ที่ชม. 058/2021 เรื่อง กองทุนเพื่อก่อตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่

ที่ชม. 058/2021 เรื่อง กองทุนเพื่อก่อตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่

ที่ชม. 058/2021
วันที่ 20 เมษายน 2021

เรื่อง กองทุนเพื่อก่อตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่
เรียน เจ้าอาวาส พระสงฆ์ คณะนักบวช และพี่น้องสัตบุรุษทุกท่าน

เนื่องจากสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่ ตั้งอยู่ ณ วัดแม่พระองค์อุปถัมภ์ อ.พาน จ.เชียงราย ต่อมาในปี ค.ศ.2018 ได้ประกาศแยกสังฆมณฑลเชียงราย ออกจากสังฆมณฑลเชียงใหม่ เพื่อการปกครองและงานอภิบาล ทําให้สังฆมณฑลเชียงใหม่ไม่มีสามเณราลัยเล็ก ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการสภาสงฆ์ของสังฆมณฑลเชียงใหม่ มีการปรึกษาหารือกันถึงความเป็นไปได้ที่จะตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่

ในปี ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา คณะกรรมการสภาสงฆ์ฯ ได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารของสังฆมณฑลและคณะที่ปรึกษาของพระสังฆราชฯ เมื่อผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้น บิชอป ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ สมณประมุขศาสนปกครองเขตเชียงใหม่ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุมพระสงฆ์รวม วันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.2021 ว่า “ให้ดําเนินการก่อตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลขึ้น โดยมอบหมายให้ คุณพ่อยอแซฟ ประทีป กีรติพงศ์ อุปสังฆราช และคณะกรรมการสามเณราลัยไปดําเนินการต่อไป”

คณะกรรมการสภาสงฆ์ จึงพิจารณาและเลือกให้วัดแม่พระประจักษ์แห่งเมืองลูร์ด จ.ลําปาง เป็นสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่ โดยพิจารณาถึงความพร้อมด้านปัจจัยต่างๆ คือ วัด โรงเรียน หอพัก และสถานที่อื่นๆ สําหรับการให้การอบรม ซึ่งสถานที่ดังกล่าว มีความจําเป็นในการปรับปรุงและต่อเติม เพื่อให้พร้อม สําหรับการอบรมในปีการศึกษา 2565 โดยจะย้ายสามเณรปัจจุบันจากสามเณราลัยแม่พระองค์อุปถัมภ์ อ.พาน (ระดับม.1-3 จํานวนประมาณ 60 คน) มาที่สามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่ดังกล่าว

เพื่อความเหมาะสมของสามเณราลัยเล็ก จึงมีความจําเป็นต้องปรับปรุงและต่อเติมอาคารและสถานที่ ดังนี้
1. ห้องเรียน-อบรม 2.ห้องประชุม 3. ห้องอาหาร 4. ห้องครัว 5. ห้องอาบน้ํา 6.ห้องตู้เสื้อผ้า 7. ห้องนอน 8. ห้องสุขา 9. ป้ายชื่อบ้านเณร 10. ระบบน้ําใช้ (น้ําบาดาล) 11. ห้องรับรองแขกและผู้ปกครอง 12.และอื่นๆ

อนึ่ง คณะกรรมการดําเนินงาน ได้ประชุมถึงเรื่องดังกล่าวและตั้งงบประมาณไว้ 3 ล้านบาท และเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยดี โดยมีโครงการดังต่อไปนี้

1) “วันละบาทเพื่อบ้านเณร” จากสัตบุรุษทุกท่านของสังฆมณฑลเชียงใหม่
2) การระดมทุนจากพระสงฆ์ทุกท่านที่ทํางานในสังฆมณฑลเชียงใหม่
3) การระดมทุนจากศิษย์เก่าของบ้านเณร
4) การระดมทุนจากทุกเขตวัด
5) การระดมทุนจากผู้ปกครองของสามเณรปัจจุบัน

“บ้านเณรคือหัวใจของมิสซัง” ดังนั้น การเตรียมเยาวชนสามเณรเป็นศาสนบริกรในอนาคต เปรียบเสมือนหลักประกันหนึ่งว่าพระศาสนจักรท้องถิ่นก้าวหน้าต่อไป โดยมีสถานที่และการอบรมถือเป็นเรื่องสําคัญ จําเป็นและเชื่อว่า ทุกท่านที่มีส่วนร่วมและผู้มีน้ำใจที่ได้เห็นความสําคัญดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน

จึงเรียนมาและแจ้งให้ทราบถึงจุดประสงค์ พร้อมคําใช้จ่ายประมาณการในการก่อตั้งสามเณราลัยเล็กของสังฆมณฑลเชียงใหม่ สังฆมณฑลเชียงใหม่หวังในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความอนุเคราะห์และการสนับสนุน จากผู้มีน้ำใจดีทุกท่าน

ขอท่านนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ องค์อุปถัมภ์ของสามเณราลัย ได้ทูลเสนอวิงวอนพระเป็นเจ้าเพื่อท่านทั้งหลาย ผู้มีน้ำใจที่จะได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระพรจากพระเป็นเจ้าในการดําเนินชีวิตทั้งความเชื่อ ความหวังและความรักเสมอไป

หนึ่งเดียวในพระคริสตเจ้า

(บิชอปฟรังซิส เซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
สมณประมุขศาสนปกครองเขตเชียงใหม่

(บาทหลวงยอแซฟ ศราวุธ แฮทู)
เลขาธิการมิสซังคาทอลิกเชียงใหม่

หมายเหตุ:
ชื่อบัญชี “มิสซังเชียงใหม่ กองทุนตั้งบ้านเณรเล็ก”
ธนาคารกรุงเทพ (สาขาถนนช้างคลาน) เลขที่บัญชี 423-0-87808-6

โทรติดต่อ
1) บาทหลวง ประทีป กีรติพงศ์ เบอร์โทร 098-5419298
2) บาทหลวง ศราวุธ แฮทู เบอร์โทร 081-0147659
3) บาทหลวง สิริชัย บุหงาสวรรค์ เบอร์โทร 080-7968850

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 21 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 21 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

คำสอนเกี่ยวกับการสวดภาวนา – 30: การอธิษฐานภาวนาที่เปล่งออกจากปาก  

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        การอธิษฐานภาวนาเป็นการเสวนากับพระเจ้าและทุก ๆ สรรพสัตว์ในความหมายหนึ่งก็เป็น “การเสวนา” กับพระเจ้า สำหรับมนุษย์การอธิษฐานภาวนากลายเป็นคำพูด เป็นการวิงวอน เป็นบทเพลงสรรเสริญ เป็นบทกวี… พระวจนาตถ์เสด็จมารับสภาพมนุษย์ และในร่างกายของมนุษย์แต่ละคนพระวจนาตถ์กลับไปสู่พระเจ้าในการอธิษฐานภาวนา

        พวกเราสรรค์สร้างคำพูดขึ้นมา คำพูดเปรียบประดุจมารดาของพวกเราด้วย และด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งช่วยหล่อหลอมพวกเรา คำพูดในการอธิษฐานภาวนาช่วยให้พวกเราเดินทางโดยปลอดภัยผ่านหุบเหวแดนมืดมิด นำทางพวกเราไปสู่ทุงหญ้าอันเขียวขจี ซึ่งมากมายไปด้วยธารน้ำ และทำให้พวกเราสามารถเฉลิมฉลองอยู่ภายใต้สายตาของศัตรูดังที่บทเพลงสดุดีสอนใจพวกเรา (เทียบ สดด. 23) คำพูดเกิดจากความรู้สึก ทว่าก็ยังมีหนทางกลับกันซึ่งคำพูดหล่อหลอมสร้างความรู้สึก พระคัมภีร์สอนประชากรให้สร้างหลักประกันว่าทุกสิ่งจะกระจ่างฃิ้นโดยอาศัยคำพูด และไม่ยกเว้นสิ่งใดที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่ถูกกลั่นกรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือความเจ็บปวดเป็นสิ่งอันตราย หากเก็บซ่อนไว้และปิดบังไว้ภายในตัวเรา… ความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้ในตัวพวกเราที่ไม่สามารถแก้ไขได้นั้นสามารถเป็นยาพิษให้กับวิญญาณได้ พิษร้ายอาจแทรกซึมทำให้พวกเราถึงแก่ความตายได้

        นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์สอนให้พวกเราต้องสวดภาวนา บางครั้งถึงกับต้องใช้คำพูดที่กล้าหาญ ผู้เขียนที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการหลอกลวงพวกเราเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของบุคคล พวกเขาทราบว่าหัวใจของพวกเรายังสามารถที่จะเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ที่ไม่ดีไว้แม้กระทั่งความเกลียดชัง ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่เกิดมาเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อความรู้สึกด้านลบเหล่านี้มาเคาะที่ประตูหัวใจของพวกเรา  พวกเราต้องสามารถที่จะเอาชนะความรู้สึกด้านลบด้วยการสวดภาวนาและพระวาจาของพระเจ้า พวกเรายังพบคำพูดที่รุนแรงมากมายเกี่ยวกับศัตรูในบทเพลงสดุดี – เป็นคำพูดที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นสอนพวกเราให้ใช้กับเหล่าปิศาจซาตานและบาปของพวกเรา – นั่นก็เป็นคำพูดที่เป็นสิ่งจริงของความเป็นมนุษย์ของพวกเราและไปลงเอยที่หนังสือพระคัมภีร์ คำพูดคำบรรยายมีอยู่ในนั้นเพื่อเป็นประจักษ์ให้แก่พวกเราว่า การใช้คำพูดเหล่านั้นซึ่งไม่ได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดจะมีการใช้กันอยู่จนทั่วโลก

        คำภาวนาแรกของมนุษย์จะเป็นการท่องจำด้วยปากเสมอ ริมฝีปากจะต้องขยับเป็นอันดับแรก แม้ว่าพวกเราจะรับรู้ว่าการสวดภาวนาไม่ได้หมายถึงการพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทว่าการสวดภาวนาด้วยปากก็ยังเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด และสามารถปฏิบัติได้เสมอ ส่วนอีกมุมมองหนึ่งนั้นความรู้สึกแม้จะสูงส่งเพียงใดก็ไม่แน่ไม่นอนเสมอไป สิ่งต่าง ๆ มาแล้วและก็อันตธารหายไป สิ่งนั้นจากพวกเราไปแล้วสิ่งนั้นก็หวนกลับมาอีก ไม่เพียงแค่เท่านั้น พระหรรษทานแห่งการสวดภาวนาก็ยังเดาไม่ถูก บางครั้งก็เป็นความบรรเทาใจ แต่ในวันที่มืดมนที่สุดการภาวนาดูเหมือนจะระเหยไปอย่างสิ้นเชิง การสวดภาวนาของหัวใจนั้นเป็นเรื่องเร้นลับ และในบางครั้งก็เปิดเผยความเร้นลับ ตรงกันข้ามการสวดภาวนาด้วยปากที่กระซิบแบบส่วนตัวหรือที่เป็นกลุ่มเป็นคณะก็เป็นสิ่งที่ทำได้เสมอ และเป็นสิ่งที่จำเป็นด้วย คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกสอนพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยยืนยันว่า “การสวดภาวนาด้วยปากเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตคริสตชน พร้อมกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ที่ถูกดึงดูดด้วยการสวดภาวนาอย่างเงียบๆ       กับพระอาจารย์  พระเยซูคริสต์ทรงสอนพวกเขาให้สวดบทข้าแต่พระบิดาด้วยปาก” (ccc ข้อ 2701)  “โปรดสอนพวกเราให้รู้จักสวดภาวนา” ศิษย์ขอร้องพระเยซูคริสต์  แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทรงสอนให้พวกเขาสวดภาวนาด้วยปาก “บทข้าแต่พระบิดาฯ”  และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นก็อยู่ในบทภาวนานั้น

        พวกเราทุกคนควรมีความสุภาพ ตามแบบอย่างของผู้อาวุโสบางคนที่อยู่ในพระศาสนจักรเพราะการฟังของเขาไม่ค่อยจะเที่ยงตรงนัก ซึ่งบางทีพวกเขาจะสวดภาวนาแบบเงียบๆ ที่พวกเขาเรียนรู้มาตั้งแต่ที่ยังเป็นเด็ก การสวดภาวนาดังกล่าวไม่ได้ไปรบกวนความเงียบ แต่เป็นประจักษ์พยานถึงความซื่อสัตย์ของพวกเขาถึงหน้าที่ในการสวดภาวนาที่พวกเขาปฏิบัติกันมาตลอดชีวิตโดยไม่เคยพลาด ผู้ที่สวดภาวนาด้วยความสุภาพเช่นนี้บ่อยครั้งคือผู้วิงวอนที่ยิ่งใหญ่ในวัด  พวกเขาเป็นต้นไม้โอ๊กที่ปีแล้วปีเล่าก็ยังแตกกิ่งก้านสาขาเพื่อให้ร่มเงากับผู้คนจำนวนมาก มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่ทราบว่าเมื่อใดและและมากน้อยเพียงใดที่ดวงใจของพวกเขาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับคำภาวนาเหล่านั้นที่พวกเขาสวด แน่นอนว่าเขาเหล่านี้ต่างก็ต้องเผชิญกับราตรีอันยาวนาน และเวลาที่ตนรู้สึกว่างเปล่า แต่เขาก็สามารถที่จะยึดติดกับสายสมอยืนหยัดซื่อสัตย์ต่อการสวดภาวนาด้วยปาก ซึ่งเหมือนกับสายสมอเรือยืนหยัดอยู่ในความซื่อสัตย์ไม่ว่าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ตาม

        พวกเราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องเรียนรู้จากการยืนหยัดของนักจาริกแสวงบุญชาวรัสเซียนที่มีการพูดถึงในหนังสือที่ว่าด้วยชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักศิลปะแห่งการสวดภาวนาด้วยการกล่าวย้ำคำภาวนาสั้นๆอยู่เสมอ “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าของลูก โปรดเมตตาลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาปด้วยเทอญ” (เทียบ CCC, ข้อ 2616, 2667) พวกเขาย้ำคำภาวนาสั้นๆ นี้แต่เพียงอย่างเดียว “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าของลูก โปรดเมตตาลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาปด้วยเทอญ”  ถ้าหากพระหรรษทานหลั่งไหลมาสู่ชีวิตพวกเรา ถ้าหากวันหนึ่งการสวดภาวนาทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่นจนพวกเราเข้าใจว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา ถ้าหากวิสัยทัศน์นั้นสามารถเปลี่ยนทำให้ตัวพวกเราเป็นเสมือนเด็ก ๆ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเรายืนหยัดอยู่ในการสวดภาวนาด้วยการท่องบทสวดแบบง่ายๆ ของคริสตชน ในที่สุดแล้วจะกลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งการหายใจของพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่สวยงามเรื่องราวของนักแสวงบุญชาวรัสเซียน เป็นหนังสือที่ทุกคนหาอ่านได้ พ่อขอแนะนำพวกลูกอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะช่วยให้พวกลูกสามารถเข้าใจว่าการสวดภาวนาด้วยปากคือสิ่งใด

        ดังนั้นพวกเราจะต้องไม่ละเลยในการสวดภาวนาด้วยปาก พวกลูกบางคนอาจกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องสำหรับเด็ก ๆ สำหรับชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องราว ไม่ประสีประสา ตัวฉันแสวงหาการสวดภาวนาด้วยจิตใจแบบลุ่มลึก ด้วยการรำพึง ด้วยมิติภายในเพื่อที่พระเจ้าจะได้ฟังฉัน…”  โปรดอย่าได้หลงตัวเองในความเย่อหยิ่งด้วยการดูหมิ่นการสวดภาวนาด้วยปากแบบเรียบง่ายธรรมดา ๆ อันเป็นคำภาวนาของบุคคลที่ซื่อๆ ง่าย ๆ เป็นบทภาวนาที่พระเยซูคริสต์ทรงสอน ข้าแต่พระบิดา พระองค์สถิตในสวรรค์… คำพูดที่พวกเรากล่าวออกมาพระองค์จูงมือพวกเราไป บางครั้งสิ่งนี้จะช่วยฟื้นฟูรสนิยมของพวกเรา จะช่วยแม้กระทั่งปลุกให้หัวใจของพวกเราตื่นจากการหลับไหล จะช่วยปลุกความรู้สึกของพวกเราที่พวกเราลืมไป และคำพูดเหล่านี้จะจูงมือพวกเราให้ได้มีประสบการณ์อันลึกซึ้งกับพระเจ้า และที่สำคัญเป็นสิ่งแน่นอนว่าการสวดภาวนาเหล่านั้นเป็นการตอบสนองสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะได้ยิน พระเยซูคริสต์ไม่ได้ปล่อยให้พวกเราหลงอยู่ในเมฆหมอก พระองค์สอนพวกเรา “จงสวดภาวนาเช่นนี้แล้วพระองค์ก็ทรงสอนพวกเราให้สวดบทภาวนาของพระเยซูคริสต์” (เทียบ มธ. 6: 9)


พระสันตะปาปาทรงกล่าวต้อนรับผู้ติดตามเข้าเฝ้าแบบทั่วไป

        ขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งการที่พระเยซูคริสต์ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ขอพระเมตตาของพระบิดาเจ้าจงสถิตกับพวกลูกและครอบครัวของพวกลูก ขอพระเยซูคริสต์โปรดอวยพรลูก ๆ ทุกคน


สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนา วันนี้พวกเราจะพิจารณากันถึงการสวดภาวนาด้วยปาก ในการเสวนาของพวกเรากับพระเจ้า พระองค์จะตรัสกับพวกเราก่อนโดยอาศัยพระวจนาตถ์ผู้เสด็จมารับสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเราพูดกับพระองค์บ้าง ด้วยคำพูดที่บ่งถึงความคิดลึกๆ อารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ของพวกเรา คำพูดไม่เพียงแค่จะแสดงถึงความคิดของพวกเราเท่านั้น ทว่าคำพูดนั้นยังจะหล่อหลอมชีวิตพวกเรา และบ่อยครั้งทำให้พวกเรามองเห็นตัวเราเอง ในคำพูดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบทเพลงสดุดี พวกเราพบกับรูปแบบของการอธิษฐานภาวนาด้วยปาก ผู้นิพนธ์บทเพลงสดุดีใช้คำพูดเพื่อนำมาสู่พวกเรา ซึ่งรวมทั้งความชื่นชมยินดี ความกลัว ความหวัง และความจำเป็นต่างสู่พระเจ้า และแบ่งปันกับพระองค์ในทุกมิติแห่งชีวิตของพวกเรา การภาวนาจากภายในหัวใจและการภาวนาจากปากจะแยกออกจากกันไม่ได้ เฉกเช่นที่คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกสอนพวกเราว่า “การสวดภาวนาเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตคริสตชน” (ข้อ 2701) โดยอาศัยคำภาวนาทั้งที่สวดหรือขับร้องไม่ว่าจะตามลำพังหรือเป็นชุมชน พวกเราจะพบกับคำพูดที่สามารถทำให้พวกเราเจริญเติบโตขึ้นทุกวันในความสัมพันธ์กับพระเจ้า การอธิษฐานภาวนาจึงกลายเป็นความจำเป็นส่วนหนึ่งอย่างเงียบๆ แห่งชีวิตดุจอากาศที่พวกเราหายใจ เมื่อศิษย์ขอให้พระเยซูคริสต์สอนให้พวกเขารู้จักสวดภาวนา พระองค์ทรงตอบด้วยการสอนพวกเขาและพวกเราด้วยบทสวด “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายฯ”

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

การเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาแบบทั่วไป 14 เมษายน 2021

การเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาแบบทั่วไป 14 เมษายน 2021

ณ ห้องสมุดวาติกัน

คำสอนเกี่ยวกับการสวดภาวนา – 29: พระศาสนจักรเป็นโรงเรียนและอาจารย์แห่งการสวดภาวนา

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        พระศาสนจักรคือโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่แห่งการสวดภาวนา พวกเราหลายคนเรียนรู้ที่จะเอ่ยคำภาวนาครั้งแรกของพวกเราบนตักของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย บางทีพวกเราก็อยากคิดถึงคุณแม่หรือคุณพ่อที่สอนให้พวกเราสวดภาวนาก่อนเข้านอน เวลาแห่งความทรงจำเหล่านั้นบ่อยครั้งเป็นความทรงจำที่พ่อแม่ได้ฟังหรือได้ยินความลับบางสิ่งบางอย่างจึงสามารถให้คำแนะนำที่ได้รับแรงดลใจจากพระวรสาร และเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นจะพบกับผู้อื่น กับประจักษ์พยาน และกับอาจารย์แห่งการสวดภาวนา (ดูคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 2686-2687) นี่เป็นสิ่งดีที่ควรจดจำ

        ชีวิตของวัดและชุมชนคริสตชนทุกแห่งจะมีความโดดเด่นในเวลาของจารีตพิธีและเวลาที่ชุมชนมีการสวดภาวนาพร้อมกัน พวกเรารู้สึกและรับรู้ว่าของขวัญที่พวกเราได้รับมาในวัยเยาว์แบบง่ายๆ นั้นเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ เป็นมรดกตกทอดที่สมบูรณ์มั่งคั่งและประสบการณ์แห่งการสวดภาวนาอันมีคุณค่าที่จะต้องทำให้สิ่งเหล่านั้นยิ่งล้ำลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ (ดู Ibid., ข้อ 2688) อาภรณ์แห่งความเชื่อไม่ได้เหี่ยวแห้งหายไป แต่พัฒนาขึ้นพร้อมกันการเจริญเติบโตของพวกเรา ชีวิตในความเชื่อไม่ได้กลายเป็นไม้แคระ แต่เป็นเจริญเติบโต แม้ในยามที่เผชิญวิกฤตและการกลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ อันที่จริงชีวิตจะไม่มีการเจริญเติบโตหากปราศจากซึ่งเวลาของวิกฤต เพราะว่าวิกฤตทำให้พวกลูกเติบโตขึ้น การมีประสบการณ์เผชิญกับวิกฤตเป็นหนทางจำเป็นที่จะทำให้ชีวิตของพวกเราเติบโต และลมหายใจแห่งความเชื่อคือการสวดภาวนา พวกเราเติบโตในความเชื่อมากเท่ากับการที่พวกเราเรียนรู้ในการสวดภาวนา บางช่วงระยะเวลาแห่งชีวิตพวกเราเองรับรู้ว่าหากปราศจากความเชื่อพวกเราก็ไม่อาจที่จะสวดภาวนา และพวกเราก็ทราบว่าพลังของพวกเราคือการสวดภาวนา ไม่เพียงแต่ภาวนาส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นการสวดภาวนาของบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเราด้วย รวมทั้งของชุมชนแห่งความเชื่อที่ติดตามและให้การสนับสนุนพวกเรา ของผู้คนที่รู้จักพวกเรา ของคนที่พวกเราขอให้สวดภาวนาสำหรับพวกเรา

        เพราะเหตุนี้เช่นเดียวกันชุมชนความเชื่อและกลุ่มซึ่งอุทิศตนให้กับการสวดภาวนาจึงเจริญขึ้นในพระศาสนจักร คริสตชนบางคนกระทั่งรู้สึกถูกเรียกร้องให้สวดภาวนาเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำประจำวัน ทั้งในอาราม คอนแวนต์ อารามนักพรตในพระศาสนจักร ซึ่งผู้คนที่ถวายตนต่อพระเจ้าพำนักอาศัยอยู่ บ่อยครั้งสถานที่เหล่านี้กลายเป็นศูนย์แห่งความสว่างฝ่ายจิตวิญญาณ อันเป็นศูนย์กลางแห่งชุมชนที่อธิษฐานภาวนาที่ฉายรัศมีแห่งชีวิตฝ่ายจิตออกมา นี่เป็นโอเอซิสหรือต้นธารเล็กๆ ที่มีการสวดภาวนากันอย่างจริงจังและมีการดำเนินชีวิตในคณะดุจพี่ดุจน้องกันที่เสริมสร้างขึ้นในแต่ละวัน พวกเขาเป็นเสมือนเซลส์ที่มีความสำคัญไม่เพียงแค่เป็นแก่นของพระศาสนจักรเท่านั้น แต่ยังของสังคมด้วย ตัวอย่างลองให้พวกเรามาคิดดูที่พวกเขามีต่อการเกิดและการเจริญเติบโตความศิวิไลซ์ของทวีปยุโรปและวัฒนธรรมต่างๆ การสวดภาวนาและการทำงานในหมู่คณะทำให้โลกหมุนต่อไป พวกเขาเปรียบเสมือนมอเตอร์

        ทุกสิ่งในพระศาสนจักรเกิดขึ้นด้วยคำภาวนาและทุกสิ่งเจริญงอกงามขึ้นก็ต้องขอบคุณการสวดภาวนา เมื่อศัตรูหรือเจ้าปิศาจต้องการที่จะสู้รบปรบมือกับพระศาสนจักร สิ่งแรกที่เหล่าซาตานทำคือพยายามทำให้สายน้ำของพระศาสนจักรเหือดแห้งโดยพยายามขัดขวางไม่ให้มีการอธิษฐานภาวนา เช่นว่าพวกเราเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในบางกลุ่มที่เห็นชอบกับการปฏิรูปพระศาสนจักรให้ก้าวไปข้างหน้า เปลี่ยนแปลงชีวิตและองค์กรทั้งหมด พวกนั้นเป็นสื่อที่ผลักดันการปฏิรูปในทุกคน… แต่ว่า…ไม่มีการพูดถึงการสวดภาวนา ไม่มีการสวดภาวนาเลย ซึ่งอันตรายมาก พวกเราจำเป็นต้องเปลี่ยนสิ่งนี้ พวกเราจำเป็นต้องตัดสินใจซึ่งเป็นเรื่องยาก พวกหัวก้าวหน้ามักมีข้อเสนอที่น่าสนใจ! มีการประชุมมากมายและอาศัยการอภิปรายกัน ต้องอาศัยสื่อเทคโนโลยีทันสมัย ทว่าการสวดภาวนาอยู่ที่ไหน? การสวดภาวนาเป็นประตูที่จะเปิดสู่พระจิตผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจของความเจริญก้าวหน้า การเปลี่ยนในพระศาสนจักรหากปราศจากการสวดภาวนาก็ไม่ใช่การเปลี่ยนที่เกิดจากพระศาสนจักร เป็นการเปลี่ยนแปลงจากชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และอย่างที่พ่อเคยกล่าวไว้ เมื่อศัตรูต้องการจะต่อกรกับพระศาสนจักร สิ่งแรกทีซาตานทำคือการทำให้ท่อน้ำหล่อเลี้ยงแห้งไป หาวิธีการไม่ให้มีการสวดภาวนาแล้วตั้งข้อเสนออื่น ๆ สารพัด หากเลิกการสวดภาวนา ดูเหมือนว่าทุกสิ่งสามารถเดินไปข้างหน้าได้สักพักหนึ่งด้วยแรงเฉื่อย แต่หลังจากนั้นไม่นานพระศาสนจักรเริ่มรับรู้ว่าตนเองกลายเป็นเหมือนเปลือกหอยที่ว่างเปล่า ปราศจากจุดยืน และไม่อาจเป็นบ่อเกิดแห่งความอบอุ่นและความรักอีกต่อไป

        บรรดาชายหญิงผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีชีวิตที่ง่ายดายกว่าผู้อื่น แม้ว่าพวกเขาต่างก็มีปัญหาของตนเองที่ต้องจัดการ และยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งพวกเขาเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาคือคำภาวนา  พวกเขาจะรับน้ำเลี้ยงจาก “บ่อน้ำ” อันไม่รู้จักเหือดแห้งของพระศาสนจักรผู้เป็นมารดา โดยอาศัยการภาวนาพวกเขาหล่อเลี้ยงเปลวไฟแห่งความเชื่อของตนดุจน้ำมันที่ใช้กับตะเกียง ดังนั้นพวกเขาจึงเจริญก้าวหน้าเดินในความเชื่อและความหวัง บรรดานักบุญที่ดูเหมือนไร้ค่าในสายตาของชาวโลกความจริงแล้วท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่ดำรงรักษาความเชื่อไว้ไม่ใช่ด้วยอาวุธแห่งเงินตราหรืออำนาจ ของสื่อ ฯลฯ แต่ด้วยอาวุธแห่งคำภาวนา

        ในพระวรสารโดยนักบุญลูกาพระเยซูคริสต์ทรงตั้งคำถามน่าสนใจที่ชวนให้พวกเราต้องไตร่ตรองเสมอ “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา พระองค์จะพบความเชื่อในโลกนี้ไหม?” (ลก. 18: 8) หรือว่าพระองค์จะพบแต่องค์กรเหมือนกลุ่มชนประเภทสมัครเล่นในความเชื่อ ทุกสิ่งมีการบริหารจัดการเป็นอย่างดี มีกิจกรรมเมตตากิจ มีหลายสิ่งหลายอย่าง หรือว่าพระองค์จะพบกับความเชื่อ? “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา พระองค์จะพบกับความเชื่อในโลกนี้ไหม?”  คำถามนี้มีขึ้นหลังการเล่านิทานเปรียบเทียบแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการสวดภาวนาอย่างยึดมั่นเหนียวแน่นโดยที่ไม่รู้จักเบื่อ (ดู ลก. 18: 1-8) เพราะฉะนั้นพวกเราจึงสามารถสรุปว่าตะเกียงแห่งความเชื่อจะลุกโชติช่วงอยู่เสมอในโลกตราบเท่าที่ยังมีน้ำมันแห่งการสวดภาวนา อันเป็นการสวดภาวนาที่ทำให้ความเชื่อเข้มแข้งขึ้นและนำไปสู่ชีวิต ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนบาปที่อ่อนแอ การอธิษฐานภาวนาจะนำให้พวกเราก้าวหน้าไปอย่างปลอดภัย คำถามที่พวกเราคริสตชนจะต้องถามตนเองคือ ฉันสวดภาวนาหรือเปล่า? พวกเราสวดภาวนาหรือเปล่า? พวกเราสวดภาวนาเหมือนนกแก้วนกขุนทองหรือพวกเราสวดด้วยหัวใจ? ตัวฉันล่ะสวดอย่างไร? ฉันสวดภาวนาด้วยความมั่นใจว่าฉันอยู่ในพระศาสนจักร แล้วฉันก็สวดภาวนาพร้อมกับพระศาสนจักรหรือเปล่า?  หรือว่าฉันสวดตามอำเภอใจตัวเอง แล้วทำให้ความคิดของฉันเป็นการอธิษฐานภาวนา? นี่เป็นการภาวนาของคนนอกศาสนาไม่ใช่การภาวนาของคริสตชน พ่อขอย้ำอีกครั้ง พวกเราสามารถสรุปได้ว่าตะเกียงแห่งความเชื่อจะต้องลุกอยู่เสมอในโลกตราบเท่าที่พวกเรายังมีน้ำมันแห่งการสวดภาวนา

        และนี่คือหน้าที่สำคัญของพระศาสนจักร ที่จะสวดภาวนาและสอนว่าจะต้องสวดอย่างไร เพื่อที่จะถ่ายทอดตะเกียงแห่งความเชื่อและน้ำมันแห่งการสวดภาวนาต่อไปยังชนรุ่นหลัง ตะเกียงแห่งความเชื่อที่ให้ความสว่างจะจัดการกับทุกสิ่งอย่างที่ควรเป็น แต่จะสามารถเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อชีวิตมีน้ำมันแห่งความเชื่อ มิฉะนั้นแล้วตะเกียงจะดับ หากปราศจากซึ่งแสงสว่างของตะเกียงนี้ พวกเราจะไม่สามารถมองเห็นหนทางแห่งการประกาศพระวรสาร หรือพูดอีกอย่างคือ พวกเราไม่สามารถที่จะเห็นหนทางเพื่อที่จะมีความเชื่อ พวกเราจะไม่สามารถเห็นใบหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเรา เพื่อที่จะเข้าใกล้และช่วยเหลือพวกเขา พวกเราจะไม่สามารถให้แสงสว่างแก่ห้องที่พวกเราพบปะกับชุมชน หากปราศจากซึ่งความเชื่อทุกสิ่งจะล่มสลาย และหากปราศจากซึ่งการสวดภาวนาความเชื่อก็จะดับสูญไป ความเชื่อและการสวดภาวนาควบคู่กันไป ชีวิตไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเหตุนี้พระศาสนจักรในฐานะที่เป็นบ้านและโรงเรียนแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นบ้านและเป็นโรงเรียนแห่งความเชื่อและการสวดภาวนา


พระสันตะปาปากล่าวต้อนรับ

        พ่อขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์ พ่อวอนพระเมตตาของพระบิดาเจ้าได้โปรดหลั่งไหลมายังพวกลูกและครอบครัวของลูก ขอพระเจ้าโปรดประทานพระพรให้กับทุกคน


สรุปคำปราศรัยของพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนา บัดนี้พวกเราจะพูดถึงพระศาสนจักรในฐานะที่เป็นโรงเรียนแห่งการสวดภาวนา พ่อแม่ ปู่ย่าตายายซึ่งเป็นคนแรกที่สอนให้พวกเรารู้จักสวดภาวนาได้หว่านเมล็ดพืชในตัวเราซึ่งเจริญเติบโตขึ้นด้วยประสบการณ์แห่งชีวิตคริสตชน โดยอาศัยแบบฉบับของชายหญิงที่มีความเชื่อ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของพวกเราในชีวิตของวัดและที่สำคัญคือโดยผ่านทางพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์พวกเราไม่เพียงแค่พัฒนาชีวิตการสวดภาวนา แต่ตัวพวกเราเองเท่านั้น ทีละเล็กทีละน้อยพวกเราจะนิยมความสมบูรณ์มั่งคั่งแห่งคุณานุคุณและชีวิตจิตของพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่พวกเรามีความยากลำบาก พวกเราจะรับรู้ถึงความสำคัญของการสวดภาวนาเพื่อที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับความเชื่อและความหวังของพวกเรา     ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของชุมชนที่สวดภาวนา – ณ อารามและคณะนักบวช – เพื่อฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของพระศาสนจักรและสังคมโดยทั่วไป  การอธิษฐานภาวนายังคงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิตของพระศาสนจักรและเป็นพละกำลังที่แท้จริงในการเป็นประจักษ์พยานต่อพระผู้ที่เสด็จคืนชีพ เพราะเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงทรงยืนยันถึงความจำเป็นที่ศิษย์ของพระองค์จะต้องภาวนาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยและไม่รู้จักหยุดหย่อน ดังนั้นการสวดภาวนาและสอนให้คนอื่นรู้จักสวดจึงเป็นสิ่งสำคัญในพันธกิจของพระศาสนจักรในการประกาศพระวรสาร ในการรับใช้พระเยซูคริสต์ในบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเรา และในการดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระอาณาจักรของพระองค์

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

การเป็นประจักษ์พยานถึงความสวยสดงดงามของพระเจ้าโอกาสครบรอบ 25 ปี
ของการประกาศสมณสาส์นเตือนใจ “ชีวิตผู้ถวายตัว”

สมณกระทรวงเพื่อสถาบันชีวิตผู้ถวายตัว และสมาพันธ์เพื่อชีวิตการแพร่ธรรม

การเป็นประจักษ์พยานถึงความสวยสดงดงามของพระเจ้าโอกาสครบรอบ 25 ปี
ของการประกาศสมณสาส์นเตือนใจ “ชีวิตผู้ถวายตัว” (Vita Consacrata – VC)

เจริญพรมายังบรรดานักบวช พี่น้องชายหญิงผู้ถวายตัว

        เราขอขอบคุณพวกท่านเสมอ “สำหรับพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงมอบให้ท่านในพระเยซูคริสต์ เพราะในพระองค์ท่านได้รับความมั่งคั่งสมบูรณ์ในทุกกรณี” และ “ท่านถูกเรียกให้ติดตามพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา” (คร. 1: 4) ในช่วงเวลาที่เรียกว่าภาวะวิกฤตนี้เรายืนหยัดในความเอื้ออาทรกับทุกคน “ในความทุกข์ยากและความยืนหยัดมั่นคง” (เทียบ วว. 1: 9) นี่ไม่ใช่เพียงแค่เพราะโรคระบาด แต่ที่สำคัญเพราะสิ่งที่ตามมาซึ่งมีผลกระทบต่อพวกเราอย่างรุนแรงในกิจกรรมประจำวันทางด้านสังคมและชุมชนพระศาสนจักร ผู้ถวายตัวชายหญิงถูกเรียกร้องให้ต้องปลุกทุกคนให้มีจิตสำนึกถึงความหวัง

        เราไม่ต้องการให้โอกาสครบรอบปีที่ 25 (25 มีนาคม 1996) ของสมณสาส์นเตือนใจพระสันตะปาปานักบุญจอห์น พอลที่ 2 เรื่อง “ชีวิตผู้ถวายตัว” (Vita Consacrata) อันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการไตร่ตรองในการประชุมใหญ่ซีน็อดของบรรดาบิชอป ที่ได้มีการประชุมกันในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 ต้องผ่านไปโดยไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ในเอกสารดังกล่าวบรรดาบิชอปย้ำกันบ่อยๆว่า “ชีวิตผู้ถวายตัวเป็นหัวใจของพระศาสนจักรดุจปัจจัยสำคัญสำหรับสหพันธ์ของตน [,,,] เป็นของขวัญอันล้ำค่าและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตแห่งประชากรของพระเจ้า” (Vita Consacrata, ข้อ 3)

        ในโอกาสนี้เราทำให้เป็นคำภาวนาของพวกเราและเป็นการขอบคุณที่แสดงออกโดยพระดำรัสของพระสันตะปาปาฟรานซิส “ข้าแต่พระเจ้า ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์ มือของข้าพเจ้ามิได้ว่างเปล่า ซึ่งเปี่ยมด้วยพระหรรษทานของพระองค์ การรู้จักที่จะเห็นพระหรรษทานของพระองค์เป็นก้าวแรก (บทเทศน์ 2 กุมภาพันธ์ 2020) การมองย้อนหลังและการนำมาอ่านทบทวนใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนเองคือการเห็นว่านี่เป็นของขวัญที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยสายตาของพวกเราเท่านั้นแต่ด้วยสายตาของประชาสัตบุรุษด้วย” (Viata Consacrata, ข้อ 1) ในการรับรู้ว่าพระธรรมล้ำลึกแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าทำงานในประวัติศาสตร์ของพวกเราและรอคอยวันที่จะสำเร็จไปในสวรรค์ (Ivi)

ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชาวโลก

        สมณสาส์นเตือนใจ “ชีวิตผู้ถวายตัว” (Vita Consacrata) ได้ถูกตีพิมพ์ออกมาในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอน ในยุคที่สังคมมีความอ่อนแอ ระส่ำระส่าย สับสนวุ่นวาย และไม่มีการเอาจริงเอาจังกัน ความแน่นอนแห่งความเป็นอัตลักษณ์ของชีวิตผู้ถวายตัวถูกจำกัดความจึงเป็นสิ่งแปลก  “ภาพลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ผู้เปลี่ยนโฉมพระวรกาย” (Vita Consacrata, ข้อ 14) ซึ่งเผยให้เห็นพระสิริมงคลและพระพักตร์ของพระบิดาในความสง่างามด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระจิต ชีวิตผู้ถวายตัวจึงเป็นดุจ “Confessio Trinitatis” (การน้อมรับในพระตรีเอกภาพ) ความจริงในการครุ่นคิด ณ จุดนี้ไม่เพียงแค่จะให้พื้นฐานแห่งความเป็นอัตลักษณ์ของผู้ถวายตัวเท่านั้น ทว่าเพื่อที่จะมอบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของอัตลักษณ์ที่ผนึกพระเจ้ากับมนุษย์ไว้ด้วยกันโดยรับรู้ถึงการเชื่อมสัมพันธ์อันล้ำลึกและรุ่งโรจน์ระหว่างการเสด็จขึ้นลง ระหว่างความสูงส่งเหนือธรรมชาติและการจุ่มตัวลงไปในความว่างเปล่า (kenotic) เกี่ยวกับความงดงามบนขอบเขตทุกอย่างที่เป็นมนุษย์ ระหว่างความดีงามสูงสุดที่จะต้องพิศเพ่งและความยากจนที่จะต้องบริการรับใช้

        ผลตามมาที่มีคุณค่าจะตามมาจากการเห็นการณ์ไกลที่บังเกิดผลนี้

พลังแห่งความสัมพันธ์

        ชีวิตผู้ถวายตัว (Vita consacrata) เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ อันเป็นความสัมพันธ์ที่ผ่านชีวิตเข้ามาของผู้ที่ดูแลผู้อื่น เป็นประจักษ์พยานที่ไม่ใช่ลักษณะธรรมดา แต่เป็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกันที่ดำเนินชีวิตและชื่นชมในสิ่งที่ตนเองประกาศ นี่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ของทุกคนในคณะฯ ไม่ใช่ความโดดเดี่ยวที่ครบครัน แต่เป็นของคนบาปผู้น่าสงสารที่แบ่งปันและมอบให้กันและกันซึ่งความเมตตาและความเข้าใจ นี่เป็นการถวายตัวที่ไม่ได้ขัดแย้งกับคุณค่าของโลกและความกระหายสากลเพื่อความสุข แต่ตรงกันข้ามชีวิตจะเผยให้เห็นถึงความยากจน ความบริสุทธิ์ ความนบนอบและสิ่งที่มนุษย์พึงมี นี่เป็นระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงในเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์ ให้ความหมายและความสมดุลกับชีวิต เป็นความสมานฉันและเสรีภาพในความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เป็นการป้องกันการใช้อำนาจไปในทางที่ผิด แต่เป็นภาวะเสริมสร้างความเป็นพี่น้องกัน และมอบความสวยงามให้แก่กัน… ทุกวันนี้ชีวิตผู้ถวายตัวจะต้องรับรู้ถึง “ความยากจนกว่าในยุคก่อน” แต่จะดำเนินชีวิตในพระหรรษทานซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่ากับพระศาสนจักร และกับโลก กับผู้ที่มีความเชื่อและผู้ที่ไม่มีความเชื่อ กับผู้ที่เผชิญความทุกข์และอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ความรู้สึกของพระบุตร

        มุมมองพิเศษในมิติแห่งความสัมพันธ์ดูเหมือนจะไปถึงจุสูงสุดเมื่อเอกสารนี้พูดถึงเรื่องของการอบรม ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงความสัมพันธ์ใดๆ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่นำพวกเราไปสู่ความรู้สึกเดียวกันเฉกเช่นพระบุตรผู้ทรงนบนอบ ผู้รับใช้ที่เผชิญความทุกข์ และเป็นลูกแกะที่บริสุทธิ์

        โดยแก่นแท้แล้วนี่ไม่ใช่ปัจจัยใหม่เมื่อพิจารณาว่าในอดีตพวกเราพูดถึงความสัมพันธ์นั้นว่าเป็นการติดตาม การค้นหา และการเลียนแบบฉบับพระเยซูคริสต์ ณ จุดนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่มากไปกว่านั้นอีก ซึ่งในบางมุมก็เป็นของใหม่ที่ถูกนำมามอบให้แก่โลก (เทียบ ฟป. 2: 5)  อันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับที่เข้มข้นและล้ำลึกที่จะพบในตัวตนเองอย่างดีถึงความรู้สึกละเอียดอ่อนกับองค์พระบุตร ซึ่งในทางกลับกันก็จะพบกับภาพพจน์และการอวตารแห่งความรู้สึกละเอียดอ่อนของพระบิดาเจ้า พวกเราคริสตชนเชื่อในพระเจ้าที่มีความรู้อันละเอียดอ่อน พระองค์ได้ยินเสียงของผู้ที่ถูกกดขี่และทรงฟังเสียงร้องวิงวอนของหญิงม่าย พระองค์ทรงยอมรับความทุกข์พร้อมกับและเพื่อมวลมนุษย์ พวกเราต้องเชื่อว่าชีวิตผู้ถวายตัวพร้อมกับพระพรพิเศษหลายประการของตนคือการแสดงออกถึงความรู้สึกอันละเอียดอ่อนนี้ อาจกล่าวได้ว่าแต่ละสถาบันจะเน้นเรื่องพระพรพิเศษของตนเองว่าเป็นความรู้สึกของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพราะเหตุนี้การอบรมที่บ่งไว้ในคำเตือนใจในฐานะที่เป็นกระบวนการอันจะนำไปสู่ทิศทางดังกล่าว เพื่อที่จะได้มีความรู้สึกเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน ความรู้สึกละเอียดอ่อนเดียวกัน ความรักเดียวกัน ความปรารถนาเดียวกัน รสนิยมเดียวกัน วัตถุประสงค์เดียวกันท ความฝันเดียวกัน การแสดงออกเดียวกัน ความหลงไหลเดียวกัน… กับพระบุตรซึ่งเป็นผู้รับใช้และเป็นลูกแกะ

        นี่เป็นโครงการที่น่าตื่นเต้นที่นำ (การผนึกเข้าไว้ด้วยกัน) ซึ่งมิติจิตวิญญาณและมานุษยวิทยา นี่เป็นโครงการที่สามารถเปลี่ยนความคิดเรื่องการอบรมเกี่ยวกับเนื้อหา วิธีการ และเวลา ซึ่งในที่สุดแล้ว จะเป็นการอบรมที่ผนึกเข้าด้วยกันที่สร้างขึ้นบนศิลาแห่งความรักนิรันดร์ที่จะทำให้พวกเราเป็นไท สร้างให้พวกเราเป็นบุคคลที่ครบบริบูรณ์ ซึ่งจะเรียนรู้ถึงว่าจะต้องประกาศพระวรสารด้วยความรักของตนอย่างไร เพื่อที่จะรักพระเจ้าด้วยหัวใจมนุษย์ และรักมนุษย์ด้วยหัวใจของพระเจ้า นี่จะเป็นการอบรมที่ทำกันอย่างต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต นี่เป็นการมองเห็นการณ์ไกลภายในที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องทำความเข้าใจ และยิ่งกว่านั้นคือนำไปปฏิบัติโดยทันที

เสน่ห์ของความสวยสดงดงาม

        ถ้าพระเจ้าสวยงามและพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสวยสดงดงามที่สุดท่ามกลางบุตรมนุษย์ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ที่ถวายตัวแด่พระองค์ก็ย่อมจะต้องดงามด้วย ผู้ที่ถวายตัวถูกเรียกร้องให้ต้องเป็นประจักษ์พยานถึงความงดงามนี้ ในโลกที่เสี่ยงจะตกอยู่ในความทารุนโหดร้าย “via pulchritudinis” กล่าวคือหนทางแห่งความงดงาม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าถึงความจริงหรือทำให้หนทางนั้นน่าเชื่อถือและดึงดูดใจ ชายหญิงผู้ถวายตัวต้องปลุกจิตสำนึกตนเองให้ตื่นขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดพวกเขาในยุคนี้ต้องเป็นแรงดึงดูดสำหรับสิ่งที่สวยงามและที่เป็นความจริง

        ความสวยสดงดงดงามซึ่งไม่เพียงแค่จะต้องกล้าหาญและเป็นความจริงเท่านั้น ต้องเป็นประจักษ์พยานและเป็นวาจาที่มอบให้กับผู้อื่นด้วย เพราะพระพักตร์ที่พวกเราประกาศนั้นมีความสวยสดงดงามยิ่ง

        สิ่งที่พวกเราทำและทำอย่างไรนั้นต้องมีความสวยสดงดงาม

        ความเป็นพี่น้องกันและบรรยากาศที่พวกเราหายใจนั้นต้องสวยสดงดงาม

        กิจกรรมและพิธีกรรมในวัดต้องสวยสดงดงาม ทุกคนได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมเพราะว่านั่นมีความสวยสดงดงามที่จะสวดภาวนาและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าสูงสุดและต้องให้ทุกคนได้รับพระวาจาของพระองค์เป็นเครื่องชี้นำ

        ในความสวยงามที่จะอยู่พร้อมหน้ากันในพระนามของพระองค์ เพื่อที่จะทำงานด้วยกันแม้ว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

        ความยึดถือพรหมจรรย์ของพวกเราช่างสวยสดงดงามเสียนี่กระไร ที่จะรักด้วยหัวใจของพระองค์และการที่พวกเรายึดถือความยากจนเพื่อที่จะกล่าวว่าพระองค์เป็นขุมทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว พวกเรามีความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระประสงค์ของพระองค์เพื่อความรอด และนบนอบแม้กระทั่งในพวกเราเองเพื่อที่จะแสวงหาเพียงแต่พระองค์ผู้เดียว  นี่เป็นความสวยสดงดงามที่จะมีหัวใจเป็นอิสระที่จะต้อนรับความเจ็บปวดของผู้ที่เป็นทุกข์ ที่จะแสดงความเมตตาสงสารของพระเจ้าผู้สถิตนิรันดร์กับพวกเขา

แม้กระทั่งธรรมชาติสิ่งแวดล้อมก็ต้องสวยสดงดงามในความสง่างามที่เรียบง่ายและสร้างสรรค์ บ้าน โต๊ะที่ตั้งเรียงราย… จะต้องมีรสนิยมแห่งการจัดและมีความเป็นระเบียบอย่างสวยงามไปกับสิ่งแวดล้อม เพื่อทุกสิ่งในบ้านพักอาศัยจะเป็นการชี้ให้เห็นถึงการประทับอยู่และเป็นศูนย์กลางของพระเจ้า

สิ่งที่สวยสดงดงามที่สุดคือศีลศักดิ์สิทธิอันเร้นลับแห่งพระเจ้าผู้สถิตนิรันดร์ ดังที่อัครสาวกเปโตรอุทานบนภูเขาทาบอร์ก่อนที่แสงสว่างและความรุ่งโรจน์อันสง่างามจะเกิดขึ้น

ผู้ถวายตัว (Vita consacrata) แน่นอนว่าเป็นประสบการณ์และการไตร่ตรองของชีวิตผู้ถวายตัวในหลายปีที่ผ่านมา พวกเราเชื่อมั่นว่าชีวิตเช่นนี้ควรที่จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อที่จะเป็นจุดอ้างอิงสำหรับปีต่อๆ ไป พร้อมกันกับเอกสารคำสั่งสอนของพระศาสนจักรและ “CICSAL” ซึ่งทำให้เนื้อหาขั้นพื้นฐานมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น  พวกเราเชื่อมั่นว่าคำตักเตือนยังคงสามารถหล่อเลี้ยง ความซื่อสัตย์ที่สร้างสรรค์ของผู้ถวายตัวอันเป็นดุจศิลาแรกของชีวิตผู้ถวายตัวในสหัสวรรตที่สาม การตอบสนองกับการท้าทายที่มาจากพระศาสนจักรและจากโลกหมายถึงการตอบสนองที่สอดคล้องกับพระวรสาร “พวกเราไม่สามารถ -พระสันตะปาปาฟรานซิสเตือนใจ –  ที่จะหยุดอยู่กับที่ในความฝันร้ายสำหรับเรื่องในอดีตเพียงเพื่อที่จะกระทำสิ่งเก่าที่ซ้ำๆ กันหรือมัวแต่บ่นกันทุกวัน พวกเราจำเป็นต้องมีความอดทนและมีความกล้าหาญที่จะก้าวหน้าต่อไป แสวงหาหนทางใหม่ และตอบสนองต่อการดลใจของพระจิต และกระทำเช่นนี้ด้วยความสุภาพและความเรียบง่ายโดยไม่ต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อหรือเป่าปี่ตีกลอง  (ฟรานซิส บทเทศน์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021)

พวกเรามั่นใจในคำภาวนาของพวกเราต่อพระแม่มารีย์ว่า นักบวช ชายหญิงผู้ถวายตัวจะเป็น “ประจักษ์พยานต่อพระพรนั้นด้วยการเปลี่ยนแปลงโฉมชีวิตของตนเองในขณะที่พวกเขามีความชื่นชมยินดีในการดำเนินชีวิตกับบรรดาพี่น้องสู่บ้านแห่งสรวงสวรรค์และแสงสว่างจะไม่มีวันมืดมัวลง” (Vita consacrata, ข้อ 112)      ขอถือโอกาสนี้ทักทายทุกคนและขอให้พวกท่านได้พบกับสิ่งที่ดีๆ ในพระเจ้าผู้ทรงเป็นทุกอย่างสำหรับพวกเราผู้ที่ดำเนินชีวิตในการถวายตัว

นครรัฐวาติกัน วันที่ 25 มีนาคม 2021 สมโภชทูตสวรรค์แจ้งข่าว  (Annunciation)

พระคาร์ดินัลเจา บราซ เดอ อาวิซ
(Joao braz Card. De Aviz)

สมณมนตรี

อาร์ชบิชอปโฮเซ โรดิเกรซ คาร์บาลโล, โอ.เอฟ.เอ็ม
(+Jose Rodriguez Carballo, ofm)

เลขาธิการฯ

พิธีบูชาขอบพระคุณวันสมโภชพระเมตตาของพระเจ้า (Divine Mercy)

พิธีบูชาขอบพระคุณวันสมโภชพระเมตตาของพระเจ้า (Divine Mercy)

พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ทรงแสดงองค์แก่บรรดาศิษย์ในหลายโอกาส พระองค์ทรงเพียรทนบรรเทาใจพวกเขา พระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว บัดนี้พระองค์ทรงนำมาซึ่ง “การกลับคืนชีพของบรรดาศิษย์ด้วย”  พระองค์ทรงยกจิตใจของพวกเขาและชีวิตของพวกเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านั้นพระวาจาและแบบฉบับของพระองค์ยังไม่บรรลุผลในการทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควรจะเป็น บัดนี้ในวันปัสกามีสิ่งใหม่เกิดขึ้นและเกิดขึ้นในมิติแห่งความเมตตา พระเยซูคริสต์ทรงอุ้มชูพวกเขาขึ้นมาด้วยพระเมตตา หลังจากที่ได้รับพระเมตตานั้นแล้วพวกเขาก็มีความเมตตาเป็นการตอบแทน เป็นการยากที่จะมีความเมตตาหากปราศจากซึ่งประสบการณ์ที่ตนเองได้รับความเมตตามาก่อน

        ประการแรก พวกเขาได้รับพระเมตตาโดยอาศัยของขวัญ 3 ประการ ประการที่หนึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมอบสันติสุขให้กับพวกเขา ถัดมาก็เป็นของขวัญองค์พระจิต และสุดท้ายคือบาดแผลของพระองค์  บรรดาศิษย์ต่างพากันผิดหวัง  พวกเขาอยูในห้องลั่นดานประตูเพราะความกลัว พวกเขากลัวที่จะถูกจับแล้วลงท้ายจะเป็นเหมือนพระอาจารย์ของตน แต่พวกเขาไม่เพียงแต่จะอัดกันอยู่เพีงแค่ภายในห้องอันคับแคบเท่านั้น พวกเขายังจิตตกและอยู่ในกับดักแห่งความโศกเศร้าเสียใจด้วย พวกเขาได้ทอดทิ้งและปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พวกเขารู้สึกสูญสิ้นความหวัง หมดความน่าเชื่อถือ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนว่าไร้สาระ ทุกสิ่งดูเหมือนไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง พระเยซูคริสต์เสด็จมาตรัสกับพวกเขาถึงสองครั้ง “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน” พระองค์ไม่ได้นำสันติสุขมามอบให้เพื่อขจัดปัญหาทั้งปวงออกไป ทว่าเป็นสันติสุขที่ประกอบด้วยความไว้ใจภายใน ซึ่งไม่ใช่สันติสุขภายนอก แต่ว่าเป็นสันติสุขแห่งหัวใจ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน! พระบิดาส่งเรามาฉันใดเราก็ส่งพวกท่านไปเช่นเดียวกัน” (ยน. 20: 21) ซึ่งเหมือนกับพูดว่า “เราส่งท่านไปเพราะว่าเราเชื่อใจในตัวท่าน” บรรดาศิษย์ที่หมดกำลังใจเหล่านั้นจึงมีสันติสุขกับตนเอง สันติสุขในพระเยซูคริสต์อันมีพลังเปลี่ยนแปลงพวกเขาจากความเศร้าเสียใจสู่พันธกิจ สันติสุขในพระเยซูคริสต์ก่อให้เกิดพันธกิจ ซึ่งไม่ได้หมายถึงความง่ายและความสะดวกสบาย แต่เป็นการท้าทายที่พวกเราต้องเอาชนะตนเอง สันติสุขในพระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราเป็นไทจากการที่คิดถึงแต่ตนเอง ซึ่งทำให้พวกเรากลายเป็นง่อย  นี่เป็นการท้าทายความสัมพันธ์ที่ทำให้หัวใจของพวกเราเหมือนคนติดคุก บรรดาศิษย์รับรู้อย่างดีว่าพวกเขาได้รับพระเมตตา พวกเขารับรู้อย่างดีว่าพระเจ้ามิได้ทรงสาปแช่งและดูหมิ่นดูแคลนพวกเขา แต่ตรงกันข้ามกลับเชื่อใจพวกเขา ความจริงแล้วพระเจ้าทรงเชื่อใจพวกเรามากกว่าที่พวกเราเชื่อในตัวเราเองเสียอีก “พระองค์ทรงรักพวกเรายิ่งกว่าที่พวกเรารักตัวเราเอง (เทียบ นักบุญ ยอห์น เฮนรี่ นิวแมน Meditation and Devotion, III, 12, 2)  สำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีผู้ใดที่ไร้ค่า ที่ไม่น่านับถือ หรือผู้ที่ต้องถูกตัดขาด วันนี้พระเยซูคริสต์ยังตรัสกับพวกเราว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน พวกท่านมีคุณค่าในสายพระเนตรของเรา สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน ท่านมีความสำคัญสำหรับเรา สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน ท่านมีพันธกิจ  ไม่มีใครจะมาแทนที่ท่านได้และเราก็เชื่อในตัวพวกท่าน”

        ประการที่สอง พระเยซูคริสต์ทรงแสดงพระเมตตาต่อบรรดาศิษย์ของพระองค์โดยการประทานพระจิตให้กับพวกเขา พระองค์ประทานพระจิตให้พวกเขาเพื่อการอภัยบาป (เทียบ ข้อ 22-23)  บรรดาศิษย์มีมลทิน มีข้อตำหนิ พวกเขาวิ่งหนีไป พวกเขาทอดทิ้งพระอาจารย์ บาปนำความทรมานมาให้ ความชั่วมีราคาค่างวดของมัน ดังที่ผู้นิพนธ์บทเพลงสดุดีกล่าวไว้ว่า บาปของพวกเรา จะอยู่ต่อหน้าพวกเราเสมอ ด้วยลำพังตัวเราเองนั้นพวกเราไม่สามารถที่จะขจัดบาปออกไป มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะขจัดบาปและความชั่วร้าย มีเพียงพระองค์ด้วยพระเมตตาของพระองค์เท่านั้นที่สามารถจะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากห้วงเหวแห่งความน่าสงสารของพวกเรา ดุจศิษย์เหล่านั้นพวกเราจำเป็นต้องยินยอมให้ตัวเราได้รับการอภัยเพื่อขออภัยโทษด้วยความจริงใจต่อพระเจ้า การให้อภัยในพระจิตเป็นของขวัญปัสกาที่สามารถทำให้พวกเรากลับคืนชีพใหม่ภายใน ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานที่จะยอมรับของขวัญนี้ด้วยการรับศีลอภัยบาป และต้องเข้าใจศีลอภัยบาปนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับตัวเราและบาปของพวกเราเท่านั้น แต่ต้องเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเมตตาของพระองค์ ขอให้พวกเราไปสารภาพบาป  บาปที่จะทำให้พวกเรารู้สึกต่ำลง เพื่อที่พวกเราจะได้ลุกขึ้นมาใหม่ เราทุกคนต้องการสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ดุจเด็กน้อยเวลาที่เขาล้มลงจำเป็นที่บิดาจะต้องช่วยให้เขาลุกขึ้นมา พวกเราก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน พวกเราเองก็ล้มลงบ่อยๆ และพระหัตถ์พระบิดาก็พร้อมที่จะพยุงให้พวกเรายืนขึ้นบนเท้าของพวกเราและทำให้พวกเราเดินหน้าต่อไป สิ่งที่แน่นอนและพระหัตถ์ที่ไว้ใจได้ก็คือพิธีอภัยบาป  การสารภาพบาปเป็นเครื่องมือและเครื่องหมายอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้พวกเราลุกขึ้นมาใหม่ พระองค์จะไม่ปล่อยให้พวกเราล้มแช่อยู่กับพื้นดิน นั่งร้องไห้อยู่บนก้อนหินที่ทำให้พวกเราล้มลง การสารภาพบาปเป็นเครื่องหมายแลเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้พวกเรากลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ นี่เป็นพระเมตตาล้วนๆ ศาสนบริกรบาดหลวงทุกคนที่ทำหน้าที่โปรดบาปควรที่จะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหวานแห่งพระเมตตา นี่เป็นสิ่งที่ผู้โปรดบาปจำเป็นที่ต้องกระทำ ที่จะถ่ายทอดความอ่อนหวานแห่งพระเมตตาของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงให้อภัยทุกสิ่ง พระเจ้าทรงให้อภัยทุกสิ่ง

        พร้อมกับสันติสุขที่ฟื้นฟูพวกเราและการให้อภัยที่ทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนพระเยซูคริสต์ทรงประทานของขวัญประการที่สามให้กับศิษย์ของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงบาดแผลของพระองค์ให้พวกเขาได้เห็น จากบาดแผลเหล่านั้นพวกเราได้รับการรักษาเยียวยา (เทียบ 1 ปต. 2: 24; อสย. 53: 5) แต่บาดแผลจะรักษาเราได้อย่างไร? โดยอาศัยพระเมตตา ในบาดแผลเหล่านั้นเฉกเช่นโทมัสพวกเราสามารถสัมผัสกับความจริงได้ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเราจนถึงที่สุด พระองค์ทรงทำให้บาดแผลของพวกเราเป็นของพระองค์เองและกระดูกแห่งความอ่อนแอของพวกเราเป็นส่วนที่อยู่ในพระกายของพระองค์ บาดแผลของพระองค์เปิดช่องทางระหว่างพระองค์กับพวกเราและทรงหลั่งพระเมตตามาสู่ความน่าสงสารของพวกเรา บาดแผลของพระองค์เป็นหนทางที่พระเจ้าทรงเปิดให้พวกเราเข้าสู่ความรักอันอ่อนโยนของพระองค์และ “สัมผัส” ได้อย่างแท้จริงว่าพระองค์คือผู้ใด ขอให้พวกเราจงอย่าได้สงสัยในพระเมตตาของพระองค์อีกต่อไป ในการนมัสการและจุมพิศบาดแผลของพระองค์ ซึ่งพวกเราควรรับรู้ว่าในความรักอันอ่อนโยนของพระองค์นั้นพระองค์ทรงรับความอ่อนแอทุกอย่างของพวกเราไว้กับพระองค์ นี่เกิดขึ้นในทุกพิธีบูชาขอบพระคุณซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมอบพระกายที่มีบาดแผลและเสด็จกลับคืนชีพเพื่อพวกเรา พวกเราสัมผัสกับพระองค์และพระองค์ทรงสัมผัสกับชีวิตของพวกเรา พระองค์ทรงทำให้สวรรค์ลงมาสู่พวกเรา บาดแผลอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ทรงขับไล่ความมืดที่พวกเรามีอยู่ภายในออกไป เช่นเดียวกับโทมัส พวกเราได้พบกับพระเจ้า พวกเราต่างก็รับรู้อย่างดีว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ใกล้พวกเราเพียงใดจนกระทั่งพวกเราถูกผลักดันให้ต้องร้องออกมาว่า  “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า” (ยน 20: 28)  ทุกสิ่งมาจากพระหรรษทานที่พวกเราได้รับพระเมตตา นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางของคริสตชน ถ้าหากพวกเราวางใจในความสามารถของตัวเราเอง ในประสิทธิภาพของโครงสร้างและโครงการของพวกเรา พวกเราจะเดินไปไม่ได้ไกล มีเพียงแค่พวกเราต้องยอมรับความรักของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถมอบบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่สดให้กับชาวโลกได้

        และนั่นเป็นสิ่งที่บรรดาศิษย์กระทำ เมื่อได้รับพระเมตตาแล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา พวกเราพบกับสิ่งนี้ได้ในบทอ่านที่หนึ่ง  หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าว่า “ไม่มีผู้ใดอ้างกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของส่วนตั วแต่ทุกสิ่งทีมีถือเป็นของส่วนรวม (กจ. 4: 32) นี่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์แต่เป็นคริสตชนล้วนๆ ยิ่งจะน่าแปลกใจขึ้นไปอีกเมื่อพวกเราคิดว่าเขาเหล่านั้นเป็นศิษย์กลุ่มเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเขาต่างก็ถกเถียงกันเกี่ยวกับรางวัลและค่าตอบแทนและว่าใครจะเป็นใหญ่กว่กันในหมู่พวกเขา (เทียบ มธ. 10: 37; ลก. 22; 24) บัดนี้พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งกัน พวกเขา “มีจิตใจเดียวกัน” (กจ. 4: 32) พวกเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?  บัดนี้พวกเขาเห็นตัวผู้อื่น ซึ่งเป็นพระเมตตาที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา พวกเขาพบว่าพวกเขาแบ่งปันร่วมกันในพันธกิจ ในการให้อภัย และในพระกายของพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงดูเป็นธรรชาติที่จะแบ่งสมบัติของโลกแก่กันและกัน เรื่องราวยังเล่าต่อไปว่า “ไม่มีผู้ใดที่เผชิญความทุกข์ร้อนในบรรดาพวกเขา” (ข้อ 5) ความกลัวของพวกเขาถูกขับไล่ออกไปด้วยการสัมผัสกับบาดแผลของพระเยซูคริสต์ และบัดนี้พวกเขาไม่กลัวที่จะรักษาบาดแผลของผู้ที่มีความทุกข์เดือดร้อน

        ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก พวกลูกต้องการพิสูจน์ว่าพระเจ้าได้ทรงสัมผัสกับชีวิตของพวกลูกหรือไม่?   ก็ให้ดูซิว่าพวกลูกสามารถที่จะก้มลงพันแผลให้ผู้อื่นได้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องถาม “ตัวฉันเองที่บ่อย ๆ ครั้งได้รับสันติสุข และพระเมตตาของพระเจ้า ฉันเองเคยพยายามที่จะบรรเทาความหิวของคนยากจนบ้างหรือไม่?”ขอให้พวกเราจงอย่าเป็นคนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขอให้พวกเราอย่าเจริญชีวิตในความเชื่อทางเดียวที่มีแต่การรับแต่ไม่มีการให้ เป็นความเชื่อที่รับแต่ของขวัญ ทว่าไม่เคยตอบแทน เมื่อได้รับพระเมตตาแล้วขอให้พวกเรากลายเป็นผู้เมตตา เพราะหากพวกเรารักเพียงแค่ตัวเราเองความเชื่อก็จะเหี่ยวแห้ง อ้างว้างว่างเปล่าเป็นแบบทะเลทราย และขาดความรู้สึกจิตสำนึก หากปราศจากผู้อื่นความรักจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเอง หากปราศจากซึ่งเมตตากิจ ทุกสิ่งจะตายสูยหายไป (เทียบ ยก. 2: 17) ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเราได้รับการฟื้นฟูจากสันติสุข พระเมตตา และบาดแผลของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเมตตา มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่ความเชื่อของพวกเราจะมีชีวิตและชีวิตของพวกเราจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พวกเราจะประกาศพระวรสารของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระวรสารแห่งความเมตตา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

พระสันตะปาปาฟรานซิส REGINA CAELI วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2021

พระสันตะปาปาฟรานซิส REGINA CAELI วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2021

วัดพระจิตแห่งซาสเซีย (Sassia)

ก่อนจบพิธีฉลองพระเมตตา พ่อขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเตรียมการฉลองและการถ่ายทอดสด และพ่อขอต้อนรับทุกคนที่ร่วมติดตามการถ่ายทอดนี้

          ขอต้อนรับเป็นพิเศษทุกคนที่มาร่วมฉลองกันวันนี้ในวัดพระจิตแห่งซาสเซีย ซึ่งเป็นสักการะสถานพระเมตตาของพระเจ้า ซึ่งมีทั้งสัตบุรุษทั่วไป คณะพยาบาล คนป่วย คนพิการ ผู้ลี้ภัย และผู้อพยพ ซิสเตอร์แห่งโรงพยาบาลแห่งพระเมตตาและอาสาสมัครพลเรือน

          พวกลูก ๆ และพี่น้องคือผู้แทนของสถานการณ์บางแห่งที่ทำให้พระเมตตาของพระเจ้าเป็นที่สัมผัสได้ อันเป็นความใกล้ชิด การบริการรับใช้ การเอาใจใส่ดูแลผู้ที่มีความยากลำบาก พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูก ๆ จะมีความรู้สึกเสมอว่าลูกเองก็ได้รับพระเมตตาเพื่อว่าลูกจะได้มีเมตตาต่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน

          ขอพระแม่มารีย์พรหมจารีมารดาทรงเมตตาประทานพระหรรษทานให้กับพวกเราทุกคน

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ปี B

“เป็นเราเองจริงๆ”

ศิษย์ทั้งสองคน(แห่งเอมมาอุส) เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทาง และเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ ศิษย์ทั้งสองได้ฟังการอธิบายพระคัมภีร์จากพระเยซูเจ้าในขณะที่ทรงร่วมเดินทางไปกับพวกเขา น่าแปลกที่เขาไม่ฉุกใจคิดและจำพระองค์ได้เวลานั้น เขาเองทั้งคู่ก็ยังสงสัยตัวเองในเรื่องนี้ แต่เอาเถิดยังจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ก็ยังดี

อันที่จริง เรื่องการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในความรู้สึกของพวกศิษย์ เราลองมาดูข้อเท็จจริงกัน พระวรสารของวันนี้เล่าว่า ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ปฏิกิริยาของพวกเขาคือตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี และวุ่นวายใจ ทั้งนี้เพราะการสิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระองค์ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใจ และสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง เขาได้ทุ่มเทเวลาและชะตาชีวิตให้กับพระองค์ แต่มันพังพินาศไปหมดในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเรื่องแสนเศร้า (เดี๋ยวนี้คนไทยชอบพูดว่ามันเป็นเรื่องดรามา) ในชีวิตของเขาและมาถึงจุดจบแล้ว พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นพระเยซูเจ้าอีก แล้วจู่ๆ พระองค์ก็เสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเขา อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทรงท้าทายให้พวกเขาคลำดูพระองค์ (ว่ามีเนื้อ มีกระดูก และไม่ใช่ผี) ทรงเสวยปลาย่างเพื่อพิสูจน์ว่า ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้วจริงๆ พวกสาวกแม้จะมีความยินดี แต่ยังระคนไปด้วยความแปลกใจจนไม่อยากจะเชื่อ

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการประจักษ์ครั้งนี้คือ ทรงสอนบรรดาสาวกให้เข้าใจพระคัมภีร์ ทรงสอนให้รู้ว่าทุกสิ่งที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์ในธรรมบัญญัติของโมเสส ของบรรดาประกาศก และเพลงสดุดีจะต้องเป็นจริง ทรงเปิดดวงปัญญาของบรรดาสาวกว่าพระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม และทรงมอบหมายให้พวกเขาไปประกาศพระนามของพระองค์ให้นานาชาติได้กลับใจ ให้พวกเขาทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้

พระเยซูเจ้าทรงรักและทรงศึกษาพระคัมภีร์อย่างดี ตั้งแต่วัยเด็ก ทรงเคยค้างในพระวิหารอยู่ท่ามกลางบรรดาปราชญ์ เหล่านี้หมายความว่า แม่พระและนักบุญโยเซฟได้อบรมสั่งสอนมาอย่างดี พระองค์ทรงอ้างพระคัมภีร์เสมอๆ เวลาที่ทรงประกาศเทศนาเรื่องข่าวดี

มีเรื่องเล่าว่ามีมิชชันนารีผู้หนึ่งทำการเผยแผ่ศาสนาที่เมืองนาโกยาในญี่ปุ่น คุณพ่อรุชเชอร์ผู้นี้ได้ตั้งกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์และทำงานด้วยความขยันขันแข็งอย่างยิ่ง ในทุกๆปีช่วงวันเสาร์ปัสกา คุณพ่อรุชเชอร์จะทำการล้างบาปให้ผู้ใหญ่จำนวนมากที่มาเรียนกับท่าน บางครั้ง 30-40 คน นับว่ามากกว่าพระสงฆ์ใดๆ ในเขตนั้นหรือใกล้ๆ นั้น

เมื่อวิเคราะห์ดูความสำเร็จของท่าน อาจจะเป็นที่ว่าท่านใจดี พูดภาษาญี่ปุ่นได้เก่ง เข้าถึงได้ง่าย แต่เหตุผลที่สำคัญน่าจะเป็นที่ว่า คุณพ่อรักพระคัมภีร์มากและยินดีอธิบายพระคัมภีร์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ประชาชนรู้สึกได้ถึงความร้อนรนและประทับใจอย่างลึกซึ้งในความกระตือรือร้นของท่าน

พี่น้องครับ ลองเปิดใจให้พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพเข้ามาประทับกับเรา วอนขอให้พระองค์ทรงเปิดดวงปัญญาของเราให้เข้าใจในพระคัมภีร์ดุจดังที่ทรงทำกับบรรดาสาวก แล้วเราจะพบกับความสุขที่แท้จริง

สุขสันต์เทศกาลปัสกาครับ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2012)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ปี B

มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นมากมายสำหรับบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้า ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพแล้ว

ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงประจักษ์มาให้บรรดาผู้รับเลือกสรรจำนวนหนึ่งได้เห็น

เริ่มต้นพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ เล่าเรื่องศิษย์สองคนที่เดินหน้าเศร้าสร้อยกลับบ้านที่ตำบลเอมมาอุส แต่บัดนี้กลับมาเล่าอย่างตื่นเต้นให้คนอื่นๆ ฟังว่า ได้เกิดอะไรขึ้นกับเขาตามทาง และเล่าว่า ตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง

ที่จริงพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพได้ร่วมเดินทางไปกับเขาทั้งสอง เบื้องต้นเขาจำพระองค์ไม่ได้เลย พระองค์ทรงสนทนากับพวกเขา อธิบายพระคัมภีร์ให้พวกเขาฟัง โดยเฉพาะข้อความที่ว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม” แต่ใจของพวกเขาก็ยังไม่เร่าร้อน แถมยังจำพระองค์ไม่ได้เอาเสียเลย จนกระทั่ง เมื่อพระองค์บิขนมปัง พวกเขาจึงจำพระองค์ได้และทันทีพระองค์ก็ทรงอันตรธานหายไป

นี่ถ้าเขาจำพระองค์ได้ตั้งแต่ต้น การร่วมเดินทางและได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับพระองค์ ย่อมมีคุณค่ามากมายสุดพรรณนา

ดูเหมือนมีเรื่องเล่าลือกันเรื่องหนึ่ง บางทีเป็นการใส่ร้าย บางทีเป็นความเข้าใจผิด ลือกันว่าพระองค์ไม่ได้กลับฟื้นคืนพระชนมชีพหรอก แต่เป็นเรื่อง”ผี” ที่สาวกเอามาหลอกกันนั่นเอง ซึ่งในพระวรสารของผู้นิพนธ์ทั้งสี่ได้ตอบโจทก์ข้อนี้ สัญลักษณ์ที่ชี้แสดงว่าทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพจริง คือ ทรงเผยแสดงรอยพระหัตถ์ และสีข้างให้สานุศิษย์เห็น และเครื่องหมายอีกประการหนึ่งคือ ทรงบิขนมปัง พระองค์ทรงต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นและยอมรับ และเลิกสงสัยในพระองค์อีกต่อไป “เป็นเราเองจริงๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก อย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” และยังทรงรับปลาย่างชิ้นหนึ่งที่เขานำมาถวาย ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ทรงต้องการให้บรรดาศิษย์เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับพระองค์ “ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส ของบรรดาประกาศก และเพลงสดุดีจะต้องเป็นจริง”

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อสาวกเข้าใจแล้ว พวกเขาจะต้องประกาศพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป โดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม และบรรดาสาวกต้องเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้

ถ้าอ่านตอนต่อไปที่นักบุญลูกาเขียนต่อจากพระวรสารของท่าน ก็คือหนังสือกิจการอัครสาวกนั่นเอง และจะเห็นว่าบรรดาศิษย์ได้ป่าวประกาศพระนามอย่างแข็งขัน และทำด้วยความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยมล้นหัวใจ

อย่าลืมว่า เราเองก็ต้องทำหน้าที่เดียวกันนี้ ดังเช่นที่บรรดาศิษย์ของพระองค์พึงต้องกระทำ ด้วยใจเปรมปรีด์ อัลเลลูยา อัลเลลูยา

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อปี ค.ศ. 2009 )

ฉลองวัด(น้อย)พระเมตตา สารภี

ฉลองวัด(น้อย)พระเมตตา สารภี

11 เมษายน 2021 เวลา 10.00 น.

วันอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลปัสกา เป็นอาทิตย์ ฉลองพระเมตตา ของพระศาสนจักรคาทอลิก เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 วัดหลายวัดงดมิสซา คุณพ่อทินกร ลาทู คณะธรรมทูตอิเดนเตส ได้ปรึกษากันและเห็นว่าเราวัดเล็ก จึงได้จัดแบบภายใน

เวลา 09.20-09.45 น. พ่อได้สนทนากับผู้รับศีลกำลัง 6 คน เพื่อทำความรู้จัก

10.00 น. พิธีมิสซา มีสัตบุรุษ ประมาณ 55 คน
หลังมิสซารับประทานอาหารร่วมกันที่ศาลาของวัด
น่าประทับใจ ที่คุณพ่อ บราเดอร์ และซิสเตอร์ช่วยกันสอนคำสอนสม่ำเสมอ จนเด็ก เยาวชน 5 คน และผู้ใหญ่ 1 คน ได้รับศีลกำลัง และจะยังมีการสอนต่อเนื่อง

(ฟ. วีระ อาภรณ์รัตน์)

จากโป๊ปฟรังซิส

จากโป๊ปฟรังซิส

ทั้งโลกควรอธิษฐานตอนนี้เลย …
พ่อหยุดสิ่งที่พ่อกำลังทำ
น้อมศีรษะและภาวนาบทนี้พร้อมน้ำตา

ขอให้เราก้มศีรษะภาวนา

ข้าแต่พระบิดานิรันดร พระองค์ทรงสร้างโลก โปรดทำให้มันหยุดหมุนสักครู่ พระองค์ได้หยุดเสียงที่เราทุกคนสร้าง พระองค์ได้ทำให้เราคุกเข่าอีกครั้ง และวอนขออัศจรรย์อย่างหนึ่ง พระองค์ได้ปิดวัดต่างๆ ของพระองค์ เพื่อเราจะตระหนักว่าโลกของเรามืดเพียงไร ถ้าปราศจากพระองค์

พระองค์ทำให้ผู้หยิ่งทะนง และผู้ทรงพลังอำนาจ ต้องสยบลง เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจต่างๆ กำลังปิดตัวลง เราได้ทะนงตนมาก เราได้คิดว่า ทุกสิ่งที่เรามี ทุกสิ่งที่เราครอบครอง เป็นผลของการทำงานหนัก เราลืมไปว่า มันเป็นพระหรรษทานและเมตตาธรรมของพระองค์ที่ทำให้เราเป็น

เรากำลังวิ่งวนมองหายารักษาโรคระบาดนี้ ที่จริงเราต้องสุภาพ และวอนขอพระองค์ทรงนำและปรีชาญาณ

เราอาศัยอยู่ในโลก เหมือนเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ราวกับว่าไม่มีสวรรค์ การทดลองเหล่านี้อาจเป็นพระเมตตาของพระองค์ปลอมมา ไวรัสนี้อาจเป็นวิธีของพระองค์เพื่อชำระเรา ทำให้วิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อนำเรากลับมาหาพระองค์

วันนี้ ขอให้ทุกคนที่เห็นบทภาวนานี้ ร่วมใจกันภาวนา วอนขอการอภัย การรักษา และการคุ้มครองให้พ้นจากไวรัสนี้ ขอทรงขจัดมันจากโลก พระองค์ทรงรอคอยลูกด้วยความอดทน ลูกเสียใจที่ไม่ฟัง ที่เห็นแก่ตัว และหลงลืมไปว่า พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสวาจานั้น วิญญาณของลูกจะได้รับการรักษา ทั้งนี้อาศัยพระนามของพระเยซูเจ้า อาเมน

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ ถอดความ 13/4/2021)”

From Pope Francis

The whole World should be praying this right now.

I stopped what I was doing, bowed my head and said this prayer. It put tears in my eyes

Let’s bow our heads and pray:

Eternal Father, You made the whole World stop spinning for a while.
You silenced the noise that we all have created.

You made us bend our knees again and ask for a Miracle.

You closed Your Churches so we will realize how dark our World is without You in it.

You humbled the proud and powerful.

The economy is crashing, businesses are closing.
We were very proud, we thought that everything we have, everything we possess, was the result of our hard work.
We have forgotten that it was always Your grace and mercy that made us who we are.

We’re running in circles looking for some cure to this disease, when in fact we need to humble ourselves and ask You for guidance and wisdom.

We’ve been living our lives like we will be here on Earth forever, like there’s no Heaven.

Maybe these trials are Your mercy in disguise.

Maybe this virus is actually Your way of purifying us, & cleansing our souls, bringing us back to YOU.

Today as these words travel the internet, may all who see them join their hearts and hands together in prayer! Asking for forgiveness & asking for healing & protection from this virus…
GOD just wipe it from the Earth!

Father You have been patiently waiting for us. We’re sorry for ignoring Your voice.. and in our selfish ways, we’ve sometimes forgotten that YOU are GOD!

You only need to say the word and our souls shall all be healed.
We ask these things in Jesus name! …
Amen

Prayer for all
KEEP SHARING..
GOD BLESS

มิสซังเชียงใหม่เปิดปีเยาวชน

มิสซังเชียงใหม่เปิดปีเยาวชน

9-10 เมษายน 2021 ที่สำนักมิสซังฯ

พระศาสนจักรคาทอลิกไทยได้ประกาศให้ ค.ศ. 2021 เป็น “ปีเยาวชนคาทอลิกไทย” หัวข้อ “เพื่อนคู่คริสต์” ( Our Journey together with Christ ) เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เราเลื่อนมาจัดในวันนี้ โดยเชิญตัวแทนเยาวชนจากวัดคาทอลิกต่างๆ ทั้ง 4 เขต รวมประมาณ 150 คน
.
เย็นวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2021 มาพบกันที่สำนักมิสซังเชียงใหม่ หลังรับประทานอาหารมีกิจกรรมร่วมกัน และเตรียมจิตใจรับศีลอภัยบาป
.
เช้าวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2021 เวลา 08.30-09.30 น. หัวข้อ “พระเยซูคือใครในชีวิตของฉัน” ตามข้อคิดของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา นำโดยบิชอปฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ และเดินไปร่วมมิสซาที่อาสนวิหารพระหฤทัย เวลา 10.15 น. และพิธีเปิดปีเยาวชน มีตัวแทนทั้ง 4 เขตมารับไม้กางเขน พระคัมภีร์ หนังสือ “พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์ ( Christus vivit )” รูปแม่พระ ธง และกระบอกออมสิน
.
ที่สุดพระคุณเจ้าสรุปด้วยคำของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จาก Christus vivit ข้อ 299 ว่า “ขอให้พระจิตเจ้าทรงกระตุ้นลูกในขณะที่ลูกวิ่งอยู่นี้ พระศาสนจักรต้องการพลังภายในตัวของลูก การหยั่งรู้ของลูก ความเชื่อของลูก พวกเราต้องการสิ่งเหล่านั้น และเมื่อลูกมาถึงในที่ที่พวกเรายังไปไม่ถึง โปรดอดทนรอคอยพวกเรา”

ขอให้ลูกเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย

(ฟ. วีระ อาภรณ์รัตน์)