ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”

บางทีเราชอบละครน้ำเน่า

บางทีผู้จัดชอบทำละครน้ำเน่า อ้างว่ามีผู้ชมเยอะดี

“น้ำเน่า” เป็นคำขยายที่บ่งบอกว่า เนื้อหาของเรื่องไม่มีสาระอันใด นอกจากเรื่องชิงรักหักสวาท อิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย และอะไรๆ ประมาณนี้

ที่คนดูชอบก็เพราะว่า นี่เป็นนิสัยของมนุษย์แท้ๆ เป็นเรื่องของมนุษย์แท้ๆ ซึ่งต่างกับเรื่องของพระเป็นอย่างมาก

ในบทอ่านแรกจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ได้ให้เนื้อหาสาระว่าพระเจ้าเป็นพระที่เมตตาสงสารประชากร เป็นพระที่ประทานอภัยให้มนุษย์อย่างมากมาย เพียงแต่ถ้าเขาละทิ้งความคิดของตน และกลับมาหา พระเจ้า

ทั้งยังบอกถึงความแตกต่างระหว่างพระกับมนุษย์อีกว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา”

ถ้าเราหันมาดูพระวรสารของวันนี้จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างความคิดของพระเยซูเจ้า กับความคิดของพวกคณะสงฆ์ ธรรมาจารย์ และฟาริสี พระองค์ทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาชอบต่อว่า วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ว่าสนใจและเอาใจใส่มากไปกับพวกคนบาป คนชั้นต่ำในสังคม แทนที่จะสนใจคนที่น่าเคารพยกย่องในสังคมเช่นพวกเขา

ดังนั้น เรื่องอุปมานี้ ที่บอกว่าพ่อบ้านออกไปว่าจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่นของตน โดยตกลงค่าจ้างกันเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ลูกจ้างก็ไปทำงานตามนั้น พ่อบ้านออกไปหาคนงานถึงสี่ครั้งด้วยกัน ในเวลาที่ต่างกัน ก็จ้างคนงานทุกคนให้มาทำงานในสวนองุ่น เพราะถ้าคนงานคนใดคนหนึ่งไม่ถูกใครจ้าง วันนั้น ครอบครัวของเขาจะไม่มีอะไรกิน ดังนั้น แม้กลุ่มสุดท้ายมีเวลาทำงานแค่ชั่วโมงเดียว พ่อบ้านก็ยังใจดีว่าจ้างให้มาทำงานด้วย

คนกลุ่มสุดท้ายก็คือคนกลุ่มที่เป็นคนบาป คนเก็บภาษี และหญิงโสเภณีที่พระเยซูเจ้าทรงคบค้าสมาคมด้วย และจะเห็นว่าพระเจ้าพระทัยดียิ่งนัก โดยเฉพาะในเวลาจ่ายค่าจ้างตามสัญญา ทรงเรียกคนที่มาทำงานทีหลังสุดมาจ่ายเงินให้ก่อน และให้มากเท่ากับพวกอื่นๆ ที่มาก่อนด้วย

ตรงนี้แหละที่วิสัยมนุษย์ทำให้ความรู้สึกนึกคิดสั่นคลอนไป ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพ่อบ้านที่จ่ายเงินให้เขาที่ทำมาตั้งแต่เก้าโมงเช้า โดยให้เท่ากัน มนุษย์ไม่ยอมเข้าใจเรื่องง่ายๆ ว่าพระเจ้าพระทัยดีต่อทุกคน พระเยซูเจ้าทรงถูกส่งมา เพื่อตามหาแกะที่หายไปหรือพลัดฝูง มนุษย์ก็คิดเรื่องความยุติธรรมตามแบบของมนุษย์ ทั้งๆ ที่พ่อบ้านก็ไม่ได้ผิดความยุติธรรมต่อคนงานกลุ่มแรกๆ เลย แต่พวกเขาก็ไม่พอใจอยู่ดี ความไม่พอใจของมนุษย์เกิดจากการเปรียบเทียบ เมื่อเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ก็จะคิดดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ถ้าเห็นว่าด้อยกว่าตัว และจะอิจฉาผู้อื่น ถ้าเห็นว่าดีกว่าตัว เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าความคิดของมนุษย์แตกต่างกับของพระอย่างสิ้นเชิง

อย่างน้อยจากพระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ก็ชี้ให้เห็นความแตกต่างนี้อย่างชัดเจน กล่าวคือ
พระเจ้าทรงเป็นผู้พระทัยดี
เราต่างหากที่มักจะเป็นคนอิจฉาริษยา
พระเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่เรามากจนน่าแปลกใจ และต่างมากทีเดียวจากการคาดหวังของเรา
“เราต้องไม่ไปคาดหวังในสิ่งต่างๆ แต่ควรพึงพอใจในทุกสิ่ง” (We must not expect anything but be satisfied with everything)

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2011)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A

โดยส่วนตัวแล้วชอบเพลง My Way และร้องได้ด้วยโดยเฉพาะตอนที่ลงท้ายว่า “I did it my way” [ฉันทำตามทาง(แบบ)ของฉัน]

มนุษย์โดยรวมแล้วมักจะคิดว่าเป็นสิทธิของตนที่จะร้อง I did it my way แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราได้ยินพระเจ้าทรงร้อง I did it my way ของพระองค์บ้าง เราจะยอมให้พระองค์ทรงมีอิสระในการกระทำอะไรตามแบบของพระองค์เองได้หรือไม่ หรือว่าเราโกรธข้องหมองใจเมื่อพระองค์ทรงกระทำด้วยวิธีการที่ผิดแผกไปจากเรา

พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาว่า อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น เขาออกมาอีกตอนสามโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมง และที่สุดประมาณห้าโมงเย็น ก็กระทำเช่นเดียวกัน พอหมดวันก็จ่ายเงินค่าจ้างให้คนที่มาทีหลังสุดคนละหนึ่งเหรียญ แล้วก็จ่ายให้ทุกคนที่มาในเวลาต่างๆกัน แต่จ่ายเท่ากับพวกที่มาสุดท้าย คือคนละหนึ่งเหรียญ การทำเช่นนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ที่มาก่อนทั้งหลายอย่างยิ่ง เขาพากันบ่นว่าเจ้าของสวน ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชอบใจว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย… ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”

โลกของพระวรสารเป็นแบบที่สวนทางกับวิธีคิดของคนที่เป็นคนของโลกนี้ บุคคลที่อยู่ในโลกของพระวรสารเป็นผู้ที่มาทีหลังกว่าคนอื่นๆ บางทีเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา พวกเขาเป็นเหมือนลูกช่างผลาญ พวกที่ต่ำต้อย พวกที่ถูกมองข้าม พวกที่ถูกดูหมิ่น แต่เราจะพบพวกเหล่านี้ในศูนย์กลางของพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงแสดงออกอย่างเด่นชัดที่จะเมตตาต่อคนพวกนี้ ความเมตตารักและพระพรที่ทรงมอบให้แก่คนพวกนี้ ไม่ได้มาจากความดีของเขา หรือการคำนวณสูตรของการตอบแทนตามวิธีการของมนุษย์ เหลือบมองในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือประกาศกอิสยาห์สิครับ จะพบว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา”

คำอุปมานี้มีต้นกำเนิดมาจากพวกที่ฟาริสีบ่นว่าพระเยซูเจ้า ที่ทรงใจดีต่อคนบาป และกระทำดีต่อคนบาป และนั่นหมายความว่าการที่ทรงปฏิบัติต่อคนบาป หรือคนที่มาสายด้วยความเมตตาเท่าๆกับผู้ที่เคร่งครัดถือตามพระบัญญัติ เป็นสิ่งที่พวกฟาริสียอมรับไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าเป็นวิธีการที่ผิดเพี้ยนไป แต่พระเยซูเจ้าทรงเผยและเชื้อเชิญให้เราพิจารณาถึงความรักของพระเจ้า ซึ่งไม่มีขอบเขตใดๆ มาจำกัดได้ ที่จริงทุกๆคนก็ได้รับพระกรุณาจากพระเจ้าทั้งนั้น เราทุกคนได้รับประโยชน์จากพระกรุณาของพระเจ้าทั้งนั้น อันความกรุณาปรานีของพระเจ้านั้น “หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน”

เกี่ยวกับความใจดีอย่างมากล้นที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์นั้น Ralph Seager ได้อธิบายเป็นเชิงบทกวีว่าดังนี้ :

“(พระเจ้าทรงให้…)
ผืนฟ้าที่มากกว่ามนุษย์อาจแลเห็นได้
น้ำทะเลที่มากกว่ามนุษย์อาจแล่นเรือได้
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้ากว่ามนุษย์อาจจ้องมองได้
ดวงดาราที่มากกว่ามนุษย์อาจนับได้
ลมหายใจที่มากกว่ามนุษย์อาจหายใจได้
พืชผลที่มากกว่ามนุษย์ได้หว่านไถไว้
พระหรรษทานที่มากกว่ามนุษย์สามารถเข้าใจได้
ความรักที่มากกว่ามนุษย์สามารถล่วงรู้ได้”

หรือบางคนอาจจะเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่า
“This is how Ralph Seager poetically describes the extravagance of God :
More sky than man can see,
More seas than he can sail.
More sun than he can bear to watch,
More stars than he can scale.
More breath than he can breathe,
More yield than he can sow,
More grace than he can comprehend,
More love than he can know.”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2008
และปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2017 :
Based on : (1) Seasons of the Word ; by Denis McBride)
(2) Your Words, O Lord, Are Spirit, and They Are Life, Year A ; Fr. James Valladares)

เสกวัดน้อย บ้านป่าตึงงาม เขตวัดห้วยบง

เสกวัดน้อย บ้านป่าตึงงาม เขตวัดห้วยบง

เสาร์ที่ 12 กันยายน 2020

วัดแม่พระยกขึ้นสวรรค์ บ้านป่าตึงงาม ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว อยู่ในเขตวัดพระวิสุทธิวงศ์ ห้วยบง อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ คุณพ่ออาทิตย์ เกษตรสุขใจ (เบธาราม) เป็นเจ้าอาวาส
 
มีสัตบุรุษประมาณ 10 ครอบครัว (45 คน) มีวัดหลังแรกประมาณ ค.ศ.1995 (25 ปี) แต่เนื่องจากวัดน้อยหลังนี้ อยู่ติดกับบ้านชาวบ้านมากซึ่งต่างความเชื่อ จึงขอสร้างวัดน้อยหลังใหม่ โดยซื้อที่ดินใหม่ ประมาณ 3 ไร่ อยู่บนเนิน บรรยากาศห้อมล้อมด้วยภูเขา ชวนให้ภาวนาสรรเสริญพระเจ้ามากกว่า ได้รับการสนับสนุนซื้อที่ดินจากเจ๊เฮียง วัดนักบุญเทเรซา หนองจอก และครอบครัว “บุญอนันตบุตร” สร้างวัด
 
คุณพ่อไพศาล เต็มอรุณรุ้ง หัวหน้า เขต 3 เชียงใหม่ เป็นผู้ประสานงานครั้งนี้ มีพระสงฆ์ นักบวช และสัตบุรุษมาร่วมเป็นจำนวนมาก จากกรุงเทพ (ประมาณ 40 คน )
 
พ่อเห็นความร่วมมือของชาวบ้านมาร่วมฉลอง นำอาหารมาแบ่งปันกัน และแจก “สายประคำ” นำความยินดีมาสู่ชาวบ้าน และเราที่ไปเยี่ยม

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน)

คุณพ่อชาวอิตาลีองค์หนึ่งถูกแทงเสียชีวิต

คุณพ่อชาวอิตาลีองค์หนึ่งถูกแทงเสียชีวิต

15 กันยายน 2020 โคโม (อิตาลี)

คุณพ่อโรแบร์โต มัลเกซีนี อายุ 51 ปี ถูกแทงเสียชีวิต เมื่อเช้าวันอาคาร ใกล้วัดนักบุญร็อกโกที่เมืองโคโม อิตาลี
คุณพ่อช่วยบรรดาผู้ไร้บ้าน และผู้อพยพในสังฆมณฑลภาคเหนือของอิตาลี ประมาณ 7 โมงเช้า ถูกชายชาวตูนีเซีย อายุ 53 ปีแทงคุณพ่อหลายแผล และมอบตัวกับตำรวจ เขาป่วยทางจิต ทั้งๆที่ได้รับความช่วยเหลือให้มีที่พักพิงจากวัดนั้น
บิชอป ออสก้า กันโตนี ได้นำสวดสายประคำที่อาสนวิหารโคโม วันที่ 15 กันยายน “คุณพ่อโรแบร์โต เป็นผู้ดำเนินชีวิตตามพระวาจาประจำวัน เป็นคนง่ายๆ …..ทุกเช้าจะนำอาหารร้อนๆไปช่วยคนจน ทุกคนที่นี่รู้จัก และรักคุณพ่อ”
การตายครั้งนี้ทำให้ชุมชนผู้อพยพเศร้า ผู้อำนวยการการีตัสของสังฆมณฑล กล่าวว่า “คุณพ่ออุทิศตนเพื่อคนจน เขารู้ว่างานนี้เสี่ยงชีวิต …เราไม่เข้าใจพันธกิจของเขา”

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
ที่มา : https://milano.corriere.it/notizie/cronaca/20_settembre_15/como-sacerdote-51-anni-ucciso-coltellate-piazza-l-omicida-si-costituito-cc26d56e-f71c-11ea-93fd-0a842553a1d8.shtml

วันอาทิตย์แพร่ธรรม (18 ตุลาคม 2563)

วันอาทิตย์แพร่ธรรม (18 ตุลาคม 2563)

เนื่องจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ออกสาส์นสำหรับวันแพร่ธรรมสากล วันอาทิตย์ที่สามของเดือนตุลาคม ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม 2563 ยิ่งช่วงที่ผ่านมา “เต็มไปด้วยการเผชิญกับความทุกข์ยาก และความท้าทายที่เกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19… มีความเจ็บป่วย ความทุกข์ ความหวาดกลัว การแยกจากกัน ความยากจน ผู้ที่ตายตามลำพัง ผู้ถูกทอดทิ้ง ผู้ตกงานและขาดรายได้ ผู้ไม่มีบ้านและอาหาร …เพิ่มความไม่ไว้วางใจ และความเฉยเมย… ผลักดันหัวใจของเรา…เปิดกว้างมากขึ้นต่อความต้องการ ความรัก ศักดิ์ศรี ความรับผิดชอบของเราที่ต้องเอาใส่ดูแลสิ่งสร้างทั้งมวลด้วย”
 
พระเจ้าถาม “แล้วเราจะส่งใครไป
ท่านจะตอบได้ไหม “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”
 
ดังนั้น เดือนตุลาคม นอกจากเป็นเดือนรณรงค์การสวดสายประคำ
ยังขอให้เราทำบุญช่วยงานแพร่ธรรม ในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม
และเชิญ ออกไปเยี่ยม (เป็นคู่ๆ) บุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือ และกำลังใจ ที่อยู่ในหมู่บ้าน เขตวัด หรือชุมชนของเรา เป็นพิเศษ เพื่อเป็นวันอาทิตย์แพร่ธรรมจริงๆ

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์
16 กันยายน 2563

ต้อนรับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา

ต้อนรับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา

วันที่ 13-18  กันยายน  2563  คณะผู้บริหาร  และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนามาตรวจเยี่ยมองค์การทางศาสนาและศาสนสถานในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย

  1. คุณพูลศักดิ์  สุขทรัพย์ทวีผล             ผู้อำนวยการกองศาสนูปถัมภ์
  2. คุณปิยวัตน์ วงษ์เจริญ                   นักวิชาการศาสนาชำนาการพิเศษ
  3. คุณไกรศรี  ทองเสมียน                 นักวิชาการศาสนาชำนาญ
  4. คุณศิริขวัญ  ธานีรัตน์                     นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ
  5. คุณประภัสสร อินทร์แป้นพะเนา        เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านศาสนา
  6. นางสาวพีพัฒน์ แปงมูล                    เจ้าหน้าที่ด้านศาสนา
  7. นางสาวศุภาพรรณ เกิดกระโทก         เจ้าหน้าที่วิเคราะห์โครงการ

รวมทั้ง นายณรงค์ เหล็กสมบูรณ์  ผู้อำนวยการกลุ่มศาสนาและวัฒนธรรม  ของจังหวัดเชียงใหม่

วันจันทร์ที่  14  กันยายน 2563

เวลา  10.00  น.  สวนเจ็ดริน

เวลา  13.30  น.   บ้านมารีน่า

เวลา   15.00 น.  สำนักมิสซังเชียงใหม่

วันที่  15 กันยายน 2563

9.30    น.    สมคมศรีคุรุสิงห์สภา(เชียงใหม่)

11.00  น.    สมาคมนามธารีสังคัตฯ

13.00  น.    คริสตจักรพันธะกิจเชียงใหม่

14.30  น.    คริสตจักรแห่งอาเซียน

วันที่ 16 กันยายน 2563

 9.30  น.  สภาคริสตจักรฯ

13.00 น.  สำรวจศาสนสถานที่ได้รับผลกระทบการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019

การมาเยี่ยมที่สำนักมิสซัง 

คุณถาวร  เป็นพิธีกร  หลังจากพ่อได้กล่าวต้อนรับ  ครูจงดีได้แนะนำพื้นที่สังฆมณฑลเชียงใหม่  เขต และการทำงานฝ่ายต่างๆ   คุณพ่อประทีป  เจ้าอาวาสอาสนวิหาร  อธิบายการเปิดวัด  และบันทึกการเข้าร่วมพิธีเมื่อรัฐบาลอนุญาต

            คุณพ่อบรูโน  รอสซี่    เดินทางมาจากอำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง มาอธิบายเกี่ยวกับ กาแฟบรูโน  ชา  โกโก้  ข้าวไรซ์เบอร์รี่  เพื่อช่วยเด็กๆ  และชาวบ้าน ในเขตวัดให้ปฏิบัติตามสมณสาส์นเลาดาโต ซี

            ดร.สุนทร  ฝ่ายสังคม  กล่าวถึงกิจกรรม 5 ปีเลาดาโตซี ( 2015-2020)  และ แผน 7 ปี  ของวาติกัน

            จากนั้น นายพูลศักดิ์  สุขทรัพย์ทวีผล  ผู้อำนวยการศาสนูปถัมภ์  ได้อธิบายงานของกรมศาสนา  จนเวลา 16.30 น.พ่อได้นำสวดเพลงสดุดี  ที่ 91  และบทภาวนาของโป๊ปฟรังซิส วิงวอนแม่พระ ในช่วงการระบาดของโควิด 19  ขอบใจคุณพ่อไพศาล เต็มอรุณรุ้ง ที่ช่วยประสานงานการต้อนรับครั้งนี้

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน

ฉลองวัดแม่พระบังเกิด (อมก๋อย)

ฉลองวัดแม่พระบังเกิด (อมก๋อย)

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2020

คุณพ่อสุธี เจริญกุล ได้เล่าว่าครบ 24 ปี ที่ได้บุกเบิก ซื้อที่ดิน และสร้างวัดหลังเล็กๆ ปัจจุบัน คุณพ่อบุญเลิศ สร้างกุศลในพสุธา เป็นเจ้าอาวาส คุณพ่อหนู ประยูร ปันมณีกุล เป็นผู้ช่วย มีโมโด่ะแดง โมโด่ะแวว ดูแลศูนย์พระเมตตา และครูน้ำฝน เป็นครูคำสอน มีเด็ก และเยาวชน จำนวน 37 คน
วันเสาร์มีเยาวชนจากนาเกียน แม่ลาน้อย แม่สะเรียง และอมก๋อย ประมาณ 100 คน แข่งฟุตบอล และวอลเล่ย์บอล เวลา 19.30 น. สังฆราชพบเยาวชน มอบรางวัลแก่ผู้ชนะกีฬา และมีกิจกรรมตอบคำสอนแข่งกัน เป็นกลุ่ม เกี่ยวกับ INRI และวันฉลองของแม่พระ และสวดสายประคำร่วมกัน
 
เช้าวันอาทิตย์มิสซา 10.00 น. สัตบุรุษมาร่วมฉลองประมาณ 350 คน หลังมิสซาเวลา 11 โมงมีการแต่งตั้งสภาภิบาลของวัด 7 คน มีชาวบ้านนำอาหารมาร่วมฉลอง และแจกฟักทองเป็นของฝาก ทานอาหารเสร็จ ก็ช่วยกันเก็บเต้นท์ และเก้าอี้ สามัคคีกันดี
 
ข้อคิด “อย่ากลัวที่จะรับพระนางมารีย์เป็น แม่ของเรา” คือรับแม่พระมาอยู่กับเรา และสวดสายประคำทุกวัน

(ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ รายงาน)

ฉลองวัดแม่พระบังเกิด อมก๋อย 2020

ฉลองวัดแม่พระบังเกิด อมก๋อย 2020

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 63 ได้มีพิธีฉลองวัดแม่พระบังเกิด อมก๋อย อำเภออมก๋อย จ.เชียงใหม่ โดยพระคุณเจ้าฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ เป็นประธาน พร้อมกันนี้หลังพิธีบูชาขอบพรระคุณแล้ว คุณพ่อบุญเลิศ สร้างกศลในพสุธา เจ้าอาวาส ได้ประกาศแต่งตั้งสภาภิบาล เป็นทางการ 7 คน ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 4 คน

สำหรับวัดแม่พระบังเกิด อมก๋อย แห่งนี้ ได้ตั้งขึ้นโดยคุณพ่อสุธี เจริญกูล เมิ่อ 24 ปีแล้ว ปัจจุบันมีกิจกรรมศูนย์เยาวชนคาลิก สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ที่ผ่านมามีซิสเตอร์คณะซาเลเซียน, คณะอูร์สุลินแห่งสหภาพโรมันเคยช่วยงาน ปัจจุบันมีซิสเตอร์ แม่ปอนช่วยงานแพร่ธรรมและดูแลเยาวชนในศูนย์ด้วย และคุณพ่อประยูร ปันมณีกุล เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส

(คุณพ่อณรงค์ชัย หมั่นศึกษา)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A

“พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง”

หัวข้อข้างบนนี้เป็นคำถามของเปโตรในพระวรสารของอาทิตย์นี้ และโดยที่ท่านก็รู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการยกโทษให้ผู้อื่น จึงเสริมว่า “ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่”

คำตอบของพระเยซูเจ้า คงจะไม่นำความแปลกใจมาให้กับพวกเราคริสตชนแต่อย่างไร “ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” มันเป็นการยกโทษให้แบบไม่มีที่สิ้นสุด

กำลังจะยกตัวอย่างสุภาพสตรีผู้หนึ่งชื่อ คอรี่ (Corrie) เธออยู่ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวของเธอมีร้านขายนาฬิกา เมื่อนาซีเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ได้ ครอบครัวของเธอได้เริ่มช่วยเหลือพวกยิวไม่ให้ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันหรือค่ายมรณะ ต่อมามีคนไปฟ้องเจ้าหน้าที่ เธอและน้องสาวถูกส่งไปค่ายกักกันที่หนึ่งด้วย แต่เป็นค่ายที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง

หลังจากประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส คอรี่รอดตายมาได้ ส่วนน้องสาวไม่รอด หลังสงครามเธอได้เดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อพูดเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย และการกลับคืนดีกัน

ครั้งหนึ่งหลังจบคำปราศรัยของเธอที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ชายคนหนึ่งเข้ามาหาเธอเพื่อขอบคุณเธอสำหรับการพูดครั้งนั้น คอรี่แทบไม่เชื่อสายตาว่า ชายผู้นั้นคือยามคนหนึ่งของพวกนาซี ที่เคยยืนประจำหน้าที่ที่ห้องอาบน้ำของพวกผู้หญิงที่ค่ายราเวนสบรุค ที่เธอถูกกักกันอยู่

ห้องอาบน้ำคือห้องอะไร เขาแยกเป็นหญิงและชาย บังเอิญเพิ่งอ่านเรื่อง ยิว ที่เขียนโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่าดังนี้

“นาซีคนหนึ่งได้ทดลองแก๊สซึ่งผลิตได้ในราคาถูกอย่างหนึ่งมีชื่อว่า ไซคลอนบี เป็นส่วนผสมระหว่างไฮโดรเจนกับไซยาไนด์ ภายในเวลาไม่กี่นาที เชลย 600 คนก็ตายเรียบ ตั้งแต่นั้นมา วิธีการฆ่าคนเป็นล้านๆ อย่างสะดวกรวดเร็วและประหยัดก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น…

ตามค่ายกักกันทั่วไปนั้นได้มีการสร้างห้องใหญ่ขึ้น พอที่จะบรรจุคนได้หลายร้อยคนในครั้งเดียวกัน ห้องเหล่านี้เรียกว่า ห้องอาบน้ำ พอยิวที่ถูกจับส่งตัวมาค่ายกักกันมาถึง ก็จะได้รับคำสั่งให้เปลื้องเสื้อผ้าออกทั้งหมด เพื่ออาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ก่อนจะเข้าสู่ค่ายกักกันต่อไป

ทุกคนถูกต้อนเข้าไปอยู่ใน “ห้องอาบน้ำ” อย่างเบียดเสียดกัน เด็กทารกตัวเล็กๆ ก็จะถูกโยนตัวตามเข้าไปด้วย ครั้งแล้วประตูเหล็กก็จะปิดเข้าหากัน ธาตุไซคลอนบีก็ร่วงลงมาจากบัวอาบน้ำเป็นเมล็ดเล็กๆ สีฟ้า พอหล่นถึงพื้นเมล็ดสีฟ้าก็จะปล่อยแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ จึงจะค่อยๆ ลอยขึ้นสู่เพดาน คนที่อยู่ในห้องนั้นก็จะหายใจเอาแก๊สนั้นเข้าไป และจะชักดิ้นชักงอ อาเจียนจนตายไปช้าๆ และทรมานที่สุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูจัด และมีจุดเขียวๆ ขึ้นตามตัวทั่วไป กว่าจะตายได้ก็ต้องชักกระตุกอยู่อีกนาน ตามผนังห้องนั้นมีรูบุกระจกใสสำหรับเจ้าหน้าที่นาซีมายืนดูยิวตายอย่างทรมาน…”

ย้อนกลับมาที่เรื่องของคุณคอรี่ ชายผู้นั้นยื่นมือมาจะขอจับมือเธอ แต่เธอกลับมือแข็งทื่อไม่สามารถยื่นออกมาได้ ความหวาดกลัวขณะที่อยู่ในค่ายและความตายของน้องสาวผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนในความทรงจำ เธอเต็มไปด้วยความขมขื่นใจและรังเกียจเขาอย่างรุนแรง คอรี่ไม่อยากเชื่อตัวเองเลย เธอเพิ่งพูดเรื่องการให้อภัยอย่างน่าจับใจ แต่บัดนี้เธอเองไม่สามารถให้อภัยคนๆหนึ่ง เหมือนกับความรู้สึกของเธอถูกปิดกั้นจนไม่สามารถยื่นมือออกไปให้เขาสัมผัสได้

สิ่งที่คอรี่ประสบก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเราประสบเป็นช่วงๆ ในชีวิตของเรา เราพบว่าเราไม่อาจให้อภัยคนบางคน เรารู้สึกว่าอารมณ์เราถูกปิดกั้นต่อคนบางคนที่ทำร้ายต่อเรา

ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะทำอย่างไร เราจะสามารถถือตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารของวันนี้ได้อย่างไร เราลองมาดูว่าคอรี่แก้ปัญหานี้เช่นไร

เธอเริ่มสวดวอนขอเงียบๆ ในใจ “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกไม่สามารถให้อภัยผู้ชายคนนี้ได้ โปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเทอญ” ในขณะนั้นเอง เธอรู้สึกว่ามีพลังที่มาจากนอกตัวเธอทำให้มือเธอยื่นไปจับชายคนนั้นด้วยการให้อภัยอย่างแท้จริง ในเวลานั้น เธอเองค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่

ดังนั้น ให้เราเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสอนให้รักศัตรู พระองค์ก็จะทรงให้พระหรรษทาน ให้เราสามารถทำตามที่ทรงสั่งสอนนั้นจนได้

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2011
Based on : (1) Illustrated Sunday Homilies – Year A ; by Mark Link, SJ
(2) ยิว เขียนโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A

การสุมความโกรธไว้

อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาคนที่ 16 ได้รับเลือกเข้ามาในตำแหน่งในช่วงต่อต้านการมีทาส ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง (Civil War) ในปี 1863 ลินคอล์นออกคำประกาศให้บรรดาทาสที่อยู่ทางใต้เป็นอิสระ และในอีก 2 ปีต่อมาได้ห้ามการมีทาสทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นได้ต่อต้านการเป็นทาสในทุกๆรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การที่คนเรายอมเป็นทาสความโกรธแค้นและความขุ่นเคืองของตนเอง

เลขานุการด้านสงครามของลินคอล์น ชื่อ เอ็ดวิน สแตนตัน (Edwin Stanton) ได้รับความลำบากใจกับนายพลคนหนึ่ง ซึ่งกล่าวหาเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายว่าเป็นคนขี้ประจบ สแตนตันบ่นเรื่องนี้กับลินคอล์น ท่านแนะนำให้เขียนจดหมายถึงนายพลคนนั้นด้วยถ้อยคำที่บาดใจ สแตนตันทำตามทันที และนำมาให้ประธานาธิบดีดูว่าใช้คำรุนแรงแค่ไหน ท่านปรบมือให้กับถ้อยคำภาษาที่ทรงพลัง พร้อมทั้งถามว่า “แล้วคุณจะทำอะไรต่อไป” สแตนตันแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น จึงตอบไปทันทีว่า “ส่งไปให้เขาสิครับ” ลินคอล์นสั่นศีรษะแล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องส่งจดหมายนั้นไปหรอก ทิ้งมันลงบนเตาเผานั่นแหละ นี่คือสิ่งที่ฉันทำในเวลาโกรธ ฉันจะเขียนระบายลงไปในจดหมาย แม้มันเป็นจดหมายที่ดีก็จริง ให้ถือว่าคุณมีเวลาที่ดีในการได้เขียนมันและก็รู้สึกดีขึ้น แล้วนั้น ก็จงเผามันทิ้ง และเขียนอันอื่นแทน”

ลินคอล์นอาจจะทำตามคำแนะนำของพระวาจาของพระเจ้าในบทอ่านที่ 1 ของวันอาทิตย์นี้ ที่เน้นถึงเรื่องการสุมความแค้นไว้ว่าดังนี้

“ถ้าผู้ใดสุมความโกรธต่อผู้อื่นไว้
เขาจะขอให้องค์พระผู้เจ้าเจ้าทรงรักษาเขาให้หายได้อย่างไร
ถ้าเขาไม่มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขาจะกล้าอธิษฐานภาวนาขออภัยบาปของตนได้อย่างไร”

การสุมความโกรธไว้ หรือการเพิ่มไฟแค้นไว้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของตัวเราเอง จริงๆแล้วถึงตายเลยทีเดียว เพราะมันทำให้เราพิกลพิการและขาดเกราะกำบังเมื่อเราต้องการให้บาปของเราได้รับการอภัยนั่นเอง

การให้อภัยอย่างไม่มีขีดจำกัด

พระวรสารของนักบุญมัทธิววันนี้ยังพูดต่อเนื่องในเรื่องความสัมพันธ์ของคริสตชน เน้นถึงความจำเป็นของการให้อภัยระหว่างสมาชิกของประชาคม นักบุญเปโตรถามพระเยซูเจ้าว่า เราต้องยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อเรากี่ครั้ง แล้วก็ชิงตอบเองด้วยคำถามว่า “ถึง 7 ครั้งไหม” ตามธรรมประเพณียิวสอนกันมาว่าพระเจ้าทรงให้อภัย 3 ครั้ง และจะทรงลงโทษครั้งที่ 4 (นำความคิดนี้มาจากหนังสือประกาศกอามอส 1 : 3.6.9.11.13; 2 : 1.4.6.) ไม่เชื่อกันว่าคนที่ถูกทำร้ายจะสามารถมีคุณธรรมสูงไปกว่าพระเจ้าได้ ดังนั้น การให้อภัยจึงถูกจำกัดอยู่แค่ 3 ครั้ง ถ้าดูตามมาตรฐานนั้นสิ่งที่นักบุญเปโตรเสนอไปถือว่าใจดีมากที่สุดแล้ว แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ พระองค์ทรงตอบโดยให้คำตอบกลับกันกับเรื่องการแก้แค้นที่เคยเขียนไว้ในพันธสัญญาเดิม กล่าวคือ “ถ้ากาอินจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดเท่า ลาเมคจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดสิบเท่า” (ปฐก 4 : 24) เพียงเพราะว่าในยุคเก่าก่อนความเกลียดชังและการแก้แค้นเป็นเรื่องไม่มีข้อจำกัด ดังนั้น สำหรับคริสตชนก็ต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องความเมตตากรุณา และการให้อภัย

อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตาทรงมีจุดประสงค์เพื่อเน้นถึงความจำเป็นในการรู้จักให้อภัย เมื่อกษัตริย์ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้คนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาเป็นหนี้อยู่พันล้านบาท จำนวนที่มากเช่นนี้เป็นการขยายความให้เยอะเข้าไว้ เพื่อจะเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างตรงกันข้ามกับจำนวนน้อยนิดที่เขานั้นได้เป็นเจ้าหนี้คนๆหนึ่ง เมื่อกษัตริย์สั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยา และทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ เขาวิงวอนขอผัดผ่อนเงื่อนของเวลา กษัตริย์ทรงสงสารจึงปล่อยเขาไปและยกหนี้ให้ แต่ชายคนนี้กลับลืมบทเรียนที่ชีวิตเขาผ่านประสบการณ์นี้มา เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนที่เป็นหนี้เขาผัดหนี้ไว้ก่อน และให้นำไปขังคุกไว้ เมื่อมีรายงานเรื่องความแล้งน้ำใจของชายผู้นี้ไปถึงกษัตริย์ สิ่งที่เขาเคยได้รับก็ถูกเรียกกลับคืน และเขาต้องไปทนทรมานจนกว่าจะชำระหนี้จนหมดสิ้น

จงจดจำไว้ถึงเรื่องของการให้อภัย

มากกว่านั้น ลูกหนี้ไร้เมตตาคนนั้นถูกประณาม เพราะเขาสูญเสียความจดจำ การลืมบาปของเราเองจะทำให้เราขาดความเมตตาต่อผู้อื่น จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงกรุณามิลงโทษบาปผิดของเราอย่างไร จงให้สิ่งนั้นนำทางเราให้อภัยแก่คนอื่นอย่างนั้นด้วย ถ้าเราไม่จดจำพระเมตตาของพระเจ้าไว้ สุดท้ายเราอาจจะเป็นคนใจร้ายต่อคนอื่น นี่แหละที่ทำไมตอนเริ่มต้นพิธีมิสซาเราได้รับการเชิญชวนให้สำนึกถึงบาปของเรา เพราะเมื่อเราทำเช่นนี้แล้ว เราจะสามารถสวดบท “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” ได้เต็มที่ว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น”

จุดประสงค์ที่ให้เราสำนึกว่าเป็นคนบาปไม่ใช่เพื่อทำให้เราเป็นอัมพาต แต่เพื่อเตือนใจว่าเราทุกคนต่างมีชีวิตในพระกรุณายิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ทรงให้อภัยเรา

สรุป : อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา ซึ่งมีเขียนไว้แต่นักบุญมัทธิวผู้เดียวเท่านั้น แม้ไม่ใช่เป็นตัวอย่างของการให้อภัยก็จริง แต่ทำให้เราทราบเหตุผลมากกว่า ว่าทำไมเราจึงควรให้อภัย ดังนี้ :

1) เราได้รับการให้อภัยมาก่อน

2) เราได้รับการให้อภัยมากอย่างยิ่ง มากกว่าที่เราเคยให้อภัยไป

3) ถ้าเราไม่รู้จักให้อภัย เราจะไม่ได้รับการอภัยด้วย

(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 13 กันยายน 2017
Based on : 1) Seasons of the WORD โดย Denis McBride ;
2) Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)

เหตุผลที่คาทอลิกในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ต้องการความช่วยเหลือของเรา

เหตุผลที่คาทอลิกในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ต้องการความช่วยเหลือของเรา

Aleteia, 10 กันยายน 2020

เราจะรวบรวมเงินช่วยเหลือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  วันอาทิตย์ที่  13 กันยายนนี้  ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า  ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์  ไม่สามารถจัดพิธีได้  จึงเลื่อนมาวันอาทิตย์นี้   (ใกล้วันที่14 กันยายน  ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน )

  1. คณะฟรังซิสกัน ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของพระเยซูเจ้าปัจจุบันมีคาทอลิกเพียงร้อยละ 2 ในเขตอิสราเอล  การบริจาคของเราช่วยให้ดำเนินงานต่อได้
  2. ประจักษ์พยานพระวรสารในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ช่วยบรรดาผู้แสวงบุญมากกว่าแค่นักท่องเที่ยว
  3. เครื่องหมายแห่งสันติภาพท่ามกลางข้อขัดแย้ง ระหว่างชาวอิสราแอล  และชาวปาเลสไตน์  ยังไม่มีการแก้ไขให้เกิดสันติภาพถาวรได้   ชาวคริสต์เป็นคนกลุ่มน้อยบรรดานักบวชฟรังซิสกัน  พยายามช่วยให้เกิดการเสวนา  และภราดรภาพ
  4. ช่วยการศึกษา เราคาทอลิกช่วยจัดสถานศึกษามิใช่เฉพาะแก่นักเรียนชาวคาทอลิกเท่านั้น  ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม  เพราะฉะนั้นการดำเนินงานการศึกษา  ทำให้เราอยู่ที่นั้นได้  ให้การศึกษาที่ดีแก่เด็กและเยาวชน   และช่วยกันสร้างสันติภาพ  ตั้งแต่เด็กๆ
  5. งานเมตตาสงเคราะห์ มีโรงพยาบาล  อนามัยจ่ายยา  ที่พักพิง  และศูนย์ช่วยเหลือเมตตาส่งเคราะห์  แก่หลายครอบครัวที่ยากจนมาก

            นี่คือเหตุผลที่พระคาร์ดินัล  เลโอนาร์โด  ซานดริ่   ขอความช่วยเหลือพี่น้องของเราในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปลสรุป
12 กันยายน  2020

https://aleteia.org/2020/09/10/5-reasons-why-christians-in-the-holy-land-need-our-help

ชุมชนการเรียนรู้เซเวียร์ ที่เชียงแสน

ชุมชนการเรียนรู้เซเวียร์ ที่เชียงแสน

9-10 กันยายน 2020

หลังจากที่โทรศัพท์คุยกับคุณพ่อสุกีโย  ปิโตโย   เจ้าคณะเยสุอิต(ชาวอินโดนีเซีย)ในไทย  เมื่อวันจันทร์ ที่ 7 กันยายน   ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยม Xavier Learning  Community  วันพุธ ที่ 9 กันยายน ใช้เวลาเดินทางประมาณ  6 ชั่วโมง   จากเชียงใหม่ แวะทานอาหารเที่ยงที่วัดนักบุญมีคาแอล  ที่เชียงดาว  ถึงเชียงแสน  ประมาณบ่ายห้าโมง  พบคุณพ่อปิโตโย  คุณพ่อวินัย บุญลือ กำลังตัดหญ้า  และ คุณพ่อพิริยะ  ไชยมุกดากุล  ผู้ดูแลสามเณร

ทุ่มครึ่งพบปะสนทนากับบรรดาสามเณรที่จบจากบ้านเณรกลาง  และอยู่ที่นี่  1 ปี  เรียนภาษาอังกฤษ  มีสามเณรจากกรุงเทพ  10 คน  ราชบุรี 2 คน  เชียงใหม่ 1 คน  นอกนั้นมีสามเณรเยสุอิต  เซนต์คาเบรียล ฯลฯ รวม  22  คน  แบ่งปันหนึ่งชั่วโมง และสวดสายประคำด้วยกัน

วันที่ 10 กันยายน  ทำวัตรเช้า  6.20 น.  และมิสซาเวลา 6.40 น. หลังอาหารเช้านั่งสนทนากับคุณพ่อปิโตโย  เรื่อง”ความฝัน”  ของคุณพ่อเกี่ยวกับการช่วยการศึกษาแก่เยาวชน  ที่ชุมชนแห่งนี้

10.00 น. พบปะสนทนากับนักศึกษา  ปี 2-4 ที่อยู่ที่นี่  ผมฉายคลิปเรื่อง  พันธกิจของหน่วยงานสนับสนุนการพัฒนาทั้งครบ (2  นาที) และข้อตกลงร่วมกันด้านการศึกษา (Global  Education  Compact) ที่ โป๊ปฟรังซิสจะจัด  วันที่  15 ตุลาคม  2020  ที่กรุงโรม  และให้เวลาพวกเขาแบ่งปันความประทับใจจากการดูคลิปงานของพระศาสนจักร  ในกลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ ประมาณ 100 คน  มีครูชาวอินโดนีเซีย 4 คน และครูที่เคยอยู่ที่โรงเรียนสันติวิทยา ก็มาอยู่ที่นี่ด้วย

การมาเยี่ยมชม  และพบปะสนทนากัน ทำให้ผมมั่นใจในพระญาณเอื้ออาทรยิ่งขึ้น  ที่พระเจ้าทรงช่วยเยาวชนของเรา  โดยผ่านทางคณะเยสุอิต  ความร่วมมือของคณะเซนต์ปอล  เดอ ชาร์ตร  และผู้ใหญ่ใจดี  หลายๆ คน

ฟ.วีระ  อาภรณ์รัตน์  รายงาน