บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรังซิสในพิธีอธิษฐานภาวนา
เพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชนที่เมืองลุนด์สวีเดน
บ่ายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ได้มีพิธีอธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชนที่อาสนวิหารลูเธอรัน ณ เมืองลุนด์ เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จไปถึงอาสนวิหารอาร์ชบิชอป Antje Jackelen ผู้นำคริสตจักรแห่งสวีเดน และบิชอป Mons. Anders Arborelius บิชอปแห่งสต๊อคโฮม เป็นผู้ให้การต้อนรับโดยเดินตามพระสันตะปาปาไปยังพระแท่น กระบวนแห่นี้รวมผู้แทนสมาพันธ์ลูเธอรันแห่งโลกด้วย ในช่วงพิธีหลังการขับร้องบทเพลงสดุดีและการเทศน์ของ Rev. MartinJungeเลขาธิการแห่งสมาพันธ์ลูเธอรันโลกแล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาจึงแสดงพระธรรมเทศนาดังต่อไปนี้
__ ”จงดำรงอยู่ในเรา และเราจะดำรงอยู่ในท่าน” (ยน. 15: 4) การที่พระเยซูทรงตรัสพระวาจาเหล่านี้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายต้องทำให้เรามองไปที่หัวใจของพระเยซูคริสตเจ้าก่อนที่พระองค์จะมอบอุทิศตนเป็นครั้งสุดท้ายบนไม้กางเขน เราสามารถได้ยินหัวใจของพระองค์เต้นด้วยความรักต่อพวกเราและความปรารถนาของพระองค์ที่จะให้พวกเราที่เชื่อในพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ทรงบอกพวกเราว่าพระองค์ทรงเป็นเถาองุ่นที่แท้จริงและเราเป็นกิ่งก้าน เฉกเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาเจ้า เราก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์หากเราต้องการที่จะบังเกิดผล
ในพิธีอธิษฐานภาวนาเพื่อความเป็นเอกภาพที่เมืองลุนด์นี้เราต้องการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจร่วมกันของเราที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสตเจ้าเพื่อที่เราจะได้มีชีวิต เราทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้าโปรดประทานพระหรรษทานให้พวกลูกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้นเพื่อลูกจะได้ร่วมกันเป็นประจักษ์พยานที่มีประสิทธิภาพแห่งความเชื่อ ความไว้ใจ และความรักได้ดียิ่งขึ้น” นี่ยังเป็นเวลาที่เราจะต้องโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับความพยายามของบรรดาพี่น้องชายหญิงของเราหลายคนจากชุมชนคริสตชนต่างๆที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆต่อการแตกแยก แต่มีความหวังอยู่เสมอที่จะคืนดีกันกับทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์็๋็น
ในฐานะที่เป็นคาทอลิกและลูเธอรันพวกเราได้ทำการเดินทางร่วมกันเพื่อการคืนดีกัน บัดนี้เพื่อรำลึกถึงการปฏิรูปในปี ค.ศ. 1517 เรามีโอกาสใหม่ที่จะเบิกทางร่วมกันใหม่ อันเป็นหนทางที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากกว่า 50 ปีแล้วเกี่ยวกับการเสวนาเพื่อความเป็นเอกภาพระหว่างสหพันธ์ลูเธอรันโลกกับพระศาสนจักรคาทอลิก เราจะไม่มีวันยอมแพ้ให้กับการแตกแยกและการห่างเหินเกิดขึ้นในระหว่างพวกเรา พวกเรามีโอกาสที่จะเปลี่ยนจุดเลวร้ายแห่งประวัติศาสตร์โดยการมองข้ามการโต้แย้งและความเห็นต่างซึ่งบ่อยครั้งเป็นอุปสรรคกีดกั้นทำให้เราไม่เข้าใจกัน
พระเยซูบอกเราว่าพระบิดาเจ้าทรงเป็น “ผู้ตัดแต่งต้นองุ่น” (เทียบ v. 1) ซึ่งดูแลเอาใจใส่ต้นองุ่นเพื่อทำให้มันออกผลมากขึ้น (เทียบ v. 2) พระบิดาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ทรงเป็นห่วงความสัมพันธ์ของเราเสมอ ทรงเฝ้ามองดูว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์หรือเปล่า? (เทียบ v. 4) พระองค์ทรงเฝ้าดูเรา และการพิศเพ่งที่เปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ควรดลใจให้เราต้อง ชำระล้างอดีตของเราและทำปัจจุบันให้กลายเป็นอนาคตแห่งความเป็นหนึ่งดียวกันซึ่งพระองค์ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
เราต้องมองไปยังอดีตด้วยความรักและความซื่อสัตย์เช่นเดียวกันโดยการยอมรับความผิดพลาดต่างๆและขออภัยโทษ เหตุว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงเป็นผู้พิพากษาเรา พวกเราควรยอมรับด้วยความรักและความซื่อสัตย์ว่าการแตกแยกของเราทำให้เราอยู่ห่างจากสถาบันดั้งเดิมแห่งประชากรของพระเจ้าซึ่งโดยธรรมชาติแล้วย่อมปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน และต้องยอมรับว่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นเกิดขึ้นเพราะผู้มีอำนาจในโลกมิใช่เกิดจากประชากรผู้ซื่อสัตย์ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่ไหนจะต้องได้รับการชี้นำด้วยความรักจากนายชุมพาบาลที่ดีเสมอ แน่นอนว่ามีน้ำใจดีจากทั้งสองฝ่ายที่จะยึดถือความเชื่อที่แท้จริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ตระหนักดีว่าเราต่างปิดกั้นตัวเราเองเพราะความกลัวหรือความลำเอียงเกี่ยวกับความเชื่อที่ผู้อื่นเชื่อด้วยการเน้นและใช้ภาษาที่แตกต่าง ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงตรัสว่า “เราต้องไม่ปล่อยให้ตัวเราถูกชี้นำให้ตั้งตนเป็นผู้ตัดสินประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความปรารถนาแต่อย่างเดียวที่จะเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นว่าอะไรเกิดขึ้นและเราต้องเป็นผู้สื่อสารแห่งความจริง”(สมณลิขิตถึงพระคาร์ดินัล Johannes Willebrands ประธานแห่งสำนักเลขาธิการเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชน วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1983) พระเจ้าเป็นผู้ตบแต่งกิ่งก้านต้นองุ่น ผู้ทรงคอยพิทักษ์ปกป้องด้วยความรักหวงแหนอย่างที่สุด ขอให้เราได้เข้าใจในการพิศเพ่งที่คอยเฝ้าระวังของพระองค์ สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือให้เรายึดติดเหมือนกิ่งก้านทรงชีวิตในพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ต่ออดีตเรามิได้แอบอ้างว่าเรารู้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่เป็นรูปธรรมแห่งอดีต แต่เพื่อที่จะ “เล่าประวัติศาสตร์ด้วยวิธีที่แตกต่างๆไปจากเดิม” (คณะกรรมาธิการเพื่อความเป็นเอกภาพระหว่างลูเธอรันและคาทอลิก From Conflict to Communionวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2013 ข้อ 16)
พระเยซูคริสต์ทรงเตือนเราว่า “ปราศจากเราแล้ว ท่านไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย” (v. 5) พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คอยทำนุบำรุงและกระตุ้นให้เราค้นหาหนทางที่จะทำให้ความเป็นเอกภาพของเรามองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการแตกแยกของเราเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ยิ่งใหญ่และความเข้าใจผิด แต่นี่ก็ทำให้เราเข้าใจว่าหากปราศจากซึ่งพระองค์แล้ว เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย อาศัยวิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจบางแง่บางมุมแห่งความเชื่อของเราได้ เราขอน้อมรับด้วยความกตัญญูว่าการปฏิรูปได้มีส่วนช่วยความเป็นศูนย์กลางแห่งพระคัมภีร์ในชีวิตของพระศาสนจักรมากยิ่งขึ้น อาศัยการฟังพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ร่วมกัน มีความก้าวหน้าที่สำคัญเกิดขึ้น มีการเสวนาระหว่างพระศาสนจักรคาทอลิกและสหพันธ์ลูเธอรันโลกซึ่งเรากำลังทำการเฉลิมฉลองอยู่เป็นปีที่ห้าสิบ ขอให้เราวิงวอนพระเยซูคริสตเจ้าให้พระวาจาของพระองค์จงทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะนี่แหละเป็นทั้งแหล่งอาหารและเป็นชีวิตซึ่งหากไม่มีแรงบันดาลใจจากพระองค์แล้ว เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ประสบการณ์ฝ่ายจิตของมาร์ตินลูเธอร์ท้าทายเราให้รำลึกว่าปราศจากพระเจ้าแล้วเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย “ข้าพเจ้าจะเข้าถึงพระเจ้าผู้วิเศษได้อย่างไร?” นี่คือปัญหาที่ท้าทายลูเธอร์ อันที่จริงแล้วปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่ชอบธรรมกับพระเจ้าคือปัญหาคอขาดบาดตายเลยทีเดียวสำหรับชีวิตของพวกเรา ก็อย่างที่เราทราบลูเธอร์พบพระเจ้าผู้วิเศษนั้นในข่าวดีแห่งองค์พระเยซู ผู้ทรงเสด็จมารับสภาพเป็นมนุษย์ ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงกลับฟื้นชีพขึ้นมาใหม่ ด้วยความคิดที่ว่า “ด้วยพระหรรษทานเท่านั้น” ท่านเตือนใจพวกเราว่าพระเจ้าทรงริเริ่มก่อนเสมอ ก่อนที่มนุษย์จะมีการตอบสนอง แม้เขาผู้นั้นจะพยายามปลุกเร้าตนเองให้มีการตอบสนอง ดังนั้นคำสอนเรื่องความชอบธรรมจึงแสดงให้เห็นถึงแก่นแห่งความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าเสมอ
พระเยซูคริสต์ทรงแทรกแซงเพื่อเราในฐานะที่ทรงเป็นคนกลางต่อพระบิดาเจ้าพระองค์ทรงทูลวอนขอพระบิดาให้ศิษย์ของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน “เพื่อที่โลกจะได้รู้และเชื่อ” (ยน. 17: 21) นี่คือสิ่งบรรเทาใจสำหรับเราและเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูและพร้อมที่จะภาวนาว่า “โปรดประทานพระพรแห่งความเป็นเอกภาพให้แก่พวกเรา เพื่อโลกจะได้เชื่อในอานุภาพแห่งพระเมตตาของพระองค์” นี่คือประจักษ์พยานที่โลกคาดหวังจากเรา เราที่เป็นคริสตชนจะเป็นประจักษ์พยานที่มีความน่าเชื่อถือแห่งพระเมตตามากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ว่าการให้อภัย การฟื้นฟู และการคืนดีกันจะมีมากน้อยแค่ไหนในหมู่เรา เราสามารถประกาศและแสดงถึงพระเมตตาของพระเจ้าพร้อมกันอย่างเป็นรูปธรรมและด้วยความชื่นชมยินดีโดยการยอมรับและส่งเสริมศักดิ์ศรีของทุกคน หากปราศจากซึ่งการรับใช้นี้ต่อโลกและในโลกความเชื่อของคริสตชนจะไม่มีวันสมบูรณ์ได้เลย
ในฐานะที่เป็นชาวลูเธอรันและชาวคาทอลิกพวกเราอธิษฐานภาวนาด้วยกันในอาสนวิหารนี้โดยตระหนักดีว่า หากปราศจากพระเจ้าแล้วเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย พวกเราจึงต้องวอนขอความช่วยเหลือของพระองค์ เพื่อที่พวกเราจะได้เป็นสมาชิกที่ทรงชีวิต ยึดมั่นในพระองค์ พวกเราต้องการพระหรรษทานของพระองค์อยู่เสมอ เพื่อที่เราทุกคจะได้พร้อมหน้าช่วยกันนำพระวาจาของพระองค์ไปสู่ชาวโลก ซึ่งต้องการความรักและพระเมตตาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง
(ขอขอบพระคุณ วิทยุวาติกัน – วิษณุ ธัญญอนันต์ เก็บมาเพื่อการไตร่ตรอง)