การอวยพรในโอกาสสมโภชปัสกา 2021

การอวยพรในโอกาสสมโภชปัสกา 2021
แก่ชาวเมืองและชาวโลก (URBI ET ORBI)
ของพระสันตะปาปาฟรานซิส

ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร วันอาทิตย์สมโภชปัสกา ที่ 4 เมษายน 2021

ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย ขอให้โอกาสสมภชปัสกานำทุกคนสู่ความสุข และประสบสันติสุข!

        วันนี้ทั่วโลกพวกเราได้ยินการประกาศของพระศาสนจักรดังก้องกังวาน “พระเยซูคริสต์ ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนทรงเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ ตามที่ทรงตรัสไว้ อัลเลลูยา!”

        สาส์นวันสมโภชปัสกาไม่ใช่การเสนอภาพลวงตา หรือเผยให้เห็นสูตรแบบการเล่นมายากล นี่ไม่ได้ชี้ประตูที่จะหนีภัยจากสถานการณ์ยุ่งยากสับสนที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ โรคระบาดก็ยังคงระบาดต่อไปโดยเฉพาะอย่างต่อคนยากจน ถึงกระนั้นก็ดี – ทว่าสิ่งที่เป็นการสะดุดยิ่งกว่านั่นคือ ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธห้ำหั่นกันยังไม่สิ้นสุดและสนามรบก็กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น นี่แหละคือการเป็นที่สะดุดอันน่าเกลียด

        ท่ามกลางความจริงที่สลับทับซ้อนนี้ สาส์นวันสมโภชปัสกาพูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเรามีความหวังที่จะไม่ทำให้พวกเราต้องผิดหวังอีก “พระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ” นี่ไม่ได้บอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องราวทูตสวรรค์หรือภูตผีทว่าเกี่ยวกับบุคคล บุคคลที่มีเนื้อหนังและกระดูกและมีใบหน้าและบุรุษผู้นั้นชื่อว่า “เยซูคริสต์” พระวรสารยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนและทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ พระเยซูคริสต์ผู้นี้ซึ่งถูกตรึงกางเขนภายใต้สมัยของผู้ว่าการชื่อปอนซีโอ ปิลาโต เพราะพระองค์อ้างว่าตนเองเป็นพระคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ เฉกเช่นที่พระองค์ทรงตรัสกับศิษย์ก่อนหน้านั้น

        พระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนไม่ใช่ผู้อื่นใดทรงฟื้นคืนชีพจากความตาย พระบิดาเจ้าทรงทำให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์กลับฟื้นคืนชีพ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งช่วยให้พวกเรารอดแล้วอย่างสมบูรณ์ พระเยซูคริสต์ทรงน้อมรับความชั่วร้าย ความอ่อนแอทั้งหลาย แม้กระทั่งความตายของพวกเราไว้กับพระองค์ พระองค์รงทนรับการทรมานและต้องแบกความหนักของบาปทั้งมวลของพวกเรา ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงเชิดชูพระองค์ขึ้น และบัดนี้พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ท่ามกลางพวกเราตลอดกาล พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

        ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานเล่าเรื่องที่สำคัญนี้อย่างละเอียด พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายนั้นยังคงปรากฏรอยแผลที่ฝ่าพระหัตถ์ ที่พระบาท และที่สีข้าง บาดแผลเหล่านี้เป็นเสมือนตรายางประทับนิรันดร์แห่งความรักมายังพวกเรา  ทุกคนที่มีประสบการณ์กับความเจ็บปวดทางกายหรือจิตใจสามารถพบที่พึ่งได้ในบาดแผลเหล่านี้ และโดยอาศัยบาดแผลดังกล่าวพวกเขาจะได้รับพระหรรษทาน พระพรแห่งความหวัง ซึ่งจะไม่มีวันทำให้ผู้ใดต้องผิดหวังอีกเลย

        พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ คือความหวังสำหรับทุกคนที่ต้องทนทุกข์เพราะโรคระบาด ทั้งสำหรับผู้ป่วยและผู้ที่สูญเสียคนที่ตนรักไป ขอพระเยซูคริสต์ทรงโปรดประทานความบรรเทาให้กับพวกเขา และโปรดทำนุบำรุงความพยายามอย่างกล้าหาญของบรรดาแพทย์และพยาบาลทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีความอ่อนแอมากที่สุดในพวกเราต่างต้องการความช่วยเหลือ และมีสิทธิที่จะเข้าถึงการเยียวยารักษาที่จำเป็นในชีวิต นี่ยิ่งจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงเวลานี้เมื่อพวกเราทุกคนถูกเรียกร้องให้ต้องช่วยกันต่อสู้กับโรคระบาด วัคซีนเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ พ่อขอร้องชุมชนโลกให้ปวารณาที่จะเอาชนะอุปสรรคในความชักช้าเพื่ออำนวยการแจกจ่ายวัคซีนไปยังเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ยากจน

        พระเจ้าผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน และกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพต้องเป็นความบรรเทาสำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียการงาน หรือต้องประสบกับความยากลำบากในเชิงเศรษฐกิจ และขาดการคุ้มครองอย่างเพียงพอของสังคม ขอพระองค์โปรดดลใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองให้ทำหน้าที่เพื่อว่าทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่เป็นทุกข์เดือดร้อนจะได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็นเพื่อการครองชีพที่คู่ควร เป็นเรื่องน่าเศร้าที่โรคระบาดได้เพิ่มจำนวนคนนับไม่ถ้วนให้ต้องยากจนลงและสิ้นหวัง

        “คนยากจนทุกประเภทต้องเริ่มมีความหวังอีกครั้งหนึ่ง” นักบุญจอห์น พอลที่ 2 ตรัสในช่วงที่พระองค์เสด็จไปเยือนประเทศไฮติ ในช่วงนี้ความคิดของพ่อหวนคิดถึงพี่น้องชาวไฮติเป็นพิเศษ พ่อขอร้องพวกเขาไม่ให้ยอมแพ้กับความยากลำบาก แต่ขอให้มองไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและด้วยความหวัง แล้วความคิดของพ่อก็หวนกลับมาที่พี่น้องชาวไฮติที่รัก พ่ออยู่ใกล้ชิดกับพวกท่านและพ่อปรารถนาให้มีการแก้ปัญหาของพวกท่านโดยเร็ว พี่น้องชาวไฮติที่รัก พ่ออธิษฐานภาวนาเพื่อพวกท่านทุกคน

        พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพยังเป็นความหวังสำหรับทุกคนที่ต้องสูญเสียเวลาช้านานโดยที่ไม่สามารถไปโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย หรือในการใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ การมีประสบการณ์ในความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบผิวเผิน แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้นั้นกำลังบ่มนิสัยและบุคลิกภาพ พวกเรารับรู้เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเมื่อวันศุกร์ศักดิสิทธิ์ที่แล้วในการเดินรูป 14 ภาค ที่เด็กๆ เป็นผู้เรียบเรียงบทภาวนา พ่อขอแสดงความใกล้ชิดกับเด็กทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเหล่านี้กับเด็ก ๆ เยาวชนชาวเมียนมาร์ที่ตั้งใจที่จะสนับสนุนประชาธิปไตย และทำให้ผู้คนได้ยินเสียงของพวกเขาที่เรียกร้องอย่างสันติสุขโดยรับรู้ว่าความเกลียดชังสามารถถูกขับไล่ออกไปได้ด้วยความรักเท่านั้น

        ขอให้แสงสว่างแห่งพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพเป็นท่อธารแห่งการเกิดใหม่เพื่อผู้อพยพที่หนีภัยสงครามและความยากจน ขอให้พวกเรารับรู้บนใบหน้าของพวกเขาที่ทุกข์หม่นหมอง ในขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงเดินทางขึ้นเนินเขากัลวารีโอ ขอให้พวกเขาไม่ขาดเครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมแห่งความเอื้ออาทรและความเป็นพี่น้องกันของมนุษย์ นี่เป็นพันธสัญญาแห่งชัยชนะของชีวิตเหนือความตายที่พวกเราทำการเฉลิมฉลองในวันนี้  พ่อขอขอบคุณทุกประเทศที่ให้การต้อนรับด้วยใจกว้างต่อผู้ที่กำลังทนทุกข์และแสวงหาที่พักพิง โดยเฉพาะประเทศเลบานอน และประเทศจอร์แดนกำลังให้การต้อนรับผู้อพยพจำนวนมากที่หนีตายจากความขัดแย้งในประเทศซีเรีย

        ขอให้ประชากรของประเทศเลบานอนที่กำลังเผชิญกับเวลาแห่งความทุกข์ยากและความไม่แน่นอนจงได้รับประสบการณ์ความบรรเทาของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนโลกในกระแสเรียกของพวกเขา ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการพบปะกัน การอยู่ร่วมกันแบบพหุภาคี

        ขอให้พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์สันติสุขของชาวเรา ได้โปรดยุติการสู้รบกันด้วยอาวุธจนในที่สุดประเทศซีเรียที่แหลกเหลวจากภัยสงคราม ซึ่งผู้คนจำนวนล้านๆ คนกำลังมีชีวิตอยู่ในสภาพที่ขาดความเป็นมนุษย์ ส่วนที่ประเทศเยเมนสถานการณ์อันสุดเลวร้ายนั้นมีแต่ความเงียบงันเหมือนทุกคนหูหนวกไม่ได้ยินสิ่งที่เป็นที่สะดุดเหล่านั้น และในประเทศลิเบีย ในที่สุดก็พอจะมีความหวังว่าหนึ่งทศวรรษแห่งการสงครามกลางเมืองที่นองเลือดอาจจะยุติลงเสียที ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปวารณาตนที่จะยุติความขัดแย้งและยอมให้ประชาชนที่อ่อนล้ากับภาวะสงครามจะได้มีชีวิตในสันติสุข และเริ่มการฟื้นฟูประเทศของพวกเขาขึ้นมาใหม่

        การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์โดยธรรมชาติเนื้อแท้แล้วนำพวกเราไปสู่กรุงเยรูซาเล็ม สำหรับกรุงเยรูซาเล็มพวกเราวิงวอนพระเยซูคริสต์โปรดประทานสันติสุขและความปลอดภัย (เทียบ สดด. 122) เพื่อว่ากรุงเยรูซาเล็มแห่งนี้จะได้กลายเป็นสถานที่แห่งการพบปะกันซึ่งทุกคนต่างมองหน้ากันในฐานะพี่น้องและเป็นสถานที่ซึ่งชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์จะพบกับอำนาจแห่งการเสวนาเพื่อที่จะบรรลุถึงหนทางแก้ไขปัญหาอย่างถาวร ซึ่งจะทำให้ทั้งสองรัฐอยู่เคียงข้างกันในสันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง

        ในวันที่พวกเราทำการเฉลิมฉลองกันอยู่นี้ความคิดของพ่อหวนกลับไปที่ประเทศอิรักอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพ่อมีความยินดีที่ได้มีโอกาสไปจาริกแสวงบุญเมื่อเดือนมีนาคมที่แล้ว พ่ออธิษฐานภาวนาขอให้มีการก้าวเดินไปตามเส้นทางแห่งสันติสุขต่อไปเพื่อที่จะได้ทำให้ความฝันของพระเจ้าสำเร็จไป เพื่อครอบครัวมนุษย์จะได้เป็นสถานที่ให้การพักพิงและต้อนรับลูกหลานของพระองค์ทุกคน [1]

        ขออำนาจแห่งพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ โปรดอุ้มชูประชากรแห่งทวีปแอฟริกา ซึ่งเห็นว่าอนาคตของพวกเขาสับสนวุ่นวายด้วยการใช้ความรุนแรงทั้งภายในและการก่อการร้ายสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ซาฮาลและประเทศไนจีเรีย รวมทั้งที่ติเกรย์ (Tigray) ประเทศเอธิโอเปีย และในภูมิภาคกาโบ เดลกาโบ (Cabo Delgabo) ขอให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติสุขจงดำเนินต่อไปด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตโดยอาศัยการเสวนาอย่างสร้างสรรค์ฉันพี่น้องในเจตนารมณ์แห่งการคืนดีกันและความเอื้ออาทรที่แท้จริง

        นอกนั้นยังมีสงครามอีกมากมาย และการใช้ความรุนแรงจนเกินเหตุในโลก ขอพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์สันติของชาวเรา โปรดช่วยให้พวกเราเอาชนะกับความคิดที่จะทำแต่สงคราม ขอพระองค์โปรดให้นักโทษแห่งความขัดแย้งเหล่านั้นโดยเฉพาะที่ประเทศยูเครนตะวันออกและนาโกโม-คาราบัคห์ (Nagomo-Karabakh) ได้กลับบ้านสู่ครอบครัวของพวกเขาอย่างปลอดภัย และขอพระองค์โปรดดลใจผู้นำโลกให้เลิกแข่งขันในการสร้างและสะสมอาวุธใหม่ๆ กัน วันนี้ วันที่ 4 เมษายน เป็นวันรำลึกสากลต่อต้านกับดักระเบิดอันเป็นอุปกรณ์ที่ร้ายกาจ ที่สังหารหรือทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากกลายเป็นคนพิการในแต่ละปีและนี่เป็นอุปสรรคกีดขวางชีวิตมนุษย์ “ไม่ให้เดินไปด้วยกันบนเส้นทางแห่งชีวิตที่ปราศจากความกลัวต่อการคุกคามที่มุ่งแต่จะทำลายและคร่าชีวิต” [2] โลกของพวกเราจะดีกว่านี้สักเพียงใด หากเราไม่มีเครื่องมือแห่งความตายเหล่านี้!

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ในสถานที่ต่างๆ คริสตชนหลายคนทำการฉลองปัสกาภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด และบางครั้งไม่สามารถที่จะไปร่วมในจารีตพิธีกรรมได้ พวกเราภาวนาขอให้กฎเหล่านั้นรวมถึงข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับเสรีภาพในการนมัสการ และการนับถือศาสนาทั่วโลกจงถูกยกเลิก และทุกคนได้รับอนุญาตให้สวดภาวนาและสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างอิสระเสรีอย่างแท้จริง

        ท่ามกลางความทุกข์ยากหลายอย่างที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ ขอให้พวกเราจงอย่าได้ลืมว่าพวกเราได้รับการรักษาเยียวยาด้วยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ (เทียบ 1 ปต 2: 24) ในแสงสว่างของพระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ ความทุกข์ของพวกเรา ณ บัดนี้จะถูกเปลี่ยนไป ที่ใดมีความตาย ที่นั่นจะมีชีวิต ที่ใดมีความทุกข์ จะมีการบรรเทาใจ ในการโอบรับไม้กางเขนพระเยซูคริสต์ทรงประทานความหมายให้กับความทุกข์ของพวกเรา และบัดนี้ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาเพื่อว่าคุณประโยชน์แห่งการเยียวยานั้นจะได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ขอให้ทุกคนเฉลิมฉลองปัสกาด้วยความสงบในสันติสุข!

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำอวยพรและคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)


[1]  Address at the Interreligious Meeting in Ur, 6 March 2021.

[2] John Paul II, Angelus, 28 February 1999.

พิธีเอฟฟาธา ที่อาสนวิหารเชียงใหม่

พิธีเอฟฟาธา ที่อาสนวิหารเชียงใหม่

เสาร์ที่ 3 เมษายน 2021 อาสนวิหารพระหฤทัย เชียงใหม่

หลังจากมีเยาวชน  และผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งสมัครใจเรียนคริสตศาสนธรรม  เป็นเวลา 1 ปี  (ประมาณ 40 ครั้ง)  เช้าวันอาทิตย์  เวลา  10.00 -12.00 น. คุณพ่อ ประทีป  กีรติพงษ์  เจ้าอาวาส  ได้จัดให้ผู้เตรียมเป็นคริสตชน 5 คน ได้พบกับบิชอป  โดยมีพ่อแม่อุปถัมภ์  และผู้แทนสภาภิบาลของอาสนวิหาร    เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุม  และมีพิธีเอฟฟาธา  เวลา 16.15 น. ณ วัดน้อยของอาสนวิหาร

            เวลา 17.15 น. รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน  และร่วมพิธีคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์  เวลา 19.00 -21.00 น.

            พิธีนี้ดีมาก  ทำให้พ่อแม่อุปถัมภ์  มีโอกาสพบปะ  ทำความรู้จักลูกอุปถัมภ์  มอบสายประคำ  และของขวัญให้  มีผู้แทนสภาภิบาล  มาร่วมพิธี  และมีคุณศิริพร  (แลป) เป็นพี่เลี้ยง

            พ่อหวังว่าจะมีโอกาสพบปะ คริสตชนใหม่  และพ่อแม่อุปถัมภ์อีกครั้งหนึ่ง ก่อนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า (23 พฤษภาคม 2021)

 ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์
5 เมษายน 2021

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสในพิธีบูชา
ขอบพระคุณค่ำคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์สมโภชปัสกา

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสในพิธีบูชาขอบพระคุณค่ำคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์สมโภชปัสกา

ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2021

พิธีบูชาขอบพระคุณวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ภายในมหาวิหาร น. เปโตร ประธานพิธีโดยพระสันตะปาปาฟรานซิส 3 เมษายน 2021

บรรดาสตรีคิดว่าพวกเขาจะพบพระศพเพื่อที่จะนำน้ำหอมไปชโลม แต่ตรงกันข้ามพวกเขาพบคูหาว่างเปล่า พวกเขาไปเพื่อแสดงความทุกข์เสียใจต่อผู้ล่วงลับไป ตรงกันข้ามพวกเขาได้ยินการประกาศถึงการมีชีวิตใหม่ เพราะเหตุนี้พระวรสารจึงบอกพวกเราว่า “บรรดาสตรีต่างพากันตกใจกลัวและประหลาดใจ” (มก. 16: 8) พวกเขากลัวจนตัวสั่นและประหลาดใจ ความกลัวนั้นปนกับความชื่นชมยินดีที่ทำให้หัวใจของพวกเขาบีบรัดเมื่อพวกเขาเห็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากคูหาถูกกลิ้งออกไป ส่วนภายในคูหานั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ทุกคนตกตะลึกที่ได้ยินเสียงร้องว่า “อย่าได้กลัวเลย! ท่านหาพระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนชีพแล้ว” (ข้อ 6) และยังมีสาส์นตามมาว่า “พระองค์เสด็จล่วงหน้าพวกท่านไปยังแคว้นกาลิลี ที่นั่นพวกท่านจะพบพระองค์” (ข้อ 7)  ขอให้พวกเรารับสาส์นนี้ไว้ นี่คือสาส์นแห่งปัสกา ขอให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลี ซึ่งพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ เสด็จไปที่นั้นล่วงหน้าพวกเรา ทว่านี่หมายความว่าอะไร “ให้ไปยังแคว้นกาลิลี”?

        การไปยังแคว้นกาลิลีประการแรกหมายถึง การเริ่มต้นใหม่สำหรับบรรดาศิษย์ของพระเยซูคริสต์หมายถึงกลับไปยังที่ที่เก่า ซึ่งพระเยซูคริสต์พบพวกเขาแล้วเรียกให้พวกเขาติดตามพระองค์ไป ณ ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาพบพระองค์เป็นครั้งแรก และเป็นสถานซึ่งพวกเขาได้รับความรักเป็นครั้งแรก จากบัดนั้นเป็นต้นไปหลังจากที่ได้ทิ้งแหทิ้งอวนไว้เบื้องหลังแล้วพวกเขาก็ติดตามพระเยซูคริสต์ไป พวกเขาได้ฟังการเทศนาของพระองค์และเห็นอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ แม้พวกเขาจะอยู่กับพระองค์เสมอพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจพระองค์อย่างสมบูรณ์ บ่อย ๆ ครั้งพวกเขาเข้าใจผิดในพระวาจาของพระองค์ท่ามกลางการที่เผชิญหน้ากับไม้กางเขน พวกเขาละทิ้งและหนีจากพระองค์ไป ถึงกระนั้นก็ตามพระผู้เสด็จกลับฟื้นคืนชีพก็ยังปรากฎพระองค์ดุจชายคนหนึ่งที่เดินทางล่วงหน้าไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เสด็จไปก่อนหน้าพวกเขา พระองค์ทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาพร้อมกับเรียกร้องพวกเขาเสมอให้ติดตามพระองค์ไป พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอให้พวกเราเริ่มต้นจากจุดที่พวกเราเริ่ม ให้พวกเราเริ่มต้นกันใหม่ เราต้องการให้พวกท่านเริ่มต้นกับเราใหม่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น” ณ แคว้นกาลิลีพวกเราเรียนรู้ถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปิดหนทางใหม่ให้กับหนทางแห่งความพ่ายแพ้ของพวกเรา นี่แหละคือพระองค์  พระองค์ทรงสร้างหนทางใหม่ในหนทางแห่งความปราชัยของพวกเรา นี่แหละคือพระองค์ และพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลีเพื่อที่จะทำสิ่งนี้   

        นี่เป็นสาส์นแรกของปัสกาที่พ่อปรารถนาที่จะมอบให้พวกท่าน ในชีวิตเป็นไปได้เสมอที่จะเริ่มต้นใหม่เพราะพวกเราจะมีชีวิตใหม่เสมอ ชีวิตที่พระเจ้าจะปลุกให้ตื่นขึ้นในตัวของพวกเรา แม้ว่าพวกเราเคยเผชิญกับความล้มเหลวร้อยแปดพันประการ จากก้นบึ้งหัวใจของพวกเรา และเราแต่ละคนก็รู้ดีถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจของพวกเราเอง พระเจ้าสามารถสร้างงานศิลป์จากเศษผงธุลีในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา พระองค์สามารถที่จะเตรียมประวัติศาสตร์โฉมหน้าใหม่ได้ พระองค์ไม่เคยหยุดที่จะเดินไปข้างหน้าพวกเรา บนไม้กางเขนแห่งความทุกข์ทรมาน การถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง และการเผชิญกับความตาย และในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งชีวิตที่กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปและมีความหวังใหม่เกิดขึ้นมา ในหลายเดือนของความมืดจากภัยโรคระบาด ขอให้พวกเราฟังพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนชีพในขณะที่พระองค์ทรงเชิญให้พวกเราเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่ให้สูญเสียความหวัง

        การเดินทางไปยังแคว้นกาลิลีนั้นยังหมายถึงการเริ่มเดินในหนทางใหม่อันหมายถึงการเดินห่างออกไปจากคูหาฝังศพ บรรดาสตรีไปหาพระเยซูคริสต์ในคูหาฝังศพ พวกเขาไปที่นั่นเพื่อระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาเคยมีประสบการณ์กับพระองค์ ซึ่งบัดนี้ความหวังทั้งหมดหายวับไปกับตาตลอดกาล พวกเขาไปเพื่อแสดงออกถึงการเสียอกเสียใจของตนเอง ยังมีความเชื่อสิ่งใดบ้างที่สามารถกลายเป็นความทรงจำ สิ่งต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยสวยสดงดงาม แต่บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงความทรงจำไป หลายคนรวมถึงพวกเราด้วยมีประสบการณ์ เช่น “ความเชื่อในความทรงจำ” ราวกับว่าพระเยซูคริสต์เป็นเพียงบุคคลในอดีต และเป็นเพียงมิตรเก่าตั้งแต่สมัยที่ตนยังหนุ่ม ซึ่งบัดนี้กลายเป็นบุคคลที่อยู่ห่างไกล เป็นเพียงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานมาแล้วสมัยที่เขาเป็นเด็กยังเรียนคำสอนอยู่ ความเชื่อนั้นอาจก่อให้เกิดเป็นเพียงนิสัย เป็นสิ่งที่มาจากอดีต เป็นเพียงความทรงจำสมัยเด็ก ๆ ที่น่ารัก แต่ไม่ได้เป็นความเชื่อที่กระตุ้นหรือท้าทายชีวิตของพวกเราได้อีกต่อไป ในอีกมุมมองหนึ่งการกลับไปยังแคว้นกาลิลีหมายถึงการรับรู้ถึงความเชื่อ ซึ่งถ้าหากยังมีชีวิตจะต้องหันกลับไปยังถนนเส้นทางเดิม จำเป็นต้องรื้อฟื้นการเดินทางก้าวแรกของพวกเราทุกวัน และในความประหลาดใจในการที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ และพวกเราต้องมีความไว้วางใจต่อไปโดยไม่คิดว่าพวกเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว  ทว่าขอให้น้อมรับด้วยใจสุภาพต่อทุกคนที่ยินยอมให้ตนเองได้รับความมหัศจรรย์ใจจากหนทางของพระเจ้า ปกติพวกเรามักจะกลัวความประหลาดใจของพระเจ้า พวกเรากังวลเสมอว่าพระเจ้าจะทรงทำให้พวกเราเกิดความประหลาดใจ  และวันนี้พระเจ้าทรงเชิญพวกเราให้ยินยอมที่จะได้รับความประหลาดใจ ขอให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลีเพื่อที่จะพบว่าพวกเราไม่สามารถผลักดันพระเจ้าให้หลุดพ้นไปจากความทรงจำในช่วงที่พวกเรายังเป็นเด็ก แต่พระองค์ยังทรงมีชีวิตและทรงทำให้พวกเราเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อพระองค์เสด็จฟื้นคืนชีพจากความตายแล้ว พระเยซูคริสต์ไม่เคยละเว้นที่จะทำให้พวกเราต้องประหลาดใจ

        ดังนั้นนี่คือสาส์นที่สองของปัสกา ความเชื่อไม่ใช่อัลบั้มของความทรงจำในอดีต พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นบุคคลและเรื่องราวที่ล้าสมัย พระองค์ทรงมีชีวิต ณ ที่นี่ และบัดนี้ พระองค์ทรงเดินเคียงข้างพวกเราทุกวันในทุกสถานการณ์ที่พวกเรามีประสบการณ์ ในการทดลองทุกอย่างที่พวกเราเผชิญและต้องทนทุกข์ ในความหวังและความฝันที่ลึกที่สุดของพวกเรา พระองค์ทรงเปิดประตูใหม่ในยามที่พวกเราความคาดหวังน้อยที่สุด พระองค์ทรงขอร้องไม่ให้พวกเรามัวแต่จมปลักเพียงฝันร้ายในอดีต หรือจมอยู่ในเล่ห์กลลวงของยุคปัจจุบัน แม้พวกเราจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหมดสิ้นแล้ว ก็โปรดให้เราแต่ละคนเปิดหัวใจสู่สิ่งประหลาดใจในความใหม่ที่พระเยซูคริสต์จะนำมามอบให้พวกเรา ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะทำให้พวกเราต้องประหลาดใจ

        การกลับไปยังแคว้นกาลิลียังหมายถึงการไปยังชายขอบสังคม กาลิลีเป็นจุดที่อยู่ห่างไกล ประชาชนดำเนินชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่ห่างไกลจากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งมีผู้คนหลากหลายและมีปัญหาร้อยแปด  แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ทรงทำพันธกิจ  ที่นี่แหละพระองค์ทรงนำสาส์นไปสู่ผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อจะประทังชีวิตวันต่อวัน พวกเขาเป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล เป็นกลุ่มบุคคลที่เปราะบาง เป็นพวกคนยากจน ณ ที่นี้พระองค์ทรงเผยโฉมพระพักตร์และการประทับอยูของพระเจ้าไปให้ทุกคน ซึ่งพระองค์แสวงหาพวกเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาพากันหมดกำลังใจและสิ้นหวัง เป็นพวกที่ดำเนินชีวิตอยู่ตามชายขอบสังคม ซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นจะต้องไม่มีผู้ใดสินหวังหรือต้องไม่มีผู้ใดที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพขอร้องให้ศิษย์ของพระองค์ไปยังที่นั่น ที่กาลิลีโดยทันที พระองค์ทรงขอให้พวกเราไปยังกาลิลี ไปยัง “กาลิลี” ที่แท้จริงในชีวิตประจำวัน ไปตามถนนหนทางที่พวกเราเดินอยู่ทุกวัน ไปยังทุกซอกมุมในเมืองของพวกเรา ณ ที่นั้นพระเยซูคริสต์ทรงไปประทับอยู่ก่อนหน้าพวกเราแล้ว และทรงประทับอยู่ในชีวิตของผู้ที่อยู่รอบตัวพวกเรา ผู้ที่มีชีวิตร่วมอยู่กับพวกเราทุกวัน อยู่ภายในบ้านของพวกเรา อยู่ภายในที่ทำงานของพวกเรา อยู่กับความทุกข์และอยู่กับความหวังของพวกเรา  ณ กาลิลีพวกเราจะเรียนรู้ว่าพวกเราสามารถพบพระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ ที่ใบหน้าของบรรดาพี่น้องชายหญิง ในความกระตือรือร้นของผู้ที่มีความฝัน และการยอมแพ้ของผู้ที่สิ้นหวัง ในการยิ้มแย้มของผู้ที่มีความชื่นชมยินดีและในน้ำตาของผู้ที่ความทุกข์ และที่สำคัญคือคนยากจน และคนที่อยู่ตามชายขอบสังคม พวกเราจะประหลาดใจว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เพียงใดที่ทรงเผยให้พวกเราเห็นในบรรดาคนที่ต่ำต้อย และความสวยงามของพระองค์ที่ฉายแสงรัศมีในคนยากจนและคนใสซื่อเรียบง่ายเช่นไร

        และนี่คือสาส์นประการที่สามแห่งปัสกา พระเยซูคริสต์พระผู้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์ ทรงรักพวกเราโดยปราศจากขอบเขตเงื่อนไข และทรงประทับอยู่กับพวกเราในทุกวินาทีแห่งชีวิตของพวกเรา เมื่อทรงทำให้พระองค์ปรากฎอยู่ที่ใจกลางในโลกของพวกเราแล้ว พระองค์ทรงเชื้อเชิญพวกเราให้เอาชนะต่ออุปสรรค ให้ทำลายความลำเอียง และดึงดูดให้พวกเราเข้าใกล้ชิดกับบุคคลที่อยู่รอบตัวพวกเรา เพื่อที่จะพบกับพระหรรษทานแห่งชีวิตประจำวัน ขอให้พวกเรารับรู้ถึงพระองค์ในดินแดนกาลิลีของพวกเรา ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับพระองค์เพราะพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์ทรงมีชีวิตและนำประวัติศาสตร์เหนือการปราชัยทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้ายต่าง ๆ นานา หรือการใช้ความรุนแรง เหนือทุกสิ่งที่เป็นความทุกข์และความตาย พระอค์ผู้ทรงชีวิตและทรงนำทางประวัติศาสตร์แห่งความรอด

ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก หากในคืนนี้พวกท่านกำลังรู้สึกประสบกับความมืดมิดหนึ่งชั่วโมง วันเวลาอาจยังไม่ถึงรุ่งอรุณ มีเพียงแสงสลัว ๆ หรือความฝันสลาย ทว่า ณ บัดนี้ ขอให้เปิดหัวใจด้วยความประหลาดใจกับสาส์นอันสำคัญของเทศกาลปัสกาหรืออีสเตอร์ “อย่า กลัว เพราะพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว! พระองค์รอคอยพวกท่านที่แคว้นกาลิลี” ความคาดหวังของพวกท่านจะเปี่ยมด้วยความหวัง หยดน้ำตาของพวกท่านจะเหือดแห้งไป ความกลัวของพวกจะถูกแทนที่ด้วยความหวังอันกล้หาญ เพราะพระเจ้าทรงนำหน้าพวกท่านเสมอ พระองค์ทรงเดินนำหน้าพวกท่านเสมอ และพร้อมกับพระองค์ชีวิตอันสดใสจะเริ่มต้นใหม่เสมอ

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ปี B

“วันเอ๋ยวันนี้แสนปรีดา สมโภชปัสกาสบสมัย”

ถ้าเราเป็นทุกข์โศกเศร้าร้าวระทมใจในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ วันที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์มากเท่าใด

วันอาทิตย์ปัสกาก็ต้องเป็นวันที่เราสุดแสนจะปรีดามากยิ่งขึ้นเท่านั้น

หวนไปคิดถึงหนังสือปฐมกาล ห้วงเวลาที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน ตอนนั้นแผ่นดินมีแต่ความว่างเปล่า มีความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระจิตของพระเจ้าสถิตเหนือน้ำนั้น และตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด นี่เป็นวันแรกที่ทรงสร้างวันและคืน (ปฐก 1:1-5)

ทรงสร้างสิ่งต่างๆ และทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์เป็นวันที่หก และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมา ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ทรงกระทำมา (ปฐก 2:2-3)

พระเยซูเจ้าเป็นพระวจนาตถ์ที่ทรงรับเอากาย เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ความโกลาหลวุ่นวายบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ความมืดมัวปกคลุมไปทั่ว ผู้คนกลุ่มเล็กๆ ยืนร้องไห้อยู่ที่เชิงกางเขน ผู้ชายสองสามคนรีบนำพระศพไปไว้ในคูหา แสงจากตะวันกำลังจะลับเลือนหายไป แล้วก็ต่อด้วยวันสับบาโตที่ยาวนาน ทรงพักผ่อนอยู่ในคูหาที่หนาวเย็น

แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ปัสกา แม้ฟ้ายังไม่ทันสาง แต่ก็เป็นเช้าตรู่ของวันใหม่ สัปดาห์ใหม่ สิ่งสร้างใหม่ มารีย์ชาวมักดาลารีบเร่งไปที่พระคูหา ด้วยดวงตาที่แดงกล่ำเพราะน้ำตา และการนอนไม่หลับในช่วงคืนสับบาโตที่ยาวนาน บางทีเธออาจจะมาเติมเครื่องหอมที่พระศพ บางทีเธออาจจะมาเพื่อร้องไห้อาลัยรัก บางทีเธออาจจะเพียงแค่อยากไปอยู่ที่ตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปทำไม ไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิตที่สำคัญสำหรับเธอ

เธอเห็นหินที่ปิดคูหาเคลื่อนออกไป มองเข้าไปไม่เห็นพระศพแล้ว เธอตกใจ เธอรีบวิ่งไปหาเปโตรและศิษย์ที่ทรงรักแจ้งว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน” ศิษย์ทั้งสองรีบวิ่งไปที่พระคูหาทันที พบแต่ผ้าพันพระศพวางอยู่ที่นั่น ผ้าพันพระเศียรแยกอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย แต่แรกก็คิดว่ามีคนมานำพระศพไป แต่ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้น คงพบกับความยุ่งยากมากในการถอดผ้าพันพระศพ ถ้าจะเอาไปทั้งหมดเลยมิดีกว่าหรือ ทั้งสองมองดูแล้วเหมือนไม่มีใครจับพระศพยกขึ้นมาถอดผ้าพันออก แต่เหมือนพระกายนั้นหายไปเฉยๆ คงเหลือไว้แต่ผ้าที่พันพระกาย เหมือนกับซากลูกโป่งที่เอาอากาศออกไป

และมาถึงเวลาพิเศษสำหรับศิษย์คนนั้น คนที่พระเยซูทรงรัก ความคิดพวยพุ่งขึ้นมาแบบฉับพลันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น เป็นความใหม่ที่แทรกเข้ามาในความคิด เป็นพลังการสร้างสรรค์ของพระเจ้าที่จุดประกายแวบเข้ามาในเวลานั้น เขาได้เห็นและได้เชื่อ เชื่อว่า สิ่งสร้างใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

ขอให้พวกเราเช่นเดียวกัน มีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจเช่นเดียวกับนักบุญยอห์นว่า พระเยซูเจ้าทรงคืนพระชนมชีพ ความหวังทุกคนก็แจ่มใส อัลเลลูยา อัลเลลูยา

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อปี ค.ศ. 2009
Based on : John for Everyone : Part Two ; by Tom Wright )

ข้อคิดข้อรำพึง สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ปี B

“เขาได้เห็นและเชื่อ”

มารีย์ ชาวมักดาลา แทบจะรอวันเวลาไม่ไหว ดังนั้นพอถึงเวลาเช้าตรู่ต้นสัปดาห์ แม้จะยังมืดอยู่ แต่ก็ไม่มีข้อห้ามการเดินทางอันเนื่องมาจากกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดของชาวยิวมาขวางกั้นอีกต่อไป เธอจึงออกเดินทางไปที่พระคูหา แต่ก็ต้องตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอเห็นหินถูกเคลื่อนไปจากพระคูหาแล้ว และพระคูหานั้นว่างเปล่า

ทุกวันนี้ถ้าเราไปแสวงบุญที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และไปที่พระคูหาฝังพระศพของพระเยซูเจ้า ก็จะพบว่าเปิดอยู่และว่างเปล่า ที่จริงหลุมศพของคนเด่นดังในอดีตไม่มีของใครเลยที่เปิดและว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นของบรรดาฟาโรห์ของอียิปต์จนถึงจักรพรรดิซีซาร์แห่งโรม ไม่ว่าจะเป็นของบรรดามหาราชาแห่งอินเดียไปจนถึงบรรดาจักรพรรดิของฝรั่งเศส หลุมศพของบุคคลสำคัญเหล่านี้ล้วนปิดเอาไว้ และถูกครอบครองไว้

พระคูหาของพระเยซูเจ้าว่างเปล่านั้นชอบแล้วด้วยเหตุผล เพราะมิฉะนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนกางเขนจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป

พระคูหาของพระเยซูเจ้าว่างเปล่านั้นดีแล้ว มิฉะนั้นพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งบนเขากัลวารีโอจะไม่มีประสิทธิผล

พระคูหาของพระเยซูเจ้าว่างเปล่านั้นถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นก็จะไม่เห็นชัยชนะของพระเจ้า

เมื่อมารีย์ ชาวมักดาลาไม่เห็นพระศพของผู้ที่นางรักยิ่ง จึงรีบวิ่งไปหาซีโมน และศิษย์ที่ทรงรักรายงานว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้เขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”

ศิษย์ทั้งสองรีบวิ่งไปดู ก็เห็นแต่ผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรที่พับแยกไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนเมื่อตามเข้าไปข้างในด้วย ได้เห็นและมีความเชื่อ

ความเชื่อของศิษย์ที่พระองค์ทรงรักที่อุบัติขึ้นเกือบจะในฉับพลันทันทีที่เห็นร่องรอยต่างๆ ในพระคูหาเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เป็นความใหม่ที่แทรกเข้ามาในความคิด เป็นพลังการสร้างสรรค์ของพระเจ้า ที่จุดประกายแวบเข้ามาในเวลานั้น และนำความยินดียิ่งนักมาให้ เขาคงจดจำช่วงเวลานี้ไปอีกนานแสนนาน มันเป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม เป็นเหมือนประหนึ่งการตกหลุมรัก เป็นเหมือนประดุจแสงอรุโณทัยที่โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา เป็นเหมือนได้ยินยลเสียงของสายฝนที่ตกลงมารดแผ่นดินที่แห้งผากแตกระแหงมาเป็นเวลายาวนาน เป็นประดุจดังความเชื่อ ใช่แล้ว…เขาได้เห็นและได้เชื่อ…เชื่อว่าสิ่งสร้างใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว เชื่อว่าโลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว จากฤดูหนาวที่ยาวนานกลายเป็นฤดูใบไม้ผลิในที่สุด เชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบรับว่าใช่ในทุกกิจการที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ และเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงพระชนม์อีกครั้งหนึ่ง

ขอให้พวกเรามีความเชื่อเช่นเดียวกับนักบุญยอห์น เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพแล้ว ขอให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปมีชีวิตใหม่ในพระองค์

ต่อจากนี้ไป…………

ทุกครั้งที่เราเริ่มต้นรักใหม่ หลังจากที่ความรักเดิมของเราถูกปฏิเสธไป ก็หมายความว่า เรามีส่วนในพลังของการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์

ทุกครั้งที่เราเริ่มไว้ใจใหม่ หลังถูกทรยศหักหลัง ก็หมายความว่า เราก็มีส่วนในการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์

ทุกครั้งที่เราเพียรพยายามใหม่ หลังจากที่เราล้มเหลว ก็หมายความว่า เราก็มีส่วนในการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์

ทุกครั้งที่เรามีความหวังใหม่ หลังจากที่มันแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว ก็หมายความว่า เราก็มีส่วนในการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์

ข่าวสารที่สำคัญของปัสกาคือ ไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายเราได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด บาป การปฏิเสธ แม้กระทั่งความตาย

ข่าวสารที่สำคัญของปัสกาคือ พระคริสต์มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง ถ้าเรามอบความเชื่อไว้ในพระองค์ เราจะมีส่วนร่วมในชัยชนะของพระคริสต์ด้วย

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2012
Based on : (1) John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose ;
(2) Illustrated Sunday Homilies ; Year B ; by Mark Link, SJ ;
(3) John for Everyone : Part Two ; by Tom Wright )

พระสันตะปาปาฟรานซิสนำการเดินรูป 14 ภาค ปี 2021

พระสันตะปาปาฟรานซิสนำการเดินรูป 14 ภาค ปี 2021

ความหวังของเด็กๆ เป็นหัวใจของการเดินรูป ในการรำลึกพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2021 พระสันตะปาปาฟรานซิสในการเดินรูป 14 ภาค ณ บริเวณลานมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งแทบจะไม่มีผู้คนเข้าร่วมพิธี อันเป็นเครื่องหมายแห่งความสันโดษและการอยู่กันตามลำพังอันมีสาเหตุจากโรคระบาดโควิด-19 ที่แฝงไปด้วยความหวังจากการไตร่ตรองที่เตรียมโดยเด็ก ๆ

        ความสันโดษและการอยู่ตามลำพังของผู้คนทั่วโลกโดยตัดขาดจากครอบครัวเพื่อนฝูง ต้องตกงานและขาดการทำมาหากิน ต้องดำเนินชีวิตในความกลัวและอนาคตที่ไม่แน่นอนทั้งสำหรับตนเองและบรรดาลูกหลาน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่วนเวียนอยู่ในความคิดของช่วงที่มีการเดินรูป 14 ภาคระหว่างวันที่สองของตรีวารปัสกาปี 2021

        นี่เป็นปีที่สองติดต่อกันที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงนำการเดินรูป 14 ภาคในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรที่แทบจะไม่มีสัตบุรุษเข้าร่วมพิธี เนื่องจากรัฐบาลของประเทศอิตาลีได้ออกกฎระเบียบป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19

        พระสันตะปาปาทรงอาภรณ์สีขาวประทับอยู่บนปะรำพิธีที่ตั้งขึ้นตรงใจกลางของลานหน้าพระวิหาร พระสันตะปาปาทอดพระเนตรไปยังบริเวณลานมหาวิหารที่กำลังมืดลงโดยมีเด็ก ๆ ครูคำสอน และเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง พร้อมผู้ปกครองของเด็ก ๆ ต่างก็ผลัดกันแบกไม้กางเขนไปรอบ ๆ บริเวณเสาหินโอเบลิสก์อันสูงตระหง่าน

        เด็ก ๆ ผลัดกันอ่านบทรำพึงของพวกเขาในขณะที่เพื่อน ๆ ช่วยแบกไม้กางเขนไปตามเส้นทางวงกลมที่ส่องความสว่างด้วยโคมไฟ ณ ใจกลางจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์

        ความจริงปีนี้พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเลือกที่จะให้เด็ก ๆ และเยาวชน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและอนาคตเป็นผู้เตรียมบทรำพึงสำหรับการเดินรูป 14 ภาคของปี 2021

ประเพณีปฏิบัติการเดินรูป 14 ภาค

        นับเป็นเวลา 50 ปีมาแล้วตั้งแต่พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงรื้อฟื้นประเพณีการเดินรูป 14 ภาคตั้งแต่ปี 1964 พระสันตะปาปาพระองค์ต่อๆมา จึงนำพิธีนี้มารื้อฟื้นมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์โดยใช้สถานที่ในกรุงโรม โดยมีสนามกีฬาโคโลเซียมเป็นฉากหลัง ทว่าตั้งแต่เริ่มเกิดโรคระบาดโควิด-19 ในปีที่แล้วรัฐบาลประเทศอิตาลีได้ประกาศข้อบังคับป้องกันการระบาดของเชื้อโรค ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดงานสาธารณะซึ่งรวมถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ก็ยังมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสื่อโทรทัศน์ไปทั่วโลกถึงผู้คนจำนวนหลายล้านคนในทุกทวีป การเดินรูปในแต่ละภาคนั้นเริ่มด้วยบทอ่านจากพระวรสารที่เกี่ยวกับมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ ตามด้วยการรำพึง จากนั้นจะมีการอธิษฐานภาวนาโดยพระสันตะปาปาแล้วลงท้ายด้วยการร้องเพลง

พระสันตะปาปาประสงค์อยู่ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องปราศรัยใด ๆ

        อันเป็นความชัดเจนว่าพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการปราศรัยใดๆ และพระองค์ก็มิได้เทศน์ ในความเงียบและการไตร่ตรองพิศเพ่งไปยังไม้กางเขนเป็นวิธีที่มีพลังมากที่สุดในโลกที่เงียบสงัด ซึ่งเชื้อไวรัสยังคงนำความทุกข์โศกเศร้าและการอยู่อย่างสันโดษมาให้พวกเรา อันก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่ผู้คนมีชีวิตอยู่ตามชายขอบสังคม คนตกงาน คนยากจน คนที่ขาดความยุติธรรม และการติด “เชื้อ” ของการไม่รู้ร้อนรู้หนาวในสังคมที่ก่อให้เกิดความตายและความสิ้นหวังในชีวิต

เด็ก ๆ และเยาวชนเป็นความหวังและอนาคต

        ในช่วงของการรำพึงไตร่ตรองครั้งที่แล้ว ได้มุ่งประเด็นไปที่เด็ก ๆ และเยาวชนว่าพวกเขาเป็นกุญแจและเป็นความหวังแห่งการเกิดใหม่อย่างไร “ข้าแต่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระเมตตา” นี่เป็นบทภาวนา “เป็นอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ที่พวกเราติดตามพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ในการเดินรูป 14 ภาค พวกเราติดตามพระองค์ด้วยการฟังเสียงและคำภาวนาของเด็ก ๆ ที่พระองค์จัดไว้ต่อหน้าพวกเราในฐานะที่เป็นแบบฉบับเพื่อที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระองค์”

        โปรดช่วยให้พวกเราเป็นเหมือนพวกเขา ต่ำต้อย มีความต้องการทุกสิ่ง เปิดใจกว้างสู่ชีวิต โปรดช่วยพวกเราให้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ และสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในแสงสว่างที่ชัดเจน พวกเราวิงวอนพระองค์โปรดอวยพร และปกป้องเด็กทุกคนในโลก ขอให้เด็กทุกคนเจริญเติบโตขึ้นในปรีชาญาณ อายุ พระหรรษทาน เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักและติดตามแผนการพิเศษของพระองค์เพื่อความสุขของพวกเขาด้วยเทอญ

        คำภาวนาของพระสันตะปาปาฟรานซิสดูจะเปี่ยมด้วยความยินดีในค่ำคืนนี้ ประกาศกในอาภรณ์สีขาวโดดเดี่ยวอยู่กลางเวทีกว้างใหญ่ทรงอวยพรฝูงชน พวกเราขอขอบคุณเด็ก ๆ สำหรับการรำพึงไตร่ตรองของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปภายในมหาวิหาร

บทรำพึงในการเดินรูป 14 ภาค ที่เขียนโดยเด็ก ๆ  พระเยซูคริสต์ทรงดับความกลัวของพวกเรา

          พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมอบการเรียบเรียงทรำพึงในการเดินรูป 14 ภาคปีนี้ให้กับ Agesci Scout Group “Foligno I” (Umbria) และวัดโรมันมรณะสักขีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอูกันดา

การเดินรูป 14 ภาคในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่นำโดยพระสันตะปาปาฟรานซิสจะประกอบด้วยการรำพึง และภาพวาดโดยเด็ก ๆ และเยาวชนแห่งกรุงโรมแห่งวัดมรณะสักขีแห่งประเทศอูกันดา Agesci scout group “Foligno I” และจากสองครอบครัวที่อยู่ในกรุงโรม พวกเขาจะเป็นคนอ่านในช่วงพิธี ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรโดยมีพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นประธานพิธี

        ในความซื่อ ๆ แบบเรียบง่ายและเป็นรูปธรรมในการรำพึงที่เขียนโดยเด็ก ๆ มีพลังอำนาจสัมผัสหัวใจได้อย่างล้ำลึก ที่ทำให้พวกเราต้องคิดไตร่ตรอง และทำงานเพื่อโลกที่ดีกว่าและมีความชอบธรรมากกว่า ข้อความเชื้อเชิญพวกเราให้ถามตัวของพวกเราเองเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราและความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวของเราและโลกของพวกเรา

กางเขนมากมายของเด็ก ๆ ในโลกนี้

        ความทุกข์ของเด็ก ๆ นั้นบ่อยครั้งถูกมองข้ามในบทนำของหนังสือคู่มือน้อยๆเล่มหนึ่งมีการเน้นขณะที่เด็กๆ เข้าไปหาพระเยซูคริสต์ รำพึงรำพันว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ที่รัก พระองค์ทราบดีว่าเด็กๆ อย่างพวกเราก็มีไม้กางเขนที่ต้องแบก เป็นไม้กางเขนที่ไม่เบากว่าหรือหนักกว่าที่ผู้ใหญ่แบก แต่ก็เป็นไม้กางเขนที่แท้จริง เป็นไม้กางเขนที่ทำให้พวกเรารู้สึกหนักอึ้งแม้ในเวลากลางคืน มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทราบว่านั่นคืออะไรและทรงสนพระทัยอย่างจริงจัง มีเพียงพระองค์เท่านั้น”  ไม้กางเขนคือความน่ากลัวในความมืด การอยู่อย่างสันโดษ เพราะโรคระบาด เป็นประสบการณ์ถึงข้อจำกัดของผู้คน  การถูกล้อเลียนจากผู้อื่น  การรู้สึกว่าตนนั้นยากจนกว่าบรรดาเพื่อนฝูง เกิดความเสียใจเพราะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันภายในครอบครัว แต่บางคนเป็นทุกข์เพราะ “ยังมีเด็กในโลกของพวกเราที่ไม่มีอาหารจะกิน ที่ไม่สามารถไปโรงเรียน ที่ถูกบังคับให้ต้องเป็นทหาร” ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงประทับอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราเสมอ ขอพระองค์โปรดอย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา เด็ก ๆ สรุป “โปรดช่วยให้พวกเราแบกไม้กางเขนประจำวันของพวกเราเฉกเช่นที่พระองค์ทรงแบกไม้กางเขนของพระองค์ด้วยเทอญ”

การกล่าวหาผู้บริสุทธิ์และการขาดความกล้าหาญ

        ภาคที่หนึ่ง: ปองซีโอปีลาโต ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตพระเยซูคริสต์ การรำพึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนชั้นประถมปีที่ 1 มาร์คถูกกล่าวหาว่าขโมยอาหารมื้อเที่ยงของเพื่อน มีบางคนรู้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาปกป้องเขา ผู้เล่าเรื่องรู้สึกอายที่ขาดความกล้าหาญ เขากระทำเหมือนปีลาโต แต่บัดนี้รู้สึกเสียใจที่เลือกหนทางที่ง่ายกว่า “บางครั้งพวกเราได้แต่ฟังเสียงของผู้ที่คิดและทำแต่ความชั่ว ในขณะที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับทางชันขึ้นภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก แต่พวกเรามีพระเยซูคริสต์อยู่เคียงข้างพร้อมที่จะสนับสนุนและช่วยพวกเรา”

การกระทำของพวกเราอาจมีผลกระทบต่อผู้อื่น

        ภาคที่สอง: พระเยซูคริสต์ทรงรับแบกไม้กางเขน ข้อความในพระวรสารโดยนักบุญลูกาเล่าว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกเย้ยหยัน และถูกโบยตีจากผู้ที่เฝ้ามาหาพระองค์ การเยาะเย้ยถากถางเกิดขึ้นต่อหน้าเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแม้กระทั่งถึงจุดที่มีการรังแกข่มเหงกัน อย่างในกรณีของมาร์ตีน่าที่มีปัญหาในการอ่านออกเสียงดังในห้องเรียน “อาจเป็นได้ว่านั่นไม่ใช่เจตนาของพวกเราที่ต้องการทำให้เธอเป็นตัวตลก  แต่พวกเราทำให้เธอต้องเจ็บปวดเพียงใดที่พวกเราหัวเราะเยาะเธอ… การเบียดเบียนไม่ใช่เป็นอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่แล้ว บางครั้งการกระทำของพวกเราสามารถพิพากษา ปฏิบัติโดยมิชอบ และทำร้ายพี่น้องคนหนึ่งคนใดของพวกเรา”

ประสบการณ์ของความผิดพลาด

        ภาคที่สาม: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่หนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงรู้สึกหนักอึ้งด้วยบาปของพวกเรา พระองค์ถูกเฆี่ยนและถูกสบประมาท ประสบการณ์ในช่วงนี้เป็นของเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กดีที่โรงเรียน ทว่าเขาสอบตกเป็นครั้งแรก ความล้มเหลวครั้งแรกนี้มากเกินไปสำหรับตัวฉัน ทันใดนั้นฉันรู้สึกว่าตนเองอยู่แต่ลำพังไม่มีใครมาปลอบใจฉันเลย แต่ ณ เวลานั้นกลับช่วยให้ฉันเติบโตขึ้น… บัดนี้ฉันรับรู้ว่าพวกเราแต่ละคนสามารถพลาดล้มได้ ขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ที่นั้นเพื่อยื่นพระหัตถ์มาจูงพวกเราให้ลุกขึ้น”

ความรักของมารดา

        ภาคที่สี่: พระเยซูคริสต์ทรงพบปะกับพระมารดา บทอ่านที่เลือกมาเป็นการแต่งงานที่หมู่บ้านคานาพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างพระบุตรและพระมารดาอันเป็นจุดเด่น นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เด็ก ๆ คิดเกี่ยวกับมารดาของตนและความรักของแม่ที่คอยเฝ้าติดตามเขาเสมอ แม้กระทั่งพาเขาไป “ฝึกเล่นฟุตบอล โรงเรียนสอนภาษา และการเรียนคำสอนในเช้าวันอาทิตย์” การรำพึงพูดถึงความต้องการความรักของเด็กน้อย ซึ่งบางทีก็ช่วยให้พ่อแม่เป็นคนดีมากขึ้น “ถ้าฉันมีปัญหา มีคำถาม หรือมีความคิดสิ่งใดที่ไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทาง คุณแม่ก็พร้อมเสมอที่จะฟังฉันเสมอพร้อมกับรอยยิ้ม

การเห็นพระเยซูคริสต์บนใบหน้าของผู้อื่น

        ภาคที่ห้า: ซีมอน ชาวซีเรน ช่วยพระเยซูคริสต์แบกไม้กางเขน ในแต่ละวันมีโอกาสมากมายที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ประจักษ์พยานที่เล่าไว้ ณ ที่นี้เป็นความห่วงใยต่อเพื่อนต่างชาติ ซึ่งมาอยู่แถวบ้านของพวกเรา เมื่อไม่นานมานี้ เขามองดูเด็ก ๆ เล่นฟุตบอลแต่ไม่กล้าที่จะแนะนำตนเอง เด็กคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเห็นเขาและกล้าที่จะไปพบเขาแล้วเชิญเขาให้มาเล่นกับพวกตน “ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา” เขาเขียนว่า “วาริดกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ดีที่สุดของฉัน และเป็นคนรักษาประตูของทีมฟุตบอลของพวกเราด้วย” ต่อเมื่อพวกเรารับรู้ความเป็นพี่น้องของบุคคลอื่นเท่านั้น “พวกเราจึงจะสามารถเปิดใจให้กับพระเยซูคริสต์”

การช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยกว่า

        ภาคที่หก: สตรีใจศรัทธาเช็ดพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ “แท้จริงเราบอกกับท่านว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องต่ำต้อยที่สุดเหล่านี้ของเรา ท่านก็ทำกับเราเอง” นี่เป็นพระวาจาของพระเยซูคริสต์ที่นำมาจากพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว  ในการเดินรูปภาคที่หกนี้ แม้ว่าในกิจการประจำวันเด็ก ๆ จะมีบางครั้งที่มีความยุ่งยากและเศร้าเสียใจ และต้องการให้มีคนมาคอยปลอบใจ ตัวอย่างหนึ่งก็คือหลังที่แพ้การแข่งขันฟุตบอลครั้งที่มีความสำคัญ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะทำได้ดีกว่า ในขณะที่หมดกำลังใจการแข่ง “ก็มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งถือเครื่องดื่มยืนรอฉันอยู่” เมื่อมีเพื่อนอยู่ใกล้คอยปลอบใจ “การแพ้กลายเป็นการมีโชคดีน้อยกว่าเขาเท่านั้นเอง”

การคิดถึงผู้ที่มีความต้องการมากที่สุด

ภาคที่เจ็ด: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่สอง การรำพึงเกี่ยวกับประสบการณ์ของนักเรียนชั้นประถมปี่ที่ 4 คนหนึ่ง กำลังมีการเตรียมแสดงตอนสิ้นปี และเขาต้องการเป็นผู้นำไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้ามครูเลือกจีโอวานนี่ซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทกันกับเขา ตอนแรกเขารู้สึกโกรธ แต่เมื่อเข้าใจแล้วเขาก็มีความสุข ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจีโอวานนี่ก็มีบทบาทมากขึ้นในห้องเรียน เขากล่าวว่า “ความผิดหวังของฉันได้ช่วยอีกคนหนึ่ง การเลือกของครูเปิดโอกาสให้บางคนที่ต้องการสิ่งนั้น”

การช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิด

        ภาคที่แปด: พระเยซูคริสต์พบสตรีใจศรัทธาแห่งเยรูซาเล็ม ในพระวรสารโดยนักบุญลูกาพวกเราพบว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เห็นพวกเขาพระองค์ตรัสว่า “ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงอย่างร้องไห้เพราะเรา แต่จงร้องไห้เพื่อตัวท่านเองและเพื่อลูกหลานของท่านเถิด”  นี่เป็นจุดเริ่มที่จะพูดว่า “การแก้ไขความผิดของบรรดาพี่น้องนั้นยากมาก แต่เป็นสิ่งจำเป็น”  นี่เป็นประสบการณ์ของสองพี่น้องที่โกหกมารดาด้วยการให้ความมั่นใจกับมารดาว่าพวกเขาได้ทำการบ้านเสร็จแล้วเมื่อตอนบ่าย ซึ่งความจริงแล้วเขาทั้งสองเล่นกันตลอดเวลา วันรุ่งขึ้นหนึ่งในสองคนนั้นพูดว่าเขารู้สึกไม่สบาย แล้วเขาก็ไม่ได้ไปโรงเรียน ส่วนอีกคนหนึ่งไปโรงเรียนแต่เมื่อเขากลับบ้านเขาจึงไปคุยกับน้อง “นั่นเป็นสิ่งไม่ถูกนะที่พวกเราโกหกแม่ และการที่น้องแกล้งว่าปวดท้อง พี่ขอเสนอว่าพวกเราทำการบ้านเดี๋ยวนี้ทันที แล้วพี่จะช่วยติววิชาที่น้องไม่ได้ไปเรียนวันนี้ เมื่อเราทั้งสองคนทำการบ้านเสร็จแล้ว พวกเราจะได้เล่นกันในตอนบ่าย”

ความสันโดษเกิดจากโรคระบาด

        ภาคที่เก้า: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่สาม ข้อความพระวรสารจะเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ที่ตายไปแล้วผลิดอกออกผลมากมาย โรคระบาดโควิด-19 เปิดฉากเข้ามาพร้อมกับผลร้ายที่กระทบแม้แต่เด็ก ๆ ความรู้สึกส่วนของประชาชนคือความสันโดษ พวกเขาไม่สามารถไปเยี่ยมญาติ โรงเรียนปิด พวกเขาคิดถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียน “ความรู้สึกที่น่าสงสารที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายบางครั้งแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว พวกเรารู้สึกว่า “ทุกคนทอดทิ้งพวกเรา” จนพวกเราไม่สามารถแม้กระทั่งที่จะยิ้ม เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ พวกเราพบตนเองว่านอนแผ่ติดอยู่กับพื้นดิน”

ความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการให้

        ภาคที่สิบ: พระเยซูคริสต์ถูกเปลื้องอาภรณ์ ตรงนี้ก็เช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งเล่าว่าเธอสะสมตุ๊กตาไว้ในห้องเป็นดุจขุมทรัพย์ วันหนึ่งเธอรู้มาว่าทางวัดกำลังรวบรวมตุ๊กตาเพื่อนำไปมอบให้กับเด็กผู้ลี้ภัยที่โคโซโว เธอจึงเลือกตุ๊กตาบางตัวของเธอที่เก่าแก่ทีสุดที่เธอชอบน้อยที่สุดเตรียมใส่กล่อง แล้วเธอก็พูดว่า “แต่หนูรู้สึกว่ายังทำไม่เพียงพอ เมื่อถึงเวลาที่เธอจะเข้านอนกล่องนั้นเต็มไปด้วนตุ๊กตาแล้วหิ้งที่เก็บตุ๊กตาของเธอก็ว่างเปล่า” การจัดการกับของที่เหลือใช้ทำให้วิญญาณของหนูเบาขึ้น และการให้ทำหนูมีความสุขมากยิ่งขึ้น

คริสต์มาสที่อุทิศให้กับการบริการรับใช้คนยากจน

        ภาคที่สิบเอ็ด: พระเยซูคริสต์ถูกตรึงด้วยตะปูบนไม้กางเขน “วันคริสต์มาสพวกเราไปที่กรุงโรมกับลูกเสือเพื่อเยี่ยมซิสเตอร์ธรรมทูตคณะพระเมตตาเพื่อแจกอาหารให้กับผู้ที่ต้องการแทนที่จะเฉลิมฉลองกันภายในครอบครัวของพวกเรา “นี่ไม่ใช่เป็นการเสียสละเพียงเล็กน้อยดังที่อธิบายในการรำพึงของการเดินรูปภาคที่สิบเอ็ด แต่เด็กชายคนหนึ่งระบายความในใจว่า “ตอนขากลับผมคิดถึงใบหน้าเหล่านั้นของคนที่ผมช่วยเหลือ การยิ้มของพวกเขาและเรื่องราวของพวกเขา…ความคิดที่ว่าผมได้นำความสุขเล็กน้อยไปมอบให้พวกเขาทำให้คริสต์มาสนี้จะลืมเสียมิได้ “การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรัก” เป็นคำสอนที่พระเยซูคริสต์มอบให้พวกเราจากไม้กางเขน

พระเยซูคริสต์ทรงให้อภัยคนบาปผู้ที่เป็นทุกข์เสียใจ

        ภาคที่สิบสอง: พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แบบฉบับที่พระเยซูคริสต์ทรงให้อภัยความชั่วที่พระองค์ได้รับนั้นทำให้เด็ก ๆ ไตร่ตรองถึงความชั่วที่มีอยู่ในโลก เช่นพวกมาเฟียที่ฆ่าได้แม้กระทั่งเด็ก ๆ เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้อภัยกับสิ่งเลวร้ายเช่นนั้น?   พวกเขาเขียนว่า “โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงมอบความรอดให้กับทุกคน พระองค์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อเรียกหาคนชอบธรรม ทว่าทรงเรียกหาคนบาป ผู้ที่มีความสุภาพถ่อมตัวและมีความกล้าหาญที่จะกลับเนื้อกลับตัวใหม่

พวกเขานำเอาคุณตาไปแล้วฉันก็ไม่พบท่านอีกเลย

        ภาคที่สิบสาม: พระเยซูคริสต์ถูกนำลงจากไม้กางเขน ในช่วงเวลานั้นเด็กหลายคนต้องทุกข์เพราะการหายตัวไปโดยกระทันหันของปู่ย่าตายาย “มีคนโดดลงจากรถผู้ป่วยฉุกเฉินแต่งกายเหมือนมนุษย์อวกาศ สวมเครื่องป้องกันตัวอย่างแน่นหนา มีถุงมือ หน้ากาก และเกราะกำบังใบหน้า พวกเขานำคุณตาของฉันไปซึ่งหายใจลำบาก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นคุณตา เด็กคนหนึ่งเล่า  ความทุกข์ยังเกิดจากความเป็นไปไม่ได้ที่จะอยุ่ใกล้ชิดปู่ย่าตายายเพื่อให้กำลังใจท่าน “ผมภาวนาสำหรับคุณตาทุกวัน โดยอาศัยวิธีนี้ผมจึงสามารถไปอยู่กับคุณตาในช่วงของการเดินทางสุดท้ายบนโลกนี้”

ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงสอนฉันให้รู้จักรัก

        ภาคที่สิบสี่: พระเยซูคริสต์ถูกนำไปฝังไว้ในคูหา การรำพึงเป็นการขอบคุณพระเยซูคริสต์ของซาร่า เด็กหญิงอายุ 12 ปี ตัวหนูต้องการขอบคุณพระองค์ เธอเขียน เพราะว่าพระองค์ทรงสอนหนูให้เอาชนะปัญหาด้วยการวางใจในพระองค์ ให้รักผู้อื่นเสมือนเป็นพี่น้องของหนูเอง และให้ลุกขึ้นทุกครั้งที่หนูหกล้มลง… วันนี้หนูขอขอบคุณพระองค์เพราะความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์ หนูรู้ดีว่าความตายมิใช่จุดจบของทุกสิ่ง”

หากท่านไม่เป็นเหมือนเด็ก ๆ …

        ในภาวนาบทสุดท้ายของการเดินรูป 14 ภาคมีผู้ใหญ่กล่าวซ้ำว่า พระเยซูคริสต์ทรงชี้นิ้วไปที่เด็ก ๆ ให้เป็นแบบฉบับเมื่อพระองค์ทรงอธิบายถึงคุณสมบัติที่จำเป็นเพื่อที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้นการวิงวอนแรกก็คือขอให้พวกเราเป็นเหมือนเด็ก ๆ “เป็นเด็กน้อยที่ต้องการทุกอย่าง เปิดชีวิตให้กว้างไว้” แล้วเด็กทุกคนในโลกก็มอบไว้ภายใต้พระเยซูคริสต์เพื่อที่พวกเขาจะได้ “เจริญเติบโตในปรีชาญาณ อายุ และพระหรรษทาน” และสุดท้าย ขอให้มีการสวดภาวนาสำหรับผู้ปกครอง และผู้อบรมเด็ก และบรรดาเยาวชน “เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้สึกว่าตนเป็นผู้ที่มอบชีวิต และความรักให้กับเด็ก ๆ และบรรดาเยาวชนอย่างแท้จริง”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทรำพึงการเดินรูป 14 ภาค ที่เขียนโดยเด็ก ๆ มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2021 พระสันตะปาปาฟรานซิสในการเดินรูป 14 ภาค ณ บริเวณลานมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งแทบจะไม่มีผู้คนเข้าร่วมพิธี อันเป็นเครื่องหมายแห่งความสันโดษและการอยู่กันตามลำพังอันมีสาเหตุจากโรคระบาดโควิด-19 ที่แฝงไปด้วยความหวังจากการไตร่ตรองที่เตรียมโดยเด็ก ๆ

        ความสันโดษและการอยู่ตามลำพังของผู้คนทั่วโลกโดยตัดขาดจากครอบครัวเพื่อนฝูง ต้องตกงานและขาดการทำมาหากิน ต้องดำเนินชีวิตในความกลัวและอนาคตที่ไม่แน่นอนทั้งสำหรับตนเองและบรรดาลูกหลาน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่วนเวียนอยู่ในความคิดของช่วงที่มีการเดินรูป 14 ภาคระหว่างวันที่สองของตรีวารปัสกาปี 2021

        นี่เป็นปีที่สองติดต่อกันที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงนำการเดินรูป 14 ภาคในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรที่แทบจะไม่มีสัตบุรุษเข้าร่วมพิธี เนื่องจากรัฐบาลของประเทศอิตาลีได้ออกกฎระเบียบป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19

        พระสันตะปาปาทรงอาภรณ์สีขาวประทับอยู่บนปะรำพิธีที่ตั้งขึ้นตรงใจกลางของลานหน้าพระวิหาร พระสันตะปาปาทอดพระเนตรไปยังบริเวณลานมหาวิหารที่กำลังมืดลงโดยมีเด็ก ๆ ครูคำสอน และเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง พร้อมผู้ปกครองของเด็ก ๆ ต่างก็ผลัดกันแบกไม้กางเขนไปรอบ ๆ บริเวณเสาหินโอเบลิสก์อันสูงตระหง่าน

        เด็ก ๆ ผลัดกันอ่านบทรำพึงของพวกเขาในขณะที่เพื่อน ๆ ช่วยแบกไม้กางเขนไปตามเส้นทางวงกลมที่ส่องความสว่างด้วยโคมไฟ ณ ใจกลางจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์

        ความจริงปีนี้พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเลือกที่จะให้เด็ก ๆ และเยาวชน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและอนาคตเป็นผู้เตรียมบทรำพึงสำหรับการเดินรูป 14 ภาคของปี 2021

ประเพณีปฏิบัติการเดินรูป 14 ภาค

        นับเป็นเวลา 50 ปีมาแล้วตั้งแต่พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงรื้อฟื้นประเพณีการเดินรูป 14 ภาคตั้งแต่ปี 1964 พระสันตะปาปาพระองค์ต่อๆมา จึงนำพิธีนี้มารื้อฟื้นมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์โดยใช้สถานที่ในกรุงโรม โดยมีสนามกีฬาโคโลเซียมเป็นฉากหลัง ทว่าตั้งแต่เริ่มเกิดโรคระบาดโควิด-19 ในปีที่แล้วรัฐบาลประเทศอิตาลีได้ประกาศข้อบังคับป้องกันการระบาดของเชื้อโรค ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดงานสาธารณะซึ่งรวมถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ก็ยังมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสื่อโทรทัศน์ไปทั่วโลกถึงผู้คนจำนวนหลายล้านคนในทุกทวีป การเดินรูปในแต่ละภาคนั้นเริ่มด้วยบทอ่านจากพระวรสารที่เกี่ยวกับมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ ตามด้วยการรำพึง จากนั้นจะมีการอธิษฐานภาวนาโดยพระสันตะปาปาแล้วลงท้ายด้วยการร้องเพลง

พระสันตะปาปาประสงค์อยู่ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องปราศรัยใด ๆ

        อันเป็นความชัดเจนว่าพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการปราศรัยใดๆ และพระองค์ก็มิได้เทศน์ ในความเงียบและการไตร่ตรองพิศเพ่งไปยังไม้กางเขนเป็นวิธีที่มีพลังมากที่สุดในโลกที่เงียบสงัด ซึ่งเชื้อไวรัสยังคงนำความทุกข์โศกเศร้าและการอยู่อย่างสันโดษมาให้พวกเรา อันก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่ผู้คนมีชีวิตอยู่ตามชายขอบสังคม คนตกงาน คนยากจน คนที่ขาดความยุติธรรม และการติด “เชื้อ” ของการไม่รู้ร้อนรู้หนาวในสังคมที่ก่อให้เกิดความตายและความสิ้นหวังในชีวิต

เด็ก ๆ และเยาวชนเป็นความหวังและอนาคต

        ในช่วงของการรำพึงไตร่ตรองครั้งที่แล้ว ได้มุ่งประเด็นไปที่เด็ก ๆ และเยาวชนว่าพวกเขาเป็นกุญแจและเป็นความหวังแห่งการเกิดใหม่อย่างไร “ข้าแต่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระเมตตา” นี่เป็นบทภาวนา “เป็นอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ที่พวกเราติดตามพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ในการเดินรูป 14 ภาค พวกเราติดตามพระองค์ด้วยการฟังเสียงและคำภาวนาของเด็ก ๆ ที่พระองค์จัดไว้ต่อหน้าพวกเราในฐานะที่เป็นแบบฉบับเพื่อที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระองค์”

        โปรดช่วยให้พวกเราเป็นเหมือนพวกเขา ต่ำต้อย มีความต้องการทุกสิ่ง เปิดใจกว้างสู่ชีวิต โปรดช่วยพวกเราให้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ และสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในแสงสว่างที่ชัดเจน พวกเราวิงวอนพระองค์โปรดอวยพร และปกป้องเด็กทุกคนในโลก ขอให้เด็กทุกคนเจริญเติบโตขึ้นในปรีชาญาณ อายุ พระหรรษทาน เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักและติดตามแผนการพิเศษของพระองค์เพื่อความสุขของพวกเขาด้วยเทอญ

        คำภาวนาของพระสันตะปาปาฟรานซิสดูจะเปี่ยมด้วยความยินดีในค่ำคืนนี้ ประกาศกในอาภรณ์สีขาวโดดเดี่ยวอยู่กลางเวทีกว้างใหญ่ทรงอวยพรฝูงชน พวกเราขอขอบคุณเด็ก ๆ สำหรับการรำพึงไตร่ตรองของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปภายในมหาวิหาร

บทรำพึงในการเดินรูป 14 ภาค ที่เขียนโดยเด็ก ๆ  พระเยซูคริสต์ทรงดับความกลัวของพวกเรา

          พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมอบการเรียบเรียงทรำพึงในการเดินรูป 14 ภาคปีนี้ให้กับ Agesci Scout Group “Foligno I” (Umbria) และวัดโรมันมรณะสักขีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอูกันดา

การเดินรูป 14 ภาคในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่นำโดยพระสันตะปาปาฟรานซิสจะประกอบด้วยการรำพึง และภาพวาดโดยเด็ก ๆ และเยาวชนแห่งกรุงโรมแห่งวัดมรณะสักขีแห่งประเทศอูกันดา Agesci scout group “Foligno I” และจากสองครอบครัวที่อยู่ในกรุงโรม พวกเขาจะเป็นคนอ่านในช่วงพิธี ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรโดยมีพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นประธานพิธี

        ในความซื่อ ๆ แบบเรียบง่ายและเป็นรูปธรรมในการรำพึงที่เขียนโดยเด็ก ๆ มีพลังอำนาจสัมผัสหัวใจได้อย่างล้ำลึก ที่ทำให้พวกเราต้องคิดไตร่ตรอง และทำงานเพื่อโลกที่ดีกว่าและมีความชอบธรรมากกว่า ข้อความเชื้อเชิญพวกเราให้ถามตัวของพวกเราเองเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราและความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวของเราและโลกของพวกเรา

กางเขนมากมายของเด็ก ๆ ในโลกนี้

        ความทุกข์ของเด็ก ๆ นั้นบ่อยครั้งถูกมองข้ามในบทนำของหนังสือคู่มือน้อยๆเล่มหนึ่งมีการเน้นขณะที่เด็กๆ เข้าไปหาพระเยซูคริสต์ รำพึงรำพันว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ที่รัก พระองค์ทราบดีว่าเด็กๆ อย่างพวกเราก็มีไม้กางเขนที่ต้องแบก เป็นไม้กางเขนที่ไม่เบากว่าหรือหนักกว่าที่ผู้ใหญ่แบก แต่ก็เป็นไม้กางเขนที่แท้จริง เป็นไม้กางเขนที่ทำให้พวกเรารู้สึกหนักอึ้งแม้ในเวลากลางคืน มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทราบว่านั่นคืออะไรและทรงสนพระทัยอย่างจริงจัง มีเพียงพระองค์เท่านั้น”  ไม้กางเขนคือความน่ากลัวในความมืด การอยู่อย่างสันโดษ เพราะโรคระบาด เป็นประสบการณ์ถึงข้อจำกัดของผู้คน  การถูกล้อเลียนจากผู้อื่น  การรู้สึกว่าตนนั้นยากจนกว่าบรรดาเพื่อนฝูง เกิดความเสียใจเพราะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันภายในครอบครัว แต่บางคนเป็นทุกข์เพราะ “ยังมีเด็กในโลกของพวกเราที่ไม่มีอาหารจะกิน ที่ไม่สามารถไปโรงเรียน ที่ถูกบังคับให้ต้องเป็นทหาร” ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงประทับอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราเสมอ ขอพระองค์โปรดอย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา เด็ก ๆ สรุป “โปรดช่วยให้พวกเราแบกไม้กางเขนประจำวันของพวกเราเฉกเช่นที่พระองค์ทรงแบกไม้กางเขนของพระองค์ด้วยเทอญ”

การกล่าวหาผู้บริสุทธิ์และการขาดความกล้าหาญ

        ภาคที่หนึ่ง: ปองซีโอปีลาโต ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตพระเยซูคริสต์ การรำพึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนชั้นประถมปีที่ 1 มาร์คถูกกล่าวหาว่าขโมยอาหารมื้อเที่ยงของเพื่อน มีบางคนรู้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาปกป้องเขา ผู้เล่าเรื่องรู้สึกอายที่ขาดความกล้าหาญ เขากระทำเหมือนปีลาโต แต่บัดนี้รู้สึกเสียใจที่เลือกหนทางที่ง่ายกว่า “บางครั้งพวกเราได้แต่ฟังเสียงของผู้ที่คิดและทำแต่ความชั่ว ในขณะที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับทางชันขึ้นภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก แต่พวกเรามีพระเยซูคริสต์อยู่เคียงข้างพร้อมที่จะสนับสนุนและช่วยพวกเรา”

การกระทำของพวกเราอาจมีผลกระทบต่อผู้อื่น

        ภาคที่สอง: พระเยซูคริสต์ทรงรับแบกไม้กางเขน ข้อความในพระวรสารโดยนักบุญลูกาเล่าว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกเย้ยหยัน และถูกโบยตีจากผู้ที่เฝ้ามาหาพระองค์ การเยาะเย้ยถากถางเกิดขึ้นต่อหน้าเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแม้กระทั่งถึงจุดที่มีการรังแกข่มเหงกัน อย่างในกรณีของมาร์ตีน่าที่มีปัญหาในการอ่านออกเสียงดังในห้องเรียน “อาจเป็นได้ว่านั่นไม่ใช่เจตนาของพวกเราที่ต้องการทำให้เธอเป็นตัวตลก  แต่พวกเราทำให้เธอต้องเจ็บปวดเพียงใดที่พวกเราหัวเราะเยาะเธอ… การเบียดเบียนไม่ใช่เป็นอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่แล้ว บางครั้งการกระทำของพวกเราสามารถพิพากษา ปฏิบัติโดยมิชอบ และทำร้ายพี่น้องคนหนึ่งคนใดของพวกเรา”

ประสบการณ์ของความผิดพลาด

        ภาคที่สาม: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่หนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงรู้สึกหนักอึ้งด้วยบาปของพวกเรา พระองค์ถูกเฆี่ยนและถูกสบประมาท ประสบการณ์ในช่วงนี้เป็นของเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กดีที่โรงเรียน ทว่าเขาสอบตกเป็นครั้งแรก ความล้มเหลวครั้งแรกนี้มากเกินไปสำหรับตัวฉัน ทันใดนั้นฉันรู้สึกว่าตนเองอยู่แต่ลำพังไม่มีใครมาปลอบใจฉันเลย แต่ ณ เวลานั้นกลับช่วยให้ฉันเติบโตขึ้น… บัดนี้ฉันรับรู้ว่าพวกเราแต่ละคนสามารถพลาดล้มได้ ขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ที่นั้นเพื่อยื่นพระหัตถ์มาจูงพวกเราให้ลุกขึ้น”

ความรักของมารดา

        ภาคที่สี่: พระเยซูคริสต์ทรงพบปะกับพระมารดา บทอ่านที่เลือกมาเป็นการแต่งงานที่หมู่บ้านคานาพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างพระบุตรและพระมารดาอันเป็นจุดเด่น นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เด็ก ๆ คิดเกี่ยวกับมารดาของตนและความรักของแม่ที่คอยเฝ้าติดตามเขาเสมอ แม้กระทั่งพาเขาไป “ฝึกเล่นฟุตบอล โรงเรียนสอนภาษา และการเรียนคำสอนในเช้าวันอาทิตย์” การรำพึงพูดถึงความต้องการความรักของเด็กน้อย ซึ่งบางทีก็ช่วยให้พ่อแม่เป็นคนดีมากขึ้น “ถ้าฉันมีปัญหา มีคำถาม หรือมีความคิดสิ่งใดที่ไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทาง คุณแม่ก็พร้อมเสมอที่จะฟังฉันเสมอพร้อมกับรอยยิ้ม

การเห็นพระเยซูคริสต์บนใบหน้าของผู้อื่น

        ภาคที่ห้า: ซีมอน ชาวซีเรน ช่วยพระเยซูคริสต์แบกไม้กางเขน ในแต่ละวันมีโอกาสมากมายที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ประจักษ์พยานที่เล่าไว้ ณ ที่นี้เป็นความห่วงใยต่อเพื่อนต่างชาติ ซึ่งมาอยู่แถวบ้านของพวกเรา เมื่อไม่นานมานี้ เขามองดูเด็ก ๆ เล่นฟุตบอลแต่ไม่กล้าที่จะแนะนำตนเอง เด็กคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเห็นเขาและกล้าที่จะไปพบเขาแล้วเชิญเขาให้มาเล่นกับพวกตน “ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา” เขาเขียนว่า “วาริดกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ดีที่สุดของฉัน และเป็นคนรักษาประตูของทีมฟุตบอลของพวกเราด้วย” ต่อเมื่อพวกเรารับรู้ความเป็นพี่น้องของบุคคลอื่นเท่านั้น “พวกเราจึงจะสามารถเปิดใจให้กับพระเยซูคริสต์”

การช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยกว่า

        ภาคที่หก: สตรีใจศรัทธาเช็ดพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ “แท้จริงเราบอกกับท่านว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องต่ำต้อยที่สุดเหล่านี้ของเรา ท่านก็ทำกับเราเอง” นี่เป็นพระวาจาของพระเยซูคริสต์ที่นำมาจากพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว  ในการเดินรูปภาคที่หกนี้ แม้ว่าในกิจการประจำวันเด็ก ๆ จะมีบางครั้งที่มีความยุ่งยากและเศร้าเสียใจ และต้องการให้มีคนมาคอยปลอบใจ ตัวอย่างหนึ่งก็คือหลังที่แพ้การแข่งขันฟุตบอลครั้งที่มีความสำคัญ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะทำได้ดีกว่า ในขณะที่หมดกำลังใจการแข่ง “ก็มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งถือเครื่องดื่มยืนรอฉันอยู่” เมื่อมีเพื่อนอยู่ใกล้คอยปลอบใจ “การแพ้กลายเป็นการมีโชคดีน้อยกว่าเขาเท่านั้นเอง”

การคิดถึงผู้ที่มีความต้องการมากที่สุด

ภาคที่เจ็ด: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่สอง การรำพึงเกี่ยวกับประสบการณ์ของนักเรียนชั้นประถมปี่ที่ 4 คนหนึ่ง กำลังมีการเตรียมแสดงตอนสิ้นปี และเขาต้องการเป็นผู้นำไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้ามครูเลือกจีโอวานนี่ซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทกันกับเขา ตอนแรกเขารู้สึกโกรธ แต่เมื่อเข้าใจแล้วเขาก็มีความสุข ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจีโอวานนี่ก็มีบทบาทมากขึ้นในห้องเรียน เขากล่าวว่า “ความผิดหวังของฉันได้ช่วยอีกคนหนึ่ง การเลือกของครูเปิดโอกาสให้บางคนที่ต้องการสิ่งนั้น”

การช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิด

        ภาคที่แปด: พระเยซูคริสต์พบสตรีใจศรัทธาแห่งเยรูซาเล็ม ในพระวรสารโดยนักบุญลูกาพวกเราพบว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เห็นพวกเขาพระองค์ตรัสว่า “ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงอย่างร้องไห้เพราะเรา แต่จงร้องไห้เพื่อตัวท่านเองและเพื่อลูกหลานของท่านเถิด”  นี่เป็นจุดเริ่มที่จะพูดว่า “การแก้ไขความผิดของบรรดาพี่น้องนั้นยากมาก แต่เป็นสิ่งจำเป็น”  นี่เป็นประสบการณ์ของสองพี่น้องที่โกหกมารดาด้วยการให้ความมั่นใจกับมารดาว่าพวกเขาได้ทำการบ้านเสร็จแล้วเมื่อตอนบ่าย ซึ่งความจริงแล้วเขาทั้งสองเล่นกันตลอดเวลา วันรุ่งขึ้นหนึ่งในสองคนนั้นพูดว่าเขารู้สึกไม่สบาย แล้วเขาก็ไม่ได้ไปโรงเรียน ส่วนอีกคนหนึ่งไปโรงเรียนแต่เมื่อเขากลับบ้านเขาจึงไปคุยกับน้อง “นั่นเป็นสิ่งไม่ถูกนะที่พวกเราโกหกแม่ และการที่น้องแกล้งว่าปวดท้อง พี่ขอเสนอว่าพวกเราทำการบ้านเดี๋ยวนี้ทันที แล้วพี่จะช่วยติววิชาที่น้องไม่ได้ไปเรียนวันนี้ เมื่อเราทั้งสองคนทำการบ้านเสร็จแล้ว พวกเราจะได้เล่นกันในตอนบ่าย”

ความสันโดษเกิดจากโรคระบาด

        ภาคที่เก้า: พระเยซูคริสต์ทรงหกล้มครั้งที่สาม ข้อความพระวรสารจะเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ที่ตายไปแล้วผลิดอกออกผลมากมาย โรคระบาดโควิด-19 เปิดฉากเข้ามาพร้อมกับผลร้ายที่กระทบแม้แต่เด็ก ๆ ความรู้สึกส่วนของประชาชนคือความสันโดษ พวกเขาไม่สามารถไปเยี่ยมญาติ โรงเรียนปิด พวกเขาคิดถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียน “ความรู้สึกที่น่าสงสารที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายบางครั้งแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว พวกเรารู้สึกว่า “ทุกคนทอดทิ้งพวกเรา” จนพวกเราไม่สามารถแม้กระทั่งที่จะยิ้ม เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ พวกเราพบตนเองว่านอนแผ่ติดอยู่กับพื้นดิน”

ความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการให้

        ภาคที่สิบ: พระเยซูคริสต์ถูกเปลื้องอาภรณ์ ตรงนี้ก็เช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งเล่าว่าเธอสะสมตุ๊กตาไว้ในห้องเป็นดุจขุมทรัพย์ วันหนึ่งเธอรู้มาว่าทางวัดกำลังรวบรวมตุ๊กตาเพื่อนำไปมอบให้กับเด็กผู้ลี้ภัยที่โคโซโว เธอจึงเลือกตุ๊กตาบางตัวของเธอที่เก่าแก่ทีสุดที่เธอชอบน้อยที่สุดเตรียมใส่กล่อง แล้วเธอก็พูดว่า “แต่หนูรู้สึกว่ายังทำไม่เพียงพอ เมื่อถึงเวลาที่เธอจะเข้านอนกล่องนั้นเต็มไปด้วนตุ๊กตาแล้วหิ้งที่เก็บตุ๊กตาของเธอก็ว่างเปล่า” การจัดการกับของที่เหลือใช้ทำให้วิญญาณของหนูเบาขึ้น และการให้ทำหนูมีความสุขมากยิ่งขึ้น

คริสต์มาสที่อุทิศให้กับการบริการรับใช้คนยากจน

        ภาคที่สิบเอ็ด: พระเยซูคริสต์ถูกตรึงด้วยตะปูบนไม้กางเขน “วันคริสต์มาสพวกเราไปที่กรุงโรมกับลูกเสือเพื่อเยี่ยมซิสเตอร์ธรรมทูตคณะพระเมตตาเพื่อแจกอาหารให้กับผู้ที่ต้องการแทนที่จะเฉลิมฉลองกันภายในครอบครัวของพวกเรา “นี่ไม่ใช่เป็นการเสียสละเพียงเล็กน้อยดังที่อธิบายในการรำพึงของการเดินรูปภาคที่สิบเอ็ด แต่เด็กชายคนหนึ่งระบายความในใจว่า “ตอนขากลับผมคิดถึงใบหน้าเหล่านั้นของคนที่ผมช่วยเหลือ การยิ้มของพวกเขาและเรื่องราวของพวกเขา…ความคิดที่ว่าผมได้นำความสุขเล็กน้อยไปมอบให้พวกเขาทำให้คริสต์มาสนี้จะลืมเสียมิได้ “การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรัก” เป็นคำสอนที่พระเยซูคริสต์มอบให้พวกเราจากไม้กางเขน

พระเยซูคริสต์ทรงให้อภัยคนบาปผู้ที่เป็นทุกข์เสียใจ

        ภาคที่สิบสอง: พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แบบฉบับที่พระเยซูคริสต์ทรงให้อภัยความชั่วที่พระองค์ได้รับนั้นทำให้เด็ก ๆ ไตร่ตรองถึงความชั่วที่มีอยู่ในโลก เช่นพวกมาเฟียที่ฆ่าได้แม้กระทั่งเด็ก ๆ เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้อภัยกับสิ่งเลวร้ายเช่นนั้น?   พวกเขาเขียนว่า “โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงมอบความรอดให้กับทุกคน พระองค์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อเรียกหาคนชอบธรรม ทว่าทรงเรียกหาคนบาป ผู้ที่มีความสุภาพถ่อมตัวและมีความกล้าหาญที่จะกลับเนื้อกลับตัวใหม่

พวกเขานำเอาคุณตาไปแล้วฉันก็ไม่พบท่านอีกเลย

        ภาคที่สิบสาม: พระเยซูคริสต์ถูกนำลงจากไม้กางเขน ในช่วงเวลานั้นเด็กหลายคนต้องทุกข์เพราะการหายตัวไปโดยกระทันหันของปู่ย่าตายาย “มีคนโดดลงจากรถผู้ป่วยฉุกเฉินแต่งกายเหมือนมนุษย์อวกาศ สวมเครื่องป้องกันตัวอย่างแน่นหนา มีถุงมือ หน้ากาก และเกราะกำบังใบหน้า พวกเขานำคุณตาของฉันไปซึ่งหายใจลำบาก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นคุณตา เด็กคนหนึ่งเล่า  ความทุกข์ยังเกิดจากความเป็นไปไม่ได้ที่จะอยุ่ใกล้ชิดปู่ย่าตายายเพื่อให้กำลังใจท่าน “ผมภาวนาสำหรับคุณตาทุกวัน โดยอาศัยวิธีนี้ผมจึงสามารถไปอยู่กับคุณตาในช่วงของการเดินทางสุดท้ายบนโลกนี้”

ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงสอนฉันให้รู้จักรัก

        ภาคที่สิบสี่: พระเยซูคริสต์ถูกนำไปฝังไว้ในคูหา การรำพึงเป็นการขอบคุณพระเยซูคริสต์ของซาร่า เด็กหญิงอายุ 12 ปี ตัวหนูต้องการขอบคุณพระองค์ เธอเขียน เพราะว่าพระองค์ทรงสอนหนูให้เอาชนะปัญหาด้วยการวางใจในพระองค์ ให้รักผู้อื่นเสมือนเป็นพี่น้องของหนูเอง และให้ลุกขึ้นทุกครั้งที่หนูหกล้มลง… วันนี้หนูขอขอบคุณพระองค์เพราะความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์ หนูรู้ดีว่าความตายมิใช่จุดจบของทุกสิ่ง”

หากท่านไม่เป็นเหมือนเด็ก ๆ …

        ในภาวนาบทสุดท้ายของการเดินรูป 14 ภาคมีผู้ใหญ่กล่าวซ้ำว่า พระเยซูคริสต์ทรงชี้นิ้วไปที่เด็ก ๆ ให้เป็นแบบฉบับเมื่อพระองค์ทรงอธิบายถึงคุณสมบัติที่จำเป็นเพื่อที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้นการวิงวอนแรกก็คือขอให้พวกเราเป็นเหมือนเด็ก ๆ “เป็นเด็กน้อยที่ต้องการทุกอย่าง เปิดชีวิตให้กว้างไว้” แล้วเด็กทุกคนในโลกก็มอบไว้ภายใต้พระเยซูคริสต์เพื่อที่พวกเขาจะได้ “เจริญเติบโตในปรีชาญาณ อายุ และพระหรรษทาน” และสุดท้าย ขอให้มีการสวดภาวนาสำหรับผู้ปกครอง และผู้อบรมเด็ก และบรรดาเยาวชน “เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้สึกว่าตนเป็นผู้ที่มอบชีวิต และความรักให้กับเด็ก ๆ และบรรดาเยาวชนอย่างแท้จริง”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทรำพึงการเดินรูป 14 ภาค ที่เขียนโดยเด็ก ๆ มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

บทเทศน์วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
พระคาร์ดินัล รานิเอโร กันตาลาแมสซา (Cantalamessa)

Cardinal Raniero Cantalamessa, OFM Cap.

บทเทศน์วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคาร์ดินัล รานิเอโร กันตาลาแมสซา (Cantalamessa)

นักเทศน์ประจำแห่งสันตะสำนัก ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม้กางเขน คือพื้นฐานแห่งภราดรภาพ

ในบทเทศน์วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) ผู้เทศน์ประจำแห่งตำหนักพระสันตะปาปาตั้งข้อสังเกตว่าภราดรภาพในหมู่คาทอลิกมีบาดแผล ผู้อภิบาลควรเป็นบุคคลแรกที่ต้องพิจารณามโนธรรมกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับการสร้าง “ความเป็นพี่น้องและความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระศาสนจักร”

“พวกเราต้องสร้างความเป็นพี่น้องกันในทำนองเดียวกันกับที่พวกเราสร้างสันติสุข นั่นคือเริ่มต้นด้วยการมีความใกล้ชิดกับตัวเราเองก่อน สำหรับพวกเรานั่นหมายความว่า ภราดรภาพสากลเริ่มต้นที่พระศาสนจักรคาทอลิก” พระคาร์ดินัล รานิเอโร กันตาลาแมสซา (Raniero Cantalamessa) กล่าว ท่านชี้ให้พวกเราเห็นในบทเทศน์ของท่านในวันฉลองมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ เมื่อเย็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นประธานพิธี เพื่อปฏิบัติตามนโยบายการระวังโรคระบาดโควิด-19 ประชาสัตบุรุษที่เข้าร่วมพิธีจึงมีจำนวนจำกัด

พิธีฉลองมหาทรมานของพระคริสตเจ้า

ความหมายของคำว่าพี่น้อง

        วันที่คริสตชนรำลึกถึงมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระคาร์ดินัลอธิบายความหมายของคำว่า พี่น้องและความเป็นเอกภาพจากหลายมุมมองด้วยกันโดยเริ่มต้นจากสมณสาส์นเวียนฉบับล่าสุดของพระสันตะปาปาคือ “พวกเราเป็นพราน้องกัน” (Fratelli tutti)

        ท่านกล่าวว่าสมณสาส์นเวียนฉบับนี้เขียนขึ้นสำหรับผู้คนในวงกว้างทั้งในและนอกพระศาสนจักร อันที่จริงแล้วน่าจะเป็นสำหรับคนทั้งโลก เนื้อหาสาระชี้ให้เห็นถึงหนทางบางอย่างที่จะไปถึงภราดรภาพมนุษย์ที่แท้จริงและชอบธรรมในหลากหลายบริบทแห่งชีวิตทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวมทั้งจากวงการศาสนาสังคมและการเมือง

        “พระธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขนที่พวกเรากำลังเฉลิมฉลอง” พระคาร์ดินัลชาวอิตาเลียน กล่าว “เรียกร้องให้พวกเราต้องโฟกัสที่เทววิทยาคริสตศาสนจักรวิทยาเรื่องภราดรภาพซึ่งเริ่ม ณ เนินเขากัลวารีโอ” คำว่าพี่น้องในความหมายทั่วไปที่สุดคือญาติโยม ขั้นถัดไปหมายถึงประชาชนชาติเดียวกัน ความหมายยังขยายกว้างขึ้นจนรวมถึงมนุษย์ทุกคนในความหมายที่คำว่าพี่น้องกลายเป็นเพื่อน คำว่าพี่น้องดังที่ปรากฏในพระคัมภีร์ เมื่อพระเยซูคริสต์กล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดต่อพี่น้องที่ต่ำต้อยที่สุดของเรา ท่านทำต่อเราเอง” พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรวมทุกคนที่เดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ

ภราดรภาพหลังปัสกา

        ทว่าพระคาร์ดินัลกาปูชินอายุ 86 ปีกล่าวว่าพร้อมกับปัสกาภราดรภาพมีความหมายพิเศษ ในพระธรรมล้ำลึกปัสกา พระเยซูคริสต์กลายเป็น “บุตรหัวปีในบรรดาพี่น้อง” (รม. 8: 29) บรรดาศิษย์กลายเป็นพี่เป็นน้องชายหญิงกันในความหมายใหม่ที่ลึกซึ้ง ความจริงพระคาร์ดินัลชี้ให้เห็นว่า มีแต่หลังการเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพแล้วเท่านั้นที่พระเยซูคริสต์เรียกบรรดาศิษย์ว่าพี่น้องเป็นครั้งแรก” จงไปบอกพี่น้องของเรา เราไปหาพระบิดาของเราและของท่าน” พระองค์ทรงบอกกับมารีย์ มักดาเลน

        หลังปัสกาคำว่าพี่น้องหมายถึงพี่น้องในความเชื่อที่เป็นสมาชิกแห่งชุมชนในพระศาสนจักร – เป็นพี่น้องสายโลหิตในสายพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ แทนทีจะนำมาแทนความเป็นพี่น้องกันในครอบครัวโดยเชื้อชาติและสัญชาติ ความเป็นพี่น้องของพระเยซูคริสตเจ้านี้ครอบคลุมพวกเขาทั้งหมด ความเชื่อของคริสตชนเพิ่มมิติทีสองหนักเข้าไปอีก คือว่าเป็นพี่น้องกันไม่เพียงแต่การที่พวกเรามีพระบิดาพระองค์เดียวกันและเป็นพระผู้สร้างเท่านั้น แต่พวกเรายังมีพี่ชายคนเดียวกันซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ (ผู้ทรงบังเกิดคนแรกในบรรดาพี่น้อง” ด้วยเดชะบารมีแห่งการไถ่กู้จากทาสของบาป

การฉลองมหาทรมานของพระคริสตเจ้า

การเยียวยาความแตกแยกในพระศาสนจักร

        ผู้เทศน์ตั้งข้อสังเกตว่าความเป็นพี่น้องกันในหมู่คริสตชนนั้นมีบาดแผลและการแตกแยกระหว่างศาสนจักรเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะข้อความเชื่อ ศีลศักดิ์สิทธิ์และพันธกิจ “การแตกแยกที่เป็นจุดบอดของคาทอลิก” ท่านกล่าว “เกิดจากความคิดทางการเมืองที่กลายเป็นอุดมการณ์หลังจากที่ให้ความสำคัญเหนือไปจากศาสนาและเหนือคำสอนของพระศาสนจักร” นี่เป็นประเด็นที่ไม่มีการพูดกันอย่างเปิดเผย หรือมีการปฏิเสธกันอย่างดูถูกดูแคลน”

        สำหรับชาวคาทอลิก พระคาร์ดินัลชาวอิตาเลียน ชี้ให้เห็นว่าความเป็นพี่น้องกันนั้นสร้างขึ้นในทำนองเดียวกันกับสันติสุข กล่าวคือเริ่มต้นที่ตัวพวกเราเองก่อนแล้วก็ภายในพระศาสนจักร สิ่งที่จำเป็นคือการพิจารณามนโนธรรมอย่างจริงจังแล้วกลับใจ การปลุกระดมความแตกแยกเป็นงานเอกของปิศาจ เป็น “ศัตรูที่คอยหว่านเมล็ดหญ้าหรือวัชพืช”

        ในประเด็นนี้พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบฉบับที่พวกเราต้องติดตาม พระองค์ทรงปฏิเสธอย่างเข้มแข็งที่จะถูกลากเข้าไปในสี่พรรคในยุคสมัยของพระองค์ กล่าวคือ – พวกฟาริสี ซัดดูสี เฮโรเดี้ยน และซีลอตส์ (พวกชาตินิยม) คริสตชนรุนแรกก็ติดตามเส้นทางเดียวกัน

        พระคาร์ดินัลกันตาลาแมสซา (Cantalamessa) กล่าวว่า “ผู้อภิบาล จำเป็นต้องเป็นบุคคลแรกที่สำรวจมโนธรรมของตนอย่างจริงจัง” พวกเขาจำเป็นต้องถามตนเองว่าพวกเขานำฝูงแกะไปหาพวกเขาเอง เพื่อเขาเอง หรือไปหาพระเยซูคริสต์!!

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ทุกคนเป็นพี่น้องกัน

ทุกคนเป็นพี่น้องกัน

สภาพประชาชนในประเทศเมียนมา  ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือน เมษายน จากเทศกาลมหาพรต  อาทิตย์มหาทรมาน  การสิ้นพระชนม์  ถึงสมโภชปัสกาการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ทำให้ผมหันมาอ่านสมณสาส์น “ทุกคนเป็นพี่น้องกัน”  ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เกี่ยวกับภราดรภาพ  และมิตรภาพทางสังคม   เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.2020  และสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย  ได้จัดพิมพ์ภาษาไทยแล้ว (พฤศจิกายน 2020)

            ณ ชายแดนที่ซึ่งไร้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

     ข้อ 37… ในระบอบการเมืองแบบประชานิยม..ส่งเสริมว่าต้องหลีกเลี่ยง  มิให้บรรดาผู้อพยพเข้ามา…ผู้คนมากมายพากันหนีสงคราม  การกดขี่ข่มเหง..และพวกเขา” มองหาโอกาสสำหรับพวกเขา  และครอบครัว..ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า  และต้องการสร้างโอกาสที่จะทำให้ฝันนี้เป็นจริงได้”

     ข้อ 40   น่าเศร้าที่ “การอพยพย้ายถิ่นกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานประการหนึ่งของโลกอนาคต… มรดกทางวัฒนธรรม  และศาสนา..ได้ช่วยให้มีเครื่องมือที่จะปกป้องความสำคัญของมนุษย์  และค้นหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างหน้าที่ทางจริยธรรมสองประการ  คือ การปกป้องสิทธิของพลเมือง  และการรับรองความช่วยเหลือ  รวมทั้งการต้อนรับผู้อพยพ”

      ข้อ 41  “ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  ในการเผชิญหน้ากับผู้อพยพ  บางคนมีความสงสัย  และรู้สึกกลัว…ความกลัวจึงเป็นอุปสรรคขัดขวางเราจากความปรารถนา  และความสามารถในการพบปะผู้อื่น” 

      ข้อ 98  “ข้าพเจ้าขอระลึกถึง”บรรดาผู้ลี้ภัยที่หลบซ่อน”  ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในสังคม… ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า  เราต้องมี ” ความกล้าที่จะให้เสียงแก่ผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความพิการของพวกเขา…”เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นบุคคลที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน”

       ข้อ 187   เมตตาธรรม …เป็นหัวใจของจิตวิญญาณทางเมือง  จึงมักเป็นความรักพิเศษต่อคนต่ำต้อย  และเป็นความรักที่มุ่งทำทุกอย่าง แบบไม่เปิดเผย  เพื่อประโยชน์ของคนต่ำต้อย…  จำเป็นต้องมีรูปแบบการแสดงออก  และการมีส่วนร่วมทางสังคมที่แตกต่าง… หลักการสนับสนุนช่วยเหลือ(Subsidiarity) แสดงให้เห็นคุณค่าซึ่งไม่สามารถแยกออกจากความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกันได้  (Solidarity)

        คำอธิษฐาน (ข้อ 287)

        “ข้าแต่พระเจ้า… ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายที่เป็นคริสตชนได้ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร  และสามารถพบพระคริสตเจ้าในมนุษย์ทุกคน  เพื่อมองเห็นพระองค์  ผู้ถูกตรึงกางเขนในความทุกข์ของบรรดาผู้ถูกทอดทิ้ง  และถูกลืมของโลกนี้  และผู้กลับฟื้นคืนชีพในพี่น้องทุกคนที่ลุกขึ้นยืนได้”

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์ 

ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม

ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม

23 มีนาคม 2021 วาติกัน

อาร์คบิชอป ริโน ฟิสิเคลล่า ผู้รับผิดชอบ สมณสภาเพื่อการส่งเสริมการประกาศข่าวดี ได้ส่งจดหมายถึงบรรดาบาทหลวงธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมของมิสซังต่างๆว่า


ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมที่รัก
ตามที่ท่านทราบดีแล้ว ไม่กี่เดือนมานี้งานอภิบาลของพระศาสนจักรในหลายเขตทั่วโลก ยังคงประสบโควิด 19 หลายแห่งถูกบังคับต้องปิดวัด และในบางแห่งสถานการณ์ยังคงอยู่ ในปีนี้ เราจะฉลองปัสกา สัตบุรุษอาจร่วมได้ลดน้อยลง อย่างไรก็ดีเราได้รับรายงานประจักษ์พยานของบรรดาธรรมทูตที่ยังทำหน้าที่ต่อเนื่อง เผชิญกับความยากลำบากมากมาย เพราะสิ่งนี้ เราขอบคุณพระเจ้า

เหมือนงานอื่นๆของคูเรียโรมัน สมณสภาเพื่อการส่งเสริมการประกาศข่าวดีใหม่ ก็เผชิญกับโควิด 19 จึงต้องลดกิจกรรมต่างๆ ตามข้อกำหนดการเดินทาง และการจัดกิจกรรม เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค บัดนี้เราพยายามมองข้ามเรื่องฉุกเฉินนี้ กิจการหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่เราปรารถนาดำเนินการอบรมต่อเนื่องแก่บรรดาธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม เราจึงตัดสินใจจัดการประชุมบรรดาธรรมทูตทุกคน ที่กรุงโรม วันที่ 23-25 เมษายน ค.ศ.2022 (ปีหน้า) วันอาทิตย์ พระเมตตาด้วย

จะเป็นโอกาสมิใช่พบกันอีกเท่านั้น แต่ให้แต่ละคนมีนัดการต่อเนื่องพันธกิจนี้ ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสสนพระทัย เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพัฒนา จะมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา อีกครั้งหนึ่ง และฟังคำสอนของพระองค์ในเรื่องนี้

เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินของการณ์โควิด 19 ดีขึ้น เราจะส่งข้อมูลกับการลงทะเบียนให้ท่าน ขอคุณพ่อจองวันเหล่านี้ไว้ และเขียนถึงเรา ([email protected]) หากมีหัวข้อใดๆ ที่คุณพ่อปรารถนาจะเสนอในการประชุมนี้

ขอบใจที่ท่านอุทิศตนแก่ศาสนบริการที่สำคัญมากที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดี และพระพรโอกาสสมโภชการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์พระผู้เป็นเจ้า

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล 1/4/2021

ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม
โป๊ปฟรังซิสหมายความอะไรถึงพวกเขา

เราคริสตชนต้องรู้เกี่ยวกับ ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม ซึ่งจะเริ่มวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2015 พระอัครสังฆราช รีโน ฟิซิเชลล่า ประธานสมณสภาส่งเสริมการประกาศข่าวดีใหม่ ได้อธิบายเรื่อง ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม ว่าโป๊ปฟรังซิสทรงตั้งใจใช้พวกเขาอย่างไร

ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม คือ บรรดาพระสงฆ์จากส่วนต่างๆของโลก ที่บรรดา พระสังฆราของพวกเขาได้แนะนำเสนอ พวกเขาต้องเป็น”เครื่องหมายของพระบิดา พร้อมที่จะต้อนรับบรรดาผู้มาของการอภัย”

พระสังฆราชท้องถิ่น ได้เชิญชวนจะส่งบรรดาธรรมทูตเหล่านี้ไปสังฆมณฑลต่างๆทั่วโลก ให้เทศน์ นำการฟื้นฟูจิตใจ และโปรดศีลอภัยบาป จำนวนธรรมทูต มี 800 องค์ และพระสงฆ์ประมาณ 100 องค์ ถูกส่งไปประเทศสหรัฐอเมริกา

สมเด็จพระสันตะปาปาจะแต่งตั้งบรรดาพระสงฆ์เหล่านี้ในวันพุธรับเถ้าที่ 10 กุมภาพันธ์ 2016 ให้ไปเทศน์เรื่องเมตตาธรรม และเป็นผู้โปรดศีลอภัยบาปที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม

“สมเด็จพระสันตะปาปาจะมอบอำนาจให้ยกบาปที่สงวนไว้สำหรับสันตะสำนัก (สมณโองการ เลขที่ 18 ) บาปเหล่านี้รวม บาปที่ทำผิดต่อศีลมหาสนิท (กฎหมายพระศาสนจักร (CIC ม.1367) ซึ่งพระอัครสังฆราช รีโน ฟิซิเชลล่า กล่าวว่า “เกิดบ่อยขึ้นกว่าที่ใครคิด” การยกบาปที่ทำผิดร่วมกัน ต่อพระบัญญัติประการ 6 (CIC 1378)

การอภิเษกสังฆราชที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโทษเกิดขึ้นทั้งสังฆราชผู้อภิเษก และสังฆราชผู้รับอภิเษก (CIC 1382)

การละเมิดความลับของศีลอภัยบาป (CIC 1388) และการทำร้ายร่างกายสมเด็จพระสันตะปาปา (CIC 1370)

การทำร้ายร่างกายสมเด็จพระสันตะปาปานี้ “เราต้องเข้าใจให้ดี เพราะหลายครั้ง คำพูดแรงๆด้วย พ่อเชื่อว่าบาปเหล่านี้มีมาก ขยายวงกว้างกว่าที่เราคิด”

อ้างถึงจดหมายที่สมเด็จพระสันตะปาปาได้เขียนถึงพระอัครสังฆราช รีโน ฟิสิเชลล่า ต้นเดือนกันยายน 2015 มีหลายประเด็นที่พระองค์ปรารถนาให้เน้นในปีแห่งเมตตาธรรม พระอัครสังฆราชได้กล่าวว่าโป๊ปขยายให้พระสงฆ์ทุกองค์ สำหรับปีศักดิ์สิทธิ์นี้ สามารถยกบาปด้วยความสุขุมรอบคอบเกี่ยวกับการทำแท้ง

สมเด็จพระสันตะปาปาเองจะแต่งตั้งบรรดาธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม และมอบหน้าที่ การอภัยบาป สงวน แก่พวกเขาทีละคนส่วนตัว“

สังฆราชในสังฆมณฑลของตนไม่สามารถแต่งตั้งธรรมทูตเหล่านี้ ไม่สามารถมอบอำนาจที่ตนไม่มีอำนาจ ใครที่ปรารถนาเชิญธรรมทูตเหล่านี้ไปประกอบพิธีกรรม การฟื้นฟูจิตใจ หรือจัดเหตุการณ์พิเศษ ย่อมทำได้โดยเขียนความประสงค์ และกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการไปยัง พระสังฆราช”

Diane Montagna ,วาติกัน 5 ธันวาคม 2015, Aleteia
พระสังฆราช วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
8 ธันวาคม 2015

เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2017 พระอัครสังฆราช ริโน ฟิสิเชลล่า ประธานสมณสภาเพื่อการประกาศข่าวดีใหม่ ได้ติดต่อกับบรรดาพระสงฆ์ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมที่สมัครใจ และได้รับการรับรองจากพระสังฆราชของตน เมื่อปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม (8 ธันวาคม ค.ศ. 2015 – 20 พฤศจิกายน ค.ศ.2016) และปรารถนาปฏิบัติหน้าที่นี้ต่อไป สำหรับประเทศไทย มีพระสงฆ์ที่สมัครทำหน้าที่ต่อ และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงรับรอง คือ

1.คุณพ่อชาร์ลส์ ปิยะ โรจนะมารีวงค์ (กรุงเทพฯ)
2.คุณพ่อยอแซฟ สมศักดิ์ ธิราศักดิ์ (กรุงเทพฯ)
3.คุณพ่อเปโตร ชวลิต กิจเจริญ (กรุงเทพฯ)
4.คุณพ่อฟรังซิสเซเวียร์ สมชาย อัญชลีพรสันติ์ (กรุงเทพฯ)
5.คุณพ่อยอแซฟ สุวนารถ กวยมงคล (กรุงเทพฯ)
6.คุณพ่อยอห์น บัปติสต์ พงษ์เทพ ประมวลพร้อม (กรุงเทพฯ)
7.คุณพ่อฟิลิป พรชัย เตชะพิทักษ์ธรรม (สติกมาติน)
8.คุณพ่อดอมินิก นที ธีรานุวรรตน์ (สุราษฏร์ธานี)
9.คุณพ่ออีจีนุส บุญเลิศ สร้างกุศลในพสุธา (เชียงใหม่)
10.คุณพ่อแบร์นาร์ด สุธน คีรีวัฒนสกุล (เบธาราม)
11.คุณพ่อมีคาแอล วินัย บุญลือ (เยสุอิต)

หน้าที่คือ
1.พร้อมจะบริการศีลอภัยบาป ช่วยเหลือผู้มาขอสารภาพบาปให้สัมผัสพระเจ้า ผู้ให้อภัย และใจดี
2.เทศน์สอนเรื่องพระเมตตา
3.มีอำนาจยกบาป ที่สงวนไว้สำหรับสันตะสำนัก คือ
1. ทุราจารศีลมหาสนิท โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์
2. ทำร้ายสมเด็จพระสันตะปาปา
3. ยกบาปให้คู่ขาที่ทำผิดบัญญัติประการที่ 6
4. พระสงฆ์ละเมิดความลับของศีลอภัยบาป
5. ใช้อุปกรณ์บันทึกสิ่งที่พระสงฆ์ หรือ ผู้สารภาพบาปกล่าว ในเวลาสารภาพบาป

หน้าที่ของธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมจำกัดเฉพาะเรื่องภายใน (Internal forum) ไม่รวมถึงเรื่องภายนอก (external forum) สมเด็จพระสันตะปาปาปรารถนาจะพบพระสงฆ์ธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมที่กรุงโรม วันที่ 8-11 เมษายน ค.ศ. 2018 (สัปดาห์ที่สองเทศกาลปัสกา) สนใจข้อมูลหรือแบ่งปัน ติดต่ออีเมล missionaries of mercy @ pcpne.va

“ขอให้ท่านเอาใจใส่ดูแลบรรดาสัตบุรุษด้วยหัวใจซื่อ และเมตตากรุณาเหมือนพระบิดา ผู้มีใจเมตตากรุณา และพระนางมารีย์พรหมจารีพระมารดาแห่งเมตตาธรรม ขอความรัก สันติ และเมตตาธรรมของพระเยซูคริสตเจ้าสถิตกับท่านเสมอ”

ฟ. วีระ อาภรณ์รัตน์

บทรำพึงที่เนินเขากัลวารีโอ

บทรำพึงที่เนินเขากัลวารีโอ

“แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส” (ฟป 2:6-7)
.
อาทิตย์มหาทรมาน เริ่มด้วยอาทิตย์ใบลาน ฉันอยากทำให้มหาทรมานของพระองค์เป็นความทรมานของฉัน อย่าให้ฉันเพียงแต่ยินดีที่ได้โบกกิ่งใบปาล์มและโห่ร้องต้อนรับพระองค์เท่านั้น ขอให้ใบปาล์มของฉันถูกกดทับเหมือนถูกตะปูที่ตอกตรึงฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ จนกระทั่งพระโลหิตของพระองค์หลั่งมาชำระล้างบาปของฉัน เพื่อให้ร่องรอยแห่งมหาทรมานของพระองค์สลักลึกในใจฉัน
.
โอ้ว่าสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ โอ้ว่าความรักของพระเจ้า ที่ทรงทุ่มเทให้อย่างไม่มีอั้น ไม่มีข้อจำกัด ได้เผยธรรมล้ำลึกนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาของฉัน มหาทรมานของพระองค์เกิดจากความรักเมตตาของพระองค์ ตลอดพระชนมชีพของพระองค์คือประจักษ์พยานมหัศจรรย์ของความรักที่พระเจ้าทรงสละองค์จนหมดสิ้น มิได้ทรงถือว่ามีศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้า แต่ทรงยอมรับสภาพดุจทาส ทาสที่ยอมรับใช้ผู้อื่น มิใช่ให้ผู้อื่นมารับใช้พระองค์
.
ขณะที่ฉันจ้องดูผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ของพระเจ้านี้ ในความเงียบสงัดแห่งดวงใจฉัน ฉันได้ยินพระองค์ทรงกระซิบว่า “และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้กับผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาท และถ่มน้ำลายรด” ผู้รับใช้นี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทรงกล่าวเพิ่มว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า” ฉันสงสัยว่า พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยจริงหรือ
.
ฉันยืนอยู่ที่นั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ในขณะที่ฝูงชนส่งเสียงร้อง “โฮซานนา โฮซานนา” รวมทั้งเสียงที่ว่า “เอาเขาไปตรึงกางเขน เอาเขาไปตรึงกางเขน” ความกลัวของฉัน และความต้องการที่จะมีเพื่อนทำให้ฉันต้องล้างมือ แต่พระโลหิตของพระองค์จะไม่มีวันล้างออก พระองค์ทรงผินพระพักตร์มาหาฉัน ฟกช้ำ เลือดท่วม และแตกยับเยิน “เจ้าเป็นเพื่อนกับเขาใช่ไหม” สาวคนใช้ถามฉัน “ไม่” ฉันรีบตอบไป “ฉันไม่รู้จักชายผู้นี้”
.
พระองค์ทรงจ้องมองฉัน ทรงตกตะลึงที่ฉันตอบปฏิเสธ ดวงพระเนตรของพระองค์เหมือนแฝงไว้ด้วยคำถาม “เจ้าไม่รู้จักเราหรือ” ฉันตอบซ้ำอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ พระองค์เองทรงทำให้ฉันแย่ถึงเพียงนี้ ฉันต้องการกษัตริย์ แต่พระองค์กลับเป็นเพียงแค่คนรับใช้ที่ทนทุกข์ ฉันคิดว่าพระองค์จะทรงนำดาบออกมา แต่พระองค์ทรงกำลังแบกไม้กางเขน ฉันต้องการสร้างพลับพลาบนภูเขาทาบอร์ แต่พระองค์กลับทรงมุ่งไปเนินเขากัลวารีโอ เสียใจด้วยจริงๆ ฉันไม่รู้จักพระองค์” แล้วพระองค์ก็เสด็จผ่านฉันไป เศร้าสร้อย และเงียบงัน
.
ฉันรีบเร่งผ่านฝูงชนที่อึกทึกวุ่นวาย – เด็กที่พระองค์ทรงปลุกให้คืนชีพ เหล่าคนโรคเรื้อนที่ได้ทรงรักษาเยียวยา บรรดาสหายที่กินเลี้ยงด้วยกันกับพระองค์ ฝูงชนทั้งชายหญิงที่ได้กินขนมปังและปลาเมื่อทรงทวีอาหารเลี้ยงพวกเขา ฉันจะพูดได้อย่างไรว่าพระองค์คือเพื่อนของฉัน การรู้จักพระองค์เป็นเรื่องอันตรายเกินไป ความมืดมิดอยู่ล้อมรอบตัวฉัน และอยู่ภายในใจฉัน
.
บ่ายวันศุกร์ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น ดวงอาทิตย์ดูจะอับแสง ฉันรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ฉันกำลังหยุดนิ่งอยู่ที่เนินเขากัลวารีโอ เสียงตอกตะปูและเสียงร้องของผู้ถูกตรึงดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในแก้วหูของฉัน ฉันไม่กล้าเข้าไปใกล้พระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์อาจจะทรงถามอีกว่า “เจ้ารู้จักเราไหม” แล้วฉันก็จะต้องตอบว่า “ไม่” – ฉันปรารถนาจะเห็นพระองค์ที่มีความงดงาม ความเข้มแข็ง ความปรีชาฉลาด ความมหัศจรรย์” แล้วฉันก็ได้ยินผู้คนพากันตะโกนว่า “ลงมาจากกางเขนสิ” ฉันปรารถนาเหลือเกินที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น แต่ไม่ทรงทำอะไรเลย
.
พระวรกายของพระองค์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า” ฉันไม่เข้าใจเสียงร้องคร่ำครวญนั้น แต่ มันกลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญของฉันเอง มันเหมือนผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของใจฉัน เสียงร้องนั้นดังก้องสะท้อนกลับไปมาเหนือแผ่นดิน และดังกระหึ่มเพิ่มมากขึ้นเป็นพันๆเสียง คือเสียงของผู้สูญเสีย ผู้ต่ำต้อย และผู้ถูกโดดเดี่ยว เสียงร้องดังเหล่านั้นเป็นประดุจคำถามว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า… ทำไม… ทำไม”
.
อาทิตย์อัสดงแล้ว บรรดาผู้คนถูกกลืนหายไปในราตรีกาล แต่ฉันยังยืนอยู่คนเดียว… ไม่ใช่สิ ยังมีมารีย์อีกสองคนที่ยังคงอยู่ที่นั่น คือ มารีย์พระมารดา กับ มารีย์ชาวมักดาลา พระมารดาทรงชี้มาที่ฉันและทรงถามพระบุตรว่า “ลูกไม่รู้จักเขาหรือ” พระองค์ทรงพยักหน้ารับ แล้วตรัสกับมารีย์มักดาลา และฉันด้วยว่า “ลูกๆเอ๋ย นี่คือแม่ของพวกเจ้า” และกับพระมารดา “แม่ นั่นคือพวกลูกๆของท่าน” น้ำตาฉันไหลหลั่งออกมา พระองค์ทรงรู้จักฉัน ทรงรักฉัน
.
ทันใดนั้น เนินเขากัลวารีโอแบกรับกางเขนอีกมากมายมหาศาล รวมทั้งเสียงร้องที่ท่วมท้น เสียงร้องของบรรดาผู้ถูกตรึงกางเขนของโลกนี้ ฉันรู้สึกได้ถึงเสียงเร่งเร้าภายในให้พูดว่า “ฉันไม่สามารถช่วยพระองค์ได้เลยหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์แปลกพระทัย “ในที่สุด เจ้าก็จำเราได้แล้วหรือ” น้ำตาฉันหลั่งไหลเหมือนสายธาร ฉันกระซิบว่า “จำได้แล้ว พระเจ้าข้า”
.
“เจ้าช่วยเราได้” พระองค์ตรัสอย่างอ่อนโยน “เพื่อนเอ๋ย รับไปกินเถิด นี่คือกายของเรา จงรับไป และดื่มเถิด นี่คือโลหิตของเรา จงทำสิ่งนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ฉันจำได้ว่าพระองค์ทรงกำลังหักปัง กำลังยื่นถ้วยให้ กำลังล้างเท้า พร้อมทั้งกล่าวว่า “เจ้ามีบุญ ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่เราได้ทำ” คืนนั้นเอง ฉันเห็นแสงสว่างแล้ว
.
“มันจบบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงร้องดังด้วยเสียงแห่งชัยชนะ แต่ฉันรู้ว่ามันเพิ่งเป็นเพียงการเริ่มต้น สำหรับฉัน และสำหรับคุณ
(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Sunday Seeds For Daily Deeds
โดย Francis Gonsalves, S.J.,
ลงวันที่ 23 มีนาคม 2018)

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส มิสซาเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (Chrism Mass)

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส มิสซาเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (Chrism Mass)

พระวรสารของวันนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงการเปลี่ยนใจของประชากร ซึ่งฟังพระวาจาของพระเยซูคริสต์ การเปลี่ยนใจนั้นน่าคิด น่าไตร่ตรองมาก และแสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่การเบียดเบียนและไม้กางเขนนั้นต่างก็มีการเชื่อมสัมพันธ์กันกับการประกาศพระวรสาร ความพิศวงที่ถูกกระตุ้นด้วยพระวาจาที่เปี่ยมด้วยพระหรรษทานที่กล่าวโดยพระเยซูคริสต์มิได้คงอยู่นานในจิตใจของประชากรแห่งนาซาเร็ธ ยังมีการวิจารณ์ของบางคนที่บ่นไปทั่วว่า “ชายคนนี้ไม่ใช่บุตรของโยเซฟดอกหรือ?” (ลก. 4: 22)

        นี่เป็นหนึ่งในการแสดงออกที่คลุมเครือที่หลุดออกจากปากโดยปราศจากการยั้งคิด พวกเราอาจกล่าวในเชิงบวกก็ได้ว่า “ช่างน่าพิศวงเสียนี่กระไรที่ชายผู้สุภาพนั้นตรัสอย่างผู้มีอำนาจ” บางคนอาจใช้คำพูดเพื่อเหยียดหยาม “แล้วชายคนนี้มาจากไหนกัน?  พวกเขากำลังคิดว่าบุรุษผู้นี้เป็นใคร?” หากพวกเราคิดถึงเรื่องนี้พวกเราอาจได้ยินคำพูดเดียวกันที่มีคนพูดกันมากมายในวันที่พระจิตเสด็จลงมา เมื่อบรรดาอัครสาวกที่เปี่ยมด้วยพระจิตเริ่มเทศนาพระวรสาร มีบางคนพูดว่า “คนพวกที่กำลังพูดนี้ ไม่ใช่ชาวกาลิเลียนดอกหรือ?” (กจ. 2: 7) คนอื่น ๆ ได้แต่เพียงคิดว่าบรรดาอัครสาวกกำลังมึนเมา

        หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา คำพูดเหล่านั้นที่หมู่บ้านนาซาเร็ธอาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง ถ้าพวกเราดูเรื่องราวทั้งหมดที่ตามมาภายหลัง ซึ่งมีความชัดเจนว่ามีความเกี่ยวพันกับการใช้ความรุนแรงที่มีเป้าหมายพุ่งตรงไปที่พระเยซูคริสต์

        นี่เป็น “คำพูดแห่งการสร้างความยุติธรรม” [1] อย่างเช่นเมื่อมีคนพูดว่า “นั่นจะมากเกินไปแล้ว” แล้วก็กล่าวโจมตีผู้อื่น หรือเดินหนีไป

ครั้งนี้พระเยซูคริสต์ ซึ่งบางครั้งก็ไม่พูดอะไรเลย หรือเพียงแค่เดินจากไป บางครั้งพระองค์ไม่ได้ปล่อยให้การวิพากวิจารณ์ผ่านไป พระองค์ทรงเปิดหน้ากากที่แฝงไว้ซึ่งความชั่วร้ายในการซุบซิบนินทาแบบชาวบ้านทั่วไปออกมา “ท่านจะอ้างภาษิตที่กำลังบอกเราว่า “ท่านนายแพทย์ ท่านจงรักษาตนเองเสียก่อน” สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังถึงสิ่งที่ท่านกระทำที่เมืองกาฟาร์นาอูมก็จงทำที่นี่ ณ บ้านเกิดของท่านด้วย (เทียบ ลก. 4: 23) “จงรักษาตัวท่านเองก่อนเถิด…”

“ขอให้เขาช่วยตัวเขาเองก่อน” นี่เป็นยาพิษ! คำพูดเดียวกันเหล่านี้จะติดตามพระเยซูคริสต์ไปจนถึงไม้กางเขน “เขาช่วยคนอื่นได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองสิ” (ลก. 23: 35) หนี่งในโจรสองคนนั้นกล่าวเพิ่มอย่างนั้น (เทียบ ข้อ 39)

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เสมอ พระเยซูคริสต์ทรงปฏิเสธที่จะสนทนากับปิศาจ พระองค์เพียงแค่ตอบด้วยคำพูดในพระคัมภีร์ ประกาศกเอลียาห์และเอลีชาได้รับการต้อนรับไม่ใช่จากชนชาติของพวกเขา แต่โดยหญิงม่ายชาวเฟนีเชี่ยนและชาวซีเรียน ที่เป็นโรคเรื้อน ทั้งสองเป็นคนต่างชาติ ทั้งสองนับถือศาสนาอื่น ในตัวเองนี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งและแสดงให้เห็นถึงความจริงว่ าคำทำนายที่ได้รับการดลใจของซีเมโอนผู้ชราที่กล่าวว่าพระเยซูคริสต์จะเป็น “เครื่องหมายแห่งความขัดแย้ง (semeion antilegomenon)” (ลก. 2: 34) [2]

พระวาจาของพระเยซูคริสต์เปี่ยมด้วยอำนาจที่นำมาสู่ความสว่างไม่ว่าใครในพวกเรายึดพระวาจานี้ไว้อย่างเหนียวแน่นในหัวใจ ซึ่งบ่อยครั้งจะปะปนกันดุจข้าวสาลีและวัชพืชหญ้าร้าย และนี่คือสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งฝ่ายจิตมากขึ้น ขณะที่พวกเราเห็นเครื่องหมายแห่งพระเมตตาอันเหลือล้นของพระเยซูคริสต์และได้ฟังปฐมเทศนา “บุญลาภ-ความสุขแท้” เราก็พบ “ความเลวร้าย” ในพระวรสารด้วย พวกเราพบตนเองว่าถูกบังคับให้ต้องไตร่ตรองแยกแยะและตัดสินใจ ในกรณีนี้พระวาจาของพระเยซูคริสต์ไม่ได้รับการตอบรับ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ประชาชนโกรธ และมุ่งหมายที่จะทำร้ายพระองค์ ทว่ายังไม่ถึงเวลา และดังที่พระวรสารกล่าวไว้ พระเยซูคริสต์ “ทรงดำเนินผ่านพวกเขา แล้วหลบพระพักตร์ไป”

ด้วยว่ายังไม่ถึงเวลาของพระองค์ แต่ความโกรธของฝูงชนก็ทะลักออกมาอย่างรวดเร็วและความเหี้ยมโหดของความโกรธก็พร้อมที่จะกำจัดพระองค์เมื่อใดก็ได้ที่พบเห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านั่นถึงเวลาของพระองค์แล้ว นี่คือสิ่งที่พ่อปรารถนาจะนำมาแบ่งปันกับพวกท่านในวันนี้  บรรดาบาดหลวงที่รัก เวลาแห่งการประกาศพระวรสารด้วยความชื่นชมยินดี เวลาแห่งการเบียดเบียน และเวลาแห่งไม้กางเขนล้วนมาพร้อมกัน

การประกาศพระวรสารจะมีการเชื่อมสัมพันธ์กันกับการที่ต้องเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับไม้กางเขนเสมอ แสงสว่างแห่งพระวาจาของพระเจ้าจะฉายรัศมีอย่างโชติช่วงในดวงใจซึ่งพร้อมที่จะน้อมรับ แต่จะสร้างความสับสนและการปฏิเสธจากผู้ที่ไม่ยอมรับ พวกเราเห็นเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพระวรสาร

เมล็ดพันธุ์ดีตกไปในผืนดินจะบังเกิดผลร้อยเท่าหกสิเท่าสามสิบเท่า ขณะเดียวกันก็สร้างความอิจฉาให้กับศัตรูซึ่งแอบหว่านเมล็ดหญ้าในยามค่ำคืน (เทียบ มธ. 13: 24-30; 36-43)

ความรักอ่อนโยนของบิดาผู้เมตตาดึงดูดบุตรผู้ล้างผลาญให้กลับบ้านเสมอ แต่นั่นก็ทำให้บุตรผู้พี่โกรธจัดและเสียใจ (เทียบ ลก. 15: 11-32)

ความใจกว้างของเจ้าของไร่องุ่น คือเหตุผลของความกตัญญูสำหรับคนงานที่ถูกเรียกในชั่วโมงท้ายๆ แต่นั่นก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างขมขื่นจากคนงานที่ถูกเรียกในชั่วโมงแรกๆ ที่ขัดใจในความใจกว้างของนายจ้าง (เทียบ มธ. 20: 1-16)

ความใกล้ชิดสนิทสนมของพระเยซูคริสต์ ซึ่งนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับคนบาป ซึ่งสามารถชนะหัวใจของคนเหล่านั้น เช่นซัคเคว มัทธิว และสตรีชาวสะมาเรีย แต่นั่นก็ทำให้พระองค์ถูกด่าว่าจากพวกที่ถือว่าตนเองเป็นบุคคลชอบธรรมในสังคม

ความใจดีของกษัตริย์ที่ส่งบุตรชายของตนไป โดยคิดว่าเขาจะได้รับความเคารพเกรงใจจากชาวไร่ ผู้เช่าที่ดินของตนต้องบันดาลโทษะจนทนไม่ไหว ณ จุดนี้พวกเราพบว่าตัวเราเองเผชิญกับพระธรรมล้ำลึกแห่งความชั่วช้าที่นำไปสู่การสังหารบุตรพระเจ้าผู้เป็นองค์แห่งความชอบธรรม (เทียบ มธ. 21: 33-46)

พี่น้องบาดหลวงที่รัก ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ทำให้พวกเราเห็นว่าการประกาศข่าวดีนั้นจะมีการเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างเร้นลับกับการเบียดเบียนและหนทางสู่ไม้กางเขน

นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา – ขออภัยที่พ่อ “โฆษณาคณะเยสุอิต” – แสดงให้เห็นถึงความจริงแห่งพระวรสารนี้ ในการไตร่ตรองพิศเพ่งถึงการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ ท่านนักบุญเชิญชวนพวกเราให้ “ไตร่ตรองและพิจารณาการที่นักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์ต้องออกเดินทางเพื่อพระเยซูคริสต์จะได้บังเกิดในความยากจนที่สุด และหลังจากนั้นแม้จะต้องทำงานอย่างหนัก กระนั้นพระองค์ก็ยังต้องประสบกับความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว  ความเจ็บปวด ความอัปยศ – ตายบนไม้กางเขน และทุกอย่างนี้ก็เพื่อฉัน” ท่านนักบุญจึงเชิญพวกเราให้ “ไตร่ตรองเรื่องนี้เพื่อที่จะได้รับประโยชน์ฝ่ายจิตบางประการ” (Spritual Exercises, ข้อ 116) ความชื่นชมยินดีแห่งการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ ความทุกข์เจ็บปวดแห่งไม้กางเขน การเบียดเบียน

พวกเราต้องไตร่ตรองสิ่งใดบ้างเพื่อที่จะ “ได้รับประโยชน์” สำหรับชีวิตการเป็นสมณบริกรของพวกเราโดยการพิศเพ่งไม้กางเขน – ความเข้าใจผิด การถูกปฏิเสธ และการถูกเบียดเบียน – ตั้งแต่เริ่มต้นประกาศพระวรสาร?

พ่อมีความคิดอยู่สองประการ

ประการแรก พวกเรารู้สึกผิดหวังที่เห็นไม้กางเขนเข้ามาอยู่ในชีวิตของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการทำพันธกิจของพระองค์ แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงบังเกิดมา ซึ่งปรากฏมาแล้วตั้งแต่ที่พระแม่มารีย์ตกอกตกใจต่อสาส์นจากทูตสวรรค์ สถานการณ์ปรากฏมาแล้วในความฝันของโยเซฟ เมื่อท่านรู้สึกว่าจำเป็นที่ต้องส่งมารีย์กลับไปบ้านอย่างเงียบๆ สถานการณ์ปรากฏมาแล้วในการเบียดเบียนของเฮโรดและในความยากลำบากที่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ต้องสู้ทนเฉกเช่นครอบครัวอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกบังคับให้ต้องมีชีวิตอยู่ในทะเลทรายโดยที่ต้องหนีตายไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน

สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเราต่างก็รับรู้ว่าพระธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขนมีอยู่ “ตั้งแต่แรกเริ่ม” ทำให้พวกเราเข้าใจว่าไม้กางเขนไม่ใช่ความคิดที่เลื่อนลอย หรือเป็นอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในชีวิตของพระเยซูคริสต์ เป็นความจริงว่าทุกคนที่จับผู้อื่นไปตรึงบนไม้กางเขน ตลอดประวัติศาสตร์ไม้กางเขนปรากฏเป็นความหายนะที่ควบคู่ไปกับชีวิตของตนเอง แต่นั่นไม่ใช่กรณี ไม้กางเขนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม้กางเขนทั้งเล็กและใหญ่ของมนุษยชาติ ไม้กางเขนของพวกเราแต่ละคนไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

เหตุใดพระเยซูคริสต์จึงยอมรับไม้กางเขนทุกอย่างจนถึงที่สุด? เหตุใดพระองค์จึงทรงน้อมรับการทรมานทุกอย่าง การถูกทรยศและถูกทอดทิ้งจากบรรดามิตรสหายหลังการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย การจับกุมพระองค์ที่ปราศจากความชอบธรรม การถูกรวบรัดพิพากษาคดี และการตัดสินที่เกินเหตุ การใช้ความรุนแรงที่ปราศจากเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกโบยและถูกถ่มน้ำลายรด… หากอำนาจการไถ่บาปแห่งไม้กางเขนเป็นเพียงสิ่งบังเอิญ พระเยซูคริสต์ก็คงจะไม่ยอมรับทุกสิ่ง ทว่าเมื่อเวลาของพระองค์มาถึงพระองค์ทรงยอมรับไม้กางเขนอย่างเต็มพระทัยโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะว่าบนไม้กางเขนไม่สามารถที่จะมีความคลุมเครือ ไม่แน่ใจ ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะต่อรองกันได้

ความคิดประการที่สอง เป็นความจริงที่มีมิติหนึ่งแห่งไม้กางเขนว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งความครบถ้วนแห่งสภาพที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดและความอ่อนแอของพวกเรา แต่ก็เป็นความจริงด้วยว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นบนไม้กางเขน ที่ไม่เกี่ยวกับความความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์ของพวกเรา คือแบบการกัดของงูพิษ ซึ่งเมื่อเห็นผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนหมดทางสู้ก็กัดพระองค์ ในความพยายามที่จะปล่อยพิษร้ายและทำลายผลงานทุกอย่างของพระองค์ เป็นการกัดที่ต้องการให้เกิดการเป็นที่สะดุด – และนี่เป็นยุคแห่งการเป็นที่สะดุด – เป็นการกัดที่พยายามจะไม่ให้มีความสามารถ ทำให้ไร้ซึ่งผลและความหมายถึงการรับใช้และการเสียสละเพื่อผู้อื่น นี่เป็นยาพิษของปิศาจที่พยายามยืนยันว่า จงช่วยตนเองให้รอดเสียก่อนเถิด

นี่เป็นเพราะ “การกัด” ที่รุนแรงและเจ็บปวดนี้ ซึ่งพยายามที่จะนำเอาความตายมาให้พวกเรา อันทำให้พวกเราเห็นถึงชัยชนะของพระเจ้าในที่สุด นักบุญมักซีมุส ผู้ฟังแก้บาปบอกพวกเรา ในพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนมีสิ่งที่กลับกันตรงกันข้ามเกิดขึ้น ในการกัดแบบงูบนพระกายของพระเยซูคริสต์ ปิศาจไม่สามารถวางยาพิษให้กับพระองค์ เพราะในพระองค์นั้นปีศาจพบแต่ความอ่อนโยนที่ไร้ขอบเขตและความนบนอบต่อพระประสงค์ของพระบิดา ตรงกันข้าม เพราะกับดักแห่งไม้กางเขน เจ้าปิศาจพยายามกัดพระกายของพระเยซูคริสต์ซึ่งกลายเป็นยาพิษสำหรับปีศาจ แต่สำหรับพวกเรานั้นพระกายของพระเยซูคริสต์บนกางเขนเป็นยาต้านทานที่ไปละลายอำนาจของเจ้าปิศาจ [3]

เหล่านี้คือการไตร่ตรองของพ่อ ขอให้พวกเราวอนขอพระหรรษทานจากต่อพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนนี้ เป็นความจริงว่าไม้กางเขนมีอยู่ในการประกาศข่าวดีของพวกเรา อันเป็นไม้กางเขนแห่งความรอด ต้องขอบคุณในพระโลหิตที่ช่วยให้มีการคืนดีกันของพระเยซูคริสต์ เพราะเป็นไม้กางเขนทีมีอำนาจแห่งชัยชนะของพระเยซูคริสต์ที่เอาชนะความชั่วร้ายทั้งปวงและช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากปิศาจ เพื่อที่จะรับไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูคริสต์และดังที่พระองค์ทรงกระทำต่อพวกเราก่อน ขอให้พวกเราออกไปทำการเทศนา พระองค์จะทรงทำให้พวกเราสามารถแยกแยะและปฏิเสธยาพิษแห่งการเป็นที่สะดุด ซึ่งปิศาจต้องการที่จะใส่ยาพิษให้พวกเราเมื่อใดที่ไม้กางเขนปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเราโดยที่พวกเราไม่เคยคาดฝัน

“แต่พวกเราไม่ได้อยู่ในพวกที่ถอยหลัง (Hypostoles)” (ฮบ. 10; 39) ผู้ที่เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูกล่าว “เราไม่ได้อยู่ในพวกที่ยอมแพ้ถอยหลัง” นี่เป็นคำแนะนำที่ผู้เขียนจดหมายมอบให้พวกเรา พวกเราไม่ถือว่าเป็นที่สะดุด เพราะว่าพระเยซูคริสต์เองก็ไม่ถือว่าเป็นที่สะดุดเมื่อเห็นว่าการเทศนาอันน่าชื่นชมยินดีแห่งความรอดต่อคนยากจนไม่ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างเต็มใจ แต่ท่ามกลางเสียงตะโกนสาปแช่ง และการข่มขู่ที่จะทำร้ายของผู้ที่ปฏิเสธที่จะฟังพระวาจาของพระองค์ หรือต้องการที่จะลดค่าของไม้กางเขนลงให้เห็นเพียงแค่มิติของบทธรรมบัญญัติ เช่นในเรื่องของศีลธรรมและกฎของสมณะ

พวกเราไม่รู้สึกเป็นที่สะดุดเพราะว่าพระเยซูคริสต์ก็ไม่รู้สึกในการรักษาผู้ป่วย และปล่อยให้นักโทษเป็นอิสระท่ามกลางการต่อล้อต่อเถียงเชิงจริยธรรม กฎหมาย และหลักการของสมณะ ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่พระองค์กระทำสิ่งดี ๆ

พวกเราถือว่าไม่เป็นที่สะดุดเพราะว่าพระเยซูคริสต์ถือว่าไม่เป็นที่สะดุดโดยการมอบสายตาให้กับคนตาบอดท่ามกลางผู้คนที่ปิดตา เพื่อที่จะได้มองไม่เห็นหรือมองไปยังทิศทางอื่น

พวกเราไม่ถือว่าเป็นที่สะดุดเพราะพระเยซูคริสต์ก็ไม่ถือว่าเป็นที่สะดุดเช่นเดียวกันเมื่อพระองค์ประกาศปีแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า – ปีที่รวบรวมประวัติศาสตร์ทั้งมวล – อันก่อให้เกิดการเป็นที่สะดุดสาธารณะในเรื่องที่ทุกวันนี้แทบจะไม่ปรากฎเลยในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น

พวกเราไม่ถือว่าเป็นที่สะดุดเพราะการประกาศพระวรสารอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เพราะคำพูดที่คมคาย แต่เพราะอำนาจของไม้กางเขน (เทียบ 1 คร. 1: 17)

วิธีที่พวกเรารับไม้กางเขนในการประกาศพระวรสาร – ด้วยการปฏิบัติและเมื่อจำเป็นด้วยคำพูด – ทำให้สองสิ่งมีความชัดเจน นั่นคือความทุกข์ทรมานที่มาจากพระวรสารไม่ใช่ความทุกข์ของพวกเรา แต่เป็น “ความทุกข์ของพระเยซูคริสต์ในตัวเรา” (2 คร. 1: 5) และ “เราไม่ได้เทศนาด้วยตัวของเราเอง แต่พระเยซูคริสต์ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้านายและพวกเราเป็นผู้รับใช้ของทุกคนเพื่อเห็นแก่ความรักของพระเยซูคริสต์” (2 คร. 4: 5)

พ่อปรารถนาที่จะจบการเทศน์ด้วยการแบ่งปันความทรงจำประการหนึ่งของพ่อ ครั้งหนึ่งในยามมืดมนในชีวิตของพ่อ พ่อวอนขอพระหรรษทานจากพระเยซูคริสต์ได้โปรดช่วยให้พ่อเป็นอิสระจากสถานการณ์ที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน นั่นเป็นเวลาที่มืดมนจริงๆ พ่อต้องเทศน์เข้าเงียบกับนักบวชหญิงคณะหนึ่ง และในวันสุดท้ายตามธรรมเนียมในเวลานั้นพวกเขาต้องไปสารภาพบาป ซิสเตอร์ผู้สูงวัยท่านหนึ่งซึ่งมีสายตาดีเต็มไปด้วยชีวิตีวา ท่านเป็นคนของพระเจ้า เมื่อการสารภาพบาปสิ้นสุดลงแล้วพ่อรู้สึกว่าอยากจะขอร้องอะไรท่านสักอย่างหนึ่ง “ซิสเตอร์ เพื่อเป็นการใช้โทษบาปของท่านโปรดภาวนาสำหรับพ่อเพราะพ่อต้องการพระหรรษทานพิเศษ ก็ขอพระเจ้าเอาสิ ถ้าคุณพ่อขอพระเจ้า แน่นอนว่าพระองค์จะทรงประทานให้” แล้วเธอก็เงียบไปครู่หนึ่งและดูเหมือนว่าเธอกำลังสวด จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองพ่อแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงประทานพระหรรษทานให้พ่อ แต่อย่าเข้าผิด พระองค์จะทรงประทานพระหรรษทานให้พ่อในหนทางของพระองค์” นี่ทำให้พ่อรู้สึกดีมากกับการที่ได้ยินว่าพระเจ้าจะทรงประทานสิ่งที่พวกเราขอเสมอ แต่พระองค์จะทรงประทานให้ในวิถีทางของพระองค์ หนทางนั้นรวมถึงหนทางแห่งไม้กางเขนด้วย ไม่ใช่การทำโทษตนเองในทางจิตวิทยา แต่ด้วยความรัก รักจนถึงที่สุด [4]

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์พระสันตปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

[1] A master of the spiritual life, Father Claude Judde speaks of expressions that accompany our decisions and contain “the
final word”, the word that prompts a decision and moves a person or a group to act. Cf. C. JUDDE, Oeuvres spirituelles, II, 1883 (Instruction sur la connaissance de soi-même), pp. 313-319), in M. Á. FIORITO, Buscar y hallar la voluntad de Dios, Buenos Aires, Paulinas, 2000, 248 s.

[2] “Antilegomenon” means they would speak in different ways about him: some would speak well of him and others ill.

[3] Cf. Cent. I, 8-13.

[4] Homily at Mass in Santa Marta, 29 May 2013.