Skip to content

สาส์น ปี ค.ศ. 2020 ถึง ผู้อำนวยการของสมณองค์กรเพื่อการแพร่ธรรม National Director and Members of Pontifical Mission Societies (PMS)

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2020

[ปกติผู้อำนวยการนานาชาติของ PMS ต้องมาพบกันที่กรุงโรม เพื่อการประชุมใหญ่ประจำปี แต่การประชุมของปีนี้ต้องเลื่อนออกไปเพราะโรคระบาด]

เมื่อพวกเขามาชุมนุมพร้อมหน้ากันพวกเขาถามพระเยซูคริสต์ว่า “ข้าแต่พระอาจารย์ ถึงเวลาที่พระองค์จะฟื้นฟูอาณาจักรอิสราเอลหรือยัง? พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่จำเป็นที่ท่านต้องรู้ถึงเวลา และฤดูกาลซึ่งพระบิดาทรงกำหนดด้วยอำนาจของพระองค์ แต่ท่านจะได้รับอำนาจเมื่อพระจิตจะเสด็จมาประทับเหนือท่าน และท่านจะต้องเป็นประจักษ์พยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดีย และสะมาเรียจนสุดปลายโลก”  เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้พวกเขาจ้องไปที่พระองค์ในขณะที่พระองค์ถูกยกขึ้นสวรรค์และมีเมฆลอยมาบังสายตาของพวกเขา” (กจ. 1: 6-9)

        หลังจากที่พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขาแล้ว  พระองค์ก็ทรงถูกยกขึ้นสวรรค์และทรงประทับอยู่เบื้องขวาของพระบิดา ถึงกระนั้นก็ดีพวกเขาไปเทศนาทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงทำงานกับพวกเขา  และทรงยืนยันถึงพระวาจาของพระองค์ด้วยอัศจรรย์ต่างๆ (เทียบ มก. 16: 19-20)

        ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงพาพวกเขาไปไกลถึงเมืองเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพรพวกเขา เมื่ออวยพระพวกเขาเสร็จ แล้วก็ทรงจากไปและเสด็จขึ้นสวรรค์พวกเขานมัสการพระองค์แล้วกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความชื่นชมยินดี  และทำการสรรเสริญพระเจ้าในพระวิหารอย่างสม่ำเสมอ (ลก. 24: 50-53)

***

ถึง ลูกๆและพี่น้องชายหญิงที่รัก ด้วยความจริงปีนี้พ่อตัดสินใจจะไปร่วมประชุมใหญ่ประจำปีกับพวกท่านในวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ แต่ได้มีการยกเลิกการประชุมเพราะโรคระบาด บัดนี้พ่อประสงค์ที่จะมอบสาส์นฉบับนี้ เพื่อแบ่งปันสิ่งที่พ่อคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า สำหรับการไตร่ตรองเรื่องการเดินทางและพันธกิจของท่านแต่ละคนที่มีต่อพระศาสนจักรทั้งมวล

        พวกเราประกอบพิธีกรรมในการฉลองพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ แต่ก็เป็นการรำลึกถึงการที่พระเยซูคริสต์อำลาศิษย์ของพระองค์ไปจากโลกนี้ พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์และพิธีกรรมจารีตของตะวันออกก็เล่าถึงความประหลาดใจของทูตสวรรค์ที่เห็นมนุษย์พร้อมกับเนื้อหนังมังสาเสด็จไปประทับ ณ เบื้องขวาของพระบิดา และยิ่งไปกว่านั้นอีกเมื่อพระเยซูคริสต์กำลังจะเสด็จขึ้นสวรรค์  บรรดาศิษย์ซึ่งเห็นพระองค์กำลังเสด็จขึ้นไปดูเหมือว่าจะไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น  พระองค์กำลังจะไปทำให้พระอาณาจักรของพระองค์สมบูรณ์  แล้วพวกเขาก็ยังคงติดอยู่กับความคิดเดิมของตนเอง  พวกเขาถามพระองค์ว่าพระองค์จะไปฟื้นฟูอาณาจักรของอิสราเอลหรือ? (เทียบ กจ. : 6) ทว่าเมื่อพระเยซูคริสต์จากพวกเขาไป แทนที่จะรู้สึกเสียใจพวกเขากลับพากันกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม “ด้วยความชื่นชมยินดี” ดังที่นักบุญลูกาบอกเรา (เทียบ 24:52) นี่คงจะเป็นเรื่องน่าแปลกหากไม่มีมีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงพระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญากับพวกเขาไว้แล้วว่า พระจิตจะเสด็จลงมาเหนือพวกเขาในวันที่พระจิตเสด็จลงมา นี่คืออัศจรรย์ที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง  พวกเขามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขามอบทุกสิ่งให้กับพระเยซูคริสต์  พวกเขาเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ยิ่งกว่านั้นความชื่นชมยินดีดังกล่าวยังเป็นความบริบูรณ์แห่งความบรรเทาใจ เป็นความบริบูรณ์แหงการประทับอยู่ของพระเยซูคริสต์

        นักบุญเปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทียว่า ความชื่นชมบริบูรณ์ของอัครสาวกไม่ใช่เป็นผลแห่งความรู้สึกยินดีที่ทำให้พวกเขามีความสุข แต่เป็นความชื่นชมยินดีอันล้นพ้นที่จะมีประสบการณ์ได้ก็จากผลและพระหรรษทานของพระจิตเท่านั้น (เทียบ กท. 5: 22) การได้รับความชื่นชมยินดีจากพระจิตเป็นพระหรรษทาน ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นพลังแต่ประการเดียวที่ทำให้พวกเราสามารถเทศน์พระวรสาร และมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความเชื่อหมายถึงการเป็นประจักษ์พยานต่อความชื่นชมยินดี ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเรา ความชื่นชมยินดีเช่นนี้ไม่อาจเป็นผลแห่งความพยายามของพวกเรา

        พระเยซูคริสต์ตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า พระองค์จะทรงส่งพระจิตพระผู้บรรเทามายังพวกเขาก่อนที่พระองค์จะจากพวกเขาไป โดยอาศัยวิธีนี้พระองค์จึงเท่ากับมอบพันธกิจแห่งงานแพร่ธรรมของพระศาสนจักรไว้กับพระจิตตลอดกาลจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาด้วย  พระธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จขึ้นสวรรค์ และการส่งพระจิตเสด็จมาในวันสมโภชพระจิตเป็นการบ่งอย่างชัดเจนถึงพันธกิจของพระศาสนจักร  เป็นงานของพระจิตและไม่ใช่เป็นผลแห่งความคิดหรือโครงการของพวกเรา นี่คือรูปแบบที่ทำให้พันธกิจงานธรรมทูตบังเกิดผล และดำรงไว้ให้พ้นจากความพอใจในตนเอง หรือยิ่งไปกว่านั้นอีก จากการล่อลวงให้เบี่ยงเบนการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูคริสต์เหลือแคบๆเป็นเพียงเพื่อโครงการและเป้าหมายของ “บรรดาสมณะ หรือบรรพชิตนิยม”

        เมื่อการทำงานแบบต่อเนื่องและลดประสิทธิภาพของพระจิต ขาดความชื่นชอบในพันธกิจของพระศาสนจักร นั่นหมายความว่า แม้ภาษาธรรมทูตจะถูกคัดเลือกกลั่นกรองอย่างชาญฉลาดที่สุดก็จะกลายเป็นแค่ “คำพูดที่เฉลียวฉลาดของมนุษย์” ซึ่งมุ่งเป้าไปเพื่อที่จะยกย่องตนเอง หรือปิดบังความแห้งแล้งภายในของตนเอง

ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร

        ความรอดคือการที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ผู้ทรงรักเรา และทรงให้อภัยพวกเราโดยส่งพระจิต พระผู้บรรเทา และผู้ปกป้องพวกเรา เสด็จมาช่วยพวกเรา  ความรอดไม่ใช่เป็นผลแห่งความคิดริเริ่มงานธรรมทูตของพวกเรา หรือเพราะว่าการที่พวกเราสอนเกี่ยวกับการประสูติขององค์พระวจนาตถ์ สำหรับเราแต่ละคนความรอดซึ่งเป็นพระธรรมล้ำลึกแห่งการเลือกสรร ซึ่งเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเรามีความชื่นชมยินดี และแสดงความกตัญญู  ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร “ความยินดีที่ยิ่งใหญ่” นั้นของกลุ่มสตรียากจนซึ่งเช้าตรู่วันอาทิตย์รีบวิ่งไปยังพระคูหาศพของพระเยซูคริสต์ พบว่าที่นั่นว่างเปล่า แล้วได้พบกับพระผู้ที่เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ จากนั้นพวกเธอก็รีบกลับบ้านไปบอกผู้อื่น (เทียบ มธ. 28: 8-10) เพราะว่าพวกเราได้รับการเลือกไว้เป็นพิเศษ พวกเราจึงสามารถเป็นประจักษ์พยานต่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ผู้ที่เสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพก่อนผู้ใดในโลก

        ในบริบทของมนุษย์แต่ละคนที่เป็นประจักษ์พยานคือ ผู้ที่ยืนยันรับรองการกระทำของผู้อื่น  ในความหมายนี้ และในความหมายนี้เท่านั้นที่พวกเราจะสามารถเป็นประจักษ์พยานต่อพระเยซูคริสต์ และพระจิตของพระองค์ ดังที่มีการอธิบายไว้ในตอนท้ายของพระวรสารโดยนักบุญมาร์โก  หลังจากพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ อัครสาวกและบรรดาศิษย์ “ไปเทศนาทุกแห่งหน ในขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงทำงานร่วมกันกับพวกเขา และยืนยันคำพูดของพวกเขาด้วยเครื่องหมาย” (มก. 16: 20)  โดยอาศัยพระจิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพยานถึงตนเองด้วยการกระทำที่พระองค์ทรงกระทำพร้อมกันกับพวกเรา นักบุญออกัสตินอธิบายว่า พระศาสนจักรจะไม่ภาวนาต่อพระเยซูคริสต์สำหรับประทานความเชื่อให้กับผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์ นอกจากจะเชื่อว่าพระเจ้าเองคือผู้ชี้นำและดึงดูดอำเภอใจของพวกเราให้เข้าหาพระองค์  พระศาสนจักรคงจะไม่ขอให้ลูกของตนสวดขอพระเจ้าให้ตนรักษาความเชื่อในพระเยซูคริสต์ หากไม่เชื่อว่าเป็นองค์พระเจ้าเองที่ทรงเป็นเจ้าของหัวใจของพวกเรา  อันที่จริงหากพระศาสนจักรขอสิ่งเหล่านี้จากพระองค์ แต่คิดว่าพระศาสนจักรไม่สามารถที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับตนเองได้ นี่ย่อมจะหมายความว่าคำภาวนาทุกอย่างของพระศาสนจักรคงจะเป็นเพียงแค่คำพูดที่ว่างเปล่า เป็นสูตรมนต์ขลัง เป็นบริบทที่ใช้บังคับจากขนบธรรมเนียมของพระศาสนจักรแทนที่จะเป็นการสวดภาวนาอย่างถูกต้อง (เทียบ On the Gift of Perseverance. To Prosper and Hilary, 23, 63)

        นอกจากว่าพวกเราจะแน่ใจว่าความเชื่อเป็นของขวัญพิเศษของพระเจ้า แม้คำภาวนาที่พระศาสนจักรอธิษฐานถึงพระเจ้าก็ไร้ซึ่งความหมาย แล้วก็ไม่ได้แสดงถึงความปรารถนาที่จะมีความสุข และความรอดของผู้อื่น และของผู้ที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ไม่ว่าพวกเราจะใช้เวลาวางแผนนานเท่าไรเพื่อการกลับใจของโลก

        หากพวกเรารับรู้ว่าพระจิตเป็นผู้จุดประกายไฟในหัวใจของพวกเราทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป  อันที่จริงพระจิตจะทรงจุดประกายไฟ และทำให้พันธกิจของพระศาสนจักรบังเกิดผลโดยประทานพระพรและคุณสมบัติพิเศษให้แต่ละคนในการประกาศพระวรสาร เพื่อการกลับใจสู่คริสต์ศาสนาซึ่งเป็นพันธกิจที่แตกต่างจากการบังคับให้ผู้อื่นกลับใจด้วยการเมือง วัฒนธรรม จิตวิทยาหรือรูปแบบต่างๆทางศาสนา

        พ่อถือว่ารูปแบบการทำพันธกิจหลายข้อในสมณสาส์นเตือนใจ “Evangelii Gaudium” มีผลอันดี และพ่อขอหยิบบางหัวข้อมากล่าว ณ ที่นี้

        ความสวยสดงดงามที่ดึงดูดใจ  พระธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้มีบทบาทและยังคงทำงานอยู่ในโลกโดยอาศัยการดึงดูดที่สามารถดูดจิตใจมนุษย์ทั้งชายหญิงได้เพราะปรากฏให้เห็นว่าการจรรโลงใจมีมากกว่าการหลอกลวง ที่ก่อให้เกิดการเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นผลของบาป ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสในพระวรสารกับยอห์นว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะชักจูงเขา” (ยน. 6: 44)  พระศาสนจักรยืนยันเสมอว่า นี่คือเหตุผลที่พวกเราต้องติดตามพระเยซูคริสต์ในการประกาศพระวรสารโดยอาศัยพลังแห่งการดึงดูด ที่กระทำโดยพระเยซูคริสต์และพระจิต ดังที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงตรัสพระศาสนจักรเจริญเติบโตในโลกโดยอาศัยการดึงดูดไม่ใช่ด้วยการบังคับ (เทียบ บทเทศน์ มิสซาเปิดการประชุมบรรดาบิชอปแห่งอเมริกาและคารับเบียนวาระที่ห้า ณ เมืองอาปาราชิดา Aparecida วันที่ 13 พฤษภาคม 2007: AAS 99 [2007], 437)  นักบุญออกัสตินได้ไว้กล่าวว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงแสดงตนด้วยการดึงดูดพวกเรา ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงอ้างถึงบทกวีของวีจิล (Vigil) ซึ่งยืนยันว่าทุกคนจะถูกดึงดูดไปหาสิ่งที่จะมอบความสุขให้กับตนเอง พระเยซูคริสต์มิได้เพียงแค่เชิญพวกเรา แต่ทรงปลุกจิตสำนึกแห่งความสุขให้กับพวกเราด้วย (บทวิเคราะห์พระวรสารโดยนักบุญยอห์น 26.4)   หากพวกเราติดตามพระเยซูคริสต์ มีความสุขที่ได้รับการดึงดูดจากพระองค์ คนอื่นเขาจะมองเห็น พวกเขาอาจแปลกใจด้วยซ้ำไป ความชื่นชมยินดีที่แผ่รัศมีออกมาจากเขาเหล่านั้นที่ถูกดึงดูดโดยพระเยซูคริสต์ และพระจิตคือสิ่งที่จะสามารถทำให้งานธรรมทูตบังเกิดผล

        การขอบคุณและการให้แบบเปล่าๆ  ความชื่นชมยินดีแห่งการประกาศพระวรสารจะเปล่งรัศมีอย่างรุ่งโรจน์เสมอต่อความทรงจำแห่งความกตัญญู  อัครสาวกไม่เคยลืมเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงสัมผัสดวงใจของพวกเขา  “เป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็นของบ่ายวันหนึ่ง” (ยน. 1: 39) ความเชื่อของพระศาสนจักรจะเปล่งรัศมีออกมาทุกครั้งที่มีการแสดงถึงความกตัญญูภายในพระศาสนจักรโดยอาศัยความคิดริเริ่มของพระจัา เพราะพระองค์ทรงรักพวกเราก่อน” (1 ยน. 4: 10) และ “เป็นองค์พระเจ้าผู้ทรงประทานความเจริญเติบโตให้กับพระศาสนจักร” (1 คร. 3: 7)  ความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ทำให้พวกเราประหลาดใจ อีกทั้งประหลาดใจในธรรมชาติ เพราะพวกเราไม่อาจที่จะมีได้หรือบังคับได้ สิ่งนี้ไม่อาจเป็นอื่นไปได้นอกจากที่ “พวกเราจะประหลาดใจ”  อาศัยวิธีนี้เท่านั้นอัศจรรย์แห่งการให้แบบเปล่าๆ และของขวัญที่ให้แบบเปล่าๆจึงจะเจริญงอกงามขึ้นได้ และความร้อนรนในงานธรรมทูตก็ไม่อาจที่เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลหรือการคำนวณ  เพื่อที่อยู่ใน “สภาพของการทำพันธกิจ” ต้องมีการไตร่ตรองถึงความกตัญญู นี่เป็นการตอบสนองของผู้ทีมีความกตัญญู ซึ่งถูกทำให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่ายโดยพระจิตและเพราะฉะนั้นจึงเป็นอิสระ หากปราศจากซึ่งการรับรู้ถึงความรักของพระเจ้าผู้ทรงบันดาลความกตัญญูในตัวพวกเรา แม้ความรู้เรื่องความจริงและเรื่องพระเจ้าที่เป็นเป้าหมายที่พวกเราจะต้องพยายามไปให้ถึงนั้นก็จะกลายเป็นเพียง “หนังสือที่นำไปสู่ความตาย” (เทียบ 2 คร. 3: 6) เฉกเช่นที่นักบุญเปาโลกและนักบุญออกัสตินชี้ให้พวกเราเห็นเป็นคนแรก ซึ่งมีแต่ความเป็นอิสรภาพในความกตัญญูเท่านั้นที่พวกเราจะรูจักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในขณะที่ไม่มีประโยชน์ และที่สำคัญคือเป็นการไม่เหมาะสมที่จะกระทำกิจกรรมงานธรรมทูต และประกาศพระวรสารราวกับว่าเป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำ เพราะเป็น “ข้อผู้มัดตามสัญญา” ชนิดหนึ่งในส่วนของผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป

ความสุภาพ  เนื่องจากความจริงและความเชื่อ ความสุขและความรอด ไม่ได้เป็นสมบัติของพวกเรา หรือเป็นเป้าหมายที่พวกเราได้มาด้วยความดีความชอบของพวกเรา  ถ้าเช่นนั้นพระวรสารของพระเยซูคริสต์จึงสามารถที่จะประกาศได้ด้วยความสุภาพ พวกเราไม่สามารถที่จะคิดรับใช้พันธกิจของพระศาสนจักร โดยใช้ความทรนงตัวในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล หรือโดยการใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายได้ด้วยความเย่อหยิ่งของผู้เข้าใจผิด แม้กระทั่งของขวัญแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ และพระวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งความเชื่อของคริสตชน  โดยมองว่าสิ่งเหล่านี้คือรางวัลที่ตนได้มา พวกเราไม่สามารถเป็นคนสุภาพได้ด้วยการมีมารยาทดี หรือความปรารถนาที่ให้คนเห็นว่าพวกเราเป็นคนน่ารัก  พวกเรามีความสุภาพเมื่อพวกเราติดตามพระเยซูคริสต์ผู้ทรงตรัสกับศิษย์ว่า “จงเรียนรู้จากเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยน” (มธ. 11: 29) นักบุญออกัสตินถามว่าเหตุใดหลังการเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ พระเยซูคริสต์จึงยอมให้ศิษย์เห็นพระองค์ แต่ไม่ใช่บุคคลที่จับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน พร้อมกับสรุปว่า พระเยซูคริสต์ไม่ทรงต้องการสร้างความรู้สึกว่า “เป็นการท้าทายผู้ที่สังหารพระองค์ด้วยทางหนึ่งทางใด สำหรับพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสอนเรื่องความสุภาพให้กับมิตรสหายของพระองค์ แทนการซ่อนความจริงจากศัตรูของพระองค์” (Sermon 284, 6)

        เพื่ออำนวยความสะดวก มิใช่ทำให้สิ่งต่างๆยุ่งยากซับซ้อน  รูปแบบที่เป็นของแท้อีกประการหนึ่งของงานธรรมทูตคือการเลียนแบบฉบับความอดทนของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงแสดงพระเมตตาต่อผู้อื่นที่กำลังเจริญเติบโตเสมอ  ความเจริญก้าวหน้าเล็กๆท่ามกลางข้อจำกัดของมนุษย์สามารถเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามากกว่าความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่กระทำโดยผู้ที่ผ่านชีวิตโดยปราศจากความทุกข์ยากลำบาก  หัวใจธรรมทูตรับรู้อย่างดีว่าสภาพแท้จริงของประชากรที่มีข้อจำกัด มีบาป และมีความอ่อนแอนั้นก็เพื่อที่จะกลายเป็น “ผู้อ่อนแอท่ามกลางผู้ที่อ่อนแอ” (เทียบ 1 คร. 9: 22) “การออกไป” กระทำพันธกิจเพื่อที่จะไปให้ถึงผู้คนที่อยู่ตามชายขอบสังคมไม่ได้หมายความว่าการไปแบบระเหระหนโดยปราศจากทิศทาง หรือเฉกเช่นคนค้าขายที่สิ้นหวังที่พากันบ่นว่าประชาชนนั้นซื่อบื้อไม่สนใจในสินค้าของพวกเขา บางครั้งพันธกิจหมายถึงการแสดงถึงการที่พวกเราต้องก้าวให้ช้าลงหน่อยเพื่อจะนำบุคคลที่ยังหลงทาง บางครั้งพันธกิจหมายความว่าต้องเลียนแบบบิดาผู้ใจดีในนิทานเปรียบเทียบในพระวรสารเรื่องลูกคนเล็กที่ทิ้งบิดาไป และบิดาเปิดประตูรอคอยและมองออกไปทุกวันคอยการกลับมาของลูก (เทียบ ลก. 15: 20) พระศาสนจักรไม่ใช่เจ้าหน้าที่เก็บภาษี และใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในพันธกิจของพระศาสนจักรถูกขอร้องไม่ให้สร้างภาระที่ไม่จำเป็นให้กับประชาชนที่อ่อนเปลี้ยอยู่แล้ว หรือเรียกร้องให้เข้าร่วมในโครงการอบรม เพื่อที่จะชื่นชมกับสิ่งพระเจ้าจะทรงประทานให้อย่างง่ายๆ หรือเพื่อขัดขวางพระประสงค์ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อเราทุกคน และทรงต้องการที่จะเยียวยาและให้ทุกคนรอด

        ความใกล้ชิดกับชีวิต “ที่กำลังพัฒนากาวหน้า”  พระเยซูคริสต์พบศิษย์กลุ่มแรกของพระองค์ที่ชายฝั่งทะเลกาลิลี ในขณะที่พวกเขากำลังกุลีกุจอกับงานของพวกเขา  พระองค์ไม่ได้พบในห้องประชุม หรือการอบรมสัมมนา หรือในพระวิหาร เหตุการณ์มักเป็นเช่นนี้เสมอสำหรับความรอดของพระเยซูคริสต์ที่ไปถึงประชาชนในสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ และอย่างที่พวกเขาเป็นอยู่ ท่ามกลางชีวิตที่กำลังเจริญเติบโต  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการให้เวลาขณะที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ นี่ไม่เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมอบรมพิเศษ สร้างโลกที่คู่ขนาน หรือสร้าง “คติ” ที่เป็นเพียงเสียงสะท้อนถึงความคิดและความห่วงใยของพวกเรา พ่อเคยพูดกับคนบางคนในพระศาสนจักร ซึ่งพวกเขาร้องด้วยเสียงอันดังว่า “นี่เป็นเวลาของฆราวาส” ในขณะเดียวกัน “ดูเหมือนว่านาฬิกาจะหยุดเดิน”

        จิตสำนึกถึงความเชื่อ” แห่งประชากรของพระเจ้า ความจริงประการหนึ่งในโลกซึ่งมีสิ่งที่เป็น “ความรู้สึก” สำหรับพระจิตและงานของพระองค์  นั่นคือประชากรของพระเจ้าที่ถูกเรียก และได้รับความรักจากพระเยซูคริสต์ผู้ที่ทรงตามหาพวกเขาท่ามกลางความยากลำบากในชีวิตของพวกเขา  ประชาสัตบุรุษได้รับของขวัญซึ่งได้แก่พระจิตของพระองค์ มอบความหวังของพวกเขาไว้ในคำภาวนาแบบเรียบง่าย  และไม่เคยทึกทักว่าพวกเขามีความพอเพียงแล้วในตัวเอง ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ารวมตัวกันและได้รับการเจิมจากพระเจ้า และในคุณธรรมอันสูงส่งแห่งการเจิมนี้  พวกเขาถูกทำให้ไม่รู้จักผิดพลาดในความเชื่อตามธรรมเนียมของพระศาสนจักรที่สั่งสอนไว้  การทำงานของพระจิตทำให้สัตบุรุษเปี่ยมด้วย “สัญชาติญาณ” แห่งความเชื่อ และ เจตนารมณ์แห่งความเชื่อ ซึ่งช่วยพวกเขาไม่ให้หลงทาง เมื่อเชื่อในเรื่องของพระเจ้าแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจข้อถกเถียงอันซับซ้อนทางเทวศาสตร์ และกฎเกณฑ์ที่กำหนดว่าด้วย “ของขวัญ ของประทานจากพระเจ้า” ที่พวกเขามีประสบการณ์พระธรรมล้ำลึกแห่งประชากรที่กำลังเดินทาง ซึ่งโดยอาศัยศรัทธาประชานิยมเดินทางไปยังวิหารเพื่อมอบตนเองให้กับพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และบรรดานักบุญ ซึ่งเป็นการแสดงว่านี่เป็นธรรมชาติ เป็นเสรีภาพ และเป็นความคิดริเริ่ม  ที่ได้รับมาแบบเปล่าๆจากพระเจ้า  ที่อยู่นอกเหนือแผนของการอภิบาล

        การเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อผู้ต่ำต้อยและคนยากจน  แรงบันดาลใจธรรมทูตใดๆก็ตาม หากมาจากพระจิตย่อมจะแสดงความรักเป็นพิเศษต่อคนยากจน และคนที่มีความอ่อนแอดุจเครื่องหมาย และ การสะท้อนถึงความโปราดปรานพระเยซูคริสต์ต่อพวกเขา ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดริเริ่มและโครงสร้างงานธรรมทูตองพระศาสนจักรไม่ควรหาความชอบธรรมในการที่ขาดความเอาใจใส่ต่อคนยากจน โดยอ้างข้อแก้ตัวซึ่งมีอยู่มากมายในแวดวงของพระศาสนจักรบางแห่ง หรือเพราะต้องทุ่มเทพลังงานไปยังความสำคัญอื่นๆในงานธรรมทูต สำหรับพระศาสนจักรแล้วจะให้ความสำคัญอันดับแรกต่อคนยากจนเสมอ

        การเรียกร้องและวิธีการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของพระศาสนจักร ที่ชี้นำโดยพระจิต  โดยปกติการใช้ภาษาและการปาฐกถาของพระศาสนจักร ความจำเป็นของพระจิตในฐานะที่เป็นต้นกำเนิดแห่งงานธรรมทูตเป็นที่ยอมรับและได้รับการยืนยัน  แต่การยอมรับนี้บางครั้งถูกลดค่าลงไปเป็นแค่ “การพยักหน้ารับพอเป็นพิธี” ต่อพระตรีเอกภาพซึ่งเป็นต้นธารแห่งการอภิปรายเชิงเทวศาสตร์ และแผนงานอภิบาลของพวกเรา มีหลายสถานการณ์ในพระศาสนจักรซึ่งความสำคัญอันดับแรกแห่งพระหรรษทานดูเหมือนเป็นอะไรที่ไม่มากไปกว่าความเข้าใจทางเทวศาสตร์ หรือสูตรสำเร็จที่เป็นนามธรรม  แทนที่จะมีพื้นที่สำหรับการทำงานของพระจิต ความคิดริเริ่มและหลายองค์กรที่เชื่อมโยงกับพระศาสนจักรลงเอยด้วยการสนใจแต่ตัวตนเอง องค์กรหลายแห่งของพระศาสนจักรในทุกระดับดูเหมือนจะถูกกลืนด้วยความคิดที่จะส่งเสริมตนเอง และความคิดของตนเองราวกับว่านั่นคือเป้าหมายแห่งพันธกิจของตนเอง

        จนถึงจุดนี้ พ่อพยายามที่จะอธิบายถึงมาตรการ และจุดเริ่มต้นสำหรับงานธรรมทูตของพระศาสนจักร  ซึ่งพ่อได้มีการอธิบายอย่างละเอียดในสมณสาส์นเตือนใจเรื่อ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” (Evangelii Gaudium)  พ่อทำเช่นนั้นเพราะพ่อเชื่อว่าสำหรับสถาบันธรรมทูตแห่งสันตะสำนัก (PMS) เป็นประโยชน์และบังเกิดผล ซึ่งที่จริงแล้วเป็นความจำเป็นอันเร่งด่วนที่พวกเราจะต้องอภิปรายกันเกี่ยวกับมาตรการ และข้อเสนอเหล่านี้ในขั้นตอนแห่งการเดินทาง ณ บัดนี้

สถาบันธรรมทูตแห่งสันตะสำนัก หรือ PMS ณ เวลาปัจจุบัน ความเฉลียวฉลาดในการพัฒนา หลุมพรางและความผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง

        พวกเราต้องหันหน้าไปทิศทางใดในการพิจารณาเรื่องราวในปัจจุบัน และในอนาคตของ PMS?  อะไรคือน้ำหนักถ่วง และหน่วงเหนี่ยวการเดินทางของพวกเรา?

        อัตลักษณ์ของ PMS มีความโดดเด่นอยู่บางประการ  บางอย่างก็เป็นเรื่องราวเฉพาะ ส่วนอื่นๆเป็นการพัฒนาตลอดกระบวนการอันยาวนานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งบ่อยครั้งมีการมองข้าม หรือถือเป็นเรื่องปกติ แต่กระบวนการเหล่านั้นสามารถปกป้องและจรรโลง โดยเฉพะอย่างยิ่งในกาลปัจจุบันในเรื่องของการสร้างเครือข่ายในพันธกิจสากล ซึ่งพระศาสนจักรทั้งมวลถูกเรียกร้อง

  • PMS ลุกขึ้นทันที จากความร้อนรนในงานธรรมทูตที่แสดงออกโดยความเชื่อของผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป จะมีความสัมพันธ์ล้ำลึกเสมอระหว่าง PMS กับความเชื่อ ที่ไม่พลั้งพลาดแห่งประชากรของพระเจ้า
  • PMS ตั้งแต่แรกเริ่ม ได้เดินไปตาม “เส้นทาง” หรือให้ชัดเจนไปกว่านั้น ตามช่องทางที่ขนานกันสองช่องทาง นั่นคือในความเรียบง่าย พวกเขามีความใกล้ชิดกับหัวใจของประชากรของพระเจ้า และอีกประการคือการอธิษฐานภาวนาและงานเมตากิจในรูปแบบของการให้ทานซึ่ง “ช่วยให้รอดพ้นจากความตายและหลุดพ้นจากมลทินทั้งปวง” (ทบต. 12: 9) “ความรักเข้มข้น” ที่ “ครอบคลุมบาปมากมาย” (1 ปต. 4: 8) ผู้สถาปนา PMS เริ่มต้นที่คุณเปาลีน จาริโกท์ (Pauline Jaricot) ได้มาประดิดประดอยคำภาวนาหรือการงานซึ่งพวกเขาตั้งความหวังไว้เพื่อการประกาศพระวรสาร พวกเขาเพียงแต่ดึงเอาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งปฏิกิริยาที่คุ้นเคยกันจนเป็นนิสัยแห่งประชากรของพระเจ้าในการเดินทางตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์
  • PMS เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากชีวิตแห่งประชากรของพระเจ้า ในความคิดความอ่านง่ายๆที่เป็นรูปธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับจากพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมและบรรดาผู้นำพระศาสนจักรหรือบิชอป ซึ่งในคริสตศตวรรษที่แล้วพยายามที่จะทำให้พวกเขาแสดงวออกพิเศษ ซึ่งการรับใช้ของพวกเขาต่อพระศาสนจักรสากล ดังนั้นตำแหน่ง “แห่งสันตะสำนัก” จึงถูกมอบให้กับสมาคมหรือสถาบันนี้ จากบัดนั้นเป็นต้นมา PMS ได้แสดงตนเสมอว่าเป็นเครื่องมือแห่งการรับใช้ในการสนับสนุนพระศาสนจักรใดพระศาสนจักรหนึ่ง ในงานแห่งการประกาศพระวรสาร  ในทำนองเดียวกัน PMS ไดรับใช้พระศาสนจักรในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งพันธกิจสากลที่ปฏิบัติโดยพระสันตะปาปา และโดยพระศาสสนจักรแห่งกรุงโรมซึ่งเป็น “ประธานในงานเมตตากิจ”  ในทำนองนี้ในการทำงานของพวกเขาโดยไม่ยุ่งกับการโต้แย้งทางเทวศาสตร์ที่ยุ่งเหยิงสลับทับซ้อน PMS ต้องเผชิญกับการแอบอ้างของคนเหล่านั้นซึ่งก็อยู่ในแวดวงพระศาสนจักรเดียวกันว่าเป็นสถาบันที่มีพระพรพิเศษซึ่งขัดแย้งกันโดยอ่านความสัมพันธ์ของพวกเขาผ่านแว่นส่องของ “หลักการ” อันเท็จ  เพราะว่าในพระศาสนจักรแม้ปัจจัยโครงสร้างถาวรเช่น ศีลศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นสมณะ นักบวช ศาสนบริกร และการสืบทอดตำแหน่งของพระสันตะปาปา ก็ยังมีการสร้างขึ้นใหม่โดยพระจิต และไม่ใช่เป็นความจริงที่ดำเนินการโดยพระศาสนจักร (เทียบ J. Ratzinger, The Theological Locus of Ecclesial Movements, Address given at the World Congress of Ecclesial Movements, Rome, 27-29 May 1998)
  • PMS ตั้งแต่การขยายตัวครั้งแรก มีโครงสร้างแบบเครือข่ายที่กว้างไกล ซึ่งแพร่ไปสู่ประชากรของพระเจ้าและยึดมั่นแน่นอย่างถาวรในเครือข่ายแห่งสถาบันและความจริงดั้งเดิมในชีวิตของพระศาสนจักรเช่น สังฆมณฑล วัด คณะนักบวช กระแสเรียกพิเศษของบุคคลที่ทำงานอยู่ใน PMS ไม่เคยมีการดำเนินชีวิต หรือถูกมองว่าเป็นหนทางเลือก หรือเป็นความสัมพันธ์ “ภายนอก” ต่อรูปแบบปกติแห่งชีวิตของพระศาสนจักรการเรียกร้องให้มีการสวดภาวนา และรวบรวมทรัพยากรเพื่อมิสซังเป็นการปฏิบัติในฐานะที่เป็นการรับใช้ความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักร

PMS ซึ่งเมื่อถึงเวลากลายเป็นเครือข่ายที่แผ่ขยายไปทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงภาพของตนเองในกิจกรรม สถานการณ์ ปัญหา และพระพรต่างๆซึ่งเป็นคุณสมบัติแห่งชีวิตของพระศาสนจักรในภูมิภาคต่างๆของโลก ความหลากหลายนี้สามารถช่วยดุจตัวป้องกันอุดมการณ์เยี่ยงมนุษย์และวัฒนธรรมแบบเดี่ยวๆ  ในความหมายนี้ PMS ไตร่ตรองถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งความเป็นสากลของพระศาสนจักร ซึ่งงานที่ไม่รู้จักหยุดหย่อนของพระจิตจะสร้างความสมานฉันจากสุ้มเสียงต่างๆแม้ในฐานะที่พ่อเป็นบิชอปแห่งกรุงโรมในการรับใช้ความรักจะต้องปฏิบัติโดยอาศัย PMS เพื่อปกป้องความเป็นเอกภาพของความเชื่อ

คุณสมบัติทั้งปวงที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้สามารถช่วย PMS ให้หลีกเลี่ยงหลุมพรางและโรคบางอย่างในการเดินทางของพวกเขา รวมถึงการเดินทางของสถาบันต่างๆด้วย ขออนุญาตเอ่ยถึงหลุมพรางบางอย่าง

หลุมพรางที่ต้องหลีกเลี่ยง

        การหมกมุ่นอยู่กับตนเอง  องค์กรและหน่วยงานของพระศาสนจักรซึ่งห่างไกลจากความตั้งใจดีของสมาชิกที่เป็นปัจเจกบุคคลบางครั้งลงเอยด้วยการหันหน้าเข้าหาตนเอง ทิศทาง พละกำลังและความสามารถโดยเฉพาะเพื่อส่งเสริมตนเอง และโฆษณาความคิดริเริ่มของตนเอง บางคนดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากความคิดที่มัวแต่แสวงหาความสำคัญ และหน้าตาของตนเองในพระศาสนจักรในหน้ากากแห่งการเริ่มพันธกิจใหม่ด้วยวิธีนี้  ดังที่พระคาร์ดินัลโจเซฟ รัตซิงเกอร์ (โป๊ปเบเนดิกต์ ที่ 16) กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า พวกเขาสามารถส่งเสริมความคิดแบบผิดๆว่า บุคคลหนึ่งจะเป็นคริสตชนที่ดีกว่า หากเขาจะยุ่งอยู่กับโครงสร้างภายในพระศาสนจักร แต่ในความจริงผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปเกือบทุกคนต่างดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อ ความไว้ใจ และความรัก โดยไม่ต้องไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการของพระศาสนจักร หรือสนใจกับข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเมืองของพระศาสนจักร (เทียบ Una compagnia sempre riformanda, Speech at the IX Meeting In Rimini, 1 September 1990)

ควบคุมความร้อนอกร้อนใจ  สถาบันและหน่วยงานบางครั้งเริ่มช่วยเหลือชุมชนพระศาสนจักรโดยใช้พระพรในตัวเองที่พระจิตทรงประทานให้ แต่พอเวลาผ่านไปพวกเขาถือว่าตนเองกลายเป็นพระเอกควบคุมทุกชุมชนที่พวกเขาต้องเป็นผู้รับใช้ ทัศนคติแบบนี้มักจะตามมาด้วยการอ้างว่าพวกเขากำลังเล่นบทของ “ผู้ควบคุม” ซึ่งถูกเรียกร้องให้ต้องกำหนดความถูกต้องตามกฎหมายของกลุ่มต่างๆ  พวกนี้จะลงเอยด้วยการปฏิบัติราวกับว่าพระศาสนจักรเป็นผลิตภัณฑ์แห่งการคำนวณ วางแผนงาน ข้อตกลง และการตัดสินใจของพวกเรา

การเป็นชนชั้นพิเศษ  ความรู้สึกว่าตนเองเป็นชนชั้นพิเศษ เป็นผู้ดีมีตระกูลบางครั้งจะเกิดขึ้นกับบุคคลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน หรือสถาบันในพระศาสนจักร เป็นผู้เชี่ยวชาญของชนชั้นที่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งพยายามที่จะเพิ่มอิทธิพลของตนเองเพื่อแข่งขันกับผู้ดีมีตระกูลของพระศาสนจักรอื่นๆ และจะอบรมสมาชิกของตนเองตามโลกียวิสัยแห่งนักกิจกรรมหรือความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคต่างๆ แต่เป้าหมายจะอยู่ที่ส่งเสริมความยิ่งใหญ่ และหน้าตาของตนเองเท่านั้น

การแยกตัวอยู่อย่างสันโดษจากประชาชน  การล่อลวงให้เป็นผู้ดีมีตระกูลในบางองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับพระศาสนจักรบางครั้งอาจตามมาด้วยความรู้สึกว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น ยิ่งใหญ่ และไม่มีความอดทนต่อผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป ต่อประชากรของพระเจ้าซึ่งอาจไปวัดหรือเยี่ยมสักการะสถาน จึงจำเป็นต้องมีการปลุกจิตสำนึกให้พวกเขารู้ตัวโดยอาศัย “การปลุกมโนธรรม” ซึ่งอาจเป็นข้อโต้เถียง การขอร้อง และการอบรม ความมั่นใจในความเชื่อคือผลแห่งการชักชวนหรือวิธีการอบรม

การเป็นเพียงนามธรรม  พอพวกเขามัวแต่สนใจในตัวเอง สถาบันหรือองค์กรที่มีความเชื่อมโยงกับพระศาสนจักรจะสูญเสียความสัมพันธ์กับความเป็นจริงและจะตกเป็นเหยื่อของการเป็นนามธรรม ไม่จำเป็นที่พวกเขาต้องเพิ่มการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อที่จะผลิตโครงการ สร้างผลงาน เน้นย้ำประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อส่งเสริมตนเองสำหรับผู้ที่ทำงานร่วมกับเขา พวกเขาจะนำปัญหาไปทำลายในห้องทดลองทางปัญญา ซึ่งจะมองทุกสิ่งโดยการวิเคราะห์วิจัย และมองผ่านเลนส์แห่งอุดมการณ์ของตนเอง  ทุกสิ่งแม้แต่การอ้างอิงถึงความเชื่อ หรือการขอร้องด้วยวาจาต่อพระเยซูคริสต์และพระจิต เมื่อนำมาอ้างนอกบริบทที่ถูกต้องแล้วจะลงเอยด้วยการเป็นของเทียมทั้งสิ้น

พวกกิจกรรมนิยม  การหมกมุ่นยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และองค์กรที่ถือว่าตนเป็นผู้ดีมีตระกูล หรือองค์กรของตนยิ่งใหญ่กว่าของคนอื่น แม้กระทั่งในพระศาสนจักรบ่อยครั้งจะลงเอยด้วยการกระทำทุกสิ่งเลียนแบบชาวโลกโดยยึดเอาประสิทธิภาพการผลิตผลงานเป็นหลัก เฉกเช่นผู้ที่มีรากเหง้าอยู่ที่การแข่งขันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองหรือสังคม การเลือกเอากิจกรรมนิยมจะก่อให้เกิดภาพลวงว่าตนเองสามารถ “แยกแยะวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆได้” ให้เกิดความสมดุลกัน ทำให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมได้ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม กำหนดเป้าหมายเอง ทำให้ความสามารถของตนเองเกิดประโยชน์สูงสุดและพัฒนาการบริหารจัดการทุกวันสำหรับ โครงสร้างที่มีอยู่ปัจจุบันได้  แต่ดังที่พ่อได้พูดไปแล้วในการประชุมปี ค.ศ. 2016 พระศาสนจักรที่กลัวที่มอบตนเองไว้กับพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ และมุ่งอยู่แต่ประสิทธิภาพแห่งสถาบันที่เป็นเจ้าขุนมูลนายของตนที่เล็งเอาแต่ประโยชน์ของ “การที่มองแต่ตนเอง” ของสมณะหรือฆราวาส ซึ่งยืดเยื้อมานมนานนับด้วยศตวรรษ

คำแนะนำสำหรับการเดินทางร่วมกัน

        เมื่อมองดูปัจจุบันและมองไกลไปยังอนาคต เมื่อพิจารณากันถึงทรัพยากรที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ PMS เพื่อที่จะไม่ตกไปในหลุมพรางแห่งการเดินทางและก้าวหน้าต่อไป พ่อปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเสนอคำแนะนำบางประการเพื่อเป็นตัวช่วยในการไตร่ตรองของพวกท่าน  เนื่องจากพวกท่านกำลังอยู่ในขั้นตอนของการประเมินงานของ PMS ซึ่งพวกท่านอยากไดรับความคิดเห็นจากพระสันตะปาปา พ่อขอมองมาตรการโดยทั่วไปบางอย่างพร้อมกับจุดเริ่มต้นโดยจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดแม้แต่น้อย เพราะสภาพการณ์แตกต่างกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับและเปลี่ยนแปลง

  • จงดำรงไว้และค้นให้พบบทบาทของ PMS ว่าเป็นส่วนหนึ่งแหงประชากรส่วนใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งพวกเขามีกำเนิดจนสุดความสามารถของท่านโดยมิต้องคำนึงถึงอนาคต นี่จะเป็นประโยชน์ที่จะแสวงหา “การเข้าไป” ในความเป็นจริงแห่งชีวิตของประชาชนการติดตามพระเยซูคริสต์หมายถึง การหลุดออกจากปัญหาและความกังวลของพวกเราเอง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะเข้าไปในเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมในขณะที่จะผนึกกำลังการกระทำและการสัมผัสของ PMS ภายในเครือข่ายของสถาบันที่ใหญ่กว่าของพระศาสนจักร (สังฆมณฑล วัด ชุมชน และกลุ่มต่างๆ) การจัดอันดับความสำคัญแห่งการปรากฏตัวของท่านในหมู่ประชากรของพระเจ้า ที่มีทั้งจุดเด่นและมีความทุกข์ยาก  ท่านอาจจะตกลงไปในหลุมพรางแห่งความเป็นนามธรรมได้  พวกเราต้องให้คำตอบกับปัญหาที่แท้จริง ไม่สร้างโครงการและเพิ่มข้อเสนออย่างไม่รู้จบ  บางที่การสัมผัสที่เป็นรูปธรรมกับสถานการณ์ชีวิตที่แท้จริง และไม่เพียงแต่การถกกันในห้องประชุม หรือการวิจัยทางทฤษฎีภายในของเราจะก่อให้เกิดการเห็นการณ์ไกลที่เป็นประโยชน์สำหรับการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติและปรับสิ่งต่างๆให้เฃ้ากับบริบท และสิ่งแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน
  • พ่อขอเสนอให้ดำเนินการในทำนองที่โครงสร้างอันเป็นแก่นสำคัญของ PMS มุ่งไปยัง การสวดภาวนาและการจักหาทรัพยากรสำหรับพันธกิจด้วยความเรียบง่ายและที่เป็นรูปธรรม นี่จะเป็นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง PMS กับความเชื่อแห่งประชากรของพระเจ้า ข้อกำหนดที่เป็นพื้นฐานของ PMS นี้ไม่ควรที่จะลืมหรือทำให้บิดเบี้ยว การขอให้พระเยซูคริสต์เปิดหัวใจพวกเราเข้าสู่พระวรสารและขอให้ทุกคนสนับสนุนงานธรรมทูตชนิดที่สัมผัสได้: เหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียบง่ายและเป็นรูปธรรม แม้ท่ามกลางภัยพิบัติแห่งโรคระบาด มีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่จะเผชิญและอยู่ใกล้ชิดกับหัวใจแห่งชีวิตของพระศาสนจักร ดังนั้น จงแสวงหาหาแนวทางใหม่ รูปแบบใหม่แห่งการรับใช้ แต่อย่าพยายามทำให้ยุ่งยากซับซ้อน เพราะความจริงแล้วเป็นเรื่องง่าย ทุกอย่างแบบเรียบง่าย
  • PMS เป็นและต้องมีประสบการณ์ในฐานะที่เป็น เครื่องมือแห่งการรับใช้ สำหรับพันธกิจของพระศาสนจักรหนึ่งพระศาสนจักรใด โดยคำนึงถึงพันธกิจของพระศาสนจักรสากล การมีส่วนช่วยที่มีคุณค่าประเสริฐตลอดกาลนี้ PMS กระทำเพื่อการแพร่ของพระวรสาร เราทุกคนถูกเรียกร้องให้ต้องช่วยกันหล่อเลี้ยงรวมถึงการทำงานของพวกเราด้วย ซึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตของพระเจ้าที่พระจิตของพระเยซูคริสต์ทรงก่อให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้น และเจริญเติบโตในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงพอพระทัย แม้กระทั่งในทะเลทราย ดังนั้นในคำถาวนาของท่าน จงขอทุกสิ่งดังกล่าวเพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะทรงทำให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะรับรู้ถึงเครื่องหมายแห่งกิจกรรมของพระองค์ เพื่อที่เป็นกิจกรรมเหล่านั้นไปยังโลก แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ คือทูนขอว่าในความล้ำลึกแห่งหัวใจของพวกเรา คำภาวนาของพวกเราต่อพระจิตเจ้าจะไม่ถูกลดลงเหลือแค่เพียงธรรมเนียมปฏิบัติในการประชุมและในบ้านของพวกเรา ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับกุศโลบายวิเศษหรือพันธกิจ “คำแนะนำหลัก” ในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่จะฟื้นฟูเจตนารมณ์ธรรมทูต หรือให้รูปแบบงานธรรมทูตแก่ผู้อื่น หากในบางกรณีความร้อนรนในงานธรรมทูตเกิดจืดจางลง นั่นเป็นเครื่องหมายว่าความเชื่อก็กำลังจืดจางลงด้วย ในกรณีดังกล่าว ความพยายามที่จะฟื้นฟูเปลวไฟด้วยกุศโลบาย และปาฐกถาจะลงท้ายด้วยการทำให้อ่อนแอไปยิ่งกว่าเดิมจนก่อให้เกิดทะเลทรายที่ขยายตัวออกไป
  • การรับใช้ที่กระทำโดย PMS โดยธรรมชาติแล้วเป็นการนำบรรดาสมาชิกให้มีการสัมผัสกับความจริง สถานการณ์ และเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งการถ่ายทอด และการลื่นไหล ซึ่งชีวิตของพระศาสนจักรในทุกทวีป ในการสัมผัสนี้พวกเราอาจพบกับปัญหาร้อยแปด รวมทั้งรูปแบบของความเฉื่อยชา ที่เป็นรอยด่างแห่งชีวิตของพระศาสนจักร แต่ก็เป็น “ของขวัญ” ที่ได้รับแบบเปล่าๆแห่งการเยียวยา และความบรรเทาที่พระจิตทรงประทานให้ในชีวิตประจำวัน ในสิ่งที่พวกเราอาจเรียกได้ว่าเป็น “ความศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง”  จงชื่นชมยินดีและรับการสัมผัสเหล่านี้ที่ท่านมีประสบการณ์ซึ่งต้องขอบคุณ PMS และยอมรับความประหลาดใจจากพวกเขา  พ่อคิดถึงรายงานอัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กๆซึ่งอาจได้สัมผัสกับพะเยซูคริสต์ซึ่งต้องขอบคุณความคิดริเริ่มที่เสนอโดยยุวธรรมทูต (Holy Childhood)  งานของท่านไม่อาจที่จะลดตัวลงเป็นเป้าหมายจำเพาะสำหรับระบบเจ้าขุนมูลนายที่เป็นมืออาชีพ  เมื่อเป็นเรื่องของพันธกิจ ระบบเจ้าขุนมูลนาย คือความยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น และประสิทธิภาพในการทำงานแต่อย่างเดียวไม่ควรจะมีที่ยืน  ความกตัญญูของท่านอาจกลายเป็น “ของขวัญ” และประจักษ์พยานต่อทุกคน  โดยอาศัยเครื่องมือที่ท่านมีอยู่ แน่นอนว่าท่านสามารถนับได้ถึงเรื่องราวที่น่าจรรโลงใจของบุคคลและชุมชนที่อัศจรรย์แห่งความเชื่อฉายรัศมีด้วยความหวังและความรัก
  • ความกตัญญูสำหรับอัศจรรย์ที่กระทำโดยพระเยซูคริสต์ท่ามกลางผู้ที่ได้รับการเลือกสรร คนยากจน และคนต่ำต้อย ซึ่งพระองค์ทรงเผยแสดงสิ่งต่างๆที่ปิดซ่อนไวจากคนฉลาด (เทียบ มธ. 11: 25-26) สามารถทำให้ชีวิตง่ายขึ้นสำหรับพวกท่านเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงหลุมพรางแห่งการหมกมุ่นอยู่แต่กับตนเอง แล้วปล่อยให้ตัวท่านอยู่ปลายแถวในการติดตามพระเยซูคริสต์ ความพยายามในงานธรรมทูตที่ยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางซึ่งใช้เวลาไปในการเอาแต่งานที่เป็นความคิดริเริ่มของตนเองนั่น ย่อมใช้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นอย่าไปมัวเสียเวลาและทรัพยากรในการมองตนเองในกระจกเงา ชอบวางแผนอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยเครื่องมือเครื่องไม้ที่ตนมีอยู่ภายใน มุ่งที่จะทำงาน และสร้างประสิทธิภาพ แต่ในระบบเจ้าขุนมูลนายของตนเองหรือความยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น  แต่ขอร้องให้มองออกไปข้างนอก อย่ามองแต่ตัวเองในกระจกเงา ทำลายกระจกเงาทุกบานในบ้าน มาตรการที่ใช้ในโครงการควรมุ่งไม่ใช่เพียงแต่จะสร้างภาระให้กับเครือข่ายของ PMS แต่ควรที่จะทำให้โครงสร้างและกระบวนการดำเนินงานมีความยืดหยุ่น เช่น ผู้อำนวยการระดับชาติควรทำงานเพื่อที่จะหาคนที่จะสืบตำแหน่งต่อไปโดยตั้งใจเลือกผู้ที่มีความร้อนรนในงานธรรมทูต ไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มเล็กๆของตนเอง
  • เกี่ยวกับการหาทรัพยากรเพื่อช่วยพันธกิจแดนมิสซัง พ่อเคยพูดไว้แล้วในช่วงที่พวกเรามีการประชุมครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะทำให้ PMS กลายเป็นแบบองค์กร NGO ซึ่งทุกสิ่งจะมุ่งไปเพียงแต่จะหาเงินสนับสนุน นี่ความสำคัญอยู่กับสิ่งที่จะทำมากกว่าเป้าหมายที่จะได้รับ จึงน่าจะเหมาะสมมากกว่าเมื่อต้องหาทุนควรใช้ความคิดสร้างสรรค์และเหมาะสม แม้กระทั่งวิธีการสมัยใหม่ในการขอทุนจากแหล่งที่มีศักยภาพและมีทรัพยากรมาก แต่ถ้าหากในบางภูมิภาคการทำบุญเกิดลดน้อยลงเพราะจำนวนคริสตชนเจือจางลง การล่อลวงอาจเกิดขึ้นได้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองโดย “ปิดบัง” สถานการณ์แล้วหันไปหาระบบการระดมทุนที่ดีกว่าซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญจากผู้ใจบุญรายใหญ่ ความเจ็บปวดของพวกเราเพราะการเสียความเชื่อ และการขาดดทรัพยากรไม่ควรมีการปิดบัง แต่ขอให้วางไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  การบอกบุญสำหรับพันธกิจของมิสซัง ควรดำเนินต่อไปโดยมุ่งเป้าแรกไปยังกลุ่มคริสตชนใหญ่ๆที่ได้รับศีลล้างบาปแล้ว ด้วยการรวบรวมถุงทานด้วยวิธีการต่างๆซึ่งทำทั่วประเทศในเดือนตุลาคมในวันประกาศพระวรสารสากล  พระศาสนจักรขอขอบคุณเงินเล็กน้อยของแม่หม้าย และการถวายของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับการเยียวยาและการบรรเทาจากพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งด้วยเหตุผลนี้รู้สึกล้นพ้นด้วยความกตัญญูและอุทิศถวายสิ่งที่ตนมี
  • การใช้เงินบริจาคจะต้องมีการประเมินด้วยความสำนึกแห่งพระศาสนจักร “sensus Ecclesiae” อย่างเหมาะสมเกี่ยวกับการแจกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงสร้าง และโครงการที่สามารถทำให้งานแพร่ธรรม และการประกาศพระวรสารเจริญขึ้นในวิธีต่างๆในภูมิภาคต่างๆของโลก ควรเอาใจใส่เสมอต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชุมชน และในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงวัฒนธรรมแห่งสวัสดิการซึ่งแทนที่จะช่วยความร้อนรนในงานธรรมทูตจะไปทำให้คนที่หัวใจไม่รู้จักร้อนรู้จักหนาว ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงการที่ต้องพึ่งแม้ภายในพระศาสนจักรผู้อื่นเหมือนกับกาฝาก การบริจาคของท่านควรมุ่งเป้าไปยังการให้คำตอบที่เป็นรูปธรรมต่อความจำเป็นที่เป็นเป้าหมายโดยที่ไม่ไปล้างผลาญทรัพยากรในความคิดริเริ่มที่เป็นเพียงแค่นามธรรม ที่ยึดเอาตัวเองเป็นหลัก หรือก่อให้เกิดลัทธิบรรพชิตนิยมรูปแบบใหม่ จงอย่ายอมแพ้ให้กับการมีปมด้อยหรือการล่อลวงที่เอาแบบองค์กรที่มีอภิมหาอำนาจ ซึ่งหาทุนเพื่อสาเหตุที่ดีแล้วหักเปอร์เซ็นต์เพื่อใช้สนับสนุนองค์กรที่เป็นเจ้าขุนมูลนายของตนเอง และเพื่อที่จะโฆษณายี่ห้อของตนเอง แม้สาธารณะชนก็ยังกลายเป็นหนทางสำหรับการส่งเสริมผลประโยชน์ฝ่ายตนด้วยการแสดงว่าตนทำงานเพื่อคนยากจน และคนที่มีความเดือดร้อนอย่างไร
  • สำหรับคนยากจน ท่านก็ต้องไม่ลืมพวกเขาด้วย นี่เป็นคำแนะนำที่สภาสังคายนาแห่งเยรูซาเล็มที่อัครสาวกเปโตร ยาก็อบ และยอห์นส่งต่อไปให้เปาโล บาร์นาบัส และตีตุสซึ่งเดินทางไปอภิปรายกันเรื่องพันธกิจของพวกเขาในหมู่ผู้ที่ไม่ได้รับเข้าเป็นสมาชิกพระศาสนจักรอย่างเต็มรูปแบบ “เราจำต้องคิดถึงคนยากจน” (กท. 2: 10) เปาโลจัดให้มีการเรี่ยไรสำหรับประโยชน์ของบรรดาพี่น้องแห่งพระศาสนจักรในกรุงเยรูซาเล็ม (เทียบ 1 คร. 16: 1) การเลือกข้างคนยากจน และคนที่ต่ำต้อยมีอยู่เสมอ ตั้งแต่มีการทำพันธกิจแรกๆในการประกาศพระวรสาร งานเมตตากิจทั้งฝ่ายจิตและกายเพื่อพวกเขาเป็นการแสดงออกถึง “การโปรดปรานของพระเจ้า” ที่เป็นดุจการท้าทายเสมอต่อความเชื่อของคริสตชนซึ่วงถูกเรียกให้มีทัศนคติเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (เทียบ ฟป. 2: 5)
  • PMS ในเครือข่าวทั่วโลกจะสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายแห่ง “ประชากรที่มีเป็นพันๆหน้า” ที่รวมตัวกันโดยพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์และเด่นด้วยความร้อนรนในงานธรรมทูต ความร้อนรนดังกล่าวมิได้เข้มข้นเสมอไปและมีชีวิตชีวาในทำนองเดียวกันทุกหนทุกแห่ง  แม้กระนั้นก็ตามความเร่งด่วนเดียวกันที่จะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนม์ชีพ พบการแสดงออกในหลากหลายรูปแบบ และมีการปรับให้เข้ากับบริบทที่แตกต่างกันการเผยแสดงของพระวรสารจะไม่เหมือนกับวัฒนธรรมใดๆ และเมื่อเผชิญกับวัฒนธรรมใหม่ที่ยังไม่ได้รับสาส์นของคริสตชน จะต้องไม่นำรูปแบบวัฒนธรรมพิเศษไปใช้ครอบงำพวกเขาพ้อมกับบทเทศน์แห่งพระวรสาร  ทุกวันนี้แม้ในงานของ PMS ไม่จำเป็นต้องมีกระเป๋าต่างหาก  แต่ต้องมีความพยายามตีคุณค่าแห่งความแตกต่าง และนำเข้ามาเชื่อมโยงให้เข้ากับปัจจัยที่สำคัญแห่งความชื่อที่พวกเราแบ่งกันกันได้ ความพยายามใดๆ  ที่จะเอารูปแบบแห่งสาส์นของพวกเรามาเป็นมาตรฐานที่จะไปปิดบังความเป็นสากลแห่งความเชื่อของคริสตชน ถึงอาจเป็นการส่งเสริมคำพังเพยที่เป็นแฟชั่นทางสังคมและในบางประเทศที่เอา PMS ไปติดกับพระสันตะปาปา  และพระศาสนจักรแห่งกรุงโรมว่าเป็นทรัพยากรและการสนับสนุนให้มีเสรีภาพจากความเท็จ เป็นโรงเรียนแห่งความคิดเดียวเท่านั้น หรือเป็นวัฒนธรรมแบบเดียวที่มีความสัมพันธ์กับลัทธิล่าอาณานิคมใหม่ ยังมีปรากฏการณ์ที่น่าเสียใจที่ยังไม่หมดไปจากบริบทของพระศาสนจักร
  • PMS ไม่ได้เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในพระศาสนจักดรที่ทำการในสูญญากาศ คุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งคือจะต้องดำรงไว้และฟื้นฟูอยู่เสมอซึ่งความสัมพันธ์พิเศษที่ผนึกพวกเขากับบิชอปแห่งกรุงโรม ผู้ทรงเป็นประธานในงานเมตตากิจ ที่เป็นเรื่องจรรโลงใจที่ทราบว่าความสัมพันธ์กันนี้แสดงออกในงานที่กระทำด้วยความชื่นชมยินดีโดยไม่แสวงหาการปรบมือหรือหมวกใดๆ อันเป็นงานให้แบบเปล่าที่สานทอเข้ากับการรับใช้ต่อพระสันตะปาปา ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ของพระเจ้า  พ่อปรารถนาที่จะถามหาถึงเครื่องหมายที่เด่นชัดนั้นแห่งความใกล้ชิดของพวกท่านต่อบิชอปแห่งกรุงโรมควรเป็นแบบนี้ คือ การมีส่วนร่วมในความรักของพระศาสนจักร เป็นการสะท้อนถึงความรักของพระศาสนจักรต่อพระเยซูคริสต์ทีมีประสบการณ์ และแสดงออกอย่างเงียบๆโดยไม่รู้สึกผยองหรือห่วงใยเพื่อ “เกียรติของตนเอง” ความพยายามประจำวันที่เกิดจากความรักพระธรรมล้ำลึกแห่ง “การให้แบบเปล่าๆ” ซึ่งสนับสนุนคนจำนวนนับไม่ถ้วนแม้จะไม่ทราบว่าจะต้องขอบคุณใคร เพราะพวกเขาอาจไม่เคยได้ยินคำว่า PMS  พระธรรมล้ำลึกแห่งความรักภายในพระศาสนจักรทำงานในทำนองนี้ พวกเราพรอมที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแม้จะมีความยากลำบาก ขอบคุณของขวัญและความบรรเทาของพระเยซูคริสต์ ในขณะเดียวกันในทุกขั้นตอนชีวิต พวกเราต่างยอมรับด้วยความชื่นชมว่า พวกเราทุกคนเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ค่าเริ่มต้นที่ตัวฉันเองก่อน

สรุป

        จงก้าวไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น!  มีงานมากที่พวกท่านต้องทำในการเดินทางที่กำลังรอพวกท่านอยู่หากจะมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ  ซึ่งเป็นการดีที่พวกเราจะเปลี่ยนไปในการไม่เพิ่มภาระแทนที่จะไปเพิ่มน้ำหนักโดยมุ่งที่จะให้การทำงานของพวกเราอย่างยืดหยุ่นไม่สร้างระบบเจ้าขุนมูลนาย คือมีอำนาจสั่งการ ที่รวมถึงการข่มขู่ให้มีการกลับใจภายใน การรวมทุกสิ่งไว้ที่ศูนย์กลางมากเกินไปแทนที่จะช่วยสามารถทำให้งานธรรมทูตยุ่งยากได้ แม้แต่องค์กรระดับชาติล้วนๆที่มีความคิดริเริ่มก็อาจเป็นอุปสรรคต่อธรรมชาติของเครือข่าย PMS ได้รวมถึงการแลกของขวัญระหว่างพระศาสนจักรและชุมนท้องถิ่นที่ดำเนินชีวิตดุจผลที่สัมผัสได้และเป็นเครื่องหมายแห่งความรักเมตตาระหว่างบรรดาพี่น้องในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับบิชอปแห่งกรุงโรม

        ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร มีการเรียกร้องเสมอว่าการพิจารณาใดๆที่เกี่ยวกับแง่ของการปฏิบัติ PMS จะต้องได้รับแสงสว่างจากสิ่งหนึ่งที่จะเป็น นั่นคือประกายแห่งความรักที่แท้จริงต่อพระศาสนจักรในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนถึงความรักต่อพระเยซูคริสต์ การรับใช้ของพวกท่านเป็นการมอบให้กับความร้อนรนในการแพร่ธรรม กล่าวคือต่อแรงกระตุ้นแห่งชีวิตคริสตชนซึ่งมีแต่พระจิตเท่านั้น ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ในประชากรของพระเจ้า ขอให้คิดที่จะทำงานของท่านอย่างดี ราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับท่าน ในขณะที่ทราบว่าความจริงแล้วทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า” (นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา)  ดังที่พ่อได้กล่าวไปแล้วในการพบของพวกเราครั้งหนึ่ง จงเลียนแบบฉบับจิตใจที่พร้อมอยู่เสมอของแม่พระ เมื่อพระนางเสด็จไปเยี่ยมนางเอลิซาเบ็ธ มารีย์มิได้ทำไปด้วยตัวตนเอง พระนางไปในฐานะผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระนางอุ้มอยู่ในครรภ์ พระนางมิไดพูดอะไรเลยเกี่ยวกับตนเอง มีแต่นำพระบุตรของพระนางไปพร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า  พระนางไปในฐานะที่เป็นข้ารับใช้ของผู้ที่เป็นพระเอกแห่งงานธรรมทูต ถึงกระนั้นพระนางไม่ยอมเสียเวลารีบไปทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อดูแลญาติ  พระนางสอนพวกเราให้มีความพร้อมเช่นเดียวกันถึงความรีบที่เกิดจากความซื่อสัตย์ และการนมัสการ

        ขอให้พระแม่มารีย์คุ้มครองพวกท่านและ PMS และขอให้พระบุตรของพระแม่  พระเยซูคริสต์โปรดอวยพรพวกท่าน ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์พระองค์ทรงสัญญาที่จะประทับอยู่กับท่านเสมอจนกระทั่งสิ้นพิภพ

        ให้ไว้ ณ กรุงโรม ที่มหาวิหารนกบุญยอห์น ลาเตรัน วันที่ 21 พฤษภาคม 2020 วันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)