วันเด็กสากล ครั้งแรก

วันเด็กสากล ครั้งแรก

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสได้ประกาศ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2023 สมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล ว่าจะฉลองวันเด็กสากลครั้งแรก (World Children’s Day) ที่กรุงโรมในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2024 เด็กๆน่ารัก แต่ในหลายๆประเทศในโลก มีสงคราม ทำให้เด็กๆเสียชีวิต หิวโหย และการแพร่ระบาดใหญ่ไม่นานมานี้ ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ และกังวลถึงอนาคต
.
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2023 ณ หอประชุมเปาโล ที่ 6 พระสันตะปาปาได้พบเด็กหลายพันคน อายุระหว่าง 6-12 ปี ส่วนใหญ่จากอิตาลี พวกเขามีชีวิตชีวา เป็นความหวังของโลกและของพระศาสนจักร ดังนั้นพระสันตะปาปาปรารถนาจะพบเด็กๆ ให้เป็นช่วงเวลาที่พระศาสนาจักรทั้งหมดกระทำสม่ำเสมอ
.
พระสันตะปาปาให้ สมณะกระทรวงเพื่อวัฒนธรรม และการศึกษา รับผิดชอบจัดงานวันเด็กสากลครั้งแรก โดยคุณพ่อ Enzo Fortunato เป็นผู้ประสานงาน การฉลองทั้งระดับพระศาสนจักรสากล ที่กรุงโรม และระดับสังฆมณฑล ให้เป็นความคิดริเริ่มของแต่ละสังฆมณฑล
.
เหตุผลที่พระสันตะปาปาต้องการพบเด็กๆ
· • —– ٠ ✤ ٠ —– • ·
เพื่อประกาศ ความชื่นชมยินดีแห่งพระวารสาร แก่เด็กๆ พวกเขามีสิทธิพบกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงทำให้ลูกสาวของไยรัสกลับคืนชีพ และขอให้ผู้ปกครองหาอาหารให้เด็กนั้นกิน (มก:21-43) ทรงปลุกบุตรชายของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ และส่งมอบเขาให้แก่มารดา (ลก 7:11-17) พระคริสตเจ้าทรงจูงเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนกลางผู้ใหญ่ และสอนเรื่องการเข้าอาณาจักรสวรรค์ (มก 9:33-37) พระองค์ตรัสกับเด็กๆว่า “จงลุกขึ้น….เดินไป” (มก 2:9-12) ” ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด” (มธ 11:28) “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” (มธ 9:2) “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ยน 14:6) พระองค์ตรัสกับเด็กๆด้วย ถึงความจำเป็นต้องผ่านประตูแคบ และแบกไม้กางเขน (มธ 7:13-14; ลก 9:23)
.
พระสันตะปาปาปรารถนาพบเด็กทั้งชายและหญิงเพื่อให้ฟังพระวรสารปลุกใจพวกเขา ตั้งแต่วัยแรกของชีวิต ลักษณะพิเศษของเด็กๆ คือยอมรับสิ่งใหม่ๆ การเกิดเป็นเหตุการณ์สู่ชีวิตใหม่ บุคคลใหม่ และทำให้บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ น้อง มีบทบาทใหม่ ดังที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ “เราทำทุกสิ่งขึ้นใหม่” (วว 21:5)”… เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ ทรงบังเกิดที่ เบธเลเฮม และเจริญวัยที่นาซาเร็ธ
.
ด้วยเหตุนี้ พระสันตะปาปาได้เลือก หัวข้อของวันเด็กสากลครั้งแรกว่า “เราทำทุกสิ่งขึ้นใหม่” (วว 21:5) เป็นการเชิญให้เป็นเหมือนเด็ก ปฏิบัติเหมือนพวกเขา เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆที่พระจิตของพระคริสต์เจ้าบันดาลใจทั้งชายหญิงทุกคนในประวัติศาสตร์ และในพระศาสนจักร
.
ดังนั้นพ่อขอให้มีเด็กๆร่วมงานนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งที่กรุงโรม และสังฆมณฑลต่างๆ ทั้งผู้มีสุขภาพดี คนจน และเด็กๆอ่อนแอที่สุด ก็มาร่วมได้

(6 กุมภาพันธ์ 2024 พระคาร์ดินัล โฮเซ่ โตเลนติโน่ สมณมณตรี
ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล)

วาติกันเตือนบรรดาบาทหลวงห้ามแก้ไขพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์

วาติกันเตือนบรรดาบาทหลวงห้ามแก้ไขพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์

( Aleteia ,3 กุมภาพันธ์ 2024)

พระศาสนจักรต้อนรับความคิดสร้างสรรค์ในงานอธิบาล แต่ห้ามแตะเรื่องสาระ (Matter) และรูปแบบ (form) ของศีลศักดิ์สิทธิ์

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้รับรองเอกสารทางการชื่อ “Gestis verbisque” อาศัยท่าทางและคำพูด (By gestures and words) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2024 สมณกระทรวงเรื่องข้อความเชื่อเตือนบรรดาบาทหลวงไม่ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมด้วยความริเริ่มส่วนตัว เพราะอาจทำให้ศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นโมฆะ (invalid)

โรมยืนยันว่าความริเริ่มแก้ไขการใช้คำ หรือรูปแบบของพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นการทำผิดกฎหนักและสมควรถูกลงโทษเป็นแบบอย่าง

พระคาร์ดินัล วิคตอร์ มานูเอล เฟอร์นันเดซ สมณมณตรีของสมณกระทรวงเรื่องข้อความเชื่อ อธิบายว่าสมาชิกของสมณกระทรวงได้รับรองเอกสารนี้เป็นเอกฉันท์ ในการประชุม เมื่อวันที่ 25 มกราคม

เอกสารนี้เป็นการตอบสถานการณ์ที่บางคนชอบเพิ่มเติมพิธีกรรมสำคัญ จะทำศีลศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นผลและโมฆะ (null and void) จำเป็นต้องทำพิธีใหม่

พระคาร์ดินัลอ้างถึงพิธีศีลล้างบาป บาทหลวงบางคนเพิ่มบทสูตรเอง เช่น “ข้าพเจ้าขอล้างท่านในนามของพระผู้สร้าง…” หรือ “ในนามของพ่อ (daddy) และแม่ (mommy) … .เราขอล้างท่าน”

วันที่ 6 สิงหาคม 2020 สมณกระทรวงเดียวกันนี้ ในสมัยของพระคาร์ดินัล หลุยส์ ลาดารีอาเฟอร์เร ได้พิมพ์ข้อสังเกตเรื่องการโปรดศีลล้างบาปที่โมฆะ เพราะใช้บทสูตรอื่นๆ

พระคาร์ดินัล เฟอร์นันเดซ กล่าวว่า บาทหลวงหลายคน “เจ็บปวดที่รู้ว่าการบวชเป็นบาทหลวงของพวกเขา โมฆะ และศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาทำพิธี ก็โมฆะ

นี่เป็นการเตือนบรรดาผู้อภิบาล “ที่ถูกผจญ ให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของพระศาสนจักร” หรือต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงพิธี

พระคาร์ดินัลยืนยันว่า “ การแก้ไขรูปแบบของศีลศักดิ์สิทธิ์ หรือ เนื้อหาสาระของศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นความผิดกฎขั้นหนัก และสมควรถูกทำโทษเป็นตัวอย่าง”

อำนาจของพระศาสนจักร

เอกสารนี้ยืนยันว่า การปรับปรุงพิธีกรรม เป็นอำนาจหน้าที่ของพระศาสนจักร มิใช่ขึ้นกับความริเริ่มส่วนบุคคล ในหนังสือพิธีกรรมจะมี ตัวอักษรสีแดง กำหนดไว้แล้ว ห้ามแก้ไขเพิ่มเติม

ส่วนการประยุกต์เข้าในวัฒนธรรม ก็ต้องเคารพระเบียบ บาทหลวงต้องปฏิบัติตามองค์ประกอบสำคัญของศีลศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความซื่อสัตย์ต่อจารีตพิธีที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อความถูกต้อง และเอกภาพของพระศาสนจักร

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล)
https://aleteia.org/2024/02/03/vatican-warns-priests-against-modifying-sacraments

บิชอปอินเดียประชุมเรื่องสิ่งท้าทายของ AI ต่อด้านการเมือง และสังคม

บิชอปอินเดียประชุมเรื่องสิ่งท้าทายของ AI ต่อด้านการเมือง และสังคม

31 มกราคม 2024

บรรดาบิชอปคาทอลิกอินเดีย ประชุมสามัญครั้งที่ 36 ในวันที่ 31 มกราคม 2024 เน้นเรื่องการตอบของพระศาสนจักรต่อสิ่งท้าทายของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในด้านสังคม และการเมือง

สมาชิก 175 ของสภาบิชอปคาทอลิกของอินเดีย (CBCI) ประชุมที่วิทยาลัยเซนต์จอห์นBengaluru

หัวข้อการประชุมมาจากสารของพระสันตะปาฟรานซิส วันสันติสากล 2024 สถานการณ์ด้านสังคม และการเมืองของประเทศ ผลของ ซีนอด (ตุลาคม 2023) ที่โรม ฐานะของรัฐ Manipur ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีความรุนแรง และสถานะภาพรวมของคริสตชนในอินเดีย

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ มีการเลือกประธาน รองประธาน 2 คน และเลขาธิการใหญ่

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)
https://www.licas.news/2024/01/31/indian-bishops-set-to-look-into-sociopolitical-realities-ai-challenges

พี่น้องคริสตชนปากีสถานถูกทรมานถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา

พี่น้องคริสตชนปากีสถานถูกทรมานถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา

( LiCAS.news,30 มกราคม 2024)

บราเดอร์คริสตชน 2 คน ชื่อ อาซัม และนาดีม มาชิห์ จาก kharota Syedan ,Sialkot ถูกทรมานหนัก และถูกบังคับให้เปลี่ยนเข้าอิสลาม
.
ผู้เบียดเบียนทั้ง 2 ถูกตำรวจควบคุมตัวแล้ว
.
วันที่ 22 มกราคม 2024 มีรายงานข่าวว่าบราเดอร์ทั้งสองถูกทำร้าย แต่ไม่รายงานว่าสถานที่ใด
บราเดอร์ อาซัม มาชิห์ ให้การว่ากลับใจเปลี่ยนศาสนา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะหากเปิดเผยเรื่องการทรมาน เขาจะถูกฆ่าด้วย
บราเดอร์ทั้งสองได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล Sialkot เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไต่สวน และรับรู้ว่าเป็นเรื่องร้ายแรง
.
ชุมชนคริสตชนท้องถิ่นตกอยู่ในความกลัว แต่ให้บราเดอร์อยู่ในสถานที่ปลอดภัย ขณะรอความยุติธรรม
.
การบังคับให้กลับใจในปากีสถาน เป็นเรื่องของรัฐบาลต้องดูแล เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดา เกรงว่าจะถูกอิทธิพลแทรก จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในปากีสถาน เพื่อปกป้องสิทธิของชนกลุ่มน้อย ไม่ให้มีการบังคับใครเปลี่ยนศาสนา
.
(อธิบายรูป) ชาวคาทอลิกออกจากวัดแม่พระปฏิสนธินิรมล หลังพิธีมิสซาที่นครลาฮอร์ ปากีสถาน วันที่ 7 มิถุนายน 2020 (รูป AFP)
.
ประเทศปากีสถาน มีประชากร 207.8 ล้านคน ร้อยละ 97 นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 77 เป็นนิกายสุหนี่ และร้อยละ 20 เป็นนิกายชีอะห์) ร้อยละ 2.85 เป็นฮินดู ร้อยละ 1.6 ชาวคริสต์ (คาทอลิก 66%)
มีคาทอลิกประมาณ 1.33 ล้านคน ใน 2 อัครสังฆมณฑล 4 สังฆมณฑล และ 1 เทียบสังฆมณฑล(Apostolic Vicariate)

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล)
https://www.licas.news/2024/01/30/pakistani-christian-brothers-endure-torture-forced-into-islamic-conversion

วันที่ 31 มกราคม
ระลึกถึงนักบุญยอห์น บอสโก พระสงฆ์

วันที่ 31 มกราคม ระลึกถึงนักบุญยอห์น บอสโก พระสงฆ์

(St John Bosco, Priest, memorial)

นักบุญยอห์น บอสโก เกิดที่ Piedmont ในเขตสังฆมณฑลตุริน ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1815 ตั้งแต่วัยเด็กมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระแม่มารีย์ได้ดลใจนักบุญยอห์น ซึ่งเป็นเด็กชายชาวนายากจนทางภาคเหนือของอิตาลี ในรูปแบบที่ท่านให้คำนิยามว่า “เป็นความฝันที่จะช่วยเยาวชนจากหนทางแห่งความชั่ว และฝึกอบรมพวกเขาให้ทำงานอย่างซื่อสัตย์ แต่ต้องทำด้วยความนุ่มนวลและความรักเมตตา” ดังนั้น หลังจากได้รับศีลบวชที่เมืองตุรินแล้ว ท่านก็ตั้งใจที่จะหาทุกๆ วิถีทางเพื่อชนะใจพวกเยาวชน ทำให้พวกเขาไว้วางใจและเป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกล โยนบอล ไต่เชือก เล่นไวโอลิน ร้องเพลง เล่านิทาน เล่นละคร เล่นเกมส์ พาเที่ยว โดยจะมีการสอนคำสอนง่ายๆ ตอนเริ่มต้นกับตอนจบของแต่ละกิจกรรม หรือมีการสวดสายประคำ และการอธิบายพระวรสารประจำวัน ความลำบากต่างๆ ที่ท่านต้องพานพบคือการพยายามหาสถานที่ให้บรรดาเด็กๆ มาประชุมกันทุกวันอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาว ลองจินตนาการสิว่า ภายในปี ค.ศ. 1845 พวกเด็กๆ เยาวชนของท่านมีจำนวนมากกว่า 800 คน

แต่งานของนักบุญยอห์น บอสโก ก็ได้รับการรับรู้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ และมี “ผู้ร่วมงาน” หลายคนคอยสนับสนุน จนกระทั่งท่านสามารถตั้งโรงเรียนที่สอนตอนกลางคืนขึ้นมาได้ และได้วางรากฐานที่ถาวรในการก่อตั้งสถาบันซาเลเซียนของท่านในเมืองตุริน และมอบให้อยู่ในความปกป้องคุ้มครองพระแม่มารีย์องค์อุปถัมภ์ของคริสตัง และนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ มีโรงเรียนอาชีวะเต็มเวลาเกิดขึ้นมาเพื่อฝึกงานและหอพักนักเรียนซึ่งได้สร้างขึ้นมา ทำให้เด็กๆ ของท่านได้เรียนเรื่องศาสนา การอ่าน การเขียน และการค้าภายใต้ระบบการศึกษาที่โดดเด่น โดยวางรากฐานให้มีการแก้บาปเป็นประจำและมีมิสซาประจำวัน

Don Bosco ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักกันดี สามารถอ่านใจของนักเรียนของท่านได้ ในทางกลับกันพวกเด็กมองท่านว่าเป็นนักบุญ อิทธิพลที่พิเศษของท่านที่มีต่อคนอื่นๆ เห็นได้อย่างชัดเจน เช่นในโอกาสหนึ่งท่านได้รับอนุมัติให้นำนักโทษจำนวน 300 คนจากคุกในเมืองออกมาข้างนอกในวันหยุด โดยไม่ต้องมีผู้คุมมาดูแล และเพื่อขยายงานช่วยเหลือไปยังเด็กผู้หญิงด้วย ท่านนักบุญได้ร่วมมือกับนักบุญมารีย์ มาซซาเร็ลโล (St. Mary Mazzarello) ก่อตั้งคณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคริสตังขึ้นมาในปี ค.ศ. 1872 คณะซาเลเซียนเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งจำนวนสมาชิกและเป็นที่ชื่นชอบ ในขณะที่นักบุญยอห์น บอสโก สิ้นชีพเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1888 ก็มีบ้านของคณะอยู่แล้ว 200 หลัง และได้ผลิตพระสงฆ์มากกว่า 2,500 องค์

ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1929 โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 โดยพระสันตะปาปาพระองค์เดิม

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

วันที่ 25 มกราคม
ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโลอัครสาวก

วันที่ 25 มกราคม ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโลอัครสาวก

(The Conversion of St. Paul, The Apostle, feast.)

นักบุญเปาโลเองได้บอกว่าท่านเกิดที่เมืองทาร์ซัส (Tarsus) ในแคว้นซิลิเซีย จากพ่อแม่ที่เป็นชาวยิว ซึ่งเลี้ยงดูท่านมาด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งตามขนบธรรมเนียมแบบฟาริสีและความศรัทธาแรงกล้า ตามที่นักบุญเยโรมให้ข้อมูลไว้ว่า ครอบครัวของเปาโลมีต้นกำเนิดจากแคว้นกาลิลี เป็นชนเผ่าเบนยามิน ตอนที่รับพิธีเข้าสุหนัต ท่านได้รับชื่อว่า ซาอูล หรือ เซาโล (Saul) ตามชื่อกษัตริย์พระองค์แรกของชาติยิว และตามมาด้วยชื่อภาษาโรมันของท่าน คือ เปาโล (Paul) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพวกชาวยิวสมัยนั้นที่ถือสัญชาติโรมัน
.
เมื่อโตขึ้น เซาโลได้ร่ำเรียนวิชาชีพในการเตรียมขนแพะเพื่อมาทำเป็นเต้นท์ ซึ่งกลายเป็นความรู้ที่ช่วยให้ท่านหาเลี้ยงชีพเองในหลายๆปีต่อมา โดยเฉพาะเมื่อท่านออกเดินทางยาวนานเพื่องานประกาศข่าวดี ภาษาพูดของท่านคือ ภาษาอาราเมอิก แต่ท่านก็พูดกรีกได้ดี และคุ้นเคยกับตำนานพื้นบ้านแบบกรีก
.
ในวัยหนุ่ม เซาโลถูกส่งไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการศึกษาตามแบบชาวยิว เป็นไปได้ที่เป็นลูกศิษย์ของกามาลิเอล (Gamaliel) ซึ่งเป็นนักปราชญ์ทางด้านกฎหมาย และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในบรรดาสมาชิกสภาซันเฮดริน ตามธรรมประเพณีดั้งเดิมเล่าขานกันว่าทั้งกามาลิเอลและนิโคเดมัสต่อมากลับใจโดยนักบุญเปโตรและนักบุญยอห์น ข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งคือพวกเขาเก็บความลับจนสามารถช่วยพี่น้องคริสตชน โดยการที่ท่านทั้งสองปรากฎตัวในสภาสูงของชาวยิวอย่างต่อเนื่อง
.
เราได้ยินเรื่องของเซาโลต่อมาในช่วงเวลาการเป็นมรณสักขีของนักบุญสเทเฟน ตอนนั้นเซาโลเพิ่งอายุ 30 ต้นๆ และกำลังเป็นฟาริสีหนุ่มผู้มีใจเร่าร้อน เขากระตือรือร้นในการเบียดเบียนอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงต่อพระศาสนจักรของพวกคริสตชนที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ถึงกับได้รับอำนาจจากมหาสมณะที่จะนำคริสตชนจากเมืองต่างๆ มาคุมขังไว้ เป็นขณะที่เซาโลกำลังเดินทางไปกรุงดามัสกัสเพื่อการนี้นี่เอง ที่องค์พระเป็นเจ้าทรงปรากฏองค์ให้เขาได้เห็น และทำให้นักล่าผู้ดุดันคนนี้กลับใจโดยฉับพลัน กลายมาเป็นผู้ขอรับศีลล้างบาปที่ถ่อมตนและอ่อนโยน ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็น “อัครสาวกของคนต่างชาติ” ที่ยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักร

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ;
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

วันที่ 24 มกราคม
ระลึกถึง นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์

วันที่ 24 มกราคม ระลึกถึง นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์

พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร (St Francis de Sales, Bishop & Doctor, memorial)

นักบุญฟรังซิส เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1567 เป็นบุตรคนโตสุดในจำนวนทั้งหมด 13 คน ของขุนนางที่ชื่อ Francis de Boisy และ Frances de Sionnaz เกิดที่ปราสาทของตระกูลซาลส์ แถบซาวอย ประเทศฝรั่งเศส เมื่ออายุ 25 ปีได้จบปริญญาเอกทางกฎหมายที่มหาวิทยาลัยของเมืองปาดัว (Padua) อิตาลี แต่ในปีต่อมาท่านปฏิเสธตำแหน่งสมาชิกสภาสูง และละทิ้งวิชากฎหมายเพื่อมุ่งหน้าจะเป็นพระสงฆ์ แม้ว่าพ่อของท่านจะคัดค้านอย่างหนักหน่วงก็ตาม

แคว้น Le Chablais ที่อยู่ชายฝั่งด้านใต้ของทะเลสาบเจนีวาในขณะนั้นเพิ่งยอมแพ้ให้แก่ ดยุค แห่งซาวอย ซึ่งเป็นคาทอลิก หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของโปรแตสตันท์ของกรุงเบอร์น (Berne) มาเป็นเวลา 50 ปี ดังนั้นฟรังซิสและญาติของท่านคือ the Canon Louis de Sales ได้อาสาที่จะพาประชาชนที่ไปนับถือลัทธิคาลวินิสต์ (Calvinist) ให้กลับมาสู่ความเชื่ออีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ตั้งกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักรขึ้นมาเรื่อง “ข้อโต้แย้ง” (“Controversies”) ที่มีชื่อเสียงมาก ได้คัดลอกลายมือเป็นแผ่นปลิวสอดไปตามประตูบ้าน หรือช่องว่างตรงกำแพง

ผู้คนมากมายค่อยๆหลั่งไหลมาฟังคำเทศน์ของท่านแล้วก็กลับใจ ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีและซื่อจนหาคนเปรียบได้ยาก รวมทั้งมีความอดทนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อีกทั้งคำสอนที่ชัดเจนและไม่อาจคัดค้านได้ ท่านเคยกล่าวว่า “คุณสามารถจับแมลงมากมายด้วยน้ำผึ้งเพียงช้อนเดียว มากกว่าใช้น้ำส้มเป็นร้อยๆ ถัง” ภายในเวลา 4 ปีที่ท่านทำงานอย่างหนัก ผ่านการเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ประสบภัยอันตรายต่างๆ มากมาย ฟรังซิสก็สามารถทำให้ผู้นับถือลัทธิคาลวินิสต์กลับใจได้ถึง 70,000 คน และในที่สุดก็มีความยินดีที่ได้เห็นวัดต่างๆ เปิดขึ้นใหม่มาเป็นแบบคาทอลิก ความสำเร็จจากการงานที่ยากลำบากเหล่านี้และชื่อเสียงทางด้านความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นที่เลื่องลือไป ทำให้ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่ง (Bishop-coadjutor) ในปี ค.ศ. 1599 แม้ขณะนั้นท่านมีอายุเพียง 32 ปีเท่านั้น พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 8 มีความประทับใจในตัวท่านมาก ทรงเชิญท่านเป็นการส่วนตัวมาสอบถามต่อหน้าบรรดาพระคาร์ดินัลของพระองค์

เมื่อพระสังฆราช Granier สิ้นชีพในปี ค.ศ. 1602 ฟรังซิสก็รับตำแหน่งต่อทันที และจากนั้นมาเป็นเวลา 20 ปีในตำแหน่งพระสังฆราชที่ท่านทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง เช่น บ้านพักอาศัย อาหาร เครื่องแต่งกาย ถูกลดทอนให้เรียบๆ ง่ายๆ ที่สุดตามที่ท่านต้องการ เพื่อท่านจะได้ดูแลช่วยเหลือคนยากจนและคนที่ขาดแคลนทั้งหลาย ด้วยใจร้อนรนท่านออกเยี่ยมวัดที่อยู่ห่างไกลทั้งหลาย ซึ่งยากต่อการไปถึงเพราะอยู่บนเทือกเขาที่ห่างไกลมาก ท่านไปที่ไหนก็เทศน์ที่นั่น ฟังแก้บาป ปฏิรูปคณะนักบวชต่างๆ สอนและทำหนังสือสอนคำสอนด้วยภาษาง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวและคนแก่ และยังจัดให้มีการประชุมซีนอดประจำปีสำหรับบรรดาสมณะของท่าน และสิ่งที่ควรกล่าวถึงอีกด้วย คือการที่ทำให้ทุกคนประทับใจอย่างยิ่งในบทเทศน์ที่มีคุณค่าแบบสั้นๆ ตรงไปตรงมา ไม่แต่งเติม วางอยู่บนพื้นฐานของคำคมที่ว่า “ยิ่งคุณพูดมาก คนจะจำได้น้อยลง” และ “เพื่อจะพูดอย่างดี เราต้องการเพียงรักให้ดี” ในขณะเดียวกันฟรังซิสก็หาเวลาทำงานด้านการเขียนอย่างกว้างขวางด้วย ผลงานชิ้นเอกของท่านเกี่ยวกับการแนะนำวิญญาณที่ชื่อว่า Introduction to the Devout Life, Treatise on the Love of God และ Spiritual Conferences. โดยที่หนังสือ 2 เล่มหลังเขียนให้กับคณะซิสเตอร์ชื่อ “แม่พระเสด็จเยี่ยม” (The Sisters of the Visitation Order) ซึ่งท่านและนักบุญ Jane Frances de Chantal ได้ตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1610 บทนำของท่านบอกว่าเขียนเป็นพิเศษสำหรับบรรดาฆราวาส

ฟรังซิสสิ้นชีพเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ.1622 ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1662 โดยพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 7 และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาองค์เดียวกันในปี ค.ศ. 1665 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1877 นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ได้รับการประกาศเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 และเป็นองค์อุปถัมภ์ของบรรดานักเขียน ซึ่งได้รับการประกาศโดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1923

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

27 ธันวาคม
ฉลองนักบุญยอห์น อัครสาวกและผู้นิพนธ์พระวรสาร

27 ธันวาคม ฉลองนักบุญยอห์น อัครสาวกและผู้นิพนธ์พระวรสาร

(St. John, Apostle & Evangelist, feast)

นักบุญยอห์น เป็นน้องชายของนักบุญยากอบองค์ใหญ่ ทั้งคู่มาจากครอบครัวชาวประมงที่มีฐานะแห่งทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่ผู้มีสมญาว่า “บุตรแห่งเสียงฟ้าร้อง” (Sons of Thunder) เป็นผู้ช่วยงานของบิดาของพวกเขาที่ชื่อ เศเบดี ทั้งสองพี่น้องได้เคยเป็นศิษย์ของยอห์น บัปติสต์ มาก่อน จนกระทั่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเรียกพวกเขา นักบุญยอห์นเป็นหนึ่งในสามอัครสาวกที่ได้สิทธิพิเศษเป็นพยานด้วยตาในเหตุการณ์อัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงปลุกลูกสาวของไยรัสให้ฟื้นคืนชีพ และเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งเรือง (Transfiguration) นักบุญยอห์นและนักบุญเปโตรต่างก็ถูกส่งเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย และในโอกาสที่สำคัญนั้น นักบุญยอห์นซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคนที่หนุ่มสุดในบรรดาอัครสาวก ได้รับอนุญาตให้เอียงศีรษะพิงพระอุระของพระอาจารย์ นักบุญยอห์น “ซึ่งเป็นสานุศิษย์ผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก” ได้รับอนุญาตด้วยให้เข้าไปในวังของคายาฟาสในคืนที่พระเยซูเจ้าทรงถูกทรยศ “ด้วยว่าเป็นที่รู้จักกับมหาสมณะ” ท่านเป็นเพียงหนึ่งเดียวในอัครสาวกทั้งสิบสองที่ได้ยืนอยู่ใต้เชิงกางเขนตลอดพระทรมานของพระคริสต์ และเป็นเพราะท่านเป็นคนที่เอาใจใส่ด้วยความรัก องค์พระผู้ไถ่ซึ่งกำลังจะสิ้นพระชนม์ได้ทรงมอบพระมารดาผู้นิรมลของพระองค์ให้ท่านคอยดูแล ในช่วงวันปัสกาแรกก็เป็นท่านยอห์นอีกนั่นแหละพร้อมกับนักบุญเปโตรที่พากันวิ่งไปที่พระคูหาที่ว่างเปล่า

หลังการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว เราจะเห็นนักบุญยอห์นดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงพระเยซูเจ้า พระผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ที่ท่านเห็นว่าเป็นข้อพิสูจน์ที่แท้จริงถึงความใกล้ชิดของพระกับประชากรของพระองค์ เริ่มแรกจากการที่ท่านจดจำพระเยซูเจ้าได้ในการปรากฏองค์แก่บรรดาอัครสาวกบนชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี ต่อมาเป็นท่านอีกนั่นเองกับนักบุญเปโตรที่ทำอัศจรรย์แรกหลังการกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ ซึ่งก็คือ การรักษาคนง่อยที่ประตูพระวิหาร และภายหลังจากที่ท่านถูกคุมขังโดยชาวยิว ท่านก็ได้เดินทางไปสะมาเรียเพื่อเยี่ยมเยียนพวกที่กลับใจใหม่

กระทั่งช่วงการเบียดเบียนของกษัตริย์เฮโรด อะกริปปาที่ 1 ประมาณ 12 ปีหลังการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า พวกอัครสาวกยังดูเหมือนคงอยู่ในปาเลสไตน์ และเมื่อพวกเขาต้องกระจัดกระจายไป นักบุญยอห์นได้ไปยังเอเซียไมเนอร์ และจากเมืองเอเฟซัสที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการจัดตั้งและปกครอง “พระศาสนจักรทั้งเจ็ด” ณ ที่นี่เองที่อยู่ท่ามกลางคนต่างศาสนาที่ยังคงนับถือตามธรรมประเพณีของชาวโรมันและชาวกรีกรวมทั้งระบบปรัชญาต่างๆ คำศัพท์ “พระวจนะ” (Logos = the Word) ก็ถูกนำมาใช้ ซึ่งเป็นคำที่ใช้บ่อยๆ และมีความหมายตรงกับพระผู้ไถ่ หรือพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นพระผู้ซึ่งชาวต่างศาสนาก็คาดหวังรอคอย และเป็นที่เมืองเอเฟซัสนี้เองที่นักบุญยอห์นได้เขียนสิ่งที่เรียกว่าเป็น “ข่าวดีฝ่ายจิต” (Spiritual Gospel) หรือพระวรสารของท่าน โดยท่านได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมพระวรสารสหทัศน์ทั้งสาม (คือพระวรสารที่เขียนโดย มาระโก มัทธิว และลูกา ที่มีความคล้ายคลึงกันพอควร) อย่างรอบคอบ โดยลงลึกในรายละเอียดต่างๆอย่างยอดเยี่ยม และเน้นความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์เพื่อคัดค้านความคิดของพวกเหตุผลนิยม (Gnostics) ที่ทรงอิทธิพลและแพร่หลายมากในขณะนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ท่านถูกเนรเทศไปที่เกาะปัทมอส (Patmos) โดยพระจักรพรรดิโดมีเทียน (Emperor Domitian) ซึ่งเป็นที่ที่ท่านเขียนหนังสือวิวรณ์ (Apocalypse) ถือกันว่าเป็นการไขแสดงจากสวรรค์ที่มอบหมายให้ท่านทำ เป็นคำทำนายเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างพลพรรคของซาตานกับผู้ติดตามพระเป็นเจ้า จนกระทั่งจุดสูงสุดคือการทำลายล้างโลก และการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ถ้าพิจารณาความลึกซึ้งจากข้อเขียนต่างๆของท่านต้องถือว่าท่านเป็น “ขั้นเทพ” (Divine) ทีเดียว นักเทววิทยาได้ใช้สัญลักษณ์นกอินทรีย์ที่บินขึ้นสูงสู่ดวงอาทิตย์โดยปราศจากความกลัวกับท่าน

ความร้อนรนของนักบุญยอห์นและความอ่อนโยนในการเอาใจใส่ดูแลฝูงแกะของท่านสะท้อนออกมาในคำเตือนสอนบ่อยๆของท่าน เช่นว่า “ลูกรัก จงรักกันและกันเถิด” “ลูกที่รักทั้งหลาย เราอย่ารักกันแต่ปากเพียงด้วยคำพูดเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” “เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้” “ผู้ใดรัก ก็มีชีวิตของพระเจ้าในตัวเขา พระเจ้าทรงเป็นความรัก”

นักบุญยอห์นได้อาศัยอยู่ที่เมืองเอเฟซัสจนอายุชรามาก โดยท่านได้กลับจากเกาะปัทมอสเมื่อพระจักรพรรดิสิ้นชีพลง ท่านเป็นอัครสาวกที่สิ้นชีพเป็นคนสุดท้าย นักบุญยอห์นได้รับความเคารพในฐานะเป็นองค์อุปถัมภ์ของแคว้นเอเซียไมเนอร์ และถูกอ้อนวอนขอยามเมื่อฝนตกหนัก ลูกเห็บตก และฟ้าแลบฟ้าร้องที่รุนแรง

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)

สุขสันต์วันคริสต์มาส และ สวัสดีปีใหม่ 2023

สุขสันต์วันคริสต์มาส และ สวัสดีปีใหม่

· • —– ٠ ✤ ٠ —– • ·

ในโอกาสพระคริสตสมภพนี้ ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของท่านเป็นอย่างมาก ท่านเป็นผู้ช่วยเหลือและสนับสนุน ช่วยเหลือสังฆมณฑลเชียงใหม่มาโดยตลอด ไม่ว่าต่องานประกาศข่าวดี คนยากจน ผู้อพยพ บรรดาพระสงฆ์ ครูคําสอน สามเณรและนักบวชในสังฆมณฑล ท่านก็อยู่เคียงข้างข้าพเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอภาวนาให้ท่านมีสันติ สุขภาพแข็งแรง และประสบความสําเร็จในทุกสิ่งดีที่ตั้งใจไว้ ขอพระเจ้าอวยพรให้ท่านผ่านปัญหาด้วยความมั่นใจในพระญาณเอื้ออาทรในชีวิตตลอดไป

“อย่าเบือนหน้าจากคนยากจน” (ทบต 4:7)

สุขสันต์วันคริสตมาสและสวัสดีปีใหม่ 2024

(บิชอปฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์)
สมณประมุขศาสนปกครองเขตเชียงใหม่
22 ธันวาคม 2023