
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี B
เปโตร : นักบุญ หรือ ซาตาน
“เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา” ถ้าใครที่ไม่คุ้นเคยกับพระวรสาร และได้มาอ่านบทความนี้ คงเป็นเรื่องยากที่คนนั้นจะเชื่อว่า (1) นี่เป็นคำตรัสของพระเยซูเจ้า และ (2) คำตรัสนี้จะใช้กับเปโตร ซึ่งเป็นอัครสาวกที่รักของพระเยซูเจ้า
.
เป็นไปได้อย่างไรที่นักบุญมาระโกบันทึกการให้สมญาที่น่าขายหน้าเช่นคำว่า “ซาตาน” ให้แก่บุคคลที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเลือกให้เป็นศิลาและเป็นหัวหน้าพระศาสนจักรของพระองค์ เห็นได้ชัดว่านักบุญมาระโกไม่ได้เขียนคำว่า “ซาตาน” ขึ้นมาด้วยตัวเอง พระเยซูเจ้าต้องทรงเรียกเปโตรว่า “ซาตาน” แน่ๆ แต่ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
.
เปโตรก็เหมือนชาวยิวอื่นๆทั่วไปในสมัยนั้น ที่รอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่งตามคำทำนายแล้ว พระองค์จะทรงเปิดยุคใหม่แห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง คนกลุ่มต่างๆ ก็มีความคาดหวังที่แตกต่างกันว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นแบบใด เช่น พวกฟาริสีคาดคอยพระเมสสิยาห์จะทรงเป็น “โมเสสคนใหม่” ที่จะทรงทำให้กฎหมายเข้มงวดมากขึ้น ในขณะที่พวกรักชาติ (zealots) ต้องการให้พระองค์ทรงมาเพื่อขจัดอำนาจของโรมันให้สิ้นไป และสถาปนาอาณาจักรที่ทรงอำนาจขึ้นมา แต่พระเยซูเจ้าทรงแตกต่างออกไป…..
.
นักบุญมาระโกบอกผู้อ่านของท่านว่าพระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ แต่ไม่ใช่ในแบบประชานิยมที่มวลชนไขว่คว้ามาจากจินตนาการและความเพ้อฝัน พระภารกิจของพระเมสสิยาห์ในแบบพระเยซูเจ้าคือการบริการรับใช้ โดยมิคิดถึงตนเองและความรักที่ถวายเป็นบูชา และนี่ก็สอดคล้องกับคำทำนายที่ทรงพลังจากบทอ่านแรกของประกาศกอิสยาห์ประจำวันอาทิตย์นี้ เป็นส่วนที่เราเรียกว่า “บทเพลงที่สามของผู้รับใช้ที่ทนทุกข์” (Third Song of the Suffering Servant) ซึ่งอธิบายความเป็นบุคคลของพระผู้ซึ่งเต็มพระทัยรับความผิดของประชาชนมาเป็นของพระองค์ เพื่อจะยอมทนทุกข์แทนพวกเขา “ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้กับผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า” ข้อความเหล่านี้เขียนขึ้นระหว่างปี 587 และ 582 ก่อนคริสตกาล เมื่อประชาชนต้องทนทุกข์ในการถูกเนรเทศเพราะบาปของพวกเขา ข้อความเกี่ยวกับ “ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์” นำความบรรเทาใจมาให้ท่ามกลางความอ้างว้าง ทำให้ประชาชนเฝ้าคอยวันนั้นที่บาปของพวกเขาจะถูกยกออกไป และพระเจ้าจะทรงนำพวกเขากลับบ้าน ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ไม่ใช่ต้องการบอกว่าความทุกข์เป็นเรื่องดี แต่ต้องการบอกว่า พระองค์ทรงพร้อมที่จะสละองค์เป็นเครื่องบูชา และยอมทนทุกข์เพราะความรักอย่างลึกซึ้งทั้งต่อพระ และต่อประชาชนของพระองค์
.
กลับมาที่พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์และพระเมสสิยาห์ เพราะพระวาจาและกิจการมหัศจรรย์ของพระองค์ ทุกคนต้องการให้พระองค์ทรงทำกิจการอัศจรรย์ เช่น ทวีขนมปัง รักษาคนโรคเรื้อน ปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ และยึดอำนาจทางการเมือง แต่ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงเลี้ยงอาหารผู้ที่หิวโหย และเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วย พระองค์ก็ทรงหลีกเลี่ยงการเป็นพวกชาตินิยมที่ชอบความรุนแรง และหลีกเลี่ยงอำนาจทางการเมือง หากแต่ทรงสนับสนุนเรื่องของชีวิต และนี่คือหนทางเดียวที่เป็นไปได้สำหรับผู้ที่เต็มใจจะรับใช้ และยอมเป็นพลีบูชา – แม้จะต้องตายก็ตาม
.
เปโตรเป็นสัญลักษณ์หมายถึงพวกเรา ที่กล้าประกาศว่า “พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสตเจ้า” แต่อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อความทุกข์ยากทับถมเราจนหมดหนทาง และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้ติดตามรอยพระบาทของพระองค์ บางทีซาตานที่อยู่ในตัวของพวกเราอาจจะล่อลวงให้เราไล่ตามความสุข ให้เราแสวงหาความพึงพอใจในตนเอง ไม่ให้เราแสวงหาการสละละตนเอง
.
“ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา” นี่เป็นคำตรัสของพระเยซูเจ้า และยังทรงเสริมอีกว่า “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น” ดังนั้นเปโตรที่ในตอนเริ่มต้นเหมือนตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดแบบซาตาน ต่อมาจะแปรเปลี่ยนไปสู่จุดสูงสุดแบบนักบุญ เมื่อท่านกลับมาประกาศว่า “ใช่แล้วพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพเจ้ารักพระองค์” (ยน 21 : 15) และในกาลเวลาต่อมา เปโตรก็ได้ติดตามพระเยซูเจ้าอย่างซื่อสัตย์จนถูกตรึงกางเขนเช่นกัน โดยกลับเอาด้านศีรษะลง
.
กางเขนของเราอาจมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การถึงวัยชรา โรคเรื้อรัง ความตาย สอบตก คู่ชีวิตที่สุดจะทน สิ่งเสพติด ความโดดเดี่ยว และชีวิตที่หมดความหมาย สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ต้องการให้มีการสละตนเอง ให้บริการรับใช้ผู้อื่นโดยมิคิดถึงตนเองเลย และให้มีความรักที่ยอมสละเป็นพลีบูชา มีตัวอย่างของคนจำนวนมากที่แบกกางเขนของตนอย่างกล้าหาญยิ่ง เช่น เด็กหญิงอายุ 10 ขวบคนหนึ่งที่ตายเพราะโรคมะเร็งที่กระดูก และเด็กหญิงอายุ 16 ปีอีกคนหนึ่งที่ก่อนตายได้เขียนบทกวีที่น่ารักไว้ว่า “ฉันมีโรคร้ายที่คอยคุกคามอยู่ แต่มันจะไม่เข้ามาทำให้ชีวิตฉันยุ่งเหยิง จนกว่ามันจะฆ่าฉัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันก็กลัว กลัวความตาย แต่ฉันจะไม่นั่งเชื่องซึมหมดอาลัยตายอยากแล้วมัวครุ่นคิดว่า มันจะมาถึงเมื่อไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันก็คือการมีชีวิตนั่นเอง”
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 5 กันยายน 2021
Based on : Sunday Seeds For Daily Deeds ; by : Francis Gonsalves, S.J.)
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี B
“เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
ที่ผ่านมา นักบุญมาระโกบันทึกไว้ในพระวรสารของท่านว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงเทศนาให้กับประชาชนจำนวนมากมาย ได้ทรงทำอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย และได้ทรงประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับประชากรอิสราเอล
.
แต่พระวรสารของอาทิตย์นี้เป็นเหมือนช่วงเวลาที่ทรงต้องการสำรวจว่าพระองค์สามารถชนะใจประชาชนได้ไหม และพวกเขาเข้าใจว่าพระองค์เป็นใคร เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทรงพระดำเนินไปกับบรรดาศิษย์ ไม่ได้มีคนอื่นๆ มากมายดังช่วงที่ผ่านมา และสถานที่คือบริเวณเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิป ซึ่งอยู่ทางเหนือของเบธไซดาไปประมาณ 40 กิโลเมตร เมืองนี้สร้างให้เป็นเกียรติแก่จักรพรรดิซีซาร์ ที่นี่มีถ้ำแห่งหนึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแพน (เทพเจ้าของกรีกที่เกี่ยวกับธรรมชาติ) บนยอดของถ้ำนี้มีการสร้างวิหารเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิซีซาร์โดยฟิลิป (เพราะเขาถือว่าจักรพรรดิซีซาร์เป็นเทพเจ้าด้วย)
.
จากสถานที่และสิ่งปลูกสร้างที่เต็มไปด้วยวิหารของเทพเจ้าต่างๆ พระเยซูเจ้าทรงถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง”
.
คำตอบนี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ยังไม่ทรงสามารถได้ใจของประชาชน พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์ ถึงแม้ว่าความคิดของประชาชนจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่ก็มีพาดพิงหรือนำพาไปสู่ยุคพระเมสสิยาห์ เช่นที่ตอบว่า เป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง เป็นประกาศกเอลียาห์ เพราะสองชื่อนี้ผู้คนเข้าใจตามนัยของพระคัมภีร์ว่าเป็นผู้มาก่อนพระเมสสิยาห์ ส่วนที่ตอบว่าเป็นประกาศกองค์อื่น ดูเหมือนจะดูพระเยซูเจ้าไม่ออกสักเท่าไหร่
.
ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้อง จึงทรงหันไปถามศิษย์ว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” เป็นคำตอบที่ถูกต้องจริงๆ และเป็นคำตอบที่ทรงต้องการได้ยิน อย่างน้อยบรรดาศิษย์ของพระองค์รู้ว่าพระองค์เป็นใครก็ยังดี
.
จึงทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ให้เข้าใจอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเมสสิยาห์ที่แท้จริง ว่าบทบาทของพระองค์จะเป็นอย่างไร คือจะเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกปฏิเสธ และจะถูกนำไปฆ่า แม้จะลงท้ายว่า และจะกลับคืนพระชนมชีพอีก แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นักบุญเปโตรสติแตก เขาไม่เห็นด้วยกับพระองค์โดยสิ้นเชิง บรรดาศิษย์ก็เหมือนชาวยิวทั่วๆ ไปที่มีความคิดฝังหัวมาแล้วว่า พระเมสสิยาห์จะต้องเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากษัตริย์ดาวิด เป็นผู้ที่จะมาช่วยปลดแอกชาวยิวจากอำนาจของพวกโรมัน ไม่ใช่มาตายบนไม้กางเขน จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง เขาจึงดึงพระเยซูเจ้าออกไปต่างหาก และห้ามพระองค์ไม่ให้ทรงพูดและทำเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตานถอยไปข้างหลังเรา อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” ที่จริงเปโตรคิดเหมือนปีศาจด้วยซ้ำไป จำได้ไหมครับ ตอนที่มันมาประจญพระองค์ ปีศาจต้องการให้พระองค์ทรงรวบรวมอำนาจเหนืออาณาจักรต่างๆ โดยยอมกราบกรานต่อมัน เพื่อจะได้เอาชนะใจประชาชนทั้งหลาย ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมาน ไม่ต้องถูกตรึงตายบนกางเขน แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธความคิดของปีศาจโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่น ทรงยกย่องคุณธรรมของความรัก การเสียสละ และการอุทิศพลีชีวิตเป็นบูชา แล้วต่อจากนั้น ชัยชนะจะตามมา
.
จึงทรงเพิ่มเติมเป็นคำสอนต่อไปว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา” จะเห็นได้ชัดเจนว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งไม้กางเขน และการเป็นคริสตชน หมายถึง ความเต็มใจที่จะติดตามพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน
.
ก่อนจบ ขอยกข้อเขียนของคุณ เดวิด โรดส์ (David Rhoads) ที่บรรยายความแตกต่างระหว่าง คิดแบบพระเจ้า และ คิดแบบมนุษย์ ว่ามีอะไรบ้าง
.
คิดแบบพระเจ้า เป็นเรื่องของความเชื่อ (มก 2:5) ความกล้าหาญ (มก 7:28) การสละชีวิตเพราะเห็นแก่ข่าวดี (มก 8:35) การเป็นคนเล็กน้อยที่สุดและเป็นผู้รับใช้ (มก 9:35 ; 10:43) และการทำกิจการดี (มก 3:1-5)
.
ส่วน คิดแบบมนุษย์ คือ การขาดความเชื่อ (มก 4:40) ความหวาดกลัว (มก 5:36) การพยายามรักษาชีวิตของตนไว้ (มก 8:35) ความอยากเป็นใหญ่ เป็นเจ้านายคน (มก 10:42) และการทำกิจการไม่ดี (มก 3:6)
.
วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงถามเราทุกคนด้วยว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” หวังว่าเราคงจะตอบพระองค์ได้ถูกต้อง และเข้าใจความหมายที่แท้จริงนะครับ
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2012)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- ประสบการณ์และความประทับใจในการเข้าร่วมเคารพศีลมหาสนิทนานาชาติ..
- บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดาปี A - บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 26 เทศกาลธรรมดาปี A