“พฤษภาคม” เป็นเดือนแห่งการสวดสายประคำเพื่อต่อต้านโรคระบาด

"พฤษภาคม" เป็นเดือนแห่งการสวดสายประคำเพื่อต่อต้านโรคระบาด

สักการะสถานทั่วโลกเชิญชวนสัตบุรุษร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
สวดสายประคำเพื่อขอให้โรคระบาดสิ้นสุดลงและขอให้ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

“พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาอย่างร้อนรนต่อพระเจ้า” (กจ. 12: 5)

สักการะสถานทั่วโลกเชิญชวนประชาสัตบุรุษในช่วงเดือนพฤษภาคมร่วมใจกันสวดสายประคำ วิงวอนพระแม่เมตตาหยุดยั้งโรคระบาด เพื่อที่พวกลูกจะสามารถดำเนินชีวิตตามปกติ

แถลงการณ์จากนครรัฐวาติกัน

        เพื่อตอบสนองต่อความปรารถนาอันร้อนรนของพระสันตะปาปาฟรานซิสที่ทรงปรารถนาจัดให้เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนแห่งการอธิษฐานภาวนาแบบ “มาราธอน” เพื่อวิงวอนพระเจ้าผ่านทางพระแม่มารีย์ ขอให้โรคระบาดสิ้นสุดลง ซึ่งโควิด19 ได้ก่อผลกระทบอย่างรุนแรงให้กับมนุษยชาติเกินกว่าปีแล้ว พร้อมกับขอให้พวกเราสามารถดำเนินชีวิตได้ตามวิถีปกติ พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงปรารถนาที่จะประสานกับสักการะสถานทุกแห่งทั่วโลก โดยมีส่วนร่วมในความคิดริเริ่มนี้เพื่อที่จะสามารถเป็นเครื่องมือแห่งการอธิษฐานภาวนาของพระศาสนจักรทั้งมวล ความคิดริเริ่มนี้ได้มาจากข้อความในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาด้วยใจร้อนรนต่อพระเจ้า” (กจ. 12: 5)

        สมณสภาเพื่อส่งเสริมการประกาศพระวรสารในยุคใหม่ ที่ได้รับมอบหมายจากพระสันตะปาปาฟรานซิสให้ทำหน้าที่ประสานและดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเชื้อเชิญไปยังทุกการะสถานทั่วโลกเพื่อส่งเสริมเผยแพร่ความคิดริเริ่มนี้ในภูมิภาคของตนเอง เพื่อเข้าถึงบรรดาศาสนบริกรบาดหลวง นักบวชชายหญิง ผู้ฝึกหัด ครอบครัวและประชาสัตบุรุษเพื่อชักชวนบรรดาลูก ๆ เยาวชนให้ร่วมใจกันสวดภาวนาวิงวอน และมอบความหวัง ความไว้วางใจไว้กับพระแม่มารีย์พรหมจารี การสวดสายประคำประจำทุกวันตลอดเดือนพฤษภาคม มีจุดประสงค์แต่ละวันแตกต่างกัน เช่นสำหรับสัตบุรุษที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด สำหรับผู้ที่ไม่สามารถกล่าวอำลากับคนที่ตนรัก สำหรับผู้ที่รักษาพยาบาลผู้ป่วย สำหรับคนยากจน คนที่ไม่มีบ้าน คนที่ประสบกับความยุ่งยากในเรื่องของเศรษฐกิจ และคนที่ตายไปแล้ว นี่คือความตั้งใจบางประการที่จะเป็นเป้าหมายการภาวนาของพวกเราต่อพระแม่มารีย์

        สักการะสถานแต่ละแห่งทั่วโลกได้รับการเชิญให้สวดภาวนาในภาษาและวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันในท้องถิ่นโดยวิงวอนให้ชีวิตสังคม การทำงาน และกิจกรรมอื่นๆที่ถูกระงับไปในช่วงที่เกิดโรคระบาดจะได้กลับเข้าสู่สภาพเดิม การอุทธรณ์นี้ต้องการสร้างบรรยากาศการวิงวอนที่ไม่ขาดสาย ซึ่งกระจายไปทั่วทุกมุมโลกที่เกิดจากพระศาสนจักรทั้งมวลกับพระบิดา โดยอาศัยการวิงวอนของพระแม่มารีย์พรหมจารี ด้วยเหตุนี้สักการะสถานต่างๆ จึงถูกขอร้องให้ช่วยกันส่งเสริมและรณรงค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยให้ประชาสัตบุรุษมีส่วนร่วมเพื่อทุกคนจะได้อุทิศเวลาให้กับการสวดภาวนาประจำวันไม่ว่าจะเป็นในรถหรือบนท้องถนน และพวกเราต้องขอบคุณเทคโนโลยีของการสื่อสารด้วยสมาร์ทโฟนที่ช่วยกันรณรงค์ยุติโรคระบาด เพื่อที่จะมีวิถีชีวิตสังคมและการงานเหมือนเดิม

        พระสันตะปาปาฟรานซิสจะเป็นผู้เปิดและปิดการสวดภาวนาพร้อมกับประชาสัตบุรุษทั่วโลกจากสถานที่สำคัญสองแห่งในนครรัฐวาติกัน กล่าวคือ วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2021 พระองค์จะทรงอธิษฐาน ณ วัดแม่พระเป็นที่พึ่ง ซึ่งมีภาพ “ไอคอน”ที่ได้รับการเคารพนับถือมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ด ซึ่งประดิษฐานอยู่เหนือพระแท่นนักบุญเลโอ ซึ่งอยู่ใกล้กับมุขตอนใต้ของมหาวิหารวาติกันเดิม ต่อมาได้มีการย้ายพระรูปไอคอนดังกล่าวมาไว้ในพระวิหารนักบุญเปโตรที่สร้างโดยพระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ XIII ในปี 1578 ณ วัดน้อยเกรโกเรี่ยนซึ่งพระธาตุของนักบุญเกรโกรี่แห่งนาซีอานซุส  นักปราชญ์และปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรถูกบรรจุไว้ที่นั้น ในปี 2013 ช่วงเปิดปีแห่งความเชื่อรูปไอคอนมีการบูรณะขึ้นใหม่ ตั้งแต่มีการบูรณะฟื้นฟูครั้งแรกโดยพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งในขณะนั้นพระองค์เพิ่งได้รับการสถปานาเป็นพระสันตะปาปาใหม่ๆ คำว่า “SVCCVRRE NOS และ FRANCISCVS PP. A. I.” ถูกสลักไว้ใต้รูปไอคอนนี้ จึงเท่ากับเป็นการมอบพระสันตะปาปาให้แด่แม่พระเป็นที่พึ่งพิง

พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงถวายพระเกียรติแด่แม่พระเป็นที่พึ่งพิง

        ในโอกาสนี้พระสันตะปาปาจะทรงอวยพรเสกสายประคำพิเศษเพื่อใช้ในเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะส่งไปยังสักการะสถานที่เกี่ยวข้อง 30 แห่ง หลายครอบครัวจากวัดในกรุงโรมและเขตจังหวัดลาซีโอจะมีส่วนร่วมในการอ่านและการนำการสวดสายประคำพร้อมกับเยาวชนที่เป็นตัวแทนของกระบวนการประกาศพระวรสารยุคใหม่ และในวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2021 พระสันตะปาปาฟรานซิสจะทรงปิดการสวดภาวนาแบบ “มาราธอน” จากสวนพฤกษชาติวาติกัน ซึ่งจะมีการแถลงข่าวรายละเอียดต่อไป บุคคลพิการหูหนวกและเป็นใบ้จะเข้าร่วมถึงทั้งสองเหตุการณ์นี้ได้โดยอาศัยการแปลด้วยภาษามือ

สักการะสถานจะมีดังนี้

วันที่ขื่อ สักการะสถาน/ประเทศจุดประสงค์การภาวนาแต่ะวัน
   
วันเปิด 1 พ.ค.มหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกันสำหรับมนุษยชาติทั้งโลกที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด
1พระมารดาแห่งวาลซิงแฮม (อังกฤษ)สำหรับทุกคนที่ล่วงลับจากติดเชื้อโรค
2พระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ และ พระมารดา มารีย์  (ไนจีเรีย)สำหรับบุคคลที่ไม่มีโอกาสกล่าวคำอำลากับผู้ที่ล่วงลับและบุคคลที่ตนรัก
3พระมารดาแห่งเชสโตโชวา (โปแลนด์)สำหรับบุคคลที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัส และผู้ป่วยทุกคน
4อาสนวิหารทูตสวรรค์แจ้งข่าว (อิสราแอล)สำหรับสุภาพสตรีที่ตั้งครรภ์ และเด็กน้อยในครรภ์
5พระมารดาพรหมจารีแห่งสายประคำ (เกาหลีใต้)สำหรับเด็ก ๆ และ บรรดาเยาวชน
6พระมารดาแห่งอาปาเรชิดา( บราซิล)สำหรับบรรดาหนุ่มสาว
7พระมารดาแห่งสันติสุขและการเดินทางอย่างดี (ฟิลิปปินส์)สำหรับทุก ๆ ครอบครัว
8พระมารดาแห่งลูจาน อาร์เจนตินาสำหรับบุคคลที่ทำงานด้านสื่อสังคม
9บ้านศักดิ์สิทธ์ของแม่พระ โลเรโต (อิตาลี)สำหรับบรรดาผู้อาวุโส ผู้สูงวัย
10พระมารดาแห่งเมืองน็อค ไอร์แลนด์สำหรับบุคคลพิการทุกคน
11พระมารดาพรหมจารีแห่งคนยากจน      (เบลเยี่ยม)สำหรับคนยากจน คนไร้ที่พึ่ง ไร้ที่อยูอาศัย และบุคคลเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ
12พระมารดาแห่งอาฟริกา (อัลจีเรีย)สำหรับบุคคลที่ถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียวและบุคคลที่สิ้นความหวัง
13พระมารดาพรหมจารีแห่งสายประคำ  (ปอร์ตุเกส)สำหรับบรรดาผู้ต้องกัก ณ เรือนจำต่างๆ
14พระมารดาแห่งสุขภาพพลานามัย (อินเดีย)สำหรับบรรดานักวิทยาศาสตร์ และผู้ทำงานสถาบันวิจัยทางการแพทย์
15พระมารดาราชินีแห่งสันติสุข (บอสเนีย)สำหรับบรรดาผู้อพยพลี้ภัย
16อาสนวิหารพระแม่มารีย์ (ออสเตรเลีย)สำหรับผู้เคราะห์ร้ายจากการใช้ความรุนแรง และจากการค้ามนุษย์
17พระมารดาผู้ปฏิสนธินิรมล (สหรัฐอเมริกา)สำหรับผู้นำประเทศต่าง ๆ และ บรรดาหัวหน้าองค์กรระหว่างประเทศ
18พระมารดาแห่งเมืองลูร์ดส์ (ฝรั่งเศส)สำหรับคณะแพทย์และพยาบาล
19บ้านของแม่พระ (ตุรกี)สำหรับประชาชนที่ผจญกับภัยสงคราม และเพื่อสันติภาพในโลก
20พระมารดาแห่งความรัก ณ เมืองคอปเปอร์ (คิวบา)สำหรับบรรดาเภสัชกร และคณะเวชบุคคล
21พระมารดาแห่งเมืองนางาซากิ (ญี่ปุ่น)สำหรับผู้ที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์
22พระมารดาแห่งมอนท์เซรัท (สเปน)สำหรับบรรดาจิตอาสา
23พระมารดาแห่งเมืองแคป (แคนาดา)สำหรับบุคลากรด้านกฎหมายแห่งสภาพแวดล้อมและทางด้านกทารทหาร และ ผู้ต่อต้านอัคคีภัย
24(สักการะสถานยังไม่ได้ยืนยัน)สำหรับบุคคลผู้ช่วยจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในการบริการสังคม
25อาสนวิหารพระมารดาพรหมจารีแห่งตาปินู (มอลต้า)สำหรับคณะครู คณาจารย์ นักเรียน นักศึกษาและผู้ประสาทความรู้
26พระมารดาแห่งกวาดาลูเป้ (เม็กซิโก)บรรดาผู้ใช้แรงงานและนักธุรกิจลงทุน
27พระมารดาพระเจ้า (ยูเครน)สำหรับผู้ที่ตกงาน
28พระมารดาพระองค์ดำแห่งอัลต็อตติ่ง    (เยอรมานี)สำหรับพระสันตะปาปา คณะบิชอป บรรดาศาสนบริกรบาดหลวง สังฆานุกร
29พระมารดาแห่งเลบานอน (เลบานอน)สำหรับผู้ถวายตัวทั้งชายและหญิง
30พระมารดาพรหมจารีแห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ แห่งเมืองปอมเปอี (อิตาลี)สำหรับพระศาสนจักร
31ณ บริเวณสวนของวาติกันสำหรับการสิ้นสุดของโรคระบาด และเพื่อการกลับมาดำเนินชีวิตในสังคมตามวิถีชีวิตปกติ

        สักการะสถานทั้ง 30 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วโลก ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้แทนในการสวดภาวนาสายประคำต่อแม่พระวันละแห่งตลอดเวลา 30 วัน

        สถานีโทรทัศน์แห่งสันตะสำนัก นครรัฐวาติกันจะถ่ายทอดการสวดภาวนาในแต่ละวัน ในสักการระสถานทั้ง 30 แห่งเวลา 6.00 โมงเย็นตามเวลาแห่งกรุงโรม (หรือเวลา 23.00 น. เวลาในประเทศไทย) ซึ่งจะมีการเตรียมวจนพิธีกรรมสั้นๆ เป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์สำหรับการแบ่งปันกันในแต่ละชุมชน คำแนะนำจะมีทั้งภาษาอิตาเลียน ภาษาอังกฤษ และภาษาสเปนิช ซึ่งสามารถดาวน์โลดได้จากเว็บไซต์ของสมณสภาเพื่อส่งเสริมการประกาศพระวรสารยุคใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บข่าวคราวการสวดสายประคำในเดือนพฤษภาคมมาแบ่งปันและร่วมใจปฏิบัติ)

บทเทศน์ วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021 วันอาทิตย์ผู้เลี้ยงแกะที่ดี

บทเทศน์ วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021 วันอาทิตย์ผู้เลี้ยงแกะที่ดีและพิธีบวชศาสนบริกรบาดหลวง 9 องค์

ลูก ๆ และพี่น้องที่รัก วันนี้ในพิธีบูชาขอบพระคุณบุตรชายของพวกเราเหล่านี้ผู้ได้รับกระแสเรียกให้เป็นบาดหลวง ขอให้พวกเราไตร่ตรองดูซิว่า พวกเขาถูกยกฐานะให้ทำพันธกิจเช่นไรในพระศาสนจักร ดังที่พวกลูกรับรู้รับทราบพระเยซูคริสต์ทรงเป็นสมณสูงสุดเพียงผู้เดียวดังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ทว่าในพระองค์นั้นประชากรศักดิ์สิทธิ์ทุกคนของพระเจ้า ซึ่งต่างก็เป็นประชากรในสมณะ แต่ถึงกระนั้นก็ตามพระเยซูคริสต์ทรงปรารถนามที่จะเลือกบางคนเป็นพิเศษท่ามกลางบรรดาศิษย์ของพระองค์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่สาธารณะในพระศาสนจักร เพื่อมนุษย์ทุกคนในพระนามของพระองค์ และทำหน้าที่ด้วยการกระทำพันธกิจในฐานะผู้สอน สมณะ และผู้เลี้ยงแกะ

        หลังจากไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วบัดนี้ เรากำลังจะยกฐานะพวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งศาสนบริกรบาดหลวงเพื่อที่พวกเขาจะได้ร่วมมือในการรับใช้พระเยซูคริสต์ เป็นผู้สอน เป็นสมณะ และเป็นผู้เลี้ยงแกะ ในการสร้างพระวรกายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้แก่พระศาสนจักร ประชากรของพระเจ้า และพระวิหารของพระจิต

        และสำหรับพวกลูก ผู้สมัครใจที่รัก ผู้ที่กำลังจะได้รับการยกฐานะขึ้นสู่การเป็นศาสนบริกรบาดหลวง ขอให้ยึดถือว่าโดยอาศัยการรักษาและประกาศความเชื่อ พวกลูกจะกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระอาจารย์แต่เพียงผู้เดียว เฉกเช่นพระองค์พวกลูกจะเป็นผู้เลี้ยงแกะ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจากพวกลูก ซึ่งพวกลูกจะต้องเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีสำหรับประชาสัตบุรุษ ผู้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พวกลูกต้องเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่เดินไปพร้อมกับประชากรของพระเจ้า บางครั้งก็อยู่ข้างหน้าพวกเขา บางครั้งก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา หรืออยู่ข้างหลังพวกเขา ทว่าพวกลูกจำเป็นจะต้องอยู่ที่นั่นเสมอกับประชากรของพระเจ้า

        ยังมีอยู่ยุคหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของกาลเวลาเมื่อมีเสียงล่ำลือกันถึง “อาชีพบาดหลวง” ซึ่งมีความหมายไม่เหมือนกันกับสมัยนี้ บาดหลวงไม่ใช่ “อาชีพ” แต่เป็นการรับใช้เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อประชากรของพระองค์ และการรับใช้ของพระเจ้าต่อประชากรนี้มี “โฉมหน้า” มีรูปแบบ เป็นรูปแบบเฉพาะที่ต้องติดตาม เป็นรูปแบบในความใกล้ชิด รูปแบบในความเห็นอกเห็นใจ/เอื้ออาทร รูปแบบในความสุภาพอ่อนโยน นี่คือรูปแบบของพระเจ้า ความใกล้ชิด ความเมตตาสงสาร และความสุภาพอ่อนโยน

ความใกล้ชิด บาดหลวงมีหนทางสี่ประเภทในความใกล้ชิด ประการแรกความใกล้ชิดกับพระเจ้าในการสวดภาวนา ใกล้ชิดกับศีลศักดิ์สิทธิ์และกับมิสซา สนทนากับพระเยซูคริสต์ จำเป็นต้องใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราในพระบุตรของพระองค์ด้วยเรื่องราวทั้งหมดแห่งพระบุตรของพระองค์ พระองค์ยังอยู่ใกล้ชิดกับพวกลูกด้วย ใกล้ชิดกับพวกลูกแต่ละบุคคลในช่วงชีวิตของพวกลูกจนกระทั่งบัดนี้ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ประทับอยู่ในช่วงที่เกิดวิกฤตของบาปด้วย  จงมีความใกล้ชิดกับประชาสัตบุรุษผู้เป็นประชากรของพระเจ้า ทว่าประการแรกเหนืออื่นใดต้องมีความใกล้ชิดกับพระเจ้า  กับการสวดภาวนา ถ้าบาดหลวงที่ไม่สวดภาวนาจะค่อยๆ ดับไฟของพระจิตภายในตัวเอง – ฉะนั้นจำเป็นต้องใกล้ชิดกับพระเจ้าเสมอ

ประการที่สอง ความใกล้ชิดกับบิชอป พ่อจำได้ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบาดหลวงองค์หนึ่งเกิดโชคร้าย อาจกล่าวได้ว่าเขา “พลาดไป” สิ่งแรกที่พ่อคิดได้เวลานี้ คือรีบรายงานให้บิชอปทราบ ต้องรายงานให้บิชอป ผู้เป็นประมุขทราบด้วยในยามที่เกิดความโชคร้ายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดของตน – ใกล้ชิดกับพระเจ้าในการสวดภาวนาและใกล้ชิดกับบิชอป บางคนอาจบอกว่า “แต่ผมไม่ชอบบิชอป ผู้เป็นประมุข…” พ่อเชื่อว่าบิชอปต้องเป็นผู้มีจิตใจดีดุจบิดา ผู้รับฟัง บิชอปจึงเสมือนเป็นบิดาของพวกลูก “แต่ว่าบิชอปนี้ ปฏิบัติตัวแย่มาก จะทำอย่างไร” จงขอให้พวกลูกสุภาพสุภาพเข้าไปเสวนากัน จงเข้าไปหาบิชอป พ่อมั่นใจว่าบิชอปเป็นบิดาที่ต้องสื่อสารเสวนากันกับลูก ๆ

ประการที่สาม ความใกล้ชิดระหว่างพวกลูกเองผู้เป็นคณะบาดหลวง พ่อขอเสนอให้พวกลูกตั้งใจในวันนี้ว่าพวกลูกจะไม่กล่าวร้าย ใส่ความนินทากับบรรดาบาดหลวงอื่น ๆ หากพวกลูกมีสิ่งใดที่ขัดใจกันกับบาดหลวงผู้อื่น จงทำตัวเป็นลูกผู้ชาย และจงกล้าหาญ กล้าเผชิญหน้า จงไปหาเขาและพูดกับเขาแบบซึ่ง ๆ หน้า “แต่ว่านี่เป็นอะไรที่แย่มากนะ… ผมก็ไม่ทราบว่า เขาจะคิดอย่างไร…” ถ้าขัดแจ้งกันรุนแรงจริง ๆ จงพากันไปพบบิชอปเพื่อขอบิชอปช่วยพวกลูกให้ประสานรอยร้าว แต่จงอย่าเป็นคนปากพล่อย อย่าเป็นนักนินทา จงรักษาความเป็นเอกภาพในหมู่พวกลูก อย่ารีบสรุปตัดสินผู้อื่นโดยเบาความ ทั้งในสภาบาดหลวง ทั้งในคณะกรรมาธิการฝ่ายต่างๆ – จงมีความใกล้ชิดระหว่างพวกลูกที่เป็นบาดหลวงและกับบิชอป

ประการที่สี่ นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว สำหรับพ่อความใกล้ชิดที่สำคัญที่สุดคือกับบรรดาสัตบุรุษผู้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ในหมู่ประชากรพระเจ้าไม่มีผู้ใดในพวกลูกที่ได้เล่าเรียนเพื่อที่จะเป็นบาดหลวง พวกลูกได้เล่าเรียนศึกษาเกี่ยวกับภาควิชาพระศาสนจักร เกี่ยวกับการที่พระศาสนจักรบอกว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง พวกลูกถูกเลือกมา เลือกมาจากประชากรของพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับดาวิดว่า “เรานำท่านมาจากฝูงแกะ” จงอย่าลืมว่าพวกลูกมาจากไหน จากครอบครัวของลูก จากประชากรของลูก… อย่าลืมกลิ่นแห่งประชากรของพระเจ้า เปาโลกกล่าวกับทิโมธีว่า “จงจดจำมารดาและปู่ย่าตายายของท่าน…” จงเป็นศาสนบริกรของประชาชน เป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เป็นบรรพชิตของรัฐ

หนทางทั้งสี่ประเภทแห่งความใกล้ชิดของบาดหลวง กล่าวคือ ความใกล้ชิดกับพระเจ้า กับบิชอป กับพวกลูกเองคณะบาดหลวง และกับประชากรของพระเจ้า – เป็นรูปแบบของความใกล้ชิด ซึ่งเป็นรูปแบบของพระเจ้า ทว่ารูปแบบของพระเจ้ายังเป็นรูปแบบแห่งความเมตตาและความสุภาพอ่อนโยนด้วย อย่าปิดหัวใจตนเองให้กับปัญหา ซึ่งพวกลูกจะพบมากมาย เมื่อประชาชนมาพบพวกลูกพร้อมกับปัญหา เพื่อให้พวกลูกฐานะบาดหวงช่วยแก้ไข ช่วยติดตาม… จงใช้เวลารับฟังและให้กำลังใจประชาสัตบุรุษผู้เป็นลูกแกะ จงให้ความเมตตาซึ่งจะนำให้พวกลูกมีการให้อภัยและมีจิตเมตตากรุณา ต้องเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาและเป็นผู้ที่ให้อภัย เพราะพระเจ้าทรงให้อภัยต่อทุกคน พระองค์ไม่ทรงรู้จักเหน็ดเหนื่อยที่จะให้อภัย พวกเรานั้นแหละที่เบื่อหน่าย เพิกเฉยในการขอการอภัย นี่เป็นความใกล้ชิดและความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นความเห็นอกเห็นใจที่อ่อนโยนด้วยความอ่อนโยนในครอบครัว ของพี่น้อง ของบิดา… พร้อมกับความอ่อนโยนนั้นที่ทำพวกลูกรู้สึกว่าพวกลูกอยู่ในบ้านของพระเจ้า

พ่อปรารถนาให้พวกลูกมีรูปแบบชีวิตเช่นนี้ ซึ่งเป็นรูปแบบของพระเจ้า

พ่อเองเคยเอ่ยถึงบางสิ่งบางอย่างในห้องเตรียมประกอบพิธี  พ่ออยากจะพูดย้ำอีกครั้งหนึ่ง ณ ที่นี้ต่อหน้าประชากรของพระเจ้า กรุณาทิ้งความฟุ้งเฟ้อ จากเงินๆ ทองๆ ปิศาจมักเข้ามาทางกระเป๋า จงคิดเรื่องนี้ให้ดี จงเป็นคนยากจน ประชาสัตบุรุษที่เป็นประชาากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เป็นคนยากจน บาดหลวงต้องยากจน เป็นผู้ที่รักคนยากจน จงอย่าเอารัดเอาเปรียบสัตบุรุษ พวกลูกจะไม่ใช่เป็นบาดหลวงที่มีลักษณะ “อาชีพในพระศาสนจักร” … มิฉะนั้นพวกลูกจะเป็นบาดหลวงรับจ้าง ไร้ศักดิ์ศรี และเมื่อบาดหลวงกลายเป็นนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นที่วัดหรือที่วิทยาลัย หรือหน่วยงานใด ๆ และ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เขาผู้นั้นก็สูญเสียความใกล้ชิดกับประชาชนไป เขาจะสูญเสียความยากจนที่ทำให้เขาละม้ายคล้ายกับพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นผู้ยากจนถูกตรึงบนไม้กางเขนผู้นั้นกลายเป็นบาดหลวงนักธุรกิจ และไม่ใช่ผู้รับใช้  พ่อได้ฟังเรื่องหนึ่งมาที่ทำให้พ่อเศร้าใจมาก วันหนึ่งยังมีบาดหลวงองค์หนึ่งที่เฉลียวฉลาด ใช้ชีวิตดูเหมือนติดดินและมีความสามารถมาก ซึ่งทำหน้าที่บริหารงานหลายอย่าง แต่จิตใจของเขายึดติดกับการงานหน้าที่ที่เขาทำ เขาหมกมุ่นในการงานเรื่องทรัพย์สิน เขาเน้นผลงาน วันหนึ่งเขาพบลูกน้องอาวุโสคนหนึ่งทำความผิด เขาตำหนิอย่างรุนแรง แล้วไล่คนนั้นออกไป ชายผู้นั้นต้องเสียชีวิตไปเพราะเหตุนี้ บาดหลวงผู้นี้แม้มีความสามารถผู้นั้นได้รับศีลบวชเป็นบาดหลวง ต่อมาค่อย ๆ ลงเอยด้วยการเป้นนักธุรกิจที่ไร้จิตเมตตา ดังนั้นพวกลูกจงรักษาภาพนี้ไว้ต่อหน้าพวกลูกเสมอ จงรักษาภาพนี้ไว้ ต้องมีจิตเมตตาไม่ใช่กลายเป็นนักธุรกิจ

ผู้เลี้ยงแกะที่ดีใกล้ชิดกับพระเจ้า กับบิชอปที่มีหัวใจดุจบิดา กับพี่น้องบาดหลวงท่ามกลางพวกลูก และใกล้ชิดกับสัตบุรุษประชากรของพระเจ้า  ผู้เลี้ยงแกะที่ดี ต้องเป็นผู้บริการรับใช้เหมือนผู้เลี้ยงแกะแท้จริง ไม่ใช่เป็นนักธุรกิจ นักบริหาร และห่างไกลจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือหมกมุ่นเรื่องทรัพย์สิน  จากนั้นโปรดจำไว้ว่าลักษณะของความใกล้ชิดสี่ประการ วิธีนี้เพื่อเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เพราะพระเยซูคริสต์ทรงปลอบโยนผู้เลี้ยงแกะ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี และพวกเราขอการปลอบโยนในพระเยซูคริสต์ ขอการปลอบโยนในพระแม่มารีย์ – จงอย่าลืมพระมารดา – แสวงหาการปลอบใจที่นั่นเสมอ จงได้รับการปลอบใจจากที่นั่นและวางใจในไม้กางเขน – ไม้กางเขนจะดำรงอยู่ในชีวิตของเรา – ในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์และพระแม่มารีย์ จงอย่ากลัว ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นไม่ต้องกลัว หากพวกลูกมีความคุณใกล้ชิดกับพระเจ้า กับบิชอป กับพี่น้องบาดหลวง และกับประชาสัตบุรุษ ประชากรชนของพระเจ้า  หากพวกลูกมีรูปแบบของพระเจ้า ความใกล้ชิดในพระเจ้าโดยถ่ายทอดชีวิตในความเมตตา กรุณาและความอ่อนโยน จงอย่าอย่ากลัวในการเจริญชีวิตดุจผู้เลี้ยงแกะเพราะทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์อันมีพลังของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

สรุปสาระสาส์นผ่านทางวีดีโอ วันพิทักษ์คุ้มครองโลก ค.ศ. 2021 (Message for Earth Day)

สรุปสาระสาส์นผ่านทางวีดีโอ วันพิทักษ์คุ้มครองโลก ค.ศ. 2021 (Message for Earth Day)

“ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องลงมือปฏิบัติกันจริงจัง”

พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเรียกร้องให้มีการเร่งรีบในการใช้ความพยายามร่วมกันในหนทางสู่การปกป้องพิทักษ์คุ้มครองโลกในสาส์นวีดีโอสองครั้ง สำหรับปีปกป้องโลกสากล ค.ศ. 2021

        การรำลึกถึงวันปกป้องโลกสากล (Earth Day) ในวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน เป็นครั้งที่ 51 พระสันตะปาปาฟรานซิสได้ประทานผ่านทางวีดีโอสาส์นสองฉบับเตือนใจทุกคนให้คำนึงถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันในการปกป้องโลกของพวกเรา สาส์นนี้ถึงผู้นำในการประชุมสูงสุดเกี่ยวกับสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง พระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวว่า ความคิดริเริ่มนี้ได้นำผู้นำระดับโลกเข้าสู่หนทางของการประชุม “COP26” ซึ่งจะเกิดขึ้นที่กรุงกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน 2021

        พระองค์ขอร้องผู้นำการประชุมสูงสุดให้ช่วยกันสนับสนุนประเทศต่างๆ “ขอให้เอาใจใส่ดูแลธรรมชาติ ซึ่งเป็นของขวัญที่พวกเราได้รับมา และพวกเราจะต้องช่วยกันรักษา ปกป้อง และทำนุบำรุงให้ระบบนิเวศดำรงอยู่ต่อไป” “ความห่วงใยของเราก็เพื่อต้องการที่จะเห็นธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่สะอาดกว่า บริสุทธิ์กว่า และทนุถนอมไว้” พระสันตะปาปายังตรัสย้ำว่า “ขอให้พวกเราดูแลรักษาธรรมชาติ เพื่อว่าธรรมชาติจะได้ดูแลพวกเรา”

วันพิทักษ์คุ้มครองโลกสากล ค.ศ. 2021

        ในสาส์นวีดีโอที่สองที่พูดถึงวันโลกสากล ค.ศ. 2021  พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสต่อไปในทำนองเดียวกัน

        “นี่เป็นการดีเสมอที่จะระลึกถึงสิ่งที่เรากล่าวไว้ต่อกันและกัน เพื่อที่คำพูดเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นลมๆ แล้งๆ และมลายหายไป” พระสันตะปาปากล่าว “เป็นเวลานานพอสมควรมาแล้วที่พวกเราเคยรับรู้กันว่าธรรมชาติ ควรที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองและปฏิกิริยาของมนุษย์ต่อพระเจ้าในเรื่องของชีวภาพหลากหลายก็ต้องได้รับการเอาใจใส่ และให้ความเคารพสูงสุดเช่นเดียวกัน

        วันปกป้องโลกสากลมีการฉลองประจำปีกันในวันที่ 22 เมษายน เพื่อแสดงถึงการสนับสนุนการปกป้องพิทักษ์คุ้มครองธรรมชาติ และส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกในการเอาใจใส่ดูแลบ้านส่วนรวมของพวกเรา เนื้อหาของปีนี้คือ “ฟื้นฟูโลกของพวกเรา

บทเรียนจากการแพร่โรคระบาด

        ในขณะที่ชาวโลกยังคงพยายามหามาตรการเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดโควิด19 พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงชี้ว่า วิกฤตอันใหญ่หลวงครั้งนี้แสดงให้พวกเราเห็นว่า “สิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อโลกต้องหยุดชะงักเป็นเวลานานหลายเดือน ข้ามปี”

        พระองค์ทรงตั้งข้อสังเกตว่าผลกระทบของโรคระบาดต่อธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสภาวะภูมิอากาศแสดงให้พวกเราทุกคนเห็นว่า ธรรมชาติสากลต้องการชีวิตของพวกเราบนโลกใบนี้

        “นี่ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคนซึ่งมีความหลากหลาย แตกต่าง และในรูปแบบที่ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นปรากฏกาณ์นี้จึงสอนพวกเรามากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องทำเพื่อสร้างให้โลกของพวกเรามีความยุติธรรม เท่าเทียมกัน และปลอดภัยในธรรมชาติสิ่งแวดล้อม” พระสันตะปาปาได้ตรัส

        ยิ่งไปกว่านั้นอีก “โรคระบาดโควิดสอนพวกเราเรื่องการปฏิสัมพันธ์ และการแบ่งปันทรัพย์สมบัติของโลกระหว่างกัน” พระสันตะปาปากล่าว โดยเพิ่มเติมว่าหายนะทั้งสองอย่างของโลกทั้งโควิดและความเร่งด่วนในเรื่องสภาวะภูมิอากาศที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแสดงว่าพวกเรากำลังจะหมดเวลาแล้ว “พวกเรามีวิธีการแก้ไขปัญหา ทว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องลงมือ ณ บัดนี้ พวกเรามาถึงวิกฤตขั้นคอขาดบาดตายแล้ว” พระองค์ทรงขอร้องทุกคน

ความจำเป็นที่ต้องใช้ความพยายามร่วมกัน

        พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิบายต่อไปถึงความสำคัญของการลงมือกระทำจริงจังเพื่อปกป้องโลกโดยการอ้างถึงคำพังเพยของชาวสเปนที่ว่า “พระเจ้าทรงให้อภัยเสมอ มนุษย์ให้อภัยเป็นครั้งคราว ธรรมชาติไม่มีวันให้อภัย

        พระองค์ตรัสเพิ่มเติมอีกว่า การท้าทายที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่กับโรคระบาดโควิด19 ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศด้วยนั้น ต้องผลักดันให้พวกเราสร้างนวัตกรรมและคิดค้นหาวิธีหนทางใหม่

        ในบริบทนี้ “พวกเราจะต้องยืดหยุ่นมากกว่า เมื่อพวกเราทำงานร่วมกันแทนที่จะทำงานตามลำพัง” พระสันตะปาปาฟรานซิสยืนยันพร้อมกับตรัสว่า พวกเรายังพอมีเวลาที่จะกระทำ แม้ว่าจะยากมากที่จะหยุดการทำลายธรรมชาติเมื่อระบบนิเวศนั้นถูกทำลายไปแล้ว

        “พวกเราจะไม่หลุดพ้นจากวิกฤต เพราะพวกเราทำสิ่งเดิม ๆ พวกเราอาจจะพ้นภัยวิกฤตนี้ไปอาจจะออกมาสองทางคาอโดยสิ่งที่ดีกว่าหรือเลวลง” พระองค์ตรัส “นี่คือการท้าทาย ถ้าหากพวกเรารอดพ้นไปแล้วและไม่ประพฤติตนให้ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นพวกเราจะเดินเข้าสู่หนทางแห่งการทำลายตนเอง”

พระสันตะปาปาอุทธรณ์ถึงเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ

        ในการลงท้ายพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเรียกร้องผู้นำโลกขอให้กระทำการด้วยความกล้าหาญและด้วยความยุติธรรม และขอร้องให้พูดความจริงกับประชาชนเสมอ เพื่อที่พวกเขาจะได้ทราบว่าจะต้องปกป้องตนเองและปกป้องโลกได้อย่างไรจากการทำลายที่พวกเรามนุษย์เป็นผู้ก่อปัญหาขึ้นเอง

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

Regina Caeli (ราชินีสวรรค์) วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021

Regina Caeli (ราชินีสวรรค์) วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021
วันผู้เลี้ยงแกะที่ดี ณ ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        ในวันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลปัสกาเป็นวันที่พวกเราเรียกกันว่าเป็นวันอาทิตย์แห่งผู้เลี้ยงแกะที่ดี พระวรสาร (ยน. 10: 11-18) บันทึกไว้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริง ผู้ทรง ปกป้อง รู้จัก และรัก บรรดาแกะของพระองค์

        “ผู้รับจ้าง” ตรงกันข้ามกับผู้เลี้ยงแกะที่ดี เขาจะไม่สนใจแกะ เพราะแกะไม่ใช่เป็นของเขา เขาทำงานไปก็เพราะหวังเพียงแค่เงินเดือน เขาไม่สนใจที่จะปกป้องแกะ เมื่อมีสุนัขป่ามาเขาจะวิ่งหนีและทิ้งแกะไป (เทียบ ข้อ 12-13) ส่วนพระเยซูคริสต์ผู้เป็นผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงนั้นจะตรงกันข้าม พระองค์จะทรงปกป้องพวกเราเสมอ และจะทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากสถานการณ์ที่ลำบากยุ่งยากสับสนมากมาย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าอันตรายโดยอาศัยแสงสว่างแห่งพระวาจาของพระองค์และพลังแห่งการประทับอยู่ของพระองค์ ซึ่งพวกเราจะมีประสบการณ์เสมอ หากพวกเราตั้งใจฟังพระองค์ทุกวัน

        มิติที่สองได้แก่การที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีทรงรู้จัก – มิติแรกคือปกป้อง มิติที่สองคือรู้จัก พระองค์รู้จักแกะของพระองค์ และแกะก็รู้จักพระองค์ (ข้อ 14) ช่างสวยงามและน่าชื่นใจจริงๆ ที่พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักพวกเราทุกคน ใช่ว่าพวกเราเป็นผู้ที่พระองค์ไม่รู้จัก  พวกเราไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ฝูงชน” สำหรับพระองค์พวกเราเป็นปัจเจกบุคคลที่มีคุณสมบัติจำเพาะเจาะจง แต่ละคนมีเรื่องราวของตนเอง พระองค์ทรงทราบเรื่องราวของเราทุกอย่างว่าแต่ละคนมีคุณค่าเช่นไร ทั้งนี้เป็นเพระว่าทุกคนถูกสร้างและได้รับการไถ่กู้จากพระเยซูคริสต์ พวกเราแต่ละคนอาจพูดได้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักฉัน ทรงรู้จักพวกเราแต่ละบุคคล  นี่เป็นความจริง พระองค์ทรงรู้จักพวกเราดียิ่งกว่าผู้ใด มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบหัวใจของพวกเรา ความตั้งใจของพวกเรา ความรู้สึกลึกๆ ภายในตัวของพวกเรา พระเยซูคริสต์ทรงทราบพละกำลังและข้อบกพร่องของพวกเรา และพระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะเอาใจใส่ดูแลพวกเรา ที่จะเยียวยารักษาบาดแผลแห่งความผิดของพวกเราด้วยพระเมตตาอันเหลือล้นของพระองค์ ในพระองค์ภาพพจน์ที่บรรดาประกาศกมอบให้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีนั้นได้สำเร็จลุล่วงไปอย่างบริบูรณ์ พระเยซูคริสต์ทรงห่วงใยแกะของพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมแกะไว้ด้วยกัน ทรงพันแผลให้ ทรงรักษายาเยียวยาความเจ็บป่วยของพวกเขา พวกเราสามารถอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในหนังสือประกาศกเอเสเคียล (เทียบ อสค. 34: 11-16)

        ดังนั้นพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงแกะที่ดีจึงปกป้อง รู้จัก และรักแกะทุกตัวของพระองค์ และนี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงมอบชีวิตของพระองค์เพื่อพวกเขา (เทียบ ยน. 10: 15) รักแกะของพระองค์ นั่นคือทรงรักพวกเราแต่ละคนจนกระทั่งนำพระองค์ไปสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยเหตุนี้พระประสงค์ของพระบิดาจึงไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องสูญเสียชีวิตไป ความรักของพระเยซูคริสต์ไม่ได้เลือกที่จะรักคนนี้คนนั้น ทว่าเป็นความรักต่อทุกคน พระองค์ทรงเตือนใจพวกเราวันนี้ในพระวรสาร เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เรายังมีแกะอื่นที่ไม่อยู่ในฝูงแกะนี้ เราต้องนำเขากลับมาและพวกเขาจะได้ฟังเสียงของเรา เพื่อที่จะได้มีแกะเพียงฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงแกะแต่เพียงผู้เดียว” (ยน. 10: 16) พระวาจานี้เป็นประจักษ์พยานถึงความห่วงใยสากลของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีของทุกคน พระเยซูคริสต์ทรงต้องการให้ทุกคนสามารถรับความรักของพระบิดา และพบปะกับพระเจ้า

        พระศาสนจักรถูกเรียกร้องให้ต้องทำพันธกิจนี้ของพระเยซูคริสต์ เหนือคนเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมในชุมชนของพวกเรา หลายคนที่กระทำเช่นนี้เป็นเพียงบางครั้งบางคราวในโอกาสพิเศษหรือไม่เคยกระทำสิ่งใดเลย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้เป็นบุตรของพระเจ้า พระบิดาทรงมอบทุกคนให้กับพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่ดี ผู้ทรงมอบชีวิตให้กับทุกคน

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก พระเยซูคริสต์ทรงปกป้อง รู้จัก และรักพวกเราทุกคน ขอพระแม่มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้โปรดช่วยให้พวกเราเป็นคนแรกที่จะต้อนรับและติดตามผู้เลี้ยงแกะที่ดีโดยให้ความร่วมมือในความชื่นชมยินดีแห่งพันธกิจของพระองค์


หลังสวด “Regina Caeli” พระสันตะปาปามีพระกระแสดำรัสต่อไป

ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก

        เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่ซางตาครูซ เดอ กูช (Santa Cruz de Quche) ในประเทศกัวเตมาลา โฮเซ มารีอา กราน ชิเรรา (Jose maria Gran Cirera) และเพื่อนมรณะสักขี 9 คนได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี มีบาดหลวง 3 องค์และฆราวาส 7 คน ซึ่งเป็นธรรมทูตของคณะพระหฤทัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งอุทิศตนให้กับการปกป้องคนยากจน ได้ถูกฆ่าตายระหว่างปี ค.ศ. 1980-1991 อันเป็นเวลาที่มีการเบียดเบียนศาสนาคาทอลิก ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเหล่านั้นเป็นวีรบุรุษในการเป็นประจักษ์พยานแห่งความยุติธรรมและความรัก ขอให้แบบฉบับของท่านเหล่านั้นทำให้พวกเรามีใจกว้าง และกล้าหาญในการดำเนินชีวิตตามพระวรสาร ขอให้พวกเราปรบมือพร้อมกันเป็นเกียรติแก่บุญราศีใหม่

        พ่อขอแสดงความใกล้ชิดกับผู้ที่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากอัคคีภัย ณ โรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยจากโรคระบาดโควิด ที่กรุงแบกแดด ประเทศอีรัก จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 82 คน ขอให้พวกเราสวดภาวนาสำหรับพวกเขาทุกคน

        พ่อยอมรับว่าพ่อรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจอีกครั้งหนึ่งที่เมดิเตอเรเนียน ซึ่งผู้อพยพจำนวน 130 คนเสียชีวิตในทะเล พวกเขาเป็นประชาชน เป็นมนุษย์ที่ร้องขอความช่วยเหลือถึงสองวัน แต่ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือเหลียวแล ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเราลองถามตัวเราเองเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ อันเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุด ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาสำหรับบรรดาพี่น้องของพวกเราเหล่านั้น และสำหรับผู้คนที่คงต้องตายไปอีกจากการอพยพข้ามน้ำข้ามทะเล และขอให้สวดภาวนาสำหรับผู้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือ แต่กลับหันหน้ามองไปในทิศทางอื่น ขอให้พวกเราภาวนาในความเงียบสำหรับพวกเขา

            วันนี้พระศาสนจักรทั้งมวลเฉลิมฉลองวันภาวนาสากลเพื่อกระแสเรียกซึ่งเนื้อหาสาระคือนักบุญโยเซฟ ผู้เป็นนักฝันแห่งกระแสเรียก ขอให้พวกเราขอบคุณพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะทรงประทานพระพรให้กับบุคคลเหล่านั้นในพระศาสนจักร ซึ่งเพราะเห็นแก่ความรักในพระองค์ได้ถวายตนเองเพื่อการประกาศพระวรสาร และรับใช้พี่น้องชายหญิง และในวันนี้เป็นพิเศษขอให้พวกเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับคุณพ่อบาดหลวงใหม่ 9 องค์ ที่พ่อเพิ่งประกอบพิธีบวชให้ภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร พ่อไม่ทราบว่าพวกเขาอยู่ ณ ที่นี้หรือไม่ และให้พวกเราวิงวอนพระเจ้าได้โปรดส่งคนงานให้มทำงานในไร่องุ่นของพระองค์ เพื่อที่พระองค์จะได้เพิ่มกระแสเรียกในชีวิตผู้ถวายตัวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

        บัดนี้พ่อขอต้อนรับทุกคน ผู้แสวงบุญที่มาจากกรุงโรม และผู้ที่เดินทางแสวงบุญที่มาจากเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อขอต้อนรับครอบครัวและมิตรสหายของบรรดาคุณพ่อบาดหลวงที่เพิ่งบวชใหม่รวมทั้งชุมชนของสถาบันเยอรมัน-ฮังกาเรียน แห่งสันตะสำนัก (Pontifical German-Hungarian College) ที่พวกลูกเดินทางเพื่อจาริกแสวงบุญตามธรรมเนียมเจ็ดวัดในวันนี้

        ขอให้ทุกคนมีความสุขวันอาทิตย์นี้ และกรุณาอย่าลืมอธิษฐานภาวนาสำหรับพ่อด้วย ขอให้รับประทานอาหารกลางวันอย่างมีความสุข ขอให้พวกลูกและพี่น้องเดินทางกลับบ้านด้วยความปลอดภัยแล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

พระสันตะปาปาสอนคำสอนเรื่องการสวดภาวนา: 31 – การรำพึง

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทุกคน

        วันนี้พวกเราจะพูดกันถึงรูปแบบของการสวดภาวนาที่เรียกกันว่า “การรำพึง”(meditation) สำหรับคริสตชน “การรำพึง” คือการค้นหาความหมายเชิงลึก นั่นหมายถึงการวางตัวพวกเราไว้ต่อหน้าความยิ่งใหญ่แห่งการเผยแสดงของพระเจ้า เพื่อพยายามที่จะทำให้เป็นตัวของพวกเราเองด้วยการยอมรับมิติชีวิตอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ได้ชื่อว่าคริสตชนหลังจากที่ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าแล้วจะไม่ปิดกั้นพระวจนะของพระองค์ไว้กับตนเอง เพราะว่าพระวาจานั้นต้องเชื่อมสัมพันธ์กันกับ “หนังสืออีกเล่มหนึ่ง” ซึ่งคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเรียกว่า “หนังสือแห่งชีวิต” (เทียบ คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 2706) นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามที่จะกระทำทุกครั้งที่พวกเรารำพึงพระวาจา

        เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการให้ความสนใจกันมากกับการรำพึง ไม่ใช่เฉพาะคริสตชนที่พูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ การรำพึงมีอยู่ในแทบทุกศาสนาของโลก และยังแพร่หลายอย่างกว้างขวางแม้ในหมู่ประชาชนที่ดำเนินชีวิตโดยไม่มีศาสนา พวกเราทุกคนจำเป็นต้องรำพึง ไตร่ตรอง เพื่อที่จะค้นพบตัวเราเอง นี่เป็นพลวัตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกซีกตะวันตกที่ละโมภหลงไหลเพียงแต่เงินทอง ประชาชนพากันรำพึงเพราะวิธีนี้ช่วยบรรเทาอุปสรรคและความว่างเปล่าในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ดังนั้นนี่คือภาพพจน์ของทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ที่นั่งรำพึงในความเงียบโดยการหลับตาครึ่งหนึ่ง… แต่พวกเราอาจถามว่าแล้วพวกนี้เขาทำอะไรกัน?  พวกเขารำพึง อันเป็นปรากฏการณ์ที่พวกเราควรมองด้วยความชื่นชม  ความจริงแล้วพวกเราถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่ต้องให้วิ่งเต้นตลอดเวลา พวกเรามีชีวิตภายในที่พวกเราจะละเลยเสียมิได้ เพราะฉะนั้นการรำพึงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน อาจกล่าวได้ว่าการรำพึงก็เหมือนกับการหยุดนิ่งและหายใจในชีวิตเพื่อที่จะรู้จักหยุดและนิ่งเงียบ

        พวกเรารับรู้อย่างดีว่า เมื่อพวกเราน้อมรับพระวาจาในบริบทของคริสตชน นั่นจะมีอัตลักษณ์พิเศษที่พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้สูญหายไป การรำพึงเป็นมิติที่สำคัญของมนุษย์ แต่การรำพึงในบริบทของคริสตชนไปไกลกว่านี้ อันเป็นมิติที่พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้หายไป ขอให้พวกเราเตือนใจตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ประตูใหญ่ที่การอธิษฐานภาวนาของผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปผ่านไปคือพระเยซูคริสต์ สำหรับคริสตชนการรำพึงจะต้องผ่านประตูของพระเยซูคริสต์ การทำการรำพึงต้องเดินไปในหนทางนี้ และเมื่อสวดภาวนาคริสตชนจะไม่มุ่งที่จะแสวงหาความโปร่งใสของตนเอง จะไม่แสวงหาความเป็นศูนย์กลางของตนเอง นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแต่คริสตชนจะแสวงหาสิ่งอื่น การอธิษฐานภาวนาของคริสตชนประการแรกคือการพบปะกับผู้อื่น เป็นการพบปะเหนือธรรมชาติกับพระเจ้า หากประสบการณ์ของการสวดภาวนาทำให้พวกเรามีสันติสุขภายใน หรือสามารถควบคุมตนเอง หรือมีความชัดเจนในหนทางที่จะก้าวเดิน พวกเราอาจกล่าวได้ว่าผลเหล่านี้เป็นกุศลแห่งหรรษทานแห่งการสวดภาวนาของคริสตชน ซึ่งได้แก่การที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ กล่าวคือ การรำพึงหมายถึงการก้าวเดินไปโดยได้รับการชี้นำจากวลีหนึ่งจากพระคัมภีร์ หรือจากพระวาจาเพื่อที่จะได้พบกับพระเยซูคริสต์ภายในตัวของพวกเรา

        ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์คำว่า “รำพึง” (meditation) มีความหมายต่างๆ แม้ภายในพระศาสนจักรคาทอลิก นั่นหมายถึงประสบการณ์ฝ่ายจิตที่หลากหลาย อย่างไรก็ดีพวกเราสามารถพบกับร่องรอยบางอย่างที่เป็นแนวความคิดทั่วไป และสำหรับประเด็นนี้พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคำสอนของพระศาสนจักรอีกเช่นเดียวกันที่สอนว่า “ยังมีวิธีรำพึงมากมายและหลากหลายเท่ากับที่พวกเรามีผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจิต […] ทว่าวิธีการเป็นเพียงแค่การชี้แนะ สิ่งที่สำคัญคือการเจริญก้าวหน้าพร้อมกับพระจิตไปตามเส้นทางแห่งการอธิษฐานภาวนาในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 2707) และ ณ จุดนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงสหายร่วมเดินทาง ซึ่งเป็นผู้ที่จะชี้นำพวกเราซึ่งได้แก่พระจิต การรำพึงของคริสตชนจะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากซึ่งพระจิต เป็นพระองค์เองที่ทรงนำพวกเราให้ไปพบกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเราว่า “เราจะส่งพระจิตมายังท่าน พระองค์จะสอนท่าน และจะทรงอธิบายแก่ท่าน พระองค์จะทรงสอนและอธิบายให้ท่านทราบ” และในการรำพึงก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงเป็นผู้ชี้นำให้พวกเราก้าวไปข้างหน้าในการพบกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้นการรำพึงของคริสตชนจึงมีหลายวิธี บางวิธีก็ง่าย บางวิธีก็ละเอียดละออถี่ยิบ บางวิธีก็เน้นหนักไปทางมิติของปัญญา บางวิธีก็เน้นไปในมิติของความรักและเปี่ยมอารมณ์ เหล่านี้คือวิธีการ ทุกวิธีล้วนมีความสำคัญและทุกวิธีต่างก็มีคุณค่าที่จะนำไปปฏิบัติตราบเท่าที่วิธีนั้นสามารถช่วยพวกเราได้ วิธีการรำพึงจะช่วยสิ่งใดกับพวกเราได้บ้าง? ประสบการณ์แห่งความเชื่อจะกลายเป็นการกระทำที่สมบูรณ์ของบุคคล คนเราไม่ได้มีเพียงแค่จิตภาวนาเท่านั้น  แต่บุคคลทั้งครบจะสวดภาวนาซึ่งได้แก่ศักยภาพทั้งหมดของ

บุคคลเช่นเดียวกับการที่ไม่ได้สวดด้วยความรู้สึกเท่านั้น ต้องสวดด้วยทุกสิ่ง คนโบราณมักจะกล่าวกันว่าส่วนของกายภาพที่สวดภาวนาคือหัวใจ เพระฉะนั้นพวกเขาจึงอธิบายว่าบุคคลทั้งครบเริ่มจากศูนย์กลาง – หัวใจ – ที่เข้าไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ใช่เป็นอวัยวะเพียงบางส่วน นี่เป็นวิธีที่คนโบราณอธิบาย นี่คือเหตุผลที่ต้องจดจำไว้เสมอว่าวิธีการนั้นเป็นหนทางไม่ใช่เป็นเป้าหมาย วิธีการสวดภาวนาใดหากจะเป็นวิธีของคริสตชนต้องเป็นส่วนหนึ่งแห่งการติดตามพระเยซูคริสต์ “sequela Christi” ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อของพวกเรา วิธีรำพึงคือหนทางที่จะต้องเดินเพื่อที่บรรลุถึงการพบปะกับพระเยซูคริสต์ แต่หากพวกลูกหยุดที่กลางถนนและได้แต่มองไปที่หนทาง พวกลูกจะไม่มีวันได้พบกับพระเยซูคริสต์ พวกลูกจะทำให้เกิดภาพ “เทพเจ้าแบบอื่น ๆ” จากหนทางนั้น “เทพเจ้า” จะไม่มัวันรอพวกลูกที่นั่น เป็นพระเยซูคริสต์ที่กำลังรอพวกลูกอยู่ และหนทางก็อยู่ ณ ตรงนั้นที่จะนำพวกลูกไปพบกับพระเยซูคริสต์ คำสอนของพระศาสนจักรระบุว่า “การรำพึงเป็นการใช้ความคิด จินตนาการ อารมณ์ และความปรารถนา การใช้ความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่สร้างความเชื่อมั่นในความเชื่อของพวกเราให้ล้ำลึก ปลุกจิตสำนึกให้กลับใจ และเสริมสร้างความตั้งใจของพวกเราที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ การอธิษฐานภาวนาของคริสตชนที่สำคัญคือพยายามที่จะรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์” (ข้อ 2708) ดังนั้นพระหรรษทานแห่งการสวดภาวนาของคริสตชนคือ พระเจ้ามิได้อยู่ห่างไกล ทว่าจะมีความสัมพันธ์กับพวกเราเสมอ ไม่มีมิติแห่งความเป็นบุคคลของพระองค์ที่เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ใดที่จะไม่สามารถเป็นจุดแห่งความรอดและความสุขสำหรับพวกเรา ทุกวินาทีแห่งชีวิตในโลกนี้ของพระเยซูคริสต์ โดยอาศัยพระหรรษทานแห่งการสวดภาวนากลายเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ในพวกเราซึ่งต้องขอบคุณพระจิตผู้นำทางของพวกเรา พวกลูกก็ทราบดีว่าพวกเราไม่สามารถที่จะสวดภาวนาได้โดยปราศจากซึ่งการชี้นำของพระจิต เป็นพระองค์เองที่ทรงชี้นำพวกเรา และต้องขอบคุณพระจิต พวกเราก็เช่นเดียวกันที่อยู่ ณ แม่นำจอร์แดนเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงจุ่มศีรษะลงใต้น้ำเพื่อรับพิธีล้าง พวกเราก็เช่นเดียวกันที่เป็นแขกในพิธีแต่งงาน ณ หมู่บ้านคานาเมื่อพระเยซูคริสต์ประทานเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดเพื่อความสุขของคู่บ่าวสาว กล่าวคือเป็นพระจิตที่ทรงเชื่อมสัมพันธ์ให้เข้ากับพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพราะในการพิศเพ่งพระเยซูคริสต์ พวกเราก็มีประสบการณ์ในการสวดภาวนา ในการผนึกตัวเราเองให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระองค์ พวกเราก็ประหลาดใจเช่นเดียวกันที่เห็นพระอาจารย์เจ้าทรงทำอัศจรรย์มากมาย พวกเรานำพระวรสารมารำพึงพระธรรมล้ำลึกเหล่านั้นแล้วพระจิตจะนำทางเราไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้น และเมื่อพวกเราสวดภาวนาพวกเราก็เป็นดุจคนโรคเรื้อนที่ได้รับการเยียวยาแล้ว เหมือนชายตาบอดบาร์ชื่อทีเมอุสที่ได้รับสายตาคืน เหมือนลาซารัสที่เดินออกมาจากคูหาฝังศพ… พวกเรากลับคืนชีพมาใหม่เหมือนลาซารัส เพราะการรำพึงภาวนาที่นำโดยพระจิตนำพวกเราให้มีชีวิตใหม่กับพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะพบกับพระองค์และกล่าวว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์โปรดเมตตาลูกด้วย” “แล้วลูกต้องการสิ่งใด?”  “เพื่อที่จะมองเห็นได้และเพื่อที่จะเข้าสู่การเสวนา” และการรำพึงของคริสตชนที่นำโดยพระจิตก็จะนำพวกเราไปสู่การเสวนานี้กับพระเยซูคริสต์ ไม่มีพระวรสารหน้าไหนที่ไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเรา สำหรับพวกเราคริสตชนการรำพึงเป็นหนทางที่จะเข้าไปสัมผัสกับพระเยซูคริสต์ และด้วยวิธีนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะค้นพบตัวเราเอง และนี่ไม่ใช่การถอยกลับเข้าหาตนเอง ซึ่งหมายถึงการเข้าไปหาพระเยซูคริสต์ และจากพระเยซูคริสต์พวกเราก็จะพบตัวเราเองที่ได้รับการรักษาเยียวยา การกลับคืนชีพ และมีความเข้มแข้งในพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ พร้อมกับการพบกับพระเยซูคริสต์พระผู้ไถ่ของทุกคนรวมถึงตัวพ่อเองด้วย ซึ่งทั้งนี้ต้องขอบคุณการนำของพระจิต  ขอบคุณ

 


การกล่าวต้อนรับ

        พ่อขอต้อนรับสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ พ่อวิงวอนพระเมตตาของพระบิดาเจ้าโปรดประทานพระพรแก่พวกลูกและครอบครัวของลูก ขอพระเจ้าโปรดอวยพรทุกคน

 


สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิส

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนาวันนี้ พวกเราจะพูดถึงความสำคัญของการรำพึงภาวนา ทุกคนต้องการเวลาสำหรับการสำรวมตนท่ามกลางการทำธุรกิจประจำวัน สำหรับคริสตชนการรำพึงไม่ใช่เรื่องของการสำรวจตนภายในแต่เป็นวิธีของการสวดภาวนา เป็นวิธีที่จะพบกับพระเยซูคริสต์ ที่สำคัญคือในพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตบนโลกของพระองค์ ในขณะที่มีหลายวิธีด้วยกันในการรำพึงในพระศาสนจักรที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยธรรมประเพณีในชีวิตฝ่ายจิต ทุกวิธีมีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้เราพัฒนาเจริญเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ของชาวเรา โดยอาศัยพระหรรษทานของพระจิตความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในความเชื่อจะได้รับการหล่อเลี้ยงโดยอาศัยการใช้ปัญญา จินตนาการ อารมณ์ และความปรารถนาของพวกเรา คำสอนของพระศาสนจักรสอนพวกเราว่าการรำพึงเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์จะทำให้ความเชื่อของพวกเราเข้มข้นขึ้น จะกระตุ้นให้พวกเรากลับใจ และสร้างความเข้มแข็งให้กับความตั้งใจของพวกเราที่จะติดตามพระยุคลบาทของพระองค์ (เทียบ ข้อ 2708) พระวาจาทุกคำและการกระทำของพระเยซูคริสต์สามารถสัมผัสเราและกลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรา ในทุกหน้าแห่งพระวรสารเราถูกเชิญให้พบปะกับพระเยซูคริสต์และให้ค้นพบในพระองค์ซึ่งบ่อเกิดแห่งความรอดและความสุขที่แท้จริงของชาวเรา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันที่ 28 เมษายน 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

พระสันตะปาปาสอนคำสอนเรื่องการสวดภาวนา: 31 – การรำพึง

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทุกคน

        วันนี้พวกเราจะพูดกันถึงรูปแบบของการสวดภาวนาที่เรียกกันว่า “การรำพึง”(meditation) สำหรับคริสตชน “การรำพึง” คือการค้นหาความหมายเชิงลึก นั่นหมายถึงการวางตัวพวกเราไว้ต่อหน้าความยิ่งใหญ่แห่งการเผยแสดงของพระเจ้า เพื่อพยายามที่จะทำให้เป็นตัวของพวกเราเองด้วยการยอมรับมิติชีวิตอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ได้ชื่อว่าคริสตชนหลังจากที่ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าแล้วจะไม่ปิดกั้นพระวจนะของพระองค์ไว้กับตนเอง เพราะว่าพระวาจานั้นต้องเชื่อมสัมพันธ์กันกับ “หนังสืออีกเล่มหนึ่ง” ซึ่งคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเรียกว่า “หนังสือแห่งชีวิต” (เทียบ คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 2706) นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามที่จะกระทำทุกครั้งที่พวกเรารำพึงพระวาจา

        เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการให้ความสนใจกันมากกับการรำพึง ไม่ใช่เฉพาะคริสตชนที่พูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ การรำพึงมีอยู่ในแทบทุกศาสนาของโลก และยังแพร่หลายอย่างกว้างขวางแม้ในหมู่ประชาชนที่ดำเนินชีวิตโดยไม่มีศาสนา พวกเราทุกคนจำเป็นต้องรำพึง ไตร่ตรอง เพื่อที่จะค้นพบตัวเราเอง นี่เป็นพลวัตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกซีกตะวันตกที่ละโมภหลงไหลเพียงแต่เงินทอง ประชาชนพากันรำพึงเพราะวิธีนี้ช่วยบรรเทาอุปสรรคและความว่างเปล่าในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ดังนั้นนี่คือภาพพจน์ของทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ที่นั่งรำพึงในความเงียบโดยการหลับตาครึ่งหนึ่ง… แต่พวกเราอาจถามว่าแล้วพวกนี้เขาทำอะไรกัน?  พวกเขารำพึง อันเป็นปรากฏการณ์ที่พวกเราควรมองด้วยความชื่นชม  ความจริงแล้วพวกเราถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่ต้องให้วิ่งเต้นตลอดเวลา พวกเรามีชีวิตภายในที่พวกเราจะละเลยเสียมิได้ เพราะฉะนั้นการรำพึงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน อาจกล่าวได้ว่าการรำพึงก็เหมือนกับการหยุดนิ่งและหายใจในชีวิตเพื่อที่จะรู้จักหยุดและนิ่งเงียบ

        พวกเรารับรู้อย่างดีว่า เมื่อพวกเราน้อมรับพระวาจาในบริบทของคริสตชน นั่นจะมีอัตลักษณ์พิเศษที่พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้สูญหายไป การรำพึงเป็นมิติที่สำคัญของมนุษย์ แต่การรำพึงในบริบทของคริสตชนไปไกลกว่านี้ อันเป็นมิติที่พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้หายไป ขอให้พวกเราเตือนใจตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ประตูใหญ่ที่การอธิษฐานภาวนาของผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปผ่านไปคือพระเยซูคริสต์ สำหรับคริสตชนการรำพึงจะต้องผ่านประตูของพระเยซูคริสต์ การทำการรำพึงต้องเดินไปในหนทางนี้ และเมื่อสวดภาวนาคริสตชนจะไม่มุ่งที่จะแสวงหาความโปร่งใสของตนเอง จะไม่แสวงหาความเป็นศูนย์กลางของตนเอง นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแต่คริสตชนจะแสวงหาสิ่งอื่น การอธิษฐานภาวนาของคริสตชนประการแรกคือการพบปะกับผู้อื่น เป็นการพบปะเหนือธรรมชาติกับพระเจ้า หากประสบการณ์ของการสวดภาวนาทำให้พวกเรามีสันติสุขภายใน หรือสามารถควบคุมตนเอง หรือมีความชัดเจนในหนทางที่จะก้าวเดิน พวกเราอาจกล่าวได้ว่าผลเหล่านี้เป็นกุศลแห่งหรรษทานแห่งการสวดภาวนาของคริสตชน ซึ่งได้แก่การที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ กล่าวคือ การรำพึงหมายถึงการก้าวเดินไปโดยได้รับการชี้นำจากวลีหนึ่งจากพระคัมภีร์ หรือจากพระวาจาเพื่อที่จะได้พบกับพระเยซูคริสต์ภายในตัวของพวกเรา

        ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์คำว่า “รำพึง” (meditation) มีความหมายต่างๆ แม้ภายในพระศาสนจักรคาทอลิก นั่นหมายถึงประสบการณ์ฝ่ายจิตที่หลากหลาย อย่างไรก็ดีพวกเราสามารถพบกับร่องรอยบางอย่างที่เป็นแนวความคิดทั่วไป และสำหรับประเด็นนี้พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคำสอนของพระศาสนจักรอีกเช่นเดียวกันที่สอนว่า “ยังมีวิธีรำพึงมากมายและหลากหลายเท่ากับที่พวกเรามีผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจิต […] ทว่าวิธีการเป็นเพียงแค่การชี้แนะ สิ่งที่สำคัญคือการเจริญก้าวหน้าพร้อมกับพระจิตไปตามเส้นทางแห่งการอธิษฐานภาวนาในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 2707) และ ณ จุดนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงสหายร่วมเดินทาง ซึ่งเป็นผู้ที่จะชี้นำพวกเราซึ่งได้แก่พระจิต การรำพึงของคริสตชนจะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากซึ่งพระจิต เป็นพระองค์เองที่ทรงนำพวกเราให้ไปพบกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเราว่า “เราจะส่งพระจิตมายังท่าน พระองค์จะสอนท่าน และจะทรงอธิบายแก่ท่าน พระองค์จะทรงสอนและอธิบายให้ท่านทราบ” และในการรำพึงก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงเป็นผู้ชี้นำให้พวกเราก้าวไปข้างหน้าในการพบกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้นการรำพึงของคริสตชนจึงมีหลายวิธี บางวิธีก็ง่าย บางวิธีก็ละเอียดละออถี่ยิบ บางวิธีก็เน้นหนักไปทางมิติของปัญญา บางวิธีก็เน้นไปในมิติของความรักและเปี่ยมอารมณ์ เหล่านี้คือวิธีการ ทุกวิธีล้วนมีความสำคัญและทุกวิธีต่างก็มีคุณค่าที่จะนำไปปฏิบัติตราบเท่าที่วิธีนั้นสามารถช่วยพวกเราได้ วิธีการรำพึงจะช่วยสิ่งใดกับพวกเราได้บ้าง? ประสบการณ์แห่งความเชื่อจะกลายเป็นการกระทำที่สมบูรณ์ของบุคคล คนเราไม่ได้มีเพียงแค่จิตภาวนาเท่านั้น  แต่บุคคลทั้งครบจะสวดภาวนาซึ่งได้แก่ศักยภาพทั้งหมดของ

บุคคลเช่นเดียวกับการที่ไม่ได้สวดด้วยความรู้สึกเท่านั้น ต้องสวดด้วยทุกสิ่ง คนโบราณมักจะกล่าวกันว่าส่วนของกายภาพที่สวดภาวนาคือหัวใจ เพระฉะนั้นพวกเขาจึงอธิบายว่าบุคคลทั้งครบเริ่มจากศูนย์กลาง – หัวใจ – ที่เข้าไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ใช่เป็นอวัยวะเพียงบางส่วน นี่เป็นวิธีที่คนโบราณอธิบาย นี่คือเหตุผลที่ต้องจดจำไว้เสมอว่าวิธีการนั้นเป็นหนทางไม่ใช่เป็นเป้าหมาย วิธีการสวดภาวนาใดหากจะเป็นวิธีของคริสตชนต้องเป็นส่วนหนึ่งแห่งการติดตามพระเยซูคริสต์ “sequela Christi” ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อของพวกเรา วิธีรำพึงคือหนทางที่จะต้องเดินเพื่อที่บรรลุถึงการพบปะกับพระเยซูคริสต์ แต่หากพวกลูกหยุดที่กลางถนนและได้แต่มองไปที่หนทาง พวกลูกจะไม่มีวันได้พบกับพระเยซูคริสต์ พวกลูกจะทำให้เกิดภาพ “เทพเจ้าแบบอื่น ๆ” จากหนทางนั้น “เทพเจ้า” จะไม่มัวันรอพวกลูกที่นั่น เป็นพระเยซูคริสต์ที่กำลังรอพวกลูกอยู่ และหนทางก็อยู่ ณ ตรงนั้นที่จะนำพวกลูกไปพบกับพระเยซูคริสต์ คำสอนของพระศาสนจักรระบุว่า “การรำพึงเป็นการใช้ความคิด จินตนาการ อารมณ์ และความปรารถนา การใช้ความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่สร้างความเชื่อมั่นในความเชื่อของพวกเราให้ล้ำลึก ปลุกจิตสำนึกให้กลับใจ และเสริมสร้างความตั้งใจของพวกเราที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ การอธิษฐานภาวนาของคริสตชนที่สำคัญคือพยายามที่จะรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์” (ข้อ 2708) ดังนั้นพระหรรษทานแห่งการสวดภาวนาของคริสตชนคือ พระเจ้ามิได้อยู่ห่างไกล ทว่าจะมีความสัมพันธ์กับพวกเราเสมอ ไม่มีมิติแห่งความเป็นบุคคลของพระองค์ที่เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ใดที่จะไม่สามารถเป็นจุดแห่งความรอดและความสุขสำหรับพวกเรา ทุกวินาทีแห่งชีวิตในโลกนี้ของพระเยซูคริสต์ โดยอาศัยพระหรรษทานแห่งการสวดภาวนากลายเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ในพวกเราซึ่งต้องขอบคุณพระจิตผู้นำทางของพวกเรา พวกลูกก็ทราบดีว่าพวกเราไม่สามารถที่จะสวดภาวนาได้โดยปราศจากซึ่งการชี้นำของพระจิต เป็นพระองค์เองที่ทรงชี้นำพวกเรา และต้องขอบคุณพระจิต พวกเราก็เช่นเดียวกันที่อยู่ ณ แม่นำจอร์แดนเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงจุ่มศีรษะลงใต้น้ำเพื่อรับพิธีล้าง พวกเราก็เช่นเดียวกันที่เป็นแขกในพิธีแต่งงาน ณ หมู่บ้านคานาเมื่อพระเยซูคริสต์ประทานเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดเพื่อความสุขของคู่บ่าวสาว กล่าวคือเป็นพระจิตที่ทรงเชื่อมสัมพันธ์ให้เข้ากับพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพราะในการพิศเพ่งพระเยซูคริสต์ พวกเราก็มีประสบการณ์ในการสวดภาวนา ในการผนึกตัวเราเองให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระองค์ พวกเราก็ประหลาดใจเช่นเดียวกันที่เห็นพระอาจารย์เจ้าทรงทำอัศจรรย์มากมาย พวกเรานำพระวรสารมารำพึงพระธรรมล้ำลึกเหล่านั้นแล้วพระจิตจะนำทางเราไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้น และเมื่อพวกเราสวดภาวนาพวกเราก็เป็นดุจคนโรคเรื้อนที่ได้รับการเยียวยาแล้ว เหมือนชายตาบอดบาร์ชื่อทีเมอุสที่ได้รับสายตาคืน เหมือนลาซารัสที่เดินออกมาจากคูหาฝังศพ… พวกเรากลับคืนชีพมาใหม่เหมือนลาซารัส เพราะการรำพึงภาวนาที่นำโดยพระจิตนำพวกเราให้มีชีวิตใหม่กับพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะพบกับพระองค์และกล่าวว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์โปรดเมตตาลูกด้วย” “แล้วลูกต้องการสิ่งใด?”  “เพื่อที่จะมองเห็นได้และเพื่อที่จะเข้าสู่การเสวนา” และการรำพึงของคริสตชนที่นำโดยพระจิตก็จะนำพวกเราไปสู่การเสวนานี้กับพระเยซูคริสต์ ไม่มีพระวรสารหน้าไหนที่ไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเรา สำหรับพวกเราคริสตชนการรำพึงเป็นหนทางที่จะเข้าไปสัมผัสกับพระเยซูคริสต์ และด้วยวิธีนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะค้นพบตัวเราเอง และนี่ไม่ใช่การถอยกลับเข้าหาตนเอง ซึ่งหมายถึงการเข้าไปหาพระเยซูคริสต์ และจากพระเยซูคริสต์พวกเราก็จะพบตัวเราเองที่ได้รับการรักษาเยียวยา การกลับคืนชีพ และมีความเข้มแข้งในพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ พร้อมกับการพบกับพระเยซูคริสต์พระผู้ไถ่ของทุกคนรวมถึงตัวพ่อเองด้วย ซึ่งทั้งนี้ต้องขอบคุณการนำของพระจิต  ขอบคุณ


การกล่าวต้อนรับ

        พ่อขอต้อนรับสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ พ่อวิงวอนพระเมตตาของพระบิดาเจ้าโปรดประทานพระพรแก่พวกลูกและครอบครัวของลูก ขอพระเจ้าโปรดอวยพรทุกคน


สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิส

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนาวันนี้ พวกเราจะพูดถึงความสำคัญของการรำพึงภาวนา ทุกคนต้องการเวลาสำหรับการสำรวมตนท่ามกลางการทำธุรกิจประจำวัน สำหรับคริสตชนการรำพึงไม่ใช่เรื่องของการสำรวจตนภายในแต่เป็นวิธีของการสวดภาวนา เป็นวิธีที่จะพบกับพระเยซูคริสต์ ที่สำคัญคือในพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตบนโลกของพระองค์ ในขณะที่มีหลายวิธีด้วยกันในการรำพึงในพระศาสนจักรที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยธรรมประเพณีในชีวิตฝ่ายจิต ทุกวิธีมีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้เราพัฒนาเจริญเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ของชาวเรา โดยอาศัยพระหรรษทานของพระจิตความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในความเชื่อจะได้รับการหล่อเลี้ยงโดยอาศัยการใช้ปัญญา จินตนาการ อารมณ์ และความปรารถนาของพวกเรา คำสอนของพระศาสนจักรสอนพวกเราว่าการรำพึงเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์จะทำให้ความเชื่อของพวกเราเข้มข้นขึ้น จะกระตุ้นให้พวกเรากลับใจ และสร้างความเข้มแข็งให้กับความตั้งใจของพวกเราที่จะติดตามพระยุคลบาทของพระองค์ (เทียบ ข้อ 2708) พระวาจาทุกคำและการกระทำของพระเยซูคริสต์สามารถสัมผัสเราและกลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรา ในทุกหน้าแห่งพระวรสารเราถูกเชิญให้พบปะกับพระเยซูคริสต์และให้ค้นพบในพระองค์ซึ่งบ่อเกิดแห่งความรอดและความสุขที่แท้จริงของชาวเรา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

สาส์นผ่านทางวีดีโอของพระสันตะปาปาฟรานซิสประทานมายังผู้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติ

สาส์นผ่านทางวีดีโอของพระสันตะปาปาฟรานซิสประทานมายังผู้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติ

เรื่อง การเมืองอันมีรากเหง้าอยู่ในและพร้อมกับประชาชน (15 เมษายน 2021)

เจริญพรมายังพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

ข้าพเจ้ารู้สึกยินที่มีโอกาสปราศรัยทักทายท่านในช่วงเริ่มต้นของการประชุมที่จัดโดยศูนย์กลางเทววิทยาแห่งชุมชน ณ กรุงลอนดอน เกี่ยวกับหัวข้อในหนังสือ “ขอให้พวกเราฝัน”(Let Us Dream) และที่สำคัญคือนี่เกี่ยวกับกระบวนการขับเคลื่อนของประชาชน และองค์กรที่ให้การสนับสนุน

        ข้าพเจ้าขอกล่าวต้อนรับเป็นพิเศษมายังกระบวนการรณรงค์ของชาวคาทอลิกเพื่อการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ซึ่งทำการฉลองครบ 50 ปีในการช่วยเหลือชุมชนที่ยากจนในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการส่งเสริมพวกเขาให้มีส่วนในการตัดสินใจ ซึ่งมีผลไปยังพวกเขา

        นี่ยังเป็นสนามแห่งการทำงานของอีกหลายองค์กรในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศในเครือสหราชอาณาจักร ประเทศเยอรมนี และที่อื่น ซึ่งมีพันธกิจในการเดินเคียงคู่กับประชาชน กล่าวคือ ผืนแผ่นดิน บ้านสถานพำนักอาศัย และการทำงาน ซึ่งอธิบายจาก “อักษร T สามตัว ในภาษาสเปนิช tierra, techo y trabajo” ที่มีความสำคัญในความเป็นเอกภาพสามัคคีหรือ “solidarity” [1] และอยู่เคียงข้างกับพวกเขาเมื่อพวกเขาพบกับทัศนคติที่ถูกเบียดเบียน ถูกรัดเอาเปรียบ และดูถูกดูแคลนเพราะความยากจน และการที่พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานอันเป็นผลพวงตามมา เพราะโรคระบาดทำให้พวกท่าน ณ ที่ประชุม ต้องทำงานอย่างหนักยิ่งขึ้นและเป็นประจักษ์พยานชีวิตอย่างเร่งด่วนในสภาวะการณ์อันจำเป็นเช่นนี้

        เป้าหมายของการประชุมอย่างหนึ่งของพวกท่านก็เพื่อที่จะแสดงว่าการตอบสนองที่แท้จริงกับการตื่นตัวของมวลชนนั้นไม่ใช่เป็นการเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งต้องเป็นการเมืองแห่งภราดรภาพโดยมีรากเหง้าอยู่ในชีวิตของปวงประชา ในหนังสือที่เขียนขึ้นไม่นานมานี้ของคุณพ่ออันกุส ริทชีย์ (Angus Ritchie) เรียกการเมืองประเภทนี้เป็น “การรวมประชากรทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน”  ข้าพเจ้าชื่นชอบคำว่า “ประชานิยม – Popularism” เพื่อที่จะแสดงถึงความคิดบางสิ่งบางอย่าง [2] ที่สำคัญไม่ใช่ชื่อหรือวิสัยทัศน์เหมือนกัน แต่เกี่ยวกับการแสวงหาวิธีการที่จะรับประกันว่าชีวิตของประชาชนนั้นมีค่าที่คู่ควรกับความเป็นมนุษย์ เป็นชีวิตที่สามารถสร้างคุณธรรมขั้นสูงและสร้างความสัมพันธ์กันใหม่ [3]

        ในหนังสือ ขอให้พวกเราฝัน (Let Us Dream) ข้าพเจ้าเรียกว่า “การเมือง – Politics – พร้อมกับอักษร P-popularism” เป็นการเมืองในการบริการรับใช้ ซึ่งเปิดหนทางใหม่ให้ประชาชนจัดตั้งองค์กรเพื่อที่จะแสดงออกซึ่งตัวตนของตน  อันเป็นการเมืองที่มิใช่เพียงเพื่อประชาชนเท่านั้น แต่ต้องพร้อมกับประชาชนด้วยที่มีรากเหง้าอยู่ในชุมชนของพวกเขา และในคุณค่าของพวกเขา ในอีกมุมมองหนึ่ง ประชานิยมจะค่อนข้างที่จะได้รับแรงบันดาลใจไนอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ด้วยคำนิยมที่ว่า “ทุกสิ่งเพื่อประชาชน แต่ไม่มีสิ่งใดที่บ่งพร้อมกับประชาขน” – จึงกลายเป็นการเมืองแบบอุปถัมภ์ค้ำชู ดังนั้นในวิสัยทัศน์ประชานิยมเช่นนี้ ประชาชนไม่ได้เป็นพระเอกในเรื่องราวเป้าหมายชีวิตของตน แต่ลงเอยด้วยการอยู่ที่ปลายแถวแห่งอุดมการณ์ (คือการนำประชาชนมาเป็นเพียงเครื่องมือและอ้างอิง)

เมื่อประชาชนไม่ได้รับการเหลียวแลพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ถูกปฏิเสธการอยู่ดีกินดีอย่างชอบธรรมเท่านั้น แต่ประชาชนยังขาดศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์โดยถูกกระทำด้วย พวกเขาไม่ได้เป็นพระเอกในเป้าหมายชีวิตและประวัติศาสตร์ของตนเองอีกต่อไป และไม่สามารถที่จะแสดงตนเองด้วยคุณค่าและวัฒนธรรมของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และผลงานที่เป็นการกระทำของตนเอง นั่นคือเหตุผลที่เป็นไปไม่ได้ที่พระศาสนจักรจะแยกการส่งเสริมความยุติธรรมในสังคมออกจากคุณค่าฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศักดิ์ศรีของมนุษย์ดังกล่าว ในชุมชนคริสตชนคุณค่าเหล่านั้นเกิดจากการที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งแสวงหาลูกแกะที่หายไปหรือที่หมดกำลังใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผู้ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพิ่อประทังชีวิตไปวันๆ เพื่อที่จะนำพระพักตร์และการประทับอยู่ของพระเจ้ามาสู่พวกเขาเพื่อที่จะเป็น “พระเจ้าสถิตอยู่กับพวกเรา”

        พวกท่านหลายคนที่มาชุมนุมกันต่างทำงานกันมาแล้วหลายปีเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อยู่ตามชายขอบสังคม พวกท่านเดินควบคู่ไปกับกระบวนการขับเคลื่อนของประชาชน บางครั้งอาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก บางคนกล่าวหาว่าพวกท่านเล่นการเมือง ส่วนคนอื่นก็กล่าวหาว่าท่านจะไปบังคับให้คนอื่นนับถือศาสนาของท่าน ท่านก็เข้าใจดีว่าการให้ความเคารพต่อผู้อื่นยังหมายถึงการให้ความเคารพต่อสถาบันของพวกเขารวมถึงศาสนาของเขาด้วย และบทบาทของสถาบันเหล่านั้นก็ไม่ต้องไปบังคับผู้ใด แต่จะต้องเดินไปพร้อมกับประชาชนโดยเตือนใจพวกเขาถึงพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งก้าวเดินล่วงหน้าพวกเราไปแล้วเสมอ

        นั่นคือเหตุที่เหตุใดผู้อภิบาลของประชาชน ซึ่งเป็นเสมือนผู้เลี้ยงดูลูกแกะฝ่ายศาสนาเป็นผู้ที่แสวงหาหนทางที่จะเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางและอยู่ข้างหลังประชากร อยู่ข้างหน้าเพื่อที่จะชี้ให้เห็นหนทางที่อยู่ข้างหน้า อยู่ท่ามกลางเพื่อที่จะมีความรู้สึกกับประชาชนและไม่ให้พวกเขาเดินหลงทาง อยู่ข้างหลังเพื่อที่จะช่วยผู้ที่พลัดหลง และช่วยให้พวกเขาแสดงหาหนทางด้วยตัวของเขาเอง และได้พบกับหนทางที่ถูกต้อง

        นั่นคือเหตุผลที่หนังสือ ขอให้พวกเราฝัน (Let Us Dream) ที่ข้าพเจ้าพูดถึงความปรารถนา ซึ่งทุกเขตศาสนปกครอง (สังฆมณฑล) ในโลกจะต้องให้ความร่วมมือกันอย่างสม่ำเสมอกับกระบวนการขับเคลื่อนของประชาชน [4]

        การออกไปพบปะกับพระเยซูคริสต์ผู้มีบาดแผลและเสด็จกลับคืนชีพในชุมชนที่ยากจนที่สุดของพวกเรา จะทำให้พวกเราค้นพบใหม่ซึ่งความร้อนรนในงานธรรมทูต เพราะว่าตรงนี้นี่เองที่พระศาสนจักรบังเกิดขึ้นมาในบริบทแห่งไม้กางเขน “ถ้าพระศาสนจักรไม่ใส่ใจคนยากจน พระศาสนจักรก็จะไม่ใช่พระศาสนจักรของพระเยซูคริสต์  พระศาสนจักรจะตกอยู่ในการล่อลวงแบบเก่า ๆ ที่จะเป็นเพียงผู้ดีมีจริยธรรมและปัญญา” .. รูปแบบใหม่ของลัทธิ “Pelagianism” (ลัทธิบูชาการกระทำทำความดีและเสรีภาพของมนุษย์ พึ่งกำลังตนเอง ปฏิเสธพละกำลังจากพระเจ้า) หรือเป็นชีวิตที่เป็นแก่นแท้ชนิดหนึ่ง [5]

        ในทำนองเดียวกันการเมืองที่หันหลังให้กับคนยากจนจะไม่มีวันที่สามารถที่ส่งเสริมความดีส่วนรวมได้ การเมืองที่หันหลังให้กับผู้ที่อยู่ตามชายขอบสังคมจะไม่มีวันที่เขาจะเข้าใจศูนย์กลาง และจะสับสนเรื่องอนาคตกับการทำนายด้วยตัวตนเองโดยเริ่มต้นจากการใช้อำนาจไปในทางที่ผิดราวกับเป็นการมองในกระจกเงา

        หนทางหนึ่งในการหันหลังให้กับคนยากจนคือการดูถูกวัฒนธรรม เมินเฉยในชีวิตจิต และมองไม่เห็นคุณค่าทางศาสนาของประชาชน ซึ่งหลังจากการที่ไม่สนใจใยดีหรือมัวแต่สั่งการเพราะตนเองมีอำนาจ การดูหมิ่นดูแคลนวัฒนธรรมของประชาชนเป็นจุดเริ่มของการใช้อำนาจไปในทางที่ผิด

        เมื่อรับรู้ถึงความสำคัญของชีวิตฝ่ายจิตในชีวิตของประชาชน นั่นพวกเราจะทำให้เกิดการเมืองรูปแบบใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ชุมชมแห่งความเชื่อจะต้องมาพบปะกัน การรักสามัคคีกันฉันพี่ฉันน้องเพื่อที่จะช่วยกันทำงาน “สำหรับ/เพื่อ และพร้อมกับประชาชน”  พร้อมกับพี่น้อง  ท่านมหาอิหม่ามอหเหม็ด อัล-ตาย์เยบ(Grand Imam Ahmad Al-Tayyeb) “พวกเราร่วมกันประกาศว่า พวกเรายอมรับวัฒนธรรมแห่งการเสวนาว่าเป็นหนทางแห่งความร่วมมือกัน และเป็นความเข้าใจร่วมกันว่าเป็นวิธีที่เป็นมาตรฐาน” [6] ทว่าต้องเพื่อรับใช้ประชาชนเสมอ

        พี่น้องที่รัก บัดนี้ยิ่งกว่ายุคใด ๆ พวกเราต้องสร้างอนาคตจากฐานราก จากการเมืองพร้อมกับประชาชนโดยมีรากเหง้าอยู่ในประชาชน ขอให้การประชุมของท่านให้แสงสว่างกับหนทางดังกล่าว

        ขอขอบคุณ  

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสาส์นวีดีโอของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)

เชิงอรรถ

______________________________

[1] In Spanish: tierra, techo y trabajo.

[2] Angus Ritchie, Inclusive Populism: Creating Citizens in the Global Age (Univ. Notre Dame Press, 2019).

[3] Pope Francis, Let Us Dream. The Path to a Better Future. In conversation with Austen Ivereigh (Simon & Schuster, 2020) p. 112.

[4] Let Us Dream, p. 121.

[5] Let Us Dream, p. 120.

[6] Document on Human Fraternity, quoted in Fratelli tutti, no. 285.

สาส์นจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสครบรอบ 58 ปี ของวันภาวนาสากลเพื่อกระแสเรียก

สาส์นจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสครบรอบ 58 ปี ของวันภาวนาสากลเพื่อกระแสเรียก

(วันที่ 25 เมษายน 2021) นักบุญยอแซฟ: ความฝันแห่งกระแสเรียก

วันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันครบรอบ 150 ปี ของการประกาศให้นักบุญยอแซฟเป็นองค์อุปถัมภ์ของพระศาสนจักรสากลถือเป็นจุดเริ่มต้นของปีพิเศษที่อุทิศให้กับท่าน (เทียบ กฤษฎีกาศาลคดีมโนธรรม (Apostolic Penitentiary) วันที่ 8 ธันวาคม 2020) ในส่วนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เขียนสมณลิขิต “ด้วยหัวใจของบิดา” (Patris Corde) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือ “เพื่อเพิ่มพูนความรักของเราที่มีต่อท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้” นักบุญยอแซฟเป็นภาพของบุคคลผู้สูงส่งแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่อยู่ “ใกล้ชิดกับประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ของเราอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน” ท่านไม่ได้ทำสิ่งที่น่าประหลาดใจ ท่านไม่ได้มีพระพรพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด และท่านก็ไม่ได้ดูพิเศษในสายตาของคนที่พบท่าน ท่านไม่ได้มีชื่อเสียงหรือแม้แต่เป็นที่สังเกต พระวรสารไม่ได้กล่าวถึงคำพูดของท่านแม้แต่คำเดียว ถึงกระนั้นด้วยชีวิตธรรมดาของท่าน ท่านได้ทำสิ่งที่พิเศษในสายพระเนตรของพระเจ้าให้สำเร็จไป

พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่หัวใจ (เทียบ 1 ซมอ 16: 7) และในตัวของนักบุญยอแซฟ พระองค์ทรงแลเห็นหัวใจของบิดาผู้ซึ่งสามารถเป็นผู้ให้ และทำให้ชีวิตเกิดขึ้นในท่ามกลางการงานประจำวัน กระแสเรียกต่างๆ มีเป้าหมายเดียวกันนี้ คือการให้กำเนิดและเริ่มชีวิตใหม่ในทุกวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนาที่จะหล่อหลอมจิตใจของบิดาและมารดาอันได้แก่ หัวใจที่เปิดกว้าง มีความสามารถในการริเริ่มที่ยิ่งใหญ่ มีใจกว้างในการเสียสละตนเอง มีความเห็นอกเห็นใจในการบรรเทาความวิตกกังวลต่างๆ และแน่วแน่ในการเสริมสร้างความหวัง สังฆภาพและชีวิตผู้ถวายตัวต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างยิ่งในปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่มีความเปราะบาง พร้อมไปกับความทุกข์ทรมานอันเนื่องจากโรคระบาดครั้งใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอน และความกลัวเกี่ยวกับอนาคตและความหมายของชีวิตอย่างมาก นักบุญยอแซฟมาพบเราด้วยวิธีที่อ่อนโยนของท่าน ในฐานะที่เป็น “นักบุญผู้อยู่ใกล้ชิด” ในขณะเดียวกันการเป็นพยานที่เข้มแข็งของท่านสามารถนำเราในการเดินทางได้

ท่านนักบุญยอแซฟแนะนำถ้อยคำ 3 คำที่เป็นดังกุญแจสำคัญสำหรับกระแสเรียกของแต่ละคน ประการแรกคือ ความฝัน ทุกคนฝันที่จะพบกับความสำเร็จในชีวิต ตามปกติเราหล่อเลี้ยงความหวังอันยิ่งใหญ่ ความปรารถนาอันสูงส่งด้วยจุดหมายปลายทางชั่วคราวที่ไม่ได้ให้ความสุขแท้จริง เช่น ความสำเร็จ ทรัพย์สินเงินทองและความบันเทิง หากเราจะขอให้ผู้คนแสดงความฝันในชีวิตออกมาเป็นคำพูดสักหนึ่งคำ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการถึงคำตอบว่าคือ “ได้รับความรัก” เป็นความรักที่ให้ความหมายกับชีวิต เพราะมันเผยแสดงให้เห็นถึงความลึกลับของชีวิต แท้จริงแล้วเราจะมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อเราได้ให้ชีวิต เราเป็นเจ้าของชีวิตอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราให้มันออกไปด้วยใจกว้างขวาง นักบุญยอแซฟมีเรื่องจะบอกเรามากมายในเรื่องนี้ เพราะว่า โดยผ่านทางความฝันที่พระเจ้าดลใจท่าน ท่านนักบุญทำให้ชีวิตของท่านเองเป็นของขวัญ

พระวรสารบอกเราถึงความฝัน 4 เรื่อง (เทียบ มธ 1:20;2:13.19.22) เป็นการเรียกจากพระเจ้า แต่ก็ไม่ง่ายที่จะยอมรับ หลังจากความฝันแต่ละครั้งนักบุญยอแซฟต้องเปลี่ยนแผนการของท่านและยอมเสี่ยงอันตราย เสียสละแผนการของตัวเองเพื่อทำตามแผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าผู้ซึ่งท่านไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยม เราอาจถามตัวเองว่า “ทำไมถึงวางใจความฝันในเวลากลางคืนได้มากขนาดนี้” แม้ว่าความฝันจะถือว่ามีความสำคัญมากในสมัยโบราณ แต่ก็ยังเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยในการเผชิญกับความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรมของชีวิต ถึงกระนั้นนักบุญยอแซฟก็ปล่อยให้ตัวเองถูกนำทางไปตามความฝันโดยไม่ลังเล ทำไม? เพราะหัวใจของท่านมุ่งไปยังพระเจ้า มันถูกโน้มนำไปสู่พระองค์อยู่แล้ว สิ่งบ่งชี้เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับ “การได้ยินเสียงภายใน” ของท่านที่ตื่นเฝ้าที่จะจดจำเสียงของพระเจ้าได้ สิ่งนี้ใช้ได้กับการเรียกของเราด้วยเช่นกัน พระเจ้าไม่พอพระทัยที่จะเปิดเผยพระองค์เองในรูปแบบน่าตื่นตาตื่นใจ บังคับเสรีภาพของเรา พระองค์ถ่ายทอดแผนการของพระองค์แก่เราด้วยความอ่อนโยน พระองค์ไม่ได้ทำให้เราพิศวงด้วยภาพนิมิตรที่ชวนให้หลงไหล แต่ทรงตรัสอย่างเงียบ ๆ ในส่วนลึกของจิตใจเรา ทรงเข้ามาใกล้เราและตรัสกับเราผ่านความคิดและความรู้สึกของเรา ด้วยวิธีนี้ พระองค์ทรงนำเสนอจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งและไม่คาดคิดให้แก่เราเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำกับนักบุญยอแซฟ

อันที่จริงความฝันของนักบุญยอแซฟทำให้ท่านเข้าสู่ประสบการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ประการแรก การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการหมั้นของท่าน แต่ทำให้ท่านเป็นบิดาของพระเมสสิยาห์ ประการที่สองทำให้ท่านต้องหนีไปอียิปต์ แต่ได้ช่วยชีวิตครอบครัวของท่านไว้ จากนั้นความฝันประการที่สามแจ้งให้ท่านกลับไปยังดินแดนบ้านเกิด ความฝันประการที่สี่ทำให้ท่านต้องเปลี่ยนแผนอีกครั้งโดยพาพระกุมารกลับไปที่นาซาเร็ธ สถานที่ที่พระเยซูเจ้าจะเริ่มประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเหล่านี้ ท่านพบกับความกล้าหาญที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ในกระแสเรียกก็เช่นกัน การเรียกของพระเจ้ามักกระตุ้นให้เราออกย่างก้าวแรกออกไป เพื่อมอบตนเอง ก้าวไปข้างหน้า ไม่มีความเชื่อใดที่ไม่มีความเสี่ยง เพียงแค่การออกจากตนเอง วางใจในพระหรรษทาน วางแผนการและความสะดวกสบายของตนเองลง เราจึงจะสามารถกล่าวตอบ “ครับ/คะ” อย่างแท้จริงกับพระเจ้า และทุกคำตอบ ”ครับ/คะ” จะบังเกิดผลเพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งเราแลเห็นได้เฉพาะส่วนย่อย แต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตรกรทรงทราบและเป็นผู้ดำเนินงานให้ทุกชีวิตเป็นผลงานชิ้นเอก ในเรื่องนี้ยอแซฟเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในการยอมรับแผนการของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นการยอมรับของท่านเป็นการยอมรับอย่างแข็งขัน ไม่ลังเลหรือฝืนใจ  นักบุญยอแซฟ ”แน่นอนว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ยอมจำนนอย่างนิ่งเฉย แต่ท่านเป็นผู้ที่เลือกตอบสนองอย่างกล้าหาญและแน่วแน่” (Patris Corde, 4) ขอท่านช่วยทุกคนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในการวินิจฉัยตัดสินใจและการทำความฝันของพระเจ้าสำหรับพวกเขาให้เป็นจริง ขอให้ท่านสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขากล้าที่จะตอบ ”ครับ/คะ” กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างความอัศจรรย์ใจและไม่เคยทำให้ผิดหวัง

คำที่สองซึ่งชี้ให้เห็นการเดินทางของนักบุญยอแซฟและกระแสเรียกคือ การรับใช้ พระวรสารแสดงให้เห็นว่านักบุญยอแซฟใช้ชีวิตทั้งหมดเพื่อผู้อื่นและไม่เคยทำเพื่อตัวเองอย่างไร ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าวิงวอนต่อท่าน ในฐานะเป็นภัสดาผู้บริสุทธิ์ยิ่งที่ตั้งอยู่บนความสามารถในการรักโดยไม่ยึดถือสิ่งใดเพื่อตนเอง ด้วยความรักที่เป็นอิสระจากการครอบครองใดๆ ท่านเปิดตัวเองเพื่อการรับใช้ที่บังเกิดผลมากยิ่งขึ้น การดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักของท่านขยายสืบทอดไปจากรุ่นสู่รุ่น การปกป้องอย่างใส่ใจของท่านทำให้ท่านกลายเป็นองค์อุปถัมภ์ของพระศาสนจักร ในฐานะที่ท่านรู้วิธีการทำให้ความหมายของการมอบอุทิศชีวิตเป็นรูปธรรมที่เป็นจริง นักบุญยอแซฟยังเป็นองค์อุปถัมภ์ของการตายอย่างมีความสุขอีกด้วย อย่างไรก็ตามการรับใช้และการเสียสละของท่านเป็นไปได้เพียงเพราะว่าได้รับการสนับสนุนจากความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า “ทุกกระแสเรียกที่แท้จริงเกิดจากการมอบตนเองเป็นของขวัญซึ่งเป็นผลของการเสียสละอย่างมีวุฒิภาวะ การเป็นสมณะและชีวิตผู้ถวายตัวก็เรียกร้องวุฒิภาวะเช่นเดียวกัน ไม่ว่ากระแสเรียกของเราจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าจะแต่งงาน ถือโสดหรือเจริญชีวิตพรหมจรรย์ การมอบตนเองเป็นของขวัญของเราจะไม่สมบูรณ์หากหยุดอยู่เพียงแค่การเสียสละเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นแทนที่จะเป็นเครื่องหมายความสวยงามและความชื่นชมยินดีแห่งความรัก การมอบตนเองเป็นของขวัญก็เสี่ยงที่จะเป็นการแสดงถึงการไม่มีความสุข ความเสียใจและความผิดหวัง (Patris Corde, 7)

สำหรับนักบุญยอแซฟการรับใช้เป็นการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมของการมอบตนเองเป็นของขวัญที่ไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติอันสูงส่งเท่านั้น แต่กลายเป็นหลักปฏิบัติสำหรับชีวิตประจำวัน ท่านพยายามค้นหาและเตรียมสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับพระเยซูที่จะประสูติ ท่านพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพระองค์จากความโกรธเกรี้ยวของเฮโรดโดยจัดเตรียมการเดินทางอย่างเร่งรีบไปอียิปต์ ท่านกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มทันทีเมื่อรู้ว่าพระเยซูหายไป ท่านเลี้ยงดูครอบครัวด้วยการทำงานแม้จะอยู่ต่างแดน  ในระยะเวลาสั้นๆ ท่านปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันด้วยทัศนคติของคนที่ไม่ท้อถอยเมื่อชีวิตไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ท่านแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจตามแบบฉบับของผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ ด้วยจิตตารมณ์นี้ยอแซฟยอมรับการเดินทางแห่งชีวิตหลายครั้งและที่ไม่คาดคิดหลายครา จากนาซาเร็ธ ไปเบธเลเฮ็มเพื่อสำรวจสำมะโนประชากร จากนั้นไปอียิปต์และอีกครั้งไปยังนาซาเร็ธ และทุก ๆ ปีไปกรุงเยรูซาเล็ม ทุกครั้งที่ท่านเต็มใจเผชิญสถานการณ์ใหม่ ๆ โดยไม่บ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมที่จะยื่นมือเข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์ เราสามารถพูดได้ว่านี่เป็นพระหัตถ์ที่ยื่นออกมาของพระบิดาเจ้าสวรรค์ไปหาพระบุตรของพระองค์บนแผ่นดินโลก ยอแซฟไม่สามารถล้มเหลวในการเป็นแบบอย่างสำหรับทุกกระแสเรียก ที่ถูกเรียกให้เป็นพระหัตถ์ของพระบิดาที่ทำงานอยู่เสมอในการยื่นออกไปหาบรรดาบุตรของพระองค์

ข้าพเจ้ามักที่จะคิดถึงนักบุญยอแซฟองค์อุปถัมภ์ของพระเยซูและและพระศาสนจักร ในฐานะองค์อุปถัมภ์กระแสเรียกทั้งหลาย อันที่จริงจากความเต็มใจที่จะรับใช้ทำให้ท่านต้องห่วงใยที่จะปกป้อง พระวรสารบอกเราว่า “ยอแซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารและพระมารดาออกเดินทางไปอียิปต์ในคืนนั้น” (มธ 2:14) เผยให้เห็นความห่วงใยเสมอที่ท่านเห็นแก่ความดีของครอบครัว ท่านไม่เสียเวลาไปกับการเป็นทุกข์ในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เพื่อที่จะให้ความสนใจอย่างเต็มที่ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแล ความห่วงใยอย่างเอาใจใส่เช่นนี้เป็นเครื่องหมายของกระแสเรียกที่แท้จริง ประจักษ์พยานของชีวิตที่ได้รับการสัมผัสจากความรักของพระเจ้า นับเป็นตัวอย่างที่สวยงามของชีวิตคริสตชนเมื่อเราปฏิเสธที่จะทำตามความทะเยอทะยานหรือปล่อยตัวไปกับภาพลวงตา แต่เอาใจใส่สิ่งที่พระเจ้ามอบความไว้วางใจให้เราผ่านทางพระศาสนจักรแทน แล้วพระเจ้าจะประทานพระจิตและความคิดสร้างสรรค์ของพระองค์เหนือเรา พระองค์ทรงทำสิ่งมหัศจรรย์ในตัวเราเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำกับยอแซฟ

พร้อมกับการเรียกของพระเจ้าซึ่งทำให้ความฝันอันสูงสุดของเราเป็นจริงและการตอบรับของเราซึ่งประกอบด้วยการรับใช้ด้วยใจกว้างและการดูแลด้วยความเอาใจใส่ มีคุณลักษณะประการที่สามในชีวิตประจำวันของนักบุญยอแซฟและกระแสเรียกคริสตชนของเรา คือ ความซื่อสัตย์ โยเซฟเป็น “ผู้ชอบธรรม” (มธ 1:19) ที่เพียรพยายามรับใช้พระเจ้าและแผนการของพระองค์อย่างเงียบ ๆ ทุกวัน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นพิเศษในชีวิต ท่านคิดอย่างรอบคอบว่าจะทำอย่างไร (เทียบข้อ 20) ท่านไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกกดดันให้ทำอะไรอย่างใจร้อน ท่านไม่ปล่อยให้ถูกล่อลวงที่จะทำอะไรผลีผลามตามสัญชาตญาณหรือเอาตัวรอดชั่วขณะหนึ่ง แต่ท่านพิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ อย่างอดทน ท่านรู้ว่าความสำเร็จในชีวิตเกิดจากความซื่อสัตย์อย่างมั่นคงต่อการตัดสินใจที่สำคัญ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นจากความมุมานะของท่านในการทำงานอาชีพช่างไม้ผู้สุภาพถ่อมตน (เทียบ มธ 13:55) ความเพียรพยายามอย่างเงียบ ๆ ที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในสมัยของท่าน แต่ได้สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวันให้กับผู้เป็นบิดาทุกคน บรรดาผู้ใช้แรงงานและคริสตชนอย่างมากมาย เพราะว่ากระแสเรียกเป็นดังชีวิตที่เติบโตมีวุฒิภาวะขึ้นด้วยความซื่อสัตย์ในชีวิตประจำวันเท่านั้น

ความซื่อสัตย์ดังกล่าวได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างไร? ในแสงสว่างของความซื่อสัตย์ของพระเจ้าเอง คำพูดแรกที่นักบุญยอแซฟได้ยินในความฝันคือคำเชื้อเชิญให้ไม่ต้องกลัวเพราะพระเจ้ายังคงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ “ยอแซฟโอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัว” (มธ 1:20) อย่ากลัวคำพูดเหล่านี้พระเจ้าตรัสกับเธอ น้องสาวที่รัก และกับเธอ น้องชายที่รัก เมื่อใดก็ตามที่พวกเธอรู้สึกเช่นนั้นแม้ท่ามกลางความไม่แน่ใจและลังเล พวกเธอไม่สามารถชะลอความปรารถนาที่จะมอบชีวิตให้กับพระองค์อีกต่อไป พระองค์ตรัสคำเหล่านี้ซ้ำๆ บางทีอยู่ท่ามกลางความยากลำบากและความเข้าใจผิดต่างๆ นานา เธอได้พยายามทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ทุกวัน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คำเหล่านี้คือคำพูดที่เธอจะได้ยินอีกครั้งในทุกย่างก้าวแห่งกระแสเรียกของเธอ เมื่อเธอหันกลับไปสู่ความรักแรกของเธอ คำพูดเหล่านี้จะเดินเคียงข้างผู้ที่กล่าวตอบ ตกลง กับพระเจ้าด้วยชีวิตของตนแต่ละวันอย่างซื่อสัตย์เช่นเดียวกับนักบุญโยเซฟ

ความซื่อสัตย์นี้เป็นเคล็ดลับของความชื่นชมยินดี บทเพลงสดุดีทางพิธีกรรมกล่าวถึง “ความชื่นชมยินดีที่ชัดแจ้ง” ที่มีอยู่ในบ้านแห่งนาซาเร็ธ เป็นความยินดีในชีวิตประจำวันและความเรียบง่ายที่เข้าใจได้ ความยินดีที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้ที่เอาใจใส่ต่อสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง อันได้แก่ ความใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้านของเรา จะดีสักเพียงใดถ้าบรรยากาศเดียวกันนี้ อันเรียบง่ายและสดใส สงบสุขและเปี่ยมด้วยความหวังจะแผ่กระจายไปทั่วสามเณราลัย บ้านนักบวช และบ้านพักพระสงฆ์ของเรา ข้าพเจ้าภาวนาวอนขอให้ท่านประสบความสุขเช่นเดียวกันนี้ พี่น้องชายหญิงที่รัก ผู้ซึ่งทำให้พระเจ้าเป็นความฝันในชีวิตของเธอด้วยความใจกว้าง รับใช้พระองค์ในพี่น้องผ่านความซื่อสัตย์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานอันทรงพลังในยุคแห่งการเลือกที่ไม่ยั่งยืนและอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่นำความยินดีที่แท้จริงตลอดไปมาให้ ขอให้นักบุญยอแซฟ องค์อุปถัมภ์แห่งกระแสเรียกเดินเคียงข้างเธอด้วยหัวใจของบิดา

ให้ไว้ ณ กรุงโรม มหาวิหารนักบุญยอห์น แห่งลาเตรัน
19 มีนาคม 2021 วันสมโภชนักบุญยอแซฟ
พระสันตะปาปาฟรังซิส

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ปี B

เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี

ครั้งหนึ่งมีผู้หญิงชาวอินเดียจูงลูกชายเล็กๆ คนหนึ่งไปหามหาตมะ คานธี แล้วขอร้องท่านว่า “ท่านมหาตมะ โปรดบอกลูกชายของฉันให้เลิกกินน้ำตาลเสียที” ท่านนักปราชญ์หยุดคิดสักครู่ และตอบว่า “อีกสามวันให้กลับมาใหม่” หญิงนั้นเดินจากไปพร้อมบุตรชายด้วยความฉงนใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แน่ทีเดียวว่าสามวันต่อมาเธอก็กลับมาอีก ขณะที่เข้ามาใกล้ ท่านคานธีก็พูดกับเด็กชายว่า “จงเลิกกินน้ำตาลได้แล้ว” ผู้เป็นแม่ยังไม่หายสงสัย จึงถามว่า “ทำไมถึงจำเป็นสำหรับเราที่จะต้องกลับมาภายในสามวัน เพื่อให้ท่านบอกลูกชายตัวเล็กของฉันเช่นนั้น” ท่านคานธีตอบว่า “สามวันที่แล้ว ฉันเองก็ยังไม่ได้หยุดกินน้ำตาล”

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน” น่าสังเกตว่าพระวรสารตอนสั้นๆ นี้ได้ตรัสเรื่องยอมสละชีวิต เพื่อแกะถึงสองครั้งด้วยกัน และถ้าดูในบทต่อๆ ไปของนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร จะไม่เป็นเพียงคำตรัสเท่านั้น แต่ยอมสิ้นพระชนม์จริงๆ เพื่อให้บรรดาแกะอยู่รอดปลอดภัย

บุรุษที่ยิ่งใหญ่ในสมัยพันธสัญญาเดิมหลายท่านเป็นผู้เลี้ยงแกะด้วย เช่น โมเสสเคยเลี้ยงฝูงสัตว์ให้พ่อตา เช่นกษัตริย์ดาวิด ก็เคยทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี ท่านเคยสู้กับสัตว์ป่าดุร้าย เพื่อปกป้องฝูงแกะของท่าน ดูจากท่านเหล่านี้เราจะเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสและได้ทรงอุทิศชีวิตเพื่อฝูงแกะที่พระบิดาทรงมอบไว้ให้แด่พระองค์ นี่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลฝูงแกะแบบสุดๆ ทุ่มเทให้สุดชีวิต

อีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้เลี้ยงแกะที่ดี แม้ไม่มีอันตรายกล้ำกรายจากภายนอกเขายังดูแลให้ฝูงแกะกินอยู่อย่างดีบริบูรณ์ โดยเฉพาะแกะประเภท 3L คือแกะตัวที่หลงไป (the Lost) ตัวที่ต่ำต้อยที่สุด (the Least) และตัวสุดท้าย (the Last)

“เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา” คำว่ารู้จักในภาษาพระคัมภีร์มีความหมายถึงความสนิทกันอย่างมาก เหมือนกับเป็นเพื่อนร่วมสาบาน รู้จักกันดีทุกแง่ทุกมุม เคยตรัสว่า รู้จักแกะแต่ละตัว เรียกชื่อมันและมันก็ตามพระองค์ไป จริงๆ แล้วทรงรู้จักเราเป็นอย่างดี มีแต่เราเท่านั้นแหละจะรู้จักพระองค์ดีหรือไม่

“ยังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราจะต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วย” ตรัสเช่นนี้ก็เผยให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์ ที่มิทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเลยต้องเสียไป ถ้าเราหลงไปเป็นอื่น หลงไปคอกอื่นๆ กลับมาเวลานี้ดีไหมครับ มาอยู่คอกนี้ที่มีชื่อว่า “คอกของผู้เลี้ยงแกะที่ดี”

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2012)

จดจำอดีต… อยู่กับปัจจุบัน… เพื่อเตรียมอนาคต

จดจำอดีต... อยู่กับปัจจุบัน... เพื่อเตรียมอนาคต

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสกับบรรดาพระสงฆ์นักศึกษาชาวฟิลิปปินส์ ที่กรุงโรม วันที่ 22 มีนาคม 2021

บรรดาพระสงฆ์  นักบวช  และฆราวาส ของวิทยาลัยฟิลิปปินส์ (กรุงโรม) ที่รัก

พ่อยินดีที่เราสามารถพบกัน  ระลึกถึง 500 ปี แห่งการประกาศข่าวดีในประเทศฟิลิปปินส์  และมิสซาแรก  ในวันปัสกา 31 มีนาคม  ค.ศ.1561 และ  ระลึกถึงการตั้งวิทยาลัยของท่าน  วันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1961 นักบุญยอห์น ที่ 23 ได้เสด็จไปที่วิทยาลัย  วันที่ 7 ตุลาคม ปีนั้น  จึงขอให้เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับ 60 ปี แห่งการอบรมพระสงฆ์  ซึ่งทำให้มีสามเณร  และพระสงฆ์มากมายมีโอกาสเติบโตในฐานะสงฆ์ดั่งพระหฤทัยพระเยซูเจ้าเพื่อรับใช้ประชากรของพระเจ้าในประเทศฟิลิปปินส์

            เมื่อเราคิดทบทวนโอกาสฉลอง  ทำให้เราคิดถึง “เวลา”  ซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา  จึงต้องใช้ด้วยความรับผิดชอบ  ต้องกตัญญูต่อพระองค์  ด้วยการทำงานให้ดี  และมองอนาคตด้วยความหวัง

            ประการแรก  ให้เราคิดถึงอดีต  ประวัติศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของทุกคน  ทุกชีวิต  การมองย้อนเวลาในอดีต  กำเนิดของพระศาสนจักรในฟิลิปปินส์  คิดถึงความทรงจำ  ติดตามรอยเท้าของบรรดาผู้มาก่อนเรา ต้นกำเนิดความเชื่อ  เราต้องรู้สึกกตัญญู และประทับใจในทุกสิ่งที่ท่านได้รับ  ทุกวันฉลองเป็นโอกาสให้พลิกดูอัลบั้มครอบครัว  ระลึกว่าเรามาจากไหน  ประสบการณ์ความเชื่อ  ประจักษ์พยานพระวรสาร  ที่สร้างเราที่อยู่ในวันนี้… โมเสสเคยกล่าวในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติว่า “จงจำใส่ใจ” (4:9) “จงดูอดีต  อย่าลืมพระหรรษทานของพระเจ้า”  จงจำรากกำเนิดของท่าน  นักบุญเปาโลกล่าวกับทิโมธีว่า  “จงระลึกถึงแม่  และยายของท่าน “ และจดหมายถึงชาวฮีบรู “จงระลึกถึงวันเหล่านั้นในสมัยแรก  ระลึกถึงบรรดาผู้ได้ประกาศพระวรสารแก่ท่าน”  ศาสนาคริสต์ ที่ปราศจากความทรงจำ  ก็เป็นเหมือนหนังสือสารานุกรม  ไม่ใช่วิถีชีวิต

            ความทรงจำเป็นสิ่งสำคัญ  สำหรับประชาชนส่วนรวม  และแต่ละคนด้วย  เราควรคิดย้อนอดีตถึงสิ่งที่งดงาม  และไม่งดงาม  สิ่งที่ดี และไม่ค่อยดี  แต่เห็นว่า เป็นพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า  การไตร่ตรองอดีต ก็เตือนใจเราให้คิดถึงผู้ที่ได้ช่วยเหลือคนแรกให้รักพระเยซูเจ้า  พระสงฆ์  ซิสเตอร์ ปู่ย่าตายาย  หรือผู้ปกครองที่เราเป็นหนี้  สำหรับพระพรยิ่งใหญ่นี้  สำหรับท่านที่เป็นพระสงฆ์ ให้คิดเป็นพิเศษถึงเวลาที่ค้นพบกระแสเรียก  เวลาที่ตอบรับ  และวันรับศีลบวช

            เมื่อใดที่ท่านรู้สึกเหนื่อย  และท้อใจ  ผิดหวัง  ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน จงมองย้อนอดีต  ไม่ใช่เพื่อพบที่ลี้ภัย  แต่ฟื้นสติแรงกระตุ้น  และความรักแรกเหมือนประกาศกเยเรมีย์  (2:2)

            การมองอนาคตในแง่บวก..ด้วยความซื่อสัตย์ต่อพระเยซูจ้า   และทำหน้าที่ตามกระแสเรียก  ดุจเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า

            ปัจจุบัน  เป็นเวลาที่เราอยู่ในวันนี้ จงใช้เพื่อการกลับใจ  และความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์  พระเจ้ากำลังเรียกเราในปัจจุบัน  ไม่ใช่เมื่อวาน  ไม่ใช่พรุ่งนี้…อย่าปฏิเสธ  แต่จงน้อมรับ โดยถือว่าเป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์  แม้บนไม้กางเขน

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปลสรุป 22 เมษายน 2021

The Holy See

Dear priests, religious and lay faithful of the Pontificio Collegio Filippino de Nuestra Señora de laPaz y Buen Viaje,I am pleased that we can meet and commemorate the five-hundredth anniversary of theevangelization of the Philippines and of the celebration of the first Holy Mass, which took place onEaster Sunday, 31 March 1561. There is another, more recent, anniversary that also deserves tobe remembered: that of the foundation of your College on 29 June 1961. Saint John XXIIpersonally inaugurated the College on 7 October of that year. Together let us thank the Lord forthese sixty years of priestly formation, which have provided many seminarians and priests with theopportunity to grow as priests according to the heart of Christ for the service of the People of Godin the Philippines.As we reflect on these anniversaries, I would like to share with you some thoughts about time. Ourlife takes shape in time and time is itself a God-given gift, to be used responsibly to express ourgratitude to him, to do good works and to look to the future with hope. I thank the Rector for hiskind words, and I am glad Cardinal [Tagle] is with you. This is a beautiful thing. Now let us returnto our thoughts about time.First, let us reflect on the past, the history that is part of every individual and every life. Going backin time, even centuries, as we are doing for the birth of the Church in the Philippines, is likereturning in memory, retracing the footsteps of those who came before us, to the very origins ofyour faith, with a sense of gratitude and wonder for all that you have received. Every anniversaryis an opportunity to flick through our “family album”, to remember where we come from and theexperiences of faith and the testimonies to the Gospel that have made us who we are today.Memory. A “Deuteronomic” memory; a memory that is always at the basis of daily life. Thememory of the journey made so far … “Remember, be mindful”, said Moses in Deuteronomy.“Remember past times, the graces of God, do not forget”. Remember your roots. Paul said toTimothy: “Remember your mother, your grandmother”. The roots, the memory. So too, the authorof the Letter to the Hebrews tell us: “Remember pristinos dies, those early days, and rememberthose who proclaimed the Gospel to you”. A Christianity without memory is an encyclopedia, not a

 
 

way of life.Memory is important for an entire people, but also for every single person. Each of us should thinkback on the many beautiful and not so beautiful, the good and not so good memories we have, butalways seeing in them God’s providence. Reflecting on the past reminds us of those who firsthelped us fall in love with Jesus – a parish priest, a nun, our grandparents, or parents – to whomwe are indebted for this greatest of gifts. For priests, we think especially of the time we discoveredour vocation, the moment when we said our first convinced “yes” to God’s call, and the day of ourordination.Whenever you feel weary and disheartened, downcast as the result of some setback or failure –and this is the case with everyone – look back on your history, not to find refuge in an idealizedpast, but to regain the momentum and passion of your “first love”, the one spoken of by Jeremiah(cf. Jer 2:2). Go back to your first love. It is good to retrace the steps God has taken in our life, thetimes when his path crossed ours to correct, encourage, renew, redirect and pardon us. In thatway, we come to see clearly that the Lord has never abandoned us, that he has always been atour side, sometimes quietly, sometimes clearly, even at times that seemed to us darkest and mostarid.If the past can help us be more aware of the firmness of our faith and vocation, the futurebroadens our horizons and teaches us hope. The Christian life is by its nature projected towardsthe future, both the immediate future and that more distant future, at the end of time, when we willencounter the Risen Lord who has gone to prepare a place for us in the Father’s House (cf. Jn14:2).If remembering the past should not turn into self-absorbed introspection, we should also avoid thetemptation to take refuge in the future and not serenely confront the present. If we are in theseminary, everything is dreary, because all we can think about is what life will be like afterordination. If we have been given a pastoral responsibility, as soon as the first difficulties arise, wealready start thinking about other, supposedly better assignments. The result is like a sinful andimmature flight to the future in order to escape from the present. The real future is anchored in thepresent and in the past. Many people go on like this for years, or for a lifetime, without ever beingconverted. It is like having a constant spirit of complaint about everything. Instead, we need to lookboth forward and backward. You have God’s promises and his election. Make that a covenant thatyou constant bear with you. Do not wander around in the labyrinth of your complaints anddissatisfactions. That is the start of a very nasty disease, a bitterness of soul.Dear priests – but this also applies to you who are consecrated, to the lay faithful, and to all of you– do not be eternal procrastinators, always putting off to hopefully better times and places – autopia in the bad sense – that postpones the chance to do some good in the here and now. Do notlive in constant “apnea”, simply tolerating the present and waiting for it to pass. “Yes, Lord, maybe2

 

tomorrow…”. The tomorrow that never comes.Looking to the future in a positive sense means having a prophetic gaze, the gaze of a disciplewho, in fidelity to the Master and the task set before him, can look ahead, seeing possibilities andworking in accordance with his own vocation to make them happen, acting as a docile instrumentin God’s hands.Now that we have “traveled” to the past and to the future, let us return to the present, the only timewe now possess and are called to use for a journey of conversion and growth in holiness. God iscalling us in the present, not yesterday, not tomorrow, but this very day, with its difficulties,sufferings and disappointments – and also our sins. These are not to be refused or avoided, butembraced and loved as opportunities that the Lord is offering us to be ever more closely united tohim, even on the cross.Now, dear friends, is the time to be decisive. As priests, you are in Rome to study and to receiveongoing formation in the community of this College. You are not being asked to yearn for theparishes you once served or to dream about the “prestigious” positions your Bishop will give youon your return… This is day dreaming. Instead, you are being asked to love this concretecommunity, to serve the brothers and sisters that God has given you – and not speak ill of them –and to take advantage of the pastoral experiences set before you. That is the reason you weresent here, to be serious and diligent in your studies. As Saint John Paul II said to yourpredecessors, “through your commitment to your studies, you will be prepared to carry out theministry of the word and to preach the mystery of salvation clearly and unambiguously,distinguishing it from merely human opinions” (2 June 2001).So, know the past, prepare for the future and fully experience the present as an opportunity forformation and growth in holiness. Embrace the opportunities that the Lord gives you to follow himand to conform your life more closely to his, even though you are far from your beloved country,the Philippines.Let me conclude by repeating what Saint John XXIII said sixty years ago to the first community ofthe Philippine College, expressing his hope that all priests may find here “a source of abundantfaith and culture and a fraternal atmosphere, which will equip you to return to your homeland aschosen heralds of truth” (Radio Message, 7 October 1961). Thank you!