเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงบาดแผลของพระองค์ให้แก่บรรดาศิษย์ ทรงแสดงรอยแผลที่พระหัตถ์ และที่ด้านข้างพระวรกายซึ่งถูกตอกด้วยตะปู และถูกแทงด้วยหอก พระเยซูเจ้าแม้กลับคืนพระชนมชีพแล้ว ยังคงเก็บรักษารอยแผลไว้ อันที่จริงบัดนี้พระองค์ทรงมีพระกายทิพย์ จะลบรอยบาดแผลนี้ให้หายไปเลยก็ได้ แต่ยังทรงเก็บรักษาไว้เพราะ :

รอยแผลเหล่านี้แสดงถึงเอกลักษณ์ของพระองค์ คือ ศิษย์เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพระองค์นั่นเองที่เทศนาข่าวดีอยู่ 3 ปี ที่ทรงถูกจับกุม ถูกทำทรมาน และถูกตรึงกางเขน บาดแผลของพระองค์เป็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างพระเยซูเจ้าก่อนสิ้นพระชนม์ และพระเยซูเจ้าหลังกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว

รอยแผลเหล่านี้แสดงถึงความรักของพระองค์ พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “นายชุมพาที่ดีต้องยอมสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ” และสิ่งที่ทรงกระทำไป ไม่ใช่ทรงทำไปเพราะถูกบังคับ แต่ทรงทำไปเพราะความรัก รอยแผลเหล่านี้เป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระองค์ มันเป็นสิ่งเดียวกับความรักของพระองค์

โทมัสพลาดไปที่ไม่ได้อยู่กับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ เมื่อพระองค์ทรงประจักษ์กับพวกเขาในครั้งแรก เพื่อแสดงให้เห็นถึงรอยแผลของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมอบองค์เป็นยัญบูชาเพื่อชาวเรา เขาไม่เห็นและไม่เชื่อ เขาต้องการพิสูจน์ และการจะพิสูจน์เอกลักษณ์ของพระองค์ให้รู้แจ้งเห็นจริงก็ขึ้นอยู่กับรอยแผลของพระองค์ ถ้าไม่ได้เอานิ้วแยงลงไป ก็จะไม่เชื่อ

เขาต้องรอถึงหนึ่งสัปดาห์ เพราะครั้งแรกที่ทรงประจักษ์เป็นตอนค่ำของวันต้นสัปดาห์ ก็ต้องรอจนถึงวันต้นสัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง เพราะนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการบอกเป็นนัยว่า หลังกลับฟื้นคืนพระชนมชีพแล้ว เราอยู่ในห้วงเวลาใหม่ วันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่ เราเป็นมนุษย์ใหม่ สิ่งสร้างใหม่ และโทมัสก็ได้เห็นรอยแผล บัดนี้เขาได้เชื่อแล้ว เขาประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” ท่านยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการให้ตอนนี้ซึ่งเป็นตอนจบพระวรสารประกาศอย่างสง่าว่า “ท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า” และตอนจบนี้ก็ไปตรงกับตอนเริ่มต้นพระวรสารของท่านอย่างตั้งใจว่า “เมื่อแรกเริ่มนั้นพระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว…และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า”

พี่น้องเชื่อหรือยังครับว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า แม้ไม่ได้เห็นเหมือนโทมัส แต่ถือว่ามีบุญอย่างยิ่ง

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2012
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose )

เยี่ยมบ้านเยาวสตรี ดอยสะเก็ด

เยี่ยมบ้านเยาวสตรี ดอยสะเก็ด

6 เมษายน 2021 เวลา 18.00 น.

ซิสเตอร์พรพรรณ วิเศษบุญชัย อธิการบ้านเยาวสตรีหทัยนิรมล อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้รับใช้ดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ (www.sihm.or.th) รับเยาวชนสตรี 27 คน จากเผ่าปกาเกอะญอ อาข่า ม้ง ฯลฯ มารับการอบรม โดยเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนดอยสะเก็ด เชิญพ่อไปถวายมิสซา ขอบพระคุณพระเจ้า โอกาสปิดการศึกษา เพราะพรุ่งนี้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน แต่ก็มีอาสาสมัคร อยู่เฝ้าบ้าน ดูแลสวน กะละ3 คน ในระหว่างปิดเทอม
 
ทุกวันเสาร์คุณพ่อ สมชาย กิจนิชี มาถวายมิสซา
 
หลังมิสซา มีรับประทานอาหาร มอบของขวัญให้ผู้ได้รับศีลแห่งการเป็นคริสตชน 3 คน และแก่ผู้จะย้ายไปเรียนต่อที่อื่น
 
ขอบคุณซิสเตอร์ และคณะที่มาร่วมงานช่วยเยาวสตรีของเราครับ

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน)

ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย

ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย

เนื่องจากในปีนักบุญโยเซฟ (8 ธันวาคม 2020 – 2021) มีอนุญาตให้คริสตชนคาทอลิกรับพระคุณการุณย์ในโอกาสพิเศษนี้  ในกฤษฎีกาเรื่องนี้ ข้อ ก กล่าวว่า

            “นักบุญโยเซฟ บุรุษผู้มีความเชื่อโดยแท้จริงได้เชื้อเชิญเราให้ค้นพบความสัมพันธ์ฉันบุตรกับ

พระบิดาอีกครั้ง  ให้เราพร้อมที่จะฟื้นความซื่อสัตย์ในการอธิษฐานภาวนา  วางตนเองเพื่อรับฟัง  และตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยการแยกแยะไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง  ด้วยเหตุนี้  จึงมีการมอบพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์แก่ผู้ที่รำพึงบท  “ข้าแต่พระบิดา”  เป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง  หรือเข้าเงียบสงบจิตใจอย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งวัน ซึ่งกำหนดให้มีบทเทศน์บทรำพึงทีเกี่ยวกับนักบุญโยเซฟ”

            ผมจึงขอนำข้อคิดรำพึงบทภาวนานี้จากภาษาอิตาเลียน  ไม่ทราบนามผู้แต่งที่ศิษย์เก่าโปรปากันดาได้แปลไว้ใน”สารสู่ปี  2000” ฉบับที่ 22 มาแบ่งปันอีกครั้ง   ณ ที่นี้

“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย”

อย่าสวดว่า ข้าแต่พระบิดา

       ถ้าแต่ละวันท่านไม่ได้ประพฤติตนแบบลูกของพระองค์

อย่าสวดว่า ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

       ถ้าเจริญชีวิตปิดตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว

อย่าสวดว่า พระองค์สถิตในสวรรค์

       ถ้าท่านคิดแต่สิ่งของ ของโลกนี้

(อย่าสวดว่า พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ

       ถ้าท่านไม่ถวายเกียรติแด่พระองค์)

อย่าสวดว่า พระอาณาจักรจงมาถึง

       ถ้าท่านเข้าใจหมายถึงความรุ่งเรืองทางวัตถุ

อย่าสวดว่า พระประสงค์จงสำเร็จไป…

     ถ้าท่านไม่ยอมรับน้ำพระทัยในสิ่งที่ยากลำบาก

อย่าสวดว่า โปรดประทานอาหารประจำวัน…

      ถ้าท่านไม่สนใจคนที่หิวโหย ไม่มีสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต

อย่าสวดว่า โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น

     ถ้าท่านยังโกรธเคืองพี่น้องของท่าน

อย่าสวดว่า โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ

    ถ้าท่านยังคิดจะทำบาปต่อไป” 

อย่าสวดว่า โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้าย

     ถ้าท่านไม่พยายามเอาชนะความชั่ว

อย่าสวดว่า อาแมน

     ถ้าท่านยังไม่จริงจังกับบท “ข้าแต่พระบิดา”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์

วันจันทร์หลังสมโภชปัสกาวันที่ 5 เมษายน 2021

เรจินา เชลี - Regina Coeli - ราชินีแห่งสวรรค์ ถ่ายทอดสดจากห้องสมุดวาติกัน

วันจันทร์หลังสมโภชปัสกาวันที่ 5 เมษายน 2021

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        วันจันทร์หลังสมโภชปัสกายังเรียกกันว่า “วันจันทร์แห่งทูตสวรรค์” เพราะพวกเรารำลึกถึงการพบปะระหว่างทูตสวรรค์กับสตรีที่ไปยังคูหาฝังศพของพระเยซูคริสต์ (ดู มธ. 28: 1-15) ทูตสวรรค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าทราบ ว่าท่านมาหาพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว (ข้อ 5-6) การกล่าวว่า “พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว” นั่นเกินเลยความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ แม้สตรีเหล่านั้นได้ไปที่คูหาฝังศพ แล้วได้พบก้อนหินปิดทางเข้า (น้ำหนักกว่า 2000 กิโลกรัม) และพระคูหาว่างเปล่า พวกเขาก็ไม่สามารถยืนยันว่า “พระองค์กลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” พวกเขาได้แต่พูดว่า “คูหาฝังศพว่างเปล่า” คำว่า “พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” เป็นสาส์นสำคัญ… ซึ่งมีเพียงทูตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถกล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” จึงมีเพียงทูตสวรรค์เป็นผู้มีอำนาจในการนำสาส์นของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถกล่าวว่าพระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว เช่นเดียวกันกับทูตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถกล่าวกับมารีย์ว่า “ท่านจะให้บังเกิดบุตร […] และบุตรนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด (ลก. 1:31-32) เพาะเหตุนี้พวกเราจึงเรียกวันนี้ว่าเป็นวันจันทร์แห่งทูตสวรรค์ เพราะมีเพียงทูตสวรรค์เท่านั้น ซึ่งมีอำนาจของพระเจ้าจึงจะสามารถกล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว”

        นักบุญมัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสารเล่าว่าเช้าวันปัสกา “เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ แล้วกลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดคูหาฝังศพออกไป จากนั้นนั่งบนก้อนหินนั้น (ดู ข้อ 2) หินก้อนใหญ่โตขนาดนั้นนั้นที่ปิดไว้เป็นตราประทับถึงชัยชนะต่อความชั่วและความตายถูกวางไว้ใต้เท้า จึงกลายเป็นที่รองเท้าของทูตสวรรค์ของพระเจ้า แผนการทุกอย่างและการป้องกันของพวกศัตรู และผู้เบียดเบียนจับพระเยซูคริสต์ไปทรมานต่าง ๆ จึงไร้ผลสิ้นเชิง การปิดกั้นทุกอย่างล่มสลาย ภาพทูตสวรรค์นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่หน้าคูหาฝังศพคือการแสดงอย่างเป็นรูปธรรมถึงชัยชนะของพระเยซูคริสต์เหนือเจ้าชายใด ๆ ของโลกนิ้ นี่เป็นการแสดงถึงชัยชนะของความสว่างเหนือความมืด  คูหาฝังศพของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ถูกเปิดออกด้วยปรากฏการณ์ทางกายภาพ แต่ด้วยพลังของพระเจ้า มัทธิวเล่าต่อว่าการปรากฏตัวของทูตสวรรค์ “เป็นเสมือนฟ้าผ่าและอาภรณ์ขอพระองค์ขาวดุจหิมะ (ข้อ 3) รายละเอียดเหล่านี้เป็นเสมือนเครื่องหมายที่ยืนยันถึงพลังอำนาจของพระเจ้าเอง ผู้ทรงสร้างศักราชใหม่ครั้งสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์ เพราะว่าการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของของพระเยซูคริสต์เริ่มยุคสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะอยู่ยืนยงคงกระพันนับด้วยพันๆ ปี และนี่เป็นช่วงวาระสุดท้ายในประวัติศาสตร์แห่งความรอด

        ขอให้สังเกตว่ามีปฏิกิริยาสองประการด้วยกันในการเข้าใจถึงพลังของพระเจ้าที่เข้ามาในเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นคือทหารยามที่ไม่สามารถเผชิญกับอำนาจอันเหลือล้นของพระเจ้า และความกลัวจากแผ่นดินไหวภายใน พวกเขาเป็นเหมือนกับคนตาย (ดู ข้อ 4) อำนาจแห่งการเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ได้เอาชนะต่อทุกคนที่เคยรับรองเหมือนว่าชัยชนะจะอยู่เหนือความตาย แล้วพวกทหารยามเหล่านั้นได้ทำอย่างไร? พวกเขาวิ่งไปหาผู้ที่ออกคำสั่งให้พวกเขาเฝ้าดูแลคูหานั้นแล้วพูดความจริงว่าอะไรได้เกิดขึ้น พวกเขามีทางเลือก พูดความจริงหรือไม่ก็ยอมเชื่อผู้ที่ออกคำสั่งให้พวกเขาไปเฝ้ายาม หนทางเดียวที่จะเอาชนะใจพวกทหารยามได้ก็ต้องใช้เงิน แล้วทหารยามผู้น่าเวทนาเหล่านั้นก็ยอมขายความจริง และเมื่อมีสตางค์ในกระเป๋าพวกเขาก็ตระเวนพูดไปทั่วว่า “พวกศิษย์มาขโมยศพไป”  เงินตราคือ “พระเจ้า” แม้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ก็อิทธิพลเหนือพวกเขา ทำให้พวกเขามีหลงทางใช้อำนาจที่ผิดทางและปฏิเสธความจริง ส่วนปฏิกิริยาของบรรดาสตรีนั้นแตกต่างออกไป เพราะพวกเขาได้รับการเชิญจากทูตสวรรค์ของพระเจ้าอย่างชัดเจนไม่ต้องกลัว และในที่สุดพวกเขาก็ไม่กลัวสิ่งใด ๆ “จงอย่าได้กลัวเลย” (ข้อ 5) แล้วพวกเขาก็ไม่ไปตามหาพระเยซูคริสต์ในคูหาฝังศพ

        พวกเราสามารถเก็บเกี่ยวคำสอนทรงคุณค่านี้จากคำบอกกล่าวของทูตสวรรค์ พวกเรามีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการแสวงหาพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ ผู้ทรงประทานชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมให้กับผู้ที่พบปะพระองค์ เพื่อที่จะพบพระเยซูคริสต์หมายถึงการพบกับสันติสุขภายในใจของพวกเรา สตรีกลุ่มนี้ในพระวรสารหลังจากที่มีความกลัวในตอนแรก – ซึ่งพอที่จะเข้าใจได้ – ได้มีประสบการณ์กับความชื่นมยินดีที่ยิ่งใหญ่ในการที่ได้พบปะพระอาจารย์ของตนยังมีชีวิตอยู่ (ดู ข้อ 8-9) ในเทศกาลปัสกานี้ พ่อปรารถนาให้ทุกคนมีประสบการณ์ฝ่ายจิตเช่นเดียวกันกับการต้อนรับพระองค์ในหัวใจของพวกเรา ในบ้านของพวกเราและในครอบครัวของพวกเรา ซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีแห่งการประกาศพระวรสาร “พระเยซูคริสต์ ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจะไม่มีวันสิ้นพระชนม์อีกต่อไป ความตายจะไม่มีวันที่จะเอาชนะพระองค์ได้อีกต่อไป “บทภาวนาเวลารับศีลมหาสนิท) การประกาศปัสกาหรือการที่พระเยซูคริสต์ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง พระเยซูคริสต์ทรงติดตามชีวิตของตัวฉันตลอดไป พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่เคียงข้างตัวฉัน พระเยซูคริสต์ทรงเคาะที่ประตูหัวใจของฉัน เพื่อว่าฉันจะได้ยินยอมให้พระองค์เสด็จเข้าไป พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาล ในช่วงสมโภชปัสกานี้จะเป็นการดีมากสำหรับพวกเราที่จะกล่าวบ่อยๆ ว่า พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ยังคงมีชีวิต

        ความแน่นอนนี้ผลักดันให้พวกเราอธิษฐานภาวนาในวันนี้ และตลอดเทศกาลปัสกา บทเพลง “Regina Coeli Laetare นั่นคือ ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด” อัครทูตคาเบรียลทักทายประโยคนี้เป็นครั้งแรกต่อพระแม่มารีย์ “จงชื่นชมยินดีเถิด ท่านผู้เปี่ยมด้วยหรรษทาน” (ดู มก. 1: 28) บัดนี้ความชื่นชมยินดีของพระแม่มารีย์สมบูรณ์แล้ว พระเยซูคริสต์ทรงยังมีทรงมีชีวิต ทรงรัก และทรงมีชัย ขอให้พวกเรามีความชื่นชมยินดีนี้เช่นเดียวกัน

หลังการขับร้องบทเพลง “Regina Caeli”

ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก

        ในบรรยากาศแห่งปัสกาที่พวกเราสมโภชกันวันนี้  พ่อขอต้อนรับทุกคนด้วยความรักถึงพวกท่านผู้ซึ่งในขณะนี้มีส่วนร่วมในการอธิษฐานภาวนาโดยอาศัยเครื่องมือทางสื่อสารสังคมต่าง ๆ  พ่อคิดถึงเป็นพิเศษต่อผู้สูงอายุ ผู้ที่เจ็บป่วยซึ่งนอนอยู่ที่บ้านของตนหรือบ้านพักคนชรา พ่อขอส่งกำลังใจไปยังพวกเขา และรับรู้อย่างดีถึงการเป็นประจักษ์พยานของพวกเขา พ่ออยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาและกับทุกคน พ่อหวังว่าพวกท่านจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในช่วงอัฐมวารปัสกา ซึ่งพวกเรารำลึกถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ ขอให้โอกาสอันเป็นมิ่งมงคลนี้เป็นประจักษ์พยานต่อความชื่นชลมยินดีและสันติสุขแห่งพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ

        ขอส่งความสุขและและความสงบสันติสุขในจิตใจแก่ทุกคนในวันปัสกาศักดิ์สิทธิ์นี้ โปรดอย่าลืมภาวนาสำหรับพ่อด้วย ขอให้รับประทานอาหารกลางวันด้วยความสุข แล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ฉลองปัสกา ที่ฝาง 2021

ฉลองปัสกา ที่ฝาง 2021

4 เมษายน 2021 เวลา 10.00 น.

คุณพ่อ  นนทภัทร  มาเยอะ  เจ้าอาวาสวัดพระคริสต์แสดงองค์  ฝาง จ.เชียงใหม่  และคุณพ่อประเสริฐ  พิทักษ์คีรีบูน  ได้เชิญพ่อไปฉลองปัสกาที่ฝาง  เนื่องจากไม่ได้ไปฉลองวัด  (ต้นเดือนมกราคม  เพราะการแพร่ระบาดของโควิด 19 รอบ 2 )และมีเยาวชน  37 คน  รับศีลกำลัง

            หลังมืสซา มีมอบไม้กางเขน  และใบรับรองศีลกำลัง  (อาบพลาสติกเรียบร้อย)  มีสัตบุรุษมาร่วมพิธี  เต็มวัด  (เด็ก ชั้น ป.1-6 ) กลับบ้านแล้ว  เพราะปิดเทอม

            มีทานอาหารเที่ยงร่วมกัน  และชมการแสดง 4 รายการ  ครูคำสอนที่นี่เข้มแข็ง  มีระบบการไปสอนคำสอนแก่เด็กๆประมาณ 300 คน ในหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอ

            ครูสิระ พูมา เป็นครูคำสอน ที่ฝาง  ป่วยติดเตียง  พ่อนนทภัทรผมไปเยี่ยม  ภาวนา และให้กำลังใจ  ครอบครัวมีลูกชาย 5 คน น่ารัก  มีภรรยาคอยดูแลใกล้ชิด  ต้องพลิกตัวให้ทุก 2 ชั่วโมง

           ขอท่านช่วยภาวนาให้ครูด้วยนะครับ

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์
5 เมษายน 2021