วันสตรีสากล (International Women’s Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ประวัติความเป็นมาเกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พากันประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าแรงและเรียกร้องสิทธิ แต่สุดท้ายกลับมี 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะมีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 (พ.ศ. 2400)
จากนั้นใน ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ทนไม่ไหวต่อการเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ ทารุณของนายจ้างที่ให้ทำงานหนักวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใดๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วย ล้มตายตามมาในระยะเวลารวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงน้อย และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก คลาร่า เซทคิน ชาวเยอรมันได้ปลุกระดมกรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 เรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งปรับปรุงสวัสดิการ และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ได้แสดงเจตนารมณ์ปฏิบัติตามพันธสัญ ญาต่อเวทีโลก ที่ให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรี ทั้งในแง่กฎหมาย นโยบาย มาตรการ และกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย คือ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเ กิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย ให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ ให้สตรีมีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน ความสำคัญ วันสตรีสากลมิเพียงแค่การเฉลิมฉลองเหมือนงานประเพณีที่ทำกันทุกปี หากจะเป็นกา รตระหนักร่วมและให้คุณค่าของสตรี ให้ได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย จากความรุนแรง และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ผู้ใช้แรงงานต้องได้รับการดูแลในด้านสวัสดิการ สุขภาพ ความ ปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งผู้หญิงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ในฐานะที่ผู้หญิงก็เป็นสมาชิกหนึ่งในสังคม บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ออกสมณลิขิตเรื่องศักดิ์ศรีและกระแสเรียกของสตร ี ในโอกาสปีแม่พระ (15 สิงหาคม ค.ศ. 1988) ข้อ 1 กล่าวว่า “ในคริสตศาสนา… มีการยกย่องศักดิ์ศรีสตรีมาโดยตลอดตั้งแต่ปฐมก าล ซึ่งจะเห็นได้ในพระธรรมใหม่ อันแสดงชัดว่ามีความหมายให้สตรีประกอบเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างที่มีชีวิต และดำเนินงานไปในศาสนาค ริสต์นี้” และในสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ให้พระธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ (GS) และเรื่องฆราวาสแพร่ธรรม (AA) สหพันธ์สภาบิชอปแห่งเอเชีย (FABC) ได้จัดการประชุม ครั้งที่ 6 (10-19 มกราคม ค.ศ. 1995) ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มีกล่าวถึง สตรีและบทบาทของพระศาสนจักรในฐาระผู้รับใช้ชีวิต มีข้อเสนอแนะว่า “ความรักคริสตชนต่อผู้อื่น และความยุติธรรมแยกอ อกจากกันไม่ได้ เพราะความรักเรียกร้องความยุติธรรมอย่างแท้จริง คือการยอมรับศักดิ์ศรีและสิทธิของผู้อื่น ความยุติธรรมบรรลุถึงความสมบูรณ์ภายในความรักเท่านั้น” นี่เป็นหลักที่ต้องใช้ในกิจกรรมที่จัดสนับสนุนสตรี (หน้า 137) |
||
ข้อ 102. บรรดาฆราวาสเป็นประชากรส่วนใหญ่ของพระเจ้า แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับ ศีลบวชเป็นศาสนบริกร การตระหนักถึงเอกลักษณ์และพันธกิจของฆราวาสในพระศาสนจักรมีเพิ่มมากขึ้น เรามีฆราวาสจำนวนมาก แม้จะยังไม่เพียงพอ พวกเขามีความเข้าใจถึงความเป็นหมู่คณะที่หยั่งรากลึ ก และซื่อสัตย์ต่อพันธกิจแห่งเมตตาธรรม การสอนคำสอน การเฉลิมฉลองความเชื่อ แต่การตระหนักถึงความรับผิดชอบของฆราวาส ซึ่งเกิดจากศีลล้างบาปและศีลกำลัง ยังมิได้แสดงออกในลักษณะเดีย วกันสำหรับทุกคน ทั้งนี้เพราะในบางกรณีพวกเขามิได้รับการอบรมเพื่อรับหน้าที่อันสำคัญนี้ และในอีกหลายกรณีพวกเขาไม่มีพื้นที่ในพระศาสนจักรท้องถิ่น เพื่อแสดงออกหรือกระทำพันธกิจได้ สาเหตุมาจาก อำนาจของบาทหลวงที่มีมากเกินไปจนทำให้พวกเขาอยู่ชายขอบของการตัดสินใจ แม้ฆราวาสจำนวนมากได้มีส่วนร่วมแต่การมีส่วนร่วมนี้มิได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของคริสตชนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลก สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ กิจการของเขามักถูกจำกัดอยู่เฉพาะงานภายในของพระศาสนจักร ซึ่งปราศจากนำพระวรสารไปปฏิบัติอย่างแท้จริง เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ดังนั้น การอบรมบรรดาฆราวาส แล ะการประกาศพระวรสารแก่กลุ่มวิชาชีพและปัญญาชน จึงเป็นข้อท้าทายงานอภิบาลที่สำคัญ ข้อ 103. พระศาสนจักรตระหนักถึงสิ่งที่บรรดาสตรีจะนำมาให้แก่สังคม จากความรู้สึกอ่อนไหว สัญชาตญาณ และความสามารถพิเศษซึ่งโดยทั่วไปเป็นลักษณะของสตรีมากกว่าบุรุษ ตัวอย่างเช่น ค วามใส่ใจของสตรีที่มีต่อผู้อื่นเป็นพิเศษ ซึ่งแสดงออกมาในลักษณะการเป็นมารดา ข้าพเจ้ายินดีที่ได้เห็นสิ่งนี้ในบรรดาสตรีจำนวนมาก ที่แบ่ง ปันความรับผิดชอบงานอภิบาลร่วมกับบรรดาบาทหลวง ให้ความร่วมมือในการเป็นเพื่อนร่วมทางกับบุคคล ครอบครัว หรือกลุ่มต่างๆ และให้คว ามคิดใหม่ๆ แก่การไตร่ตรองทางเทววิทยา อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องขยายพื้นที่เพื่อให้สตรีมีบทบาทมากขึ้นในพระศาสนจักร เพราะ “อัจฉริย ภาพของสตรีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อแสดงออกในชีวิตทางสังคมทุกประการ การปรากฏของสตรีในหน่วยงานต่างๆ ต้องได้รับการรับรอง” (CSDC ข้อ 295) และในสถานที่ต่างๆ ที่ต้องมีการตัดสินใจสำคัญ รวมทั้งในพระศาสนจักร และในโครงสร้างทางสังคมด้วย และพระองค์ตรัสเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ดังนี้ ข้อ 212. ผู้ที่ยากจนเป็นสองเท่า ได้แก่สตรีที่ต้องทุกข์ทรมานจากสถานการณ์ที่ถูกทอดทิ้ง ถูกทารุณ และถูกทำร้ายด้วยความรุนแรง เพราะบ่อยครั้งพวกเธอมีโอกาสน้อยมากที่จะปกป้องสิทธิของตนเอง อย่างไรก็ตาม เรามักพบท่าทีที่น่ายกย่องขั้นวีรกรรมประจำวัน ในการปกป้องและการเยียวยาความอ่อนแอในครอบครัวของพวกเธอ |
||
ที่มา
http://www.thaicatechesis.com/