ข้อคิดข้อรำพึงอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่าน และพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า”

นักบุญอิกญาซีโอ แห่งโลโยลา ได้เขียนหนังสือเพื่อเป็นการแนะแนวทางแก่ผู้อื่นในการแสวงหาพระเยซูเจ้าให้พบด้วยตนเอง หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “การฝึกจิต” หรือ “การออกกำลังจิต” (The Spiritual Exercises) ในหนังสือเล่มนี้ตอนหนึ่งได้เขียนถึงพระวรสารตอนที่อ่านสำหรับวันอาทิตย์นี้ โดยเสนอความคิดแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนด้วยกัน

ขั้นตอนแรกให้เราจินตนาการสภาพของโลกก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงบังเกิดมา ว่าเป็นเช่นไร เช่นประชากรเอาใจออกห่างจากพระ ความชั่วแผ่ลุกลามไปทั่วเหมือนเชื้อของโรคมะเร็ง โลกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง อาการน่าเป็นห่วง

ขั้นที่สองให้เราจิตนาการถึงทูตสวรรค์กาเบรียลที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อมาประกาศแด่พระนางมารีย์ว่าจะเป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า ลองสมมุติว่าเราล่องลอยมาพร้อมกับเทวดา เราจะเห็นโลกเป็นจุดเล็กนิดเดียวในท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาราที่ส่องแสงระยิบระยับ เมื่อเข้ามาใกล้โลกมากขึ้น ก็มุ่งไปที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใกล้เข้าไปอีกพบเมืองเล็กๆ ชื่อนาซาเร็ธ ที่เมืองนี้เราจะเห็นบ้านของพระนางมารีย์ตั้งอยู่ ที่สุดก็เห็นเด็กสาวที่ชื่อมารีย์อยู่ในบ้านหลังนั้น กำลังคุกเข่าภาวนาอยู่เงียบๆ

ขั้นที่สาม ให้เราเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างทูตสวรรค์กับมารีย์ มีสองประโยคที่เราต้องตั้งใจฟังดีๆ ประโยคแรกที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์คือ “พระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้นบุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” คำที่สำคัญและใช้น้อยมากในพระคัมภีร์คือคำ “แผ่เงาปกคลุม” ที่สำคัญคือคำนี้เคยใช้ครั้งหนึ่งในหนังสืออพยพ เพื่ออธิบายถึงเมฆลึกลับที่มาแผ่ปกคลุมเต้นท์ที่ซึ่งชาวอิสราเอลเก็บรักษาหีบพันธสัญญาไว้ “ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต้นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น” (อพย.40:34)

นักบุญลูกาเลือกใช้คำ “แผ่เงาปกคลุม” มิใช่ด้วยบังเอิญ แต่ตั้งใจให้สื่อสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งมากๆ เพื่อเปรียบเทียบพระวรกายของพระแม่มารีย์กับเต้นท์ที่เก็บรักษาหีบพันธสัญญา เพื่อเปรียบเทียบครรภ์ของพระแม่ที่จะบรรจุพระเยซูเจ้าไว้ กับหีบพันธสัญญาที่เก็บรักษาศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการไว้นั่นเอง ดังนั้น พระอานุภาพของพระเจ้าแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ พระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏอยู่เต็มในพระแม่นั่นเอง

ประโยคที่สองที่น่าพิจารณา คือ “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” ถ้าเราคิดย้อนไปก่อนที่อานุภาพของพระจะแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ โลกนี้หมดหวัง บาปและความรุนแรงมีอยู่ทั่วไป ก่อนพระอานุภาพของพระมาแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ เธอไม่มีหวังจะบังเกิดบุตร เพราะเป็นพรหมจารี แต่เมื่อพระอานุภาพนั้นแผ่มาปกคลุมแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป (Change)

พี่น้องครับ ก่อนหน้านี้ หรือเวลานี้ เราอาจหมดหวัง ชีวิตอาจวุ่นวายสับสน บางคนบอกว่าดวงไม่ดี แต่บัดนี้เรามีความหวังแล้ว เพราะพระอานุภาพของพระเจ้าผู้สูงสุดได้เข้ามาแผ่ปกคลุมโลกนี้ไว้ ในพระบุคคลขององค์พระเยซู เราทุกคนจะเปลี่ยนไปในแบบที่ดีกว่าเดิมมาก

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2008
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year B ; by Mark Link, SJ)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”

“เมื่อพระเจ้าทรงต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทรงเริ่มจากความยากลำบาก เมื่อพระเจ้าทรงต้องการทำสิ่งที่พิเศษสุด ทรงเริ่มจากความเป็นไปไม่ได้”

นี่เป็นถ้อยคำที่อธิบายเรื่องราวของคริสต์มาสว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุการณ์ทั้งมวลแขวนอยู่ที่คำว่า “ค่ะ” หรือ “จงเป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ของสุภาพสตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่ เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายด้วยอำนาจขององค์พระผู้สูงสุด ถ้าเราคิดแค่ตามประสามนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี เธอได้ตอบรับและส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ “เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”

ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก หรือที่เป็นไปไม่ได้อันใด พระแม่มารีย์ได้ทรงสอนหนทางให้แก่เราในเรื่องนี้ จงไว้เนื้อเชื่อใจในองค์พระเจ้า ถ้าสังคมที่ใหญ่ขึ้นของเรา เช่น ครอบครัว หรือ ประเทศชาติของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ พระแม่มารีย์ทรงสอนให้เรายืนหยัดในความเชื่อต่อไป เราต้อง เชื่อ หวัง และไว้ใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และนี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคริสต์มาส

ขอยกตัวอย่างของคนที่เคยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากคนหนึ่ง ชายคนนั้นคือ คนขี้เมาคนหนึ่ง แต่บัดนี้เขากลับใจมาเป็นคริสตชน เขามีความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาพบเขา และถามคำถามเขาว่า “ผมได้ยินว่าคุณกลับใจมาเป็นคริสตชน คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าบ้าง”

“ไม่มากนักหรอกครับ” คนเคยเมาตอบ

“คุณรู้หรือไม่ว่าทรงบังเกิดที่ไหน”

“ไม่ครับ ผมไม่รู้”

“คุณรู้ไหมว่าทรงยกนิทานเปรียบเทียบมาสอนกี่เรื่อง”

“ไม่รู้ครับ”

“คุณรู้ไหมครับว่าทรงทำอัศจรรย์กี่ครั้ง”

“ผมยังเขลาเบาปัญญาอยู่ครับ”

“เอาล่ะ อย่างน้อย คุณรู้ไหมว่ามีพระวรสารกี่ฉบับ ในหนังสือพระคัมภีร์”

“เอ่อ…ไม่ทราบซิครับ”

ชายคนนั้นจึงว่า “สำหรับคนที่กลับใจใหม่ ถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าเลย ก็เปล่าประโยชน์”

คนที่เคยเมาตอบว่า “คุณครับ ผมเสียใจจริงๆ ที่โง่เขลาเบาปัญญาในหลายสิ่งที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ผมอายจริงๆ ครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ ย้อนหลังไปหกเดือนที่แล้ว ผมเป็นคนบาปหนา เป็นไอ้ขี้เมา ครอบครัวของผมอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ลูกเมียผมพากันหวั่นวิตกเมื่อเห็นผมกลับมาบ้านในตอนเย็น แต่หลังมามีความเชื่อในพระเยซูเจ้า และยอมรับให้พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่แล้ว ผมปฏิรูปชีวิตเสียใหม่ และบัดนี้ครอบครัวของผมมีความสุข รุ่งเรือง และร่มเย็น

ฟังเรื่องนี้แล้วเป็นอย่างไรครับ เราอาจจะไม่รู้มากในเรื่องของพระเยซูเจ้า เหมือนนักพระคัมภีร์ หรือพวกที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพระองค์ เราอาจจะ ไม่เฉลียวฉลาดเท่าพวกเขา และที่จริง ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เราอาจจะไม่รู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ แต่ถ้าเรารู้สิ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว คือ รู้ว่าเราเป็นคนบาป และพระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้ไถ่ของชาวเรา

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2011
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose )

November 2023 ENGLISH NEWS SUMMARY

November 2023 ENGLISH NEWS SUMMARY

The Catholic Student Network in the North of Thailand

The Northern Catholic Student Network organized a friendly sports event on November 11-12, 2023. Three competitions were available: football, volleyball, and Takraw. Northern Catholic students from various clubs met each other and engage in a friendly sport competition. The objective is for students to build relationships among Catholic students in each club to promote physical and mental health. To make students know how to lose, know how to win, and how to forgive. It was a successful day.

Retreat on “The Miracle of Life”

On November 10-11, 2023, Sister Teresa Khamsat Pongge and Sister Joan of Arc Arun Praikhajee, S.C.J brought silence to the SFX Minor seminary to reflect on the topic “The Miracle of Life”. Together with the Rector- Father Joseph Saravuth Haeto, they conducted the retreat for the seminarians which made them practice mindfulness in walking, to practice inner silence.

Blessing of St. Paul Church Ban Pratu Mueang, Mae Wang

Mueang, Mae Wang District, Chiang Mai Province, is one of the 14 branches of the Saint Paul Huai Tong Church. On November 24, 2023, Father Gabriel Phonchai Sukjai, the pastor and assistant pastor-Father Thomas Hiran Klinbuakaew, S.C.J. with two sisters of Mae Pon; organized the blessing event and this was the 3rd branch to be blessed by H.E. Bishop F.X. Vira Arpondratana.
About 40 years ago there were only 3 Christians, at present, there are about 20 Christian families. The construction of this church in July 2003 was possible through an anonymous person in the Moondance group with the villagers helping to come up with their own budget of approximately seven hundred thousand baht. This is a beautiful church. Many came to attend the ceremony to show support and encouragement to one another.

47th Executive Committee Meeting (Youth Conference)

On Tuesday 21 – Thursday 23 November 2023 at Holiday Garden Hotel, Chiang Mai, the Catholic Committee for Lay Christians, Youth Department, organized a meeting on the Annual Ordinary Session of the Executive Committee. They discussed policies and directions for youth pastoral work for years 2023 – 2030 as guidelines for preparing youth pastoral plans at the local level. There was sharing of the results on youth pastoral work including challenges currently occurring at the diocesan level, The youth pastoral work 2024 is also being considered and planned in order to make youth pastoral work effective based on the youth pastoral care policy and direction established. It was a successful meeting with approximately 40 people attending.

Saint Francis Xavier Feast Day 2023

On November 29, 2023, the Pastoral and Evangelization Department of the St. Francis Xavier Convent of Samsen, Bangkok organized a thanksgiving ceremony for the celebration of St. Francis Xavier- the patron saint of the school, though the feast day falls on 3rd December of every year. Bishop Francis Xavier Vira Apondratana, of the Diocese of Chiang Mai was invited to preside over the ceremony also as an opportunity to celebrate His Excellency’s namesake. The school also gives support to the mission of His Excellency in the Diocese of Chiang Mai.

All Saints Day and All Souls Day 2023

On November 1, Roman Catholics and other Christians around the world observe All Saints Day, which honors all saints of the church who are with God. One great tradition and practice associated with the Solemnity of All Saints is going to Mass – it is a Holy Day of Obligation! Every time we go to Mass, we remember the saints in a special way in the Eucharist.

On 2nd November Catholics celebrate a Commemoration of All the Faithful Departed. Also known as All Souls Day, on this day we honor them for their fidelity in life, as well as pray for them, since they are being purified before entering the All Holy Presence of God. We remember in a special way our loved ones who have departed and all those who have worked so that many may receive the Good News. The Sacred Heart parish offered several masses in honor of the Bishops and priests who have served the Diocese in the past and are now departed. A solemn mass at the cemetery presided by H. E. Bishop Francis Xavier Vira Arpondratana was celebrated.

ข้อคิดข้อรำพึงอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

จงกล้าที่จะชื่นชมยินดี

อาทิตย์ที่ 3 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า มีชื่อเรียกเป็นภาษาลาตินว่า “Gaudete Sunday” เหมือนภาษาอังกฤษว่า “Rejoice Sunday” หมายถึงอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี พระวาจาของพระสำหรับอาทิตย์นี้จะพบคำว่า “ชื่นชมยินดี” นี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบทอ่านแรก จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ “ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า” ในบทอ่านที่สอง จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง “พี่น้อง จงร่าเริงยินดีเสมอ” และในพระวรสารของนักบุญยอห์นได้ให้เหตุผลที่ประชาชนควรจะชื่นชมยินดี เพราะพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย บัดนี้ได้มาประทับอยู่ในหมู่ของพวกเขาแล้ว เป็นการประกาศจากท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ผู้ที่มาเป็นพยานถึงแสงสว่าง

บางที บางเวลา และบางคน อาจจะสงสัยว่า จะให้มีความเปรมปรีดิ์ มีความชื่นชมยินดีได้อย่างไร ประชาชนกำลังอยู่ในท่ามกลางความแตกแยก อยู่ท่ามกลางหมู่ศัตรู อยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าว การกดขี่ข่มเหง และการเบียดเบียน เราจะมีความชื่นชมยินดีได้อย่างไรในเมื่อธุรกิจการค้าพัง การท่องเที่ยวหยุดชะงัก หลายธุรกิจสูญหาย และคนมากมายตกงาน หรือหางานทำไม่ได้ ประเทศเราเผชิญวิกฤติหลายอย่าง จะมีอะไรเป็นความหวังได้หรือ ยังจะมีความชื่นชมยินดีจริงๆได้หรือ

ในบทรำพึงของพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ที่ 16 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี ค.ศ. 2005 ทรงเขียนไว้ดังนี้

“เมื่อพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาหาหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง…. หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า ‘จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน’ – คำว่า ‘Kaire’ ในภาษากรีก หมายถึง ‘จงชื่นชมยินดี’ ‘จงเป็นสุข’ ความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาสคือสิ่งนี้ : พระเจ้าทรงอยู่ใกล้เรา ใกล้เรามากจนกระทั่งพระองค์ทรงกลับกลายเป็นเด็กคนหนึ่ง พวกเราคงตระหนักได้ว่าโลกของเราทุกวันนี้ ที่ไม่มีพระองค์ประทับอยู่ ถูกครอบครองด้วยความกลัว ด้วยความไม่แน่นอน ถึงกระนั้นคำที่ว่า ‘จงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา’ ก็เป็นการเปิดวันเวลาใหม่อย่างแท้จริง ความชื่นชมยินดีเป็นของขวัญแท้จริงของคริสต์มาส ไม่ใช่ของขวัญชิ้นที่มีราคาแพงที่ต้องใช้เงินมากๆ หรือใช้เวลาแสวงหาอยู่นาน เราสามารถพบความชื่นชมยินดีได้โดยง่ายด้วยรอยยิ้ม ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ หรือด้วยการรู้จักให้อภัย และความชื่นชมยินดีนี้ที่เราให้ออกไป จะวนกลับเข้ามาหาเราอย่างแน่นอน ให้เราภาวนาขอให้การประทับอยู่ของพระเจ้า ทรงนำความชื่นชมยินดีและฉายแสงโดยตรงมาสู่ชีวิตของเรา”

เราคงทราบถึงความแตกต่างระหว่างความสุขกับความชื่นชมยินดี ความสุขคือเมื่อมีบางสิ่งทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้า ส่วนความชื่นชมยินดี คือเมื่อมีบางสิ่งทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ พระเจ้าทรงต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี ความชื่นชมยินดีเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีวันผิดพลาดในการประทับอยู่ของพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราสู้ทนกับชีวิตของเรา แต่ด้วยความชื่นชมยินดี

ครั้งหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญในด้านการแนะนำวิญญาณได้กล่าวว่า มีสองวิธีที่ทำให้เกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย หนึ่งคือการกระโดดขึ้นและลง หรือการออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆที่คล้ายกัน ร่างกายเราจะอบอุ่นนานเท่านานตราบเท่าที่เรายังออกกำลังกาย แต่ถ้าเราเหนื่อยและหยุด ร่างกายก็จะค่อยๆเย็นลง วิธีที่สองที่ง่ายกว่ามาก คือเราไปยืนอยู่ใกล้กองไฟ เราจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย ใช่แล้วครับ พระเยซูเจ้าทรงเป็นไฟที่ทำให้เราลุกร้อนขึ้นมา เราต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า

คุณพ่อจิตตาธิการโรงพยาบาลมีหน้าที่ไปเยี่ยมคนป่วย ท่านกล่าวว่า มีคนป่วยจำแนกได้เป็นสองพวกด้วยกัน พวกแรกคือพวกที่ตกใจกลัว สับสนหรือโกรธ (รวมไปถึงญาติของคนไข้ด้วยที่รู้สึกแบบเดียวกัน) พวกเขามักตั้งคำถามว่า ทำไมจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น มีพระเจ้าจริงหรือ ตัวฉันเอง (หรือพ่อแม่ฉัน หรือลูก หรือพี่น้องของฉัน) ได้ทำอะไรผิด จึงสมควรกับโรคเหล่านี้

ในทางตรงข้ามกับคนกลุ่มที่สอง แม้ว่าเขาต้องประสบโรคร้ายแรง และต้องทนทุกข์ทรมานมาก แต่พวกเขากลับจัดการกับอารมณ์ได้ โดยยิ้มสู้และพูดว่า “พระเจ้าทรงดีเหลือล้น พระองค์ได้ทรงอวยพระพรนานัปการให้ตลอดชีวิต และฉันไว้วางใจในพระองค์หมดหัวใจ” บทสรุปในที่นี้ คือว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีความชื่นชมยินดี ควบคู่ไปกับการต้องทนรับความทุกข์ทรมานต่างๆ จึงทำให้เราพอจะมั่นใจได้ว่าความชื่นชมยินดีของเรามีแหล่งกำเนิดภายในตัวบุคคล คือในองค์พระเยซูเจ้า มากกว่าความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวที่เราแสดงออกมา”

ขีดขั้นของความชื่นชมยินดีของเรามีความสัมพันธ์โดยตรงกับการที่เรามีความใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า และพระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรามากน้อยแค่ไหน ผู้คนที่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้ามากๆ จะสัมผัสได้ถึงความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงรับทุกข์ทรมาน และทรงถูกตรึงการเขนที่พวกเขาเข้ามาใกล้ชิด แต่พระองค์ยังทรงมอบความชื่นชมยินดีให้ แม้จากบนไม้กางเขน ความชื่นชมยินดีอยู่เหนือความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทุกชนิด แน่นอนครับ ว่าความชื่นชมยินดีเช่นนี้ เป็นมากกว่าความสุข หรือรอยยิ้มที่เผยออกมาภายนอก

ดังนั้น เราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ในท่ามกลางความทุกข์ทรมาน และความยุ่งยากทุกชนิด ตราบเท่าที่เรายังใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้า นี่คือเคล็ดลับของบรรดานักบุญ พวกท่านได้เข้าถึงความใกล้ชิดกับพระองค์ในขีดขั้นที่ว่าความทุกข์ทรมานเป็นเพียงการเพิ่มความชื่นชมยินดีให้ เพราะทำให้พวกท่านเป็นเหมือนพระคริสต์ผู้ทนทุกข์ได้ง่ายขึ้น เคล็ดลับของบรรดานักบุญนี้ ควรจะเป็นเคล็ดลับของเราด้วย ยิ่งเราใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นเท่าไร ความชื่นชมยินดีของเราก็จะทวีมากขึ้นเท่านั้น

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2020
Based on : Ignite Your Spirit ; by Fr John Pichappilly)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก”

ชายคนหนึ่งชื่อ Mike Bradaric ได้รวบรวมวิถีทางที่พระทรงไขแสดงทีละขั้นๆ ถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ดังนั้น ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่พระทรงค่อยๆ เผยแผนการกอบกู้มนุษยชาติว่าจะเป็นเช่นไร

ใน ปฐก. 3:15 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเชื้อสายของมนุษย์

ใน ปฐก. 12:1-3 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเชื้อสายของอับราฮัม

ใน ปฐก.28:14 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเผ่าพันธุ์ของยาโคบ และดังนั้นจะเรียกชื่อว่าอิสราเอล

ใน ปฐก. 49:10 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะมาจากตระกูลของยูดาห์

ใน 2 ซมอ. 7:16 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะสืบมาจากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด และพระองค์จะทรงปกครองตลอดไป

ใน อสย. 7:14 – ทรงเผยว่าจะทรงบังเกิดจากพรหมจารี

ใน มคา. 5:2 – ทรงเผยว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม

ใน สดด. 22 – ทรงเผยว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะตายเช่นไร

ใน มลค. 4 – ทรงเผยว่าประกาศกเอลียาห์จะถูกส่งมาก่อนเพื่อประกาศถึงพระองค์

ใน อสย. 53 – ทรงเผยว่าพระผู้ไถ่จะตายอย่างไร ถูกฝังและกลับฟื้นคืนพระชนม์อย่างไร

จะเห็นว่าในพันธสัญญาเดิมนั้น พระเจ้าทรงค่อยๆ เผยแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างช้าๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อเวลาใกล้มาถึง พระองค์ทรงส่งยอห์น บัปติสต์ มาเตรียมทางสำหรับพระองค์ และจะเป็นผู้ชี้ไปที่พระองค์เมื่อทรงเสด็จมาแล้วด้วย เมื่อยอห์นปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร เหมือนเช่นประกาศกเอลียาห์ ต่างกันตรงที่ท่านไม่ยอมรับว่าเป็นประกาศกคนใดคนหนึ่ง หากแต่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงที่ร้องว่า จงกลับใจเถิด พระอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว” เสียงประกาศก้องของท่าน ดังสะท้อนไปทั่วทั้งแผ่นดิน และนำประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งจากในเมือง จากหมู่บ้านทั้งใหญ่และเล็กมาหาท่าน มาฟังท่าน และขอรับพิธีล้างจากท่าน

บรรดาผู้นำชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม เริ่มเดือดร้อนในการปรากฏตัวมาของยอห์น จึงใช้คนมาสืบว่าท่านเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ ท่านก็ตอบชัดเจนว่า “ไม่ได้เป็น” เป็นแต่เพียงผู้นำหน้า ซึ่งไม่สำคัญอะไรกับรูปลักษณ์ของท่าน แต่จงฟังเสียงแห่งความจริงที่ท่านประกาศดีกว่า คือให้เตรียมตัวต้อนรับท่านผู้นั้น ซึ่งมาภายหลังท่าน

เราเห็นบทบาทของยอห์นแล้วเรารู้สึกทึ่งหรือไม่ ท่านช่างเป็นคนที่ทำหน้าที่ตามบทบาทของท่านได้อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยม ถ่อมตนจนไม่คิดถึงตนเองเลย ไม่คิดว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ มุ่งจะทำหน้าที่เป็นเสียงร้อง คอยเตือนให้คนเตรียมจิตใจรับเสด็จพระคริสต์ ท่านเองคิดว่าตัวท่านไม่สมควรแม้จะแก้สายรัดพระบาทของพระองค์ด้วยซ้ำ นี่แหละเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงชมว่าผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่เท่ากับยอห์น บัปติสต์

แล้วเราแต่ละคนล่ะ รู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร มีบทบาทอะไรในโลกนี้ เราดำเนินชีวิตเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร ถ้าเปรียบชีวิตเราเหมือนเสื้อยืดที่มีคำเขียนสลักไว้ จะเขียนว่าอะไร

“เงิน เงิน เงิน”
“งาน งาน งาน”
“กิน ดื่ม เที่ยว”

หรือจะเปลี่ยนแนวเป็น

“รับใช้ บริการ รับใช้”
“ความดี คือธุรกิจที่ฉันทำ”
“พระเจ้าผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว”

ลองสำรวจดูนะครับ ว่าเราดำเนินชีวิตในรูปแบบไหน บางทีเสียงเตือน ของท่านยอห์นอาจจะก้องกังวานอยู่ในหัวใจของเราให้จัดระเบียบชีวิตให้สอดคล้องกับภารกิจที่พระทรงมอบให้เราทำในโลกนี้

ก็เป็นไปได้

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2011
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by : John Rose )

วันครูคำสอนไทย

วันครูคำสอนไทย

เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ประกาศมรณสักขี ทั้ง 7 แห่งบ้านสองคอน (มุกดาหาร) เป็นบุญราศี (Blessed) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) วันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล ณ​ มหาวิหารนักบุญเปโตร​ กรุงโรม และวันฉลอง คือ 16 ธันวาคม ของทุกปี

มรณสักขีทั้ง 7 คือ ครูฟิลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ (33 ปี)

ซิสเตอร์ อักแนส พิลา ทิพย์สุข (31ปี)
ซิสเตอร์ ลูซีอา คำบาง (23 ปี)
อากาทา พุดทา ว่องไว (59 ปี)
เซซีลีอา บุดสี ว่องไว (16 ปี)
บีบีอานา คำไพ ว่องไว (15 ปี)
มารีอา พร ว่องไว (14 ปี)

ครูฟิลิป สีฟอง เป็นครูคำสอน ถูกสังหารเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ส่วนอีก 6 คนถูกสังหาร วันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1940

ประเทศไทยยังมี บุญราศี คุณพ่อนิโคลัส บุญเกิด กิจบำรุง เสียชีวิต 12 มกราคม ค.ศ.1944 อายุ 49 ปี และบุญราศี ยอแซฟ อุทัย พองพูม หนึ่งในบุญราศีลาว 17 องค์ ได้รับการประกาศ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ยอแซฟ อุทัย เป็นครูคำสอนคนไทย สัตบุรุษวัดคำเกิ้ม ได้ติดตาม คุณพ่อโนแอล ไปเป็นธรรมทูตที่ประเทศลาว ได้ถูกลักพาตัว และเสียชีวิต​ อายุ​ ​77 ปี วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1962 วันฉลอง คือ 16 ธันวาคม​

สภาพระสังฆราชคาทอลิกประเทศไทย ได้ประกาศให้ 16 ธันวาคม เป็นวันครูคำสอนไทย ตั้งแต่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ให้บุญราศี ฟิลิป สีฟอง เป็นแบบอย่างครูคำสอนไทย

สำหรับพระศาสนจักรสากล นักบุญองค์อุปถัมภ์ของครูคำสอน คือ นักบุญชาร์ลส์ โบโรเมโอ (ฉลอง​ 4​ พฤศจิกายน) นักบุญโรเบิร์ต เเบลลาร์มีโน (ฉลอง​ 17​ กันยายน)​
นักบุญลอเรนซ์​ รุยซ์ องค์อุปถัมภ์ครูคำสอนฟิลิปปินส์​(ระลึกถึง​ 28 กันยายน)​

โอกาสฉลองวันครูคำสอนไทย จึงขอท่านโปรดคิดถึงครูคำสอนของท่าน ไม่ว่าเป็นพระสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาส ภาวนาให้ท่าน ไม่ว่าล่วงลับไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ มอบไบเบิ้ลไดอารี่ หรือ ปฏิทินคาทอลิก เป็นของขวัญ

ขอขอบคุณท่านที่ยังเป็นครูคำสอน
เงินบริจาคในวันอาทิตย์ที่​ 17 ธันวาคม​ เพื่อครูคำสอนไทย

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)

บทเทศน์บทรำพึงอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุ 53 ปี และ 32 ปีตามลำดับ ได้ทำการแล่นเรือใบความยาว 21 เมตร จากท่าเรือที่นิวยอร์กในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2005 พวกเขาใช้เวลาอยู่ในเรือเพื่อเดินทางรอบโลกเป็นเวลาหนึ่งพันวัน โดยแล่นเรือไปรอบมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอินเดีย และจะกลับถึงฝั่งที่เริ่มต้นภายในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2008 “ใครๆก็ใฝ่ฝันว่าจะได้แล่นเรือออกไป และละทิ้งทุกๆสิ่งและทุกๆคนไว้เบื้องหลัง” ฝ่ายสามีได้กล่าวไว้เช่นนี้ “และเราก็ได้ทำให้ฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา” พวกเราล่ะ จะสามารถละทุกๆสิ่งและทุกๆคนไว้เบื้องหลัง แล้วแล่นเรือไปกับพระเยซูเจ้าในอาทิตย์แห่งการเตรียมรับเสด็จพระคริสต์นี้ได้หรือไม่

พระวาจาสำหรับอาทิตย์นี้บอกเราให้ตระเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า “จงเปิดทางตรงในทุ่งเวิ้งว้างสำหรับพระเจ้า” (อิสยาห์) “พระเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจ เปลี่ยนวิถีชีวิต” (จดหมายของนักบุญเปโตร) และ “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด” (คำพูดของท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้างในพระวรสารของนักบุญมาระโก) แม้ว่าข่าวสารของทั้งสามบทอ่านนี้เหมือนกัน แต่บริบทของสามบทอ่านนี้ต่างกัน

สำหรับบทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์นั้น ข้อความทำนายของท่านในตอนนี้เป็นที่รู้จักกันดี และแพร่หลายกว้างขวางจนกระทั่งนักประพันธ์เพลงเอกคนหนึ่งของโลก คือ G.F. Handel นำเอาข้อความของอิสยาห์ 3 ตอนมาเป็นตอนเปิดในผลงานเอกของท่าน คือบทเพลง Messiah ดังนี้

(1) Comfort ye, comfort ye my people, saith your God… (อสย 40 : 1-3)

(2) Every valley shall be exalted, and ev’ry mountain and hill made low… (อสย 40:4)

(3) And the glory of the Lord shall be revealed…. (อสย 40:5)

ที่น่าสังเกตเกี่ยวกับอิสยาห์ที่เรียกว่าประกาศกแห่งการเนรเทศนี้ ท่านไม่ได้คิดไปถึงพระเยซูคริสต์คือพระเมสสิยาห์ ท่านเพียงแต่เห็นภาพของการฟื้นฟูอิสราเอลจากการเนรเทศไปบาบิโลนในช่วงราวปี 538 ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าไซรัสทรงมีชัยชนะเหนืออำนาจของบาบิโลนที่ร่วงโรยไป

“ท่านผู้นำข่าวดีมายังศิโยนเอ๋ย จงขึ้นไปบนภูเขาสูงเถิด ท่านผู้นำข่าวดีมาให้กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงร้องตะโกนให้สุดเสียงเถิด” คำของท่านอิสยาห์ที่ว่า “ข่าวดี” ( = good tidings ) ในภาษาฮีบรูทำให้เราได้คำนามที่ว่า “พระวรสาร” (Gospel) ในความหมายของพันธสัญญาใหม่นั่นเอง ข่าวดีในที่นี้แฝงไว้ว่าพระเจ้าจะทรงเข้ามาเกี่ยวข้องในประวัติศาสตร์เพื่อทรงนำให้กลับมาจากการเนรเทศ

การเนรเทศในอิสยาห์เป็นการพรรณนาด้วยภาษาสัญลักษณ์หมายถึงการอพยพครั้งที่สอง (as the Second Exodus) อัศจรรย์ต่างๆในการอพยพครั้งแรกที่เกิดขึ้น จะมีการทำซ้ำในบัดนี้ “หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม…. ที่สูงๆต่ำๆ จะราบเรียบ” ณ ที่นี้ ให้เราสังเกตว่า ทั้งการอพยพ และการเนรเทศได้กลับกลายเป็นแม่พิมพ์แห่งความหวังในอนาคต พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยประชากรอีกครั้ง เพราะพระเจ้าจะทรงซื่อตรงต่อความเป็นพระของพระองค์

ในบทอ่านที่สองที่อ้างว่าเป็นคำกล่าวของนักบุญเปโตร บางทีอาจจะเป็นตอนที่เพิ่มเติมขึ้นในเวลาต่อมา เพื่อยืนยันถึงอำนาจของนักบุญเปโตร ผู้คนในสมัยของท่านดูเหมือนผิดหวังที่วันสุดท้ายยังมาไม่ถึงสักที ดังนั้นคำอธิบายที่ว่า “สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งวันก็เหมือนกับพันปี และหนึ่งพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน” พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายสูงสุดเหนือกาลเวลาและฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน แต่อย่างไรก็ตาม “วันของพระเจ้าจะมาถึงอย่างไม่รู้ตัวเหมือนขโมย” ดังนั้น กลุ่มคริสตชนได้ถูกตักเตือนให้เฝ้าระวังและรอคอย ด้วยความหวัง

บทเริ่มต้นของพระวรสารวันนี้กล่าวว่า “การเริ่มต้นข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสต์….” นักบุญมาระโกผู้นิพนธ์ได้เริ่มต้นด้วยคำพยากรณ์ของประกาศกอิสยาห์ และพรรณนาถึงท่านยอห์นผู้ทำพิธีล้างในฐานะที่เป็น (1) ผู้ประกาศให้มีการกลับใจ และ (2) ผู้นำหน้าพระเมสสิยาห์ เราลองคิดดูสิว่า การเรียกร้องให้กลับใจของท่านยอห์นเป็น “ข่าวดี” ใช่หรือไม่

หญิงคนหนึ่งกำลังจะตายเพราะโรคมะเร็ง คุณหมอที่ดูแลเธอพูดว่า “คุณครับ มะเร็งของคุณมันแพร่กระจายแล้ว ผมเกรงว่าคุณจะตายในไม่ช้า คุณมีความปรารถนาสุดท้ายอะไรที่อยากให้ผมทำให้ไหม” หญิงนั้นตอบว่า “มีค่ะ คุณช่วยพาฉันไปหาคุณหมอคนใหม่ได้ไหม” บางทีการยอมรับความจริงที่น่าเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่ยากลำบาก เช่น ฉันเป็นคนป่วย ฉันกำลังจะตาย หรือ ฉันเป็นคนบาป แต่ยอห์นผู้ทำพิธีล้างก็ชี้นิ้วมาวินิจฉัยถึงโรคมะเร็งฝ่ายจิตใจของเรา และบอกวิธีรักษาด้วยว่า “จะต้องกลับใจใช้โทษบาป”

“ประชาชนจากทั่วแคว้นยูเดีย และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งหลายไปพบเขา” เราเป็นคนหนึ่งในฝูงชนเหล่านั้นที่ขวนขวายไปหาท่านยอห์นด้วยหรือเปล่า ไปเพื่อให้ได้ยินคำกล่าวของท่านที่ว่า “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด” คำภาษากรีกของการกลับใจใช้โทษบาป (repentance) คือคำ metanoia รากศัพท์หมายถึง “การพลิกด้าน หรือ การย้อนกลับ ของจิตใจ” ( = reverse mind) ท่านยอห์นเรียกร้องเราให้หันกลับจากการต่อต้านพระเจ้า มาสู่การล่องไปบนคลื่นแห่งความรักอย่างปลอดภัย

แม้หนทางของโลกมีสิ่งที่น่าหลงใหล และกระแสคลื่นทางโลกนำไปสู่ความสุดโต่งทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด ความหลงตนเอง (narcissism) เรื่องทางเพศ ความสำเร็จ ความมีชื่อเสียง และ การเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ท่านยอห์นเป็นเสียงที่ร้องเตือนมาจากแดนไกล จากถิ่นทุรกันดาร ให้เราถอยห่างจากยุคสมัยใหม่ที่อาจพาให้เราหลงไป ดังนั้น เราจงตระเตรียมหนทางของเราเพื่อจะพบพระองค์ผู้ทรงเป็นหนทางที่แท้จริงดีกว่า

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2020

(Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by ; Francis Gonsalves, S.J.)

บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“ยอห์นเทศน์สอนเรื่องพิธีล้าง ซึ่งแสดงการกลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป”

ในการเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองในสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน หรือเรียกง่ายๆ ว่า “การกลับใจ” การกลับใจของชาวอิสราเอลตามที่ท่านยอห์นต้องการ ก็คือ การเตรียมทางเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงนั่นเอง ท่านยอห์นแม้จะเคร่งครัดต่อตัวเอง แต่ก็เป็นผู้ที่ปูทางให้การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับประชาชน

มีเรื่องเล่าว่าฤาษีท่านหนึ่งเดินทางผ่านหนทางที่อันตรายมาก และท่านก็ได้พบผู้ชายคนหนึ่งนอนเจ็บอยู่บนถนน ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้เลย ฤาษีรู้สึกสงสารก็เข้าไปช่วยเหลือ ทำความสะอาดแผล ใส่ยาให้ แบ่งอาหารของตนให้ และพักค้างคืนเพื่อช่วยเหลือเขา เช้าวันรุ่งขึ้น คนเจ็บมีอาการดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ฤาษีจึงทำท่าจะลาจากไป แต่ชายคนนั้นพูดว่า“คุณครับ คุณไม่รู้จักว่าผมเป็นใคร ทำไมจึงดีกับผมเช่นนี้ อะไรทำให้คุณทำสิ่งเหล่านี้ให้กับผม” ฤาษีตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างฉันมาตรัสว่า ‘สิ่งที่ท่านทำแม้กับคนเล็กน้อยที่สุด คือทำกับเราเอง’ เธอเป็นพี่น้องของฉัน อะไรที่ฉันทำกับเธอ ก็คือทำกับพระองค์นั่นเอง” ชายคนนั้นพูดว่า “คุณครับ พระของคุณคือใคร ถ้าพระของคุณบันดาลให้คุณทำเช่นนี้กับคนแปลกหน้าได้ โปรดให้พระของคุณแก่ผมด้วย” ในเรื่องนี้จะเห็นว่าฤาษีท่านนั้นเป็นผู้ปูทางให้พระเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ กล่าวกันว่า นักบุญคือผู้ที่ทำให้ผู้อื่นมาเชื่อในพระเจ้าอย่างง่ายๆ นั่นเอง

คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ ครั้งหนึ่งชายคนหนึ่งเข้ามาในบ้านสำหรับคนที่ใกล้ตาย เขาเดินเข้าไปดูพวกซิสเตอร์ของคุณแม่ ที่กำลังดูแลคนที่กำลังจะตายเหล่านั้น พอกลับออกมา เขาเดินมาหาคุณแม่พูดว่า “ผมเดินเข้ามาในบ้านนี้ มีแต่ความเกลียดอยู่ในหัวใจ เกลียดทั้งพระและมนุษย์ ผมเข้ามาด้วยใจที่ว่างเปล่าและขมขื่น แต่เมื่อผมเห็นพวกซิสเตอร์ข้างในที่กำลังเอาใจใส่คนไข้อย่างทุ่มเทหมดใจ ทำให้ผมตระหนักว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ บัดนี้ผมกลับออกมาด้วยการเป็นคนต่างไปจากเดิม ผมเชื่อว่ามีพระและพระทรงรักเรา”บรรดาซิสเตอร์เหล่านั้นได้นำทางของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของชายที่มีแต่ความขมขื่นคนนั้น

คราวนี้เราหันกลับมาดูท่านยอห์น โดยชีวิตที่เคร่งครัดของท่านได้เตรียมทางสำหรับการเสด็จมาของพระคริสต์ อยู่ๆ ท่านยอห์นก็ปรากฏตัวขึ้นเทศน์สอนในถิ่นทุรกันดารแห่งแคว้นยูเดีย ท่านสวมผ้าขนอูฐ ใช้หนังสัตว์คาดสะเอว กินตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า เป็นเวลาถึง 400 ปีมาแล้ว ที่ประชากรอิสราเอลไม่เคยได้ยินเสียงของประกาศกเลย ดังนั้น ทันทีที่ประชาชนเห็น ท่านยอห์นในถิ่นทุรกันดาร บวกกับแฟชั่นการแต่งตัวของท่าน อาหารที่ท่านกินและถ้อยคำที่เอาจริงเอาจังของท่าน พวกเขาก็มุ่งมาดูประกาศกคนนี้ และรับพิธีล้างจากเขา นี่เป็นการปูทางหรือเตรียมจิตใจของประชาชนอย่างยอดเยี่ยม ในการรอรับเสด็จพระคริสต์

โดยการเทศน์สอนของท่านยอห์น ก็เป็นการปูทางให้ผู้คนรอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านยอห์นสอนว่า “จงกลับใจ เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” ท่านเรียกร้องให้ประชาชนกลับใจ เปลี่ยนใจ ผ่าตัดหัวใจ นี่เป็นเงื่อนไขที่ต้องมาก่อน เพื่อจะรับเสด็จพระเจ้า ท่านยอห์นทั้งสอน ทั้งเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน น่าที่เราจะสังเกต จดจำ และให้ท่านเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เราในฐานะเป็นผู้ใหญ่และบางคนก็เป็นพ่อแม่ เราต้องถามตัวเราเองว่า เราได้ปูทางให้คนอื่นๆ ได้มาสู่หนทางของพระเจ้าหรือไม่ โดยเฉพาะลูกๆ หลานๆ ของเรา เด็กๆ เรียนรู้เรื่องพระจากเรา ไม่ใช่เพียงจากสิ่งที่เราพูดหรือสอนเท่านั้น แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากสิ่งที่เราปฏิบัติ ลูกของเราเรียนรู้ที่จะสวด เมื่อเขาเห็นพ่อแม่สวดเสมอๆ ทั้งเช้าและเย็น พวกเขาเรียนรู้ที่จะรักพระและไว้ใจในพระองค์ เมื่อเขาเห็นพ่อแม่รักและไว้ใจในพระ

ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า “ผมกลายมาเป็นคนเชื่อในพระ เพราะคุณพ่อของผม ท่านมักจะส่งผมที่โรงเรียนและรีบไปทำงานก่อนเวลาตั้งนานทุกวัน ภายหลัง ผมถึงทราบเองว่า หลังจากส่งผมแล้ว คุณพ่อไปเข้าวัดร่วมส่วนในมิสซาทุกๆ เช้า ก่อนไปทำงาน”

เห็นไหมครับว่า โดยการแสดงออกถึงความเชื่อของเรา เราปูทางของพระไว้ในชีวิตของผู้อื่น

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2011
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose )

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience)วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2023

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป (General Audience) วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2023

ณ หอประชุมใหญ่เปาโลที่หก นครรัฐวาติกัน

คำสอน : ความกระตือรือร้นในการประกาศพระวรสาร: ความร้อนรนของผู้เชื่อในการประกาศข่าวดี (29) การประกาศเป็นสิ่งที่กระทำในพระจิตเจ้า
.
พี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนครั้งที่ผ่าน ๆ มา เราได้พิจารณาไปแล้วว่า การประกาศพระวรสารเป็นความชื่นชมยินดี เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อทุกคน และเป็นสิ่งที่มุ่งยังตอนนี้ สำหรับในวันนี้ ให้เราทั้งหลายค้นพบลักษณะสำคัญยิ่งยวดประการสุดท้าย[ของการประกาศพระวรสาร] กล่าวคือ การประกาศจะต้องกระทำภายในพระจิตเจ้า เพราะว่าที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าการประกาศจะกระทำด้วยการเป็นพยานที่เปี่ยมด้วยความปิติยินดีและน่าเชื่อ มีความเป็นสากลมุ่งยังทุกคน และมีเนื้อหาเหมาะสมกับกาลสมัย แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะ “สื่อสารพระเจ้า[ให้แก่ผู้อื่น]” และหากไม่มีพระจิตเจ้า ความร้อนรนทุกอย่างย่อมสูญเปล่า และอาจเป็นเพียงการประกาศข่าวดีอย่างปลอม ๆ เป็นเพียงการประกาศถึงตัวเราเอง และไม่ทำให้เกิดผลงอกเงยอะไรเลย
.
ในสมณสาส์นเตือนใจ Evangelii Gaudium (ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร) พ่อได้กล่าวระลึกถึงข้อที่ว่า “พระเยซูเจ้าทรงเป็นเอกในบรรดาผู้ประกาศพระวรสาร และทรงเป็นผู้ประกาศพระวรสารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และว่า “ในทุกกิจกรรมของการประกาศพระวรสาร พระเจ้าย่อมเป็นผู้สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ” พระองค์ “ทรงเรียกให้เราร่วมมือกับพระองค์ และทรงนำทางเราไปด้วยพลังแห่งพระจิตของพระองค์” (สมณสาส์นเตือนใจ Evangelii Gaudium, ข้อ 12) เราย่อมเห็นในที่นี้ว่า พระจิตเจ้าทรงมีความสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เช่นนี้เอง พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเปรียบเทียบพลวัตของอาณาจักรพระเจ้าว่าเป็น “คนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้” (มก. 4,26-27) พระจิตเจ้าคือตัวเอก พระจิตเจ้าย่อมเสด็จไปก่อนบรรดาธรรมทูต และทรงบันดาลให้เกิดผลงอกเงยขึ้นมา การได้รู้เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้มีความบรรเทาใจมากมาย และยังช่วยให้เรามองเห็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดไม่แพ้กัน กล่าวคือ พระศาสนจักรมีความร้อนรนในการประกาศ ซึ่งไม่ใช่การประกาศตัวพระศาสนจักรเอง แต่[เป็นการประกาศ]พระหรรษทาน [เป็นการประกาศเกี่ยวกับ]ของประทาน ซึ่งของประทาน[อย่างเอก]จากพระเจ้าก็คือพระจิตเจ้า ดังที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับหญิงชาวสะมาเรีย (เทียบ ยน. 4,10)
.
อย่างไรก็ตาม การที่พระจิตเจ้ามีความสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด จะต้องไม่ทำให้เรากลายเป็นคนเกียจคร้าน ความเชื่อมั่น[ในพระจิตเจ้า]ไม่ได้เป็นเหตุผลให้เราละเลยไม่ข้องเกี่ยว[กับการประกาศข่าวดี] ความที่เมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งที่มีชีวิตเติบโตได้ด้วยตนเอง ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ชาวนาชาวไร่ปล่อยปละละเลยไร่นาของตน ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ได้ตรัสสอนเตือนใจเป็นเรื่องสุดท้ายว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่าน และท่านจะรับอานุภาพเพื่อจะเป็นพยานถึงเรา […] จนถึงสุดปลายแผ่นดิน” (กจ. 1,8)
.
สิ่งที่พระเยซูเจ้ามอบไว้ให้กับเรา ไม่ใช่บันทึกคำบรรยายวิชาเทววิทยา หรือคู่มือการอภิบาลสำหรับนำไปปรับใช้ แต่พระองค์ได้มอบพระจิตเจ้าผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการแพร่ธรรม ความคิดริเริ่มอันกล้าหาญที่พระจิตเจ้าได้ทำให้เกิดมีขึ้นในใจเราเป็นสิ่งที่นำทางเราให้ทำตามแบบอย่างของพระจิตเจ้า ซึ่งในทุกครั้งจะเป็นสิ่งที่มีลักษณะ 2 ประการ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความเรียบง่าย
.
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อการประกาศพระเยซูเจ้าด้วยใจปิติยินดีให้แก่ทุกคนและในทุกวันนี้ เราทั้งหลายไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่ช่วยเหลือให้เราได้มีทัศนคติในทางศาสนาเกี่ยวกับชีวิต และในหลายสถานที่ การประกาศได้กลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ต้องใช้ความพยายามตรากตรำยิ่งขึ้น อาจดูเหมือนว่าไม่ทำให้เกิดผลอะไร และอาจเกิดเป็นการผจญล่อลวงให้เราเลิกล้มงานอภิบาลรับใช้ผู้อื่น บางคนอาจไปหลบอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เช่น ด้วยการทำสิ่งเดิม ๆ ตามอย่างที่เคยทำมาแล้ว หรือบางคนอาจจะถูกยั่วยวนด้วยทัศนะฝ่ายจิตที่เน้นเรื่องภายในจิตใจ มุ่งสู่ภายใน [ไม่มุ่งยังภายนอก] หรืออาจทำให้มีแม้กระทั่งบางคนที่มีความเข้าใจผิด ๆ เรื่องความเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรม การผจญเหล่านี้อำพรางตัวอยู่ในรูปของความซื่อสัตย์ต่อธรรมประเพณี บ่อยครั้งที่[ความซื่อสัตย์ต่อธรรมประเพณี]ไม่ได้เป็นการตอบสนองต่อพระจิตเจ้า แต่เป็นเพียงการตอบสนองความไม่พอใจส่วนตัวบางอย่าง ในอีกด้านหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ในการอภิบาล ความกล้าหาญในพระจิต และความร้อนรนที่มาจากเปลวไฟของพระจิตต่างหาก ที่เป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความซื่อสัตย์ต่อพระจิตเจ้า ดังนั้น พ่อจึงได้เขียนไว้ว่า “นอกจากนี้ พระเยซูเจ้ายังทรงสามารถผ่าทางตันที่มาจากการจัดประเภทอันน่าเบื่อหน่ายต่าง ๆ ที่เราได้ตีกรอบจำกัดพระองค์ไว้ได้อีกด้วย ความคิดสร้างสรรค์แบบพระเจ้าของพระองค์ทำให้เราทั้งหลายประหลาดใจอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามกลับไปยังแหล่งที่มา[ของการประกาศ] และฟื้นฟูความสดใหม่ดั้งเดิมของพระวรสารให้กลับคืนมาอีกครั้ง ก็จะทำให้เกิดหนทางใหม่ ๆ ทำให้วิถีทางใหม่ ๆ แห่งความคิดสร้างสรรค์ได้เปิดออก นำมาซึ่งการแสดงออกในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม และมาพร้อมกับสัญลักษณ์และคำพูดที่ทั้งสวยงามโน้มน้าวจิตใจมากขึ้นและยังมีความหมายใหม่สำหรับโลกในยุคปัจจุบัน (สมณสาส์นเตือนใจ Evangelii Gaudium, ข้อ 11)
.
ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์[จึงเป็นสิ่งสำคัญ] และต่อจากนี้ ให้เราพิจารณาเรื่องความเรียบง่าย เพราะว่าความเรียบง่ายมาจากการที่พระจิตเจ้าทรงนำเราไปสู่แหล่งที่มา[ที่แท้จริง] ซึ่งก็คือ “การประกาศครั้งแรก” แน่นอนว่า “ไฟของพระจิต” เป็นสิ่งที่ได้ “นำพาเราให้เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเผยแสดงและสื่อถึงความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระบิดาให้แก่เรา อาศัยการตายและการฟื้นคืนชีพของพระองค์” (สมณสาส์นเตือนใจ Evangelii Gaudium, ข้อ 164) นี่คือการประกาศครั้งแรก ซึ่งจะต้อง “เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมแพร่ธรรมทั้งปวงและความพยายามทั้งปวงที่มุ่งให้เกิดการฟื้นฟูในพระศาสนจักร” สิ่งนี้คือการพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักท่าน พระองค์ได้มอบชีวิตของพระองค์เพื่อช่วยท่านให้รอด และบัดนี้พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างท่านในทุกวัน เพื่อส่องสว่างท่าน เสริมกำลังแก่ท่าน และปลดปล่อยท่านเป็นอิสระ” (สมณสาส์นเตือนใจ Evangelii Gaudium, ข้อ 164)
.
พี่น้องที่รัก ให้เรายอมให้พระจิตเจ้านำพาเราไป ให้เราเรียกหาพระจิตเจ้าในทุกวัน ให้พระจิตเจ้าเป็นที่มาแห่งการมีอยู่ของเราและกิจการของเรา ให้พระจิตเจ้าเป็นต้นทางแห่งกิจกรรมทุกอย่าง การพบปะทุกอย่าง และการประกาศทุกอย่าง พระจิตเจ้าทรงทำให้พระศาสนจักรมีชีวิตชีวาและอ่อนเยาว์ขึ้นใหม่ เราทั้งหลายผู้มีพระจิตเจ้าอยู่เคียงข้างจะต้องไม่มีความกลัว เพราะว่าพระจิตเจ้า ผู้ทรงเป็นความปรองดอง ทรงทำให้ความคิดสร้างสรรค์อยู่คู่กับความเรียบง่ายเสมอ ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความสนิทสัมพันธ์ ทรงส่งผู้คนให้ไปประกาศข่าวดี ทรงเปิดกว้างรับความหลากหลาย และทรงนำทุกสิ่งกลับมาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน พระจิตเจ้าทรงเป็นพลังความแข็งแกร่งของเรา เป็นลมหายใจแห่งการประกาศของเรา และเป็นที่มาของความร้อนรนในการประกาศข่าวดี [ดังนั้น ให้เราภาวนาว่า] เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระจิตเจ้า!
.
คำปราศรัยทักทายพิเศษของพระสันตะปาปาฟรานซิส
· • —– ٠ ✤ ٠ —– • ·
พ่อขอต้อนรับผู้แสวงบุญที่พูดภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มจากมอลตา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา พ่อขอให้ลูกทุกคนในที่นี้และครอบครัวของลูกได้รับความปิติยินดีและสันติสุขแห่งพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ขอให้พระเจ้าอวยพรลูกทุกคน
.
ท้ายสุด พ่อขอส่งคำทักทายยังคนชรา คนป่วย คนที่เพิ่งแต่งงาน และเยาวชน อีกไม่นานเราทั้งหลายจะได้สมโภชแม่พระปฏิสนธินิรมล พระแม่มารีย์เป็นผู้ที่ได้ “เชื่อ” ในความรักของพระเจ้า และท่านได้ตอบรับความรักนี้ด้วยคำว่า “ใช่” ให้เราวิงวอนแม่พระให้เรามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่เราจะได้ไปเป็นพยานถึงความดีและความรักตามแนวพระวรสารในทุก ๆ แห่ง
.
ให้เราทั้งหลายอย่าลืมภาวนาเพื่อผู้คนจำนวนมากที่ต้องประสบความทุกข์ทรมานจากสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในยูเครน อิสราเอล และปาเลสไตน์ สงครามย่อมเป็นความพ่ายแพ้เสมอ ไม่มีใครชนะ ทุกคนแพ้หมด คนที่ชนะมีพวกเดียวเท่านั้นคือคนที่ผลิตอาวุธ
.
พ่ออวยพรลูกทุกคน
.
.
สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิส
· • —– ٠ ✤ ٠ —– • ·
พี่น้องที่รัก ในการเรียนคำสอนต่อเนื่องเรื่องความร้อนรนในการประกาศข่าวดี เมื่อไม่กี่ครั้งก่อนหน้านี้เราได้พิจารณาถึงลักษณะ 3 ประการของการประกาศพระวรสาร ได้แก่ ความปิติยินดี ความมุ่งยังทุกคน และความมุ่งยังตอนนี้ ในวันนี้เราจะไตร่ตรองลักษณะประการสุดท้าย กล่าวคือ ความที่ตัวเอกของการประกาศคือพระจิตเจ้า หากไม่มีพระจิตเจ้า ความร้อนรนในการประกาศย่อมสูญเปล่า กลายเป็นเพียงการประกาศตัวเราเอง และไม่ทำให้เกิดผลแท้จริง พระศาสนจักรไม่ประกาศตัวเอง แต่สิ่งที่พระศาสนจักรประกาศคือพระหรรษทาน คือของประทาน ซึ่ง “ของประทานของพระเจ้า” ที่เป็นของประทานอย่างเอก ก็คือพระจิตเจ้านั่นเอง พระจิตเจ้าทรงเกื้อหนุนผลักดันให้มีการแพร่ธรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเรียบง่าย ซึ่งลักษณะพิเศษสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายถูกเรียกให้นำไปปฏิบัติในชีวิตเราด้วย ข้อแรก คือความคิดสร้างสรรค์ในการอภิบาล เป็นสิ่งที่มีเพื่อประกาศพระเยซูเจ้าในทุกสถานการณ์ และเพื่อค้นหาแนวทางใหม่ ๆ ในการประกาศพระวรสาร ในการไปพบปะกับผู้คนชายหญิงในยุคสมัยของเรา ส่วนข้อสอง คือความเรียบง่าย เพื่อที่เราจะได้รับแสงสว่างจากพระจิตเจ้าในการกลับไปหาเปลวเพลิงแห่งการประกาศแรก และในการนำสาระสำคัญแห่งความเชื่อของเราไปถ่ายทอดด้วยความสดใหม่และจิตใจที่กระตือรือร้น
.

 

(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร
เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (ANGELUS)วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2023

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (ANGELUS) วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2023

ณ วัดน้อยนักบุญมาร์ธา นครรัฐวาติกัน

เจริญพรมายังพี่น้องชายหญิงที่รัก อรุณสวัสดิ์

วันนี้พ่อก็ยังไม่สามารถอ่านข้อความได้ทั้งหมด พ่ออาการดีขึ้นแล้ว แต่เสียงพ่อยังไม่ดี เพราะฉะนั้น มงซินญอร์ไบรดาก็จะรับหน้าที่อ่านข้อความช่วงที่เป็นการสอนคำสอนแทนพ่อ

ในพระวรสารสั้น ๆ ของพิธีกรรมวันนี้ (เทียบ มก. 13,33-37) ซึ่งเป็นวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เราทั้งหลายได้รับฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ทั้งเรียบง่ายและเตือนใจพวกเราโดยตรง พระองค์เตือนเราถึงสามครั้งว่า “จงตื่นเฝ้าเถิด” (มก. 12,33, 35, 37)

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นหัวข้อ [ของพระวรสารในวันนี้] จึงเป็นเรื่องการตื่นเฝ้า คำถามมีอยู่ว่า เราควรทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร การ[รู้จักอดทน]ตื่นเฝ้าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง แต่บางครั้งเราอาจคิดว่าทัศนคติอย่างนี้เป็นเพียงสิ่งที่มาจากความกลัวว่าอีกไม่นานความพินาศจะมาถึง เหมือนกับว่าจะมีอุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งถ้าเราหนีไม่ทันเวลา ก็อาจจะถูกอุกกาบาตทำลายหมด แต่การตื่นเฝ้าแบบคริสตชนไม่ได้เป็นแบบนี้เลย

พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยการอุปมาอย่างหนึ่ง พระองค์ตรัสเกี่ยวกับนายผู้หนึ่งที่กำลังจะกลับมา และเกี่ยวกับบรรดาผู้รับใช้ที่รอคอยนายของเขา (เทียบ มก. 13,34) ผู้รับใช้ที่ปรากฏในพระคัมภีร์เป็น “ผู้ที่นายไว้ใจ” ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนแบบนี้กับนายของเขามักจะเป็นความร่วมมือและความรักซึ่งกันและกัน ให้เราคิดถึงตัวอย่างของโมเสส พระคัมภีร์เรียกโมเสสว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า (เทียบ กดว. 12,7) หรือแม้แต่พระนางมารีย์ ท่านยังกล่าวถึงตนเองว่า

“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลก. 1,38) ดังนั้น การตื่นเฝ้าของบรรดาผู้รับใช้จึงไม่ใช่การรอคอยด้วยความกลัว แต่เป็นการรอคอยด้วยความปรารถนา รอเวลาที่จะได้ออกไปหานายของตนเมื่อเขาเดินทางมาถึง พวกเขาล้วนย่อมเตรียมพร้อมที่จะรับการกลับมาของนายตน เพราะว่าพวกเขาเอาใจใส่นายของตน พวกเขาระลึกอยู่เสมอว่าเขาจะต้องเตรียมบ้านให้เป็นระเบียบ เพื่อต้อนรับนายของตนเวลาที่เขาเดินทางกลับมา และเมื่อนายกลับมาถึง พวกเขาก็ย่อมดีใจ ความดีใจนี้ทำให้พวกเขาเฝ้ารอคอยการเดินทางกลับมาของนายอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนว่ากำลังรอคอยการฉลองสังสรรค์สำหรับทุกคนในครอบครัวใหญ่ ซึ่งผู้รับใช้ก็เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ด้วย
เราทั้งหลายก็เช่นกัน เราทั้งหลายย่อมอยากจะเตรียม[จิตใจ]ตนเองด้วยความคาดหวังที่เปี่ยมด้วยความรัก เพื่อต้อนรับพระเยซูเจ้าทั้งในวันคริสตสมภพซึ่งจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ รวมทั้งต้อนรับพระองค์ในวันสิ้นพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ และต้อนรับพระองค์ในทุก ๆ วัน เมื่อพระองค์เสด็จมาหาเราในศีลมหาสนิท และในพระวาจา และในพี่น้องชายหญิงของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพี่น้องที่กำลังทุกข์ยากและต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

ดังนั้น ในช่วงไม่กี่สัปดาห์[ของเทศกาลรับเสด็จพระคริสตเจ้า]นี้ ขอให้เราทั้งหลายเอาใจใส่เตรียมจิตใจให้เป็นเหมือนกับบ้านที่เป็นระเบียบและพร้อมต้อนรับแขก ที่จริงแล้วการตื่นเฝ้าหมายถึงการเตรียมใจให้พร้อม นี่เป็นทัศนคติของผู้เฝ้ายาม เขาไม่ยอมแพ้ความเหนื่อยอ่อนในเวลากลางคืน เขาไม่เผลอหลับไป เขาตื่นอยู่ตลอดคืนเพื่อรอคอยแสงสว่างที่จะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของเราทั้งหลาย และเป็นการดีที่เราจะเตรียมจิตใจ ทั้งด้วยการภาวนาเพื่อให้เราสามารถ[เปิดประตู]ต้อนรับพระองค์ และด้วยการทำกิจการดีเพื่อให้เราสามารถเลี้ยงดูขับสู้พระองค์ การเตรียมจิตใจสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่กล่าวได้ว่าจะทำให้พระองค์ได้รับความสุขสบาย[เมื่อมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา] ในแง่มุมนี้ ให้เรานึกถึงเรื่องราวของนักบุญมาร์ตินแห่งตูร์ ซึ่งนอกจากเขาจะอธิษฐานภาวนาจนเป็นนิสัยแล้ว ในคราวหนึ่ง เขายังได้ตัดเสื้อคลุมของตนออกครึ่งหนึ่งและเอาไปมอบให้คนจน และในคืนนั้น เขาได้ฝันเห็นพระเยซูเจ้าทรงสวมผ้าที่มาจากเสื้อคลุมที่เขาได้ตัดให้คนจนไป พ่อขอเสนอสิ่งหนึ่งที่จะเป็นแผนการที่ดีสำหรับเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งก็คือ การไปพบพระเยซูเจ้าภายในพี่น้องชายหญิงทุกคนที่ต้องการให้เราไปช่วยเหลือ และแบ่งปันกับเขาในหนทางต่าง ๆ ที่เราทำได้ เช่น การรับฟัง การให้เวลา และการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

พี่น้องที่รัก จะเป็นการดีหากว่าในวันนี้เราทั้งหลายจะถามตัวเองว่า เราจะเตรียมจิตใจของเรากันได้อย่างไรบ้างเพื่อให้จิตใจของเราสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เราอาจทำเช่นนี้ด้วยการไปขอให้พระองค์ยกโทษให้[ในศีลอภัยบาป] ด้วยการ[อ่านหรือฟัง]พระวาจา ด้วยการไปยังโต๊ะอาหารของพระองค์[เพื่อรับศีลมหาสนิท] ด้วยการหาสถานที่และเวลาเพื่ออธิษฐานภาวนา หรือด้วยการต้อนรับผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้เราทั้งหลายจงเสริมสร้างทัศนคติแห่งการเฝ้ารอคอยพระองค์เช่นนี้ เราทั้งหลายจงอย่าเสียสมาธิไปกับเรื่องไร้สาระต่าง ๆ นานา และอย่าเอาแต่บ่นตำหนิเรื่องโน้นเรื่องนี้ตลอดเวลา ให้เราทั้งหลายเตรียมใจให้ตื่นตัวอยู่เสมอ กล่าวคือ ให้ใจของเรามีความกระตือรือร้นถึงพระองค์ มีความตื่นตัว พร้อมเสมอ และร้อนรนที่จะได้พบพระองค์

ขอให้พระนางมารีย์พรหมจารีย์ สตรีแห่งการรอคอยคาดหวัง โปรดช่วยเหลือเราทั้งหลายให้ได้ต้อนรับบุตรของท่านที่จะเสด็จมาด้วยเทอญ

หลังการสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าว สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีพระดำรัส ดังนี้

พี่น้องที่รัก สถานการณ์ในอิสราเอลและปาเลสไตน์กำลังร้ายแรง เป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่มีการเลิกข้อตกลงหยุดยิงแล้ว นี่หมายถึงความตาย การทำลายล้าง และความทุกข์ยากลำบาก และถึงแม้ว่าตัวประกันหลายคนจะถูกปล่อยตัวแล้ว แต่ยังมีตัวประกันอีกจำนวนมากที่ยังอยู่ในกาซา ให้เรานึกถึงพวกเขา และนึกถึงบรรดาครอบครัวของพวกเขาที่เคยได้เห็นแสงสว่างแห่งความหวังว่าจะได้พบกับบุคคลอันเป็นที่รักของเขาอีกครั้ง ที่กาซามีความทุกข์ทรมานมากมาย ผู้คนที่นั่นขาดแคลนสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นพื้นฐาน พ่อหวังว่าทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะมาตกลงหยุดยิงกันอีกครั้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหวังว่าพวกเขาจะพบทางออกที่ไม่ใช่การใช้อาวุธ ให้พวกเขาพยายามใช้ความกล้าหาญเพื่อหันมาก้าวเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพ

พ่อขอให้ [ลูกทุกคน] รู้ว่า พ่อภาวนาเพื่อบรรดาเหยื่อในเหตุโจมตีเมื่อเช้านี้ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นกลางพิธีมิสซา พ่อขอแสดงความใกล้ชิดกับบรรดาครอบครัว [ของผู้เคราะห์ร้าย] และกับผู้คนที่มินดาเนาที่ต่างต้องประสบกับความยากลำบากมากมายอยู่แล้ว

ถึงแม้พ่อจะไม่ได้ไปยังสถานที่จัดการประชุม แต่พ่อก็ติดตามการประชุม [ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ] COP 28 ที่ดูไบอย่างใกล้ชิดและด้วยความสนใจอย่างยิ่ง พ่อขอเรียกร้องอีกครั้งว่า ต้องทำให้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เราทั้งหลายต้องออกจากกรอบความคิดคับแคบ ซึ่งเป็นแบบชาตินิยมและถือประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ความคิดแบบนี้ล้าสมัยแล้ว เราทั้งหลายต้องหันมามีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และต้องพยายามในทุกวิถีทางโดยไม่ชักช้า เพื่อที่ว่าจะได้เกิดการกลับใจในระดับโลกซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น[สำหรับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ]

วันนี้เป็นวันคนพิการสากล การต้อนรับและให้คนพิการมีส่วนร่วมในสังคมเป็นสิ่งที่ช่วยให้สังคมโดยรวมมีความเป็นมนุษยธรรมมากขึ้น พ่ออยากขอให้เราทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว ในชุมชนวัด ในโรงเรียน ในที่ทำงาน หรือในการเล่นกีฬา ให้เราเรียนรู้ที่จะมองเห็นว่าคนทุกคนมีค่า ไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหนหรือมีความสามารถอะไรก็ตาม คนทุกคนมีค่า ไม่ยกเว้นใครทั้งสิ้น

พ่อขอทักทายอย่างอบอุ่นต่อลูกทุกคน ทั้งชาวกรุงโรม และผู้แสวงบุญจากอิตาลีและส่วนอื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาวโปแลนด์ที่มาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นที่กรุงโรมเพื่อเทิดเกียรติมรณสักขีครอบครัวอุลมา ซึ่งเพิ่งจะได้รับสถาปนาเป็นบุญราศีเมื่อไม่นานนี้

พ่อขอส่งคำทักทายยังผู้แสวงบุญทุกคน และต่อกลุ่มชุมชนวัดจากฟลอเรนซ์ จากซีเอนา จากบรินดีซี จากโกเซนซา และจากอาดราโน [ซึ่งเป็นเขตปกครองต่าง ๆ ในอิตาลี]

พ่อขอให้ลูก ๆ ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ และให้ลูกก้าวเดินบนหนทางที่ดีในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า อย่าลืมภาวนาเผื่อพ่อด้วย รับประทานอาหารกลางวันให้อร่อย แล้วพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ และวรินทร เติมอริยบุตร
เก็บคำปราศรัย ANGELUS ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและเพื่อการไตร่ตรอง)

สามเณรบนสนามบาสส่งเสริมกระแสเรียกบาทหลวงได้ไหม

สามเณรบนสนามบาสส่งเสริมกระแสเรียกบาทหลวงได้ไหม

"ชีวิตของผมในบ้านเณร เผยแสดงความจริงกับผมว่าสนามบาสเก็ตบอลเป็นสถานที่ดีที่สุด เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพระศาสนจักร และชายอเมริกันรุ่นใหม่"

เราเคยชมภาพยนตร์มากมายเกี่ยวกับบ้านเณร แสดงชีวิตของหนุ่มที่ศึกษาอบรม เพื่อเป็นบาทหลวง เดี๋ยวนี้ มีสารคดีใหม่ชิ้นหนึ่งที่ตอบคำถามว่า อะไรถ้าบรรดาสามเณรเล่นบาสเก็ตบอล

ภาพยนตร์ชื่อ “Souls in the Game” (จิตวิญญาณในเกม) เป็นสารคดีใหม่เกี่ยวกับบรรดาสามเณรที่บ้านเณรเซนต์จอห์น บางคนไม่เคยเล่นบาสเลยในชีวิต มารวมทีมแข่งขันบาสเก็ตบอลระดับชาติ (สหรัฐ) สำหรับสามเณร

ภาพยนตร์สารคดี 30 นาที ก็เน้นธรรมชาติของการแข่งขันกีฬา แต่มีเน้นถึงสัมพันธภาพของบรรดาสามเณร และมุมมองชีวิต

อัครสังฆมณฑลบอสตัน และสามเณรราลัยเซนต์จอห์น ผลิต” Souls in the Game” บอกเรื่องราวการอบรมสามเณรนอกห้องเรียน

เมื่อคุณพ่อปีเตอร์ ชีริปา ได้ก้าวเดินสู่สังฆภาพ เขาไม่เคยมีความคิดว่าบาสเก็ตบอล มีบทบาทในการอบรม เมื่อสร้างทีมบาสเก็ตบอลในบ้านเณรเซนต์จอห์น รัฐบอสตัน การเล่นบาสเก็ตบอล ให้ประสบการณ์ที่ดี ในฐานะสามเณรคนหนึ่ง

คุณพ่อปีเตอร์ ชีริปา บวชเป็นบาทหลวงในปี 2023 เขาพูดเกี่ยวกับการเล่นบาส ได้ช่วยสร้างสะพาน ระหว่างช่องว่างของวิถีชีวิต สองแบบ ที่แตกต่างกัน

เมื่อเข้าบ้านเณร ผมชอบเรียนสิ่งที่ โป๊ป ยอห์น ปอล ที่ 2 กล่าวเกี่ยวกับมนุษย์ชาติของบาทหลวง ต้องเป็นสะพานสู่พระคริสตเจ้า และไม่ใช่อุปสรรค

ปราศจากปัญหา เวลาของผมในบ้านเณรเผยแสดงความจริงแก่ผมว่า สนามบาสเก็ตบอล เป็นสถานที่ดีที่สุด เพื่อเชื่อมระหว่างพระศาสนจักร และชายอเมริกันสมัยใหม่ ช่วยสร้างสัมพันธภาพกับบรรดาพี่น้องสามเณรทั่วประเทศ ช่วยงานอภิบาลผู้ชายในเขตวัด การกีฬา เป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ สอนสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆแก่เรา

สังฆานุกร มาร์เชโล แฟร์รารี่ ตัวเด่นอีกคนในสารคดีนี้ ยังกำลังศึกษาในบ้านในเซนต์จอห์น แสดงความเห็นว่า

“เราตื่นเต้นที่จะแสดงให้เขตวัดสนใจความเชื่อของเยาวชน โดยมาร่วมการแข่งขันบาสเก็ตบอล คุณจะเห็นอนาคตของพระศาสนจักร มีชายหนุ่มจำนวนมาก มีชีวิตชีวาปิติยินดีในพระวรสาร และกำลังติดตามพระคริสตเจ้า”

J-P Mauro – published on 22/11/23 Aleteia

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์)

บทเทศน์บทรำพึงสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล

บทเทศน์บทรำพึง สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล

หัวข้อ : The king and I

มีเรื่องเล่าว่า กษัตริย์ชราผู้ไม่มีรัชทายาทพระองค์หนึ่งทรงต้องการมอบบัลลังก์ของพระองค์ให้กับชายหนุ่มผู้คู่ควรกับอาณาจักรของพระองค์ ดังนั้น ทรงประกาศออกไปว่าจะทรงคัดเลือกผู้สืบตำแหน่งต่อ มีชายหนุ่มที่ร่ำรวย และแข็งแรงมากมายได้มาที่พระราชวังเพื่อรับการคัดเลือก แต่ก็ถูกส่งกลับไปจนหมดสิ้น มีคนเลี้ยงแกะยากจนคนหนึ่งอาศัยในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เขาปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ด้วยเหมือนกัน จึงได้รวบรวมเงินทั้งหมดที่มีไปซื้อเสื้อผ้าชุดที่เหมาะสม แล้วก็เดินทางไปที่พระราชวัง ใกล้จะถึงพระราชวังเขาพบขอทานคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าและขาดกะรุ่งกะริ่งเข้ามาขอทานจากเขา เขานึกสงสารมาก กล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันมาจากหมู่บ้านห่างไกลเพื่อมาสมัครเป็นกษัตริย์และฉันก็ไม่มีเงินเหลือจะให้ทานหรอก แต่ฉันมีเสื้อผ้าใหม่ชุดที่สวมอยู่นี่ ฉันจะให้ชุดใหม่นี้แก่ท่านแลกเปลี่ยนกับชุดของท่าน” ชายขอทานนั้นตกลง เมื่อแลกเปลี่ยนแล้วเขาขอบคุณชายคนนั้นแล้วจากไป ชายคนนั้นมองดูชุดที่ขาดกะรุ่งกะริ่งของตนแล้วรู้สึกเขินอาย จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน แต่ทันใดนั้น มีข้าราชสำนักคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบอกกับเขาว่า “พระมหากษัตริย์ต้องการพบท่าน” เมื่อเขาเข้าไปในพระราชวัง เขาตกใจมากที่เห็นว่าพระมหากษัตริย์คือขอทานคนนั้นซึ่งกำลังสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ของเขาอยู่ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ลูกรัก ลูกเป็นผู้สมควรที่สุดที่จะปกครองอาณาจักรของเรา”
.
เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับกษัตริย์และอาณาจักรต่างๆ มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คิดถึงภาพของความโอ่อ่าหรูหราและอำนาจ แต่พระวาจาของวันนี้ เราจะเห็นภาพอำนาจของกษัตริย์ที่ดูเหมือนขัดแย้งในตัวเอง และการเลือกผู้ที่สมควรเป็นทายาทก็เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ เนื่องจากเป็นอาทิตย์สุดท้ายของปีพิธีกรรม และได้กล่าวถึง “ผู้ที่เล็กน้อยหรือต่ำต้อยที่สุด” แต่ก็เหมือนกับตอนจบอย่างสง่าของอุปรากรเรื่องหนึ่ง (like the grand finale of an opera) นักบุญมัทธิวได้เก็บรักษาข้อความนี้ไว้ในฐานะเป็นจุดสูงสุด (climax) ของคำเทศน์สอนสุดท้ายในเรื่องงานบริการของพระเยซูเจ้า จริงๆแล้ว นี่ก็คือ “คำสั่งสุดท้าย” ของพระเยซูเจ้าในเรื่องการบริการรับใช้เพื่อนพี่น้องนั่นเอง และสิ่งที่ตามมาก็คือ การนำไปสู่ความรอด (salvation)
.
พิธีกรรมของวันนี้ชี้ให้เห็นความเป็นกษัตริย์ของพระคริสต์ ตัดกับฉากของเหตุการณ์เรื่อง “ประวัติศาสตร์แห่งความรอด” ที่ท้ายสุดแล้วพระเยซูเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งหมดของพระองค์ให้อยู่ใต้พระบาท แล้วนั้นจะทูนถวายอาณาจักรแด่พระบิดาเจ้า เพื่อว่า “พระเจ้าจะได้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน” (ในบทอ่านที่สอง) อำนาจและอานุภาพทั้งหลายจะถูกทำลายเมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาครั้งที่สอง เมื่อนั้นพระองค์จะทรงตัดสินทุกคนตามมาตรวัดของพระบัญญัติสูงสุดของพระองค์ นั่นคือ “ความรัก”
.
ในบทอ่านแรกนำเสนอหัวข้อความเป็นกษัตริย์ด้วยภาพของนายชุมพาบาล โดยเปรียบเทียบพาดพิงไปถึงกษัตริย์ดาวิด บรรดากษัตริย์ของอาณาจักรยูดาห์ก่อนเนรเทศส่วนมากเป็นนายชุมพาบาลจอมปลอมที่นำบรรดาฝูงแกะให้หลงไป ดังนั้น พระเจ้าเองจะทรงเลี้ยงดูแกะของพระองค์ และจะตามหาแกะที่สูญหายไป นำแกะที่หลงทางกลับมา พันแผลแกะที่บาดเจ็บ และเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย ประโยคสุดท้ายให้ความหมายของการตัดสินคือ “เราจะพิพากษาระหว่างแกะกับแกะ ระหว่างแกะเพศผู้กับแพะเพศผู้”
.
ภาพเปรียบเทียบของการแยกผู้คนทั้งหลายโดยใช้ภาพของแกะและแพะที่กล่าวไว้ในบทอ่านแรก และในพระวรสารก็กล่าวอีกว่า “พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย” นั้น จะใช้พื้นฐานของปฏิบัติการจริง ว่าได้ให้บริการด้วยความรักต่อผู้ที่ “ต่ำต้อยที่สุด” ในสังคมหรือไม่ อันได้แก่ ให้อาหารแก่ผู้หิว ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่เปลือยเปล่า ไปเยี่ยมคนเจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ พวกที่ได้รับการต้อนรับเข้าในพระอาณาจักรได้แสดงความแปลกใจออกมา เพราะพวกเขาได้ทำงานรับใช้โดยไม่ได้เห็นแก่รางวัล แต่มาจากความรักที่มีต่อเพื่อนพี่น้องอย่างบริสุทธิ์ใจ เราเห็นตัวอย่างจริงเช่นนี้มากมาย เช่น นักบุญเดเมียน พระสงฆ์ (St Damien of Molokai, 1840-1889) ที่ไปอยู่ที่เกาะของคนโรคเรื้อนเพื่อรับใช้พวกเขา จนตัวเองติดโรคไปด้วย และตายไปในที่สุด หรือ นักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา ที่ไปอยู่ท่ามกลางพี่น้องที่ยากจนและน่าสงสารที่สุดเพื่อช่วยเหลือพวกเขา ฯลฯ
.
ในปี ค.ศ. 1956 มีภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงที่เคยเป็นละครเวทีที่โด่งดังมาก่อนเรื่อง The King and I (ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ฉายในเมืองไทย) มีหลายเพลงประกอบที่มีความไพเราะ ประพันธ์โดย ร็อดเจอร์ส และ แฮมเมอร์สไตน์ (Rodgers and Hammerstein) เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ของสยาม ( = ในหลวงรัชกาลที่ 4 ) ได้ทรงมอบบรรดาพระโอรสและพระธิดาเล็กๆทั้งหลาย ให้อยู่ในการดูแลและสอนภาษากับแหม่มแอนนา เนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก (แต่งเสริมเติมแต่งขึ้นมาให้มีความน่าสนใจ จากบทบันทึกของแหม่มแอนนา) ณ ที่นี้ขอเปรียบเทียบว่า พระคริสต์ – องค์กษัตริย์ กับ เราแต่ละคน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันด้วยบทบัญญัติแห่งความรัก พระเยซูเจ้าทรงมอบเด็กเล็กๆ (ลูกของพระองค์ = บรรดาคนต่ำต้อยที่สุดทั้งหลาย) ให้อยู่ในความเอาใจใส่ดูแลของเรา เราแต่ละคนได้ตอบสนองต่อพระองค์และบรรดาคนเล็กน้อยที่สุดเหล่านั้นเช่นไร
(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017
Based on : Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)