Skip to content

อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
30 มีนาคม 2014

บทอ่าน 1 ซมอ  16: 1ข, 6-7, 10-13ก  ;  อฟ  5: 8-14  ;   ยน  9: 1-41
พระวรสารสัมพันธ์กับ  คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC)   575, 588, 595-6, 1151, 1504, 2173, 2827
จุดเน้น             พระคริสตเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก  พระองค์ทรงส่องสว่างแก่ทุกคนผู้แสวงหาพระองค์  พระองค์ทรงมอบอำนาจเราให้ดำเนินชีวิตในแสงสว่างนั้น

มีข้อความที่ให้กำลังใจจริงๆ จากบทสดุดีวันนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ” (สดด 23:1)  พูดกับเรามิใช่แค่สัญญาว่าวันหนึ่ง (ข้างหน้า) เราจะร่วมชีวิตนิรันดรกับพระเจ้าเท่านั้น  แต่เราจะได้รับพระพรจากพระเจ้าแบบต่อเนื่องในชีวิต  ครอบครัว  ชุมชน  การอยู่ดีกินดี    เวลามีปัญหาข้อขัดแย้งและความยากลำบากด้านเศรษฐกิจ  การฟังข้อความที่ให้กำลังใจและความมั่นคง  ทำให้สดชื่นขึ้นใหม่  อย่างไรก็ดีมีหลายคนผู้ดำเนินชีวิตห่างไกลจากภาพงดงามนี้  “ข้าพเจ้าไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า…  ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่”  พี่น้องหลายคนที่เดินในหุบเขาที่มืดมิด  เต็มไปด้วยความกลัว  หมดหวัง  และต้องการความช่วยเหลือ  ขาดความกล้า  และมีชีวิตเหมือนคนตาบอดในบทอ่านจากพระวรสารวันนี้

ถ้าเรามองดูรอบๆ ตัว  คงเห็นโลกแตกแยกหลายระดับ  พี่น้องชายหญิงมากมายกำลังทนทุกข์เพราะความยากจน  อ่านหนังสือไม่ออก  มีความรุนแรง  และความไม่เสมอภาค   ไม่ต้องอ้างถึงผู้คนหลายล้านที่กำลังรับผลของภัยพิบัติตามธรรมชาติและความอดอยากหิวโหย  เมื่อเผชิญกับโลกเช่นนี้  เราอาจถูกทดลองให้หมดหวัง  หรือแย่กว่าอีก  เป็นแบบชาวฟาริสีในพระวรสารที่สายตาสั้น  และสนใจเฉพาะผลกำไรส่วนตัวเท่านั้น  แต่วันนี้เราอยู่ในการเดินทางมหาพรต  เน้นการอธิษฐานภาวนา  การจำศีลอดอาหาร  และทำบุญให้ทาน (แบ่งปัน)  เราได้รับเชิญให้เจริญชีวิตแบบลูกแห่งความสว่าง  เพื่อเกิดผลแห่งความดี  ความชอบธรรม  และความจริง

พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องที่สองในสามประสบการณ์มาสู่ความเชื่อ  ในพระวรสารโดยนักบุญยอห์น  ที่พระศาสนจักรใช้ในปีพิธีกรรม  ปี A  สัปดาห์ที่แล้ว  เราได้ยินเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำของยาโคบ (เมืองสิคาร์)  และสัปดาห์หน้าเราจะได้ยินเรื่องการกลับคืนชีพของลาซารัส

ชายตาบอดแต่กำเนิดได้รับการรักษาให้พบความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่ในชีวิต คือ พระพรแห่งการเห็น  การตาบอดไม่ใช่กีดกันเขาไม่ให้สามารถชื่นชมความงดงามของสิ่งสร้างเท่านั้น  แต่ชาวบ้านสมัยศตวรรษแรกนั้นถือว่าเป็นการลงโทษเพราะบาป  จึงถูกตัดขาดจากครอบครัวและสังคม  เป็นพิเศษในยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนและความบรรเทาใจมากที่สุด

เขาต้องว้าเหว่โดดเดี่ยวในชีวิต  จนกระทั่งเขาได้มาพบกับพระเยซูเจ้า  อาศัยการสัมผัสรักษา  พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอดด้วยวิธีที่เราไม่สามารถคิดได้  พระองค์มิได้ทรงรักษาการป่วยฝ่ายร่างกายเท่านั้น  แต่ด้วยคำพูดและที่สำคัญมากที่สุด คือ กิจการ    พระเยซูเจ้าทรงใช้คำพูดแห่งความเชื่อ

พระเยซูเจ้าทรงถามว่า  เขาเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ  ชายที่ได้รับการรักษาให้เห็นตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ  พระเจ้าข้า”  และกราบลงนมัสการพระองค์  อาศัยการทำเช่นนี้  พระเยซูเจ้ามิได้ทรงฟื้นฟูการเห็นฝ่ายกายเท่านั้น  แต่ทรงเปิดตาแห่งความเชื่อด้วย  จากการพบปะที่เปลี่ยนแปลงชีวิต  ชายตาบอดเปลี่ยนจากความมืดบอดฝ่ายร่างกายและจิตใจ  ไม่สนใจความเชื่อศรัทธา  ไปสู่วิสัยทัศน์ใหม่  มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและหมู่คณะ

อาศัยศีลล้างบาป  เราได้รับเชิญในแสงสว่างแห่งความเชื่อและความสัมพันธ์  เหมือนดาวิดในบทอ่านแรก  เราได้รับเลือกให้มาเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในโลกนี้  และดังบทอ่านที่สองที่เชิญชวนเราว่า “ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด  แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า  จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด  ผลแห่งความสว่าง คือ ความดี  ความชอบธรรม  และความจริงทุกประการ”

พี่น้อง  เพราะว่าเราได้รับการสัมผัสของพระคริสตเจ้าในชีวิต  เรารู้จักแสงสว่างของพระองค์ในโลกของเรา  เราเลียนแบบพระคริสตเจ้าด้วยความซื่อสัตย์  การอธิษฐานภาวนาและการรับใช้พี่น้องชายหญิง  เราอาจจะไม่สามารถทำอัศจรรย์รักษาแบบพระเยซูเจ้า  แต่เราให้ความรักเมตตาและความหวังแก่คนรอบข้างได้  มหาพรตเป็นโอกาสปฏิบัติความเชื่อในสังคม  เป็นโอกาสไม่ให้ตัดสินตามที่เห็นภายนอก  แต่ทำแบบที่พระเจ้าทรงเห็นเรา  มหาพรตเป็นเวลาเริ่มสร้างโลกที่ยุติธรรมและเสมอภาคขึ้น  เพราะด้วยคุณลักษณะเช่นนี้  โลกของเราจึงได้รับการเยียวยารักษาให้ดีขึ้นได้

 

บิชอปวีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล
จาก  Homilies  โดย Catholic  Diocese  of  Lansing,
(มกราคม – มีนาคม 2014), หน้า 129-131.