ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A
“พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง”
หัวข้อข้างบนนี้เป็นคำถามของเปโตรในพระวรสารของอาทิตย์นี้ และโดยที่ท่านก็รู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการยกโทษให้ผู้อื่น จึงเสริมว่า “ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่”
คำตอบของพระเยซูเจ้า คงจะไม่นำความแปลกใจมาให้กับพวกเราคริสตชนแต่อย่างไร “ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” มันเป็นการยกโทษให้แบบไม่มีที่สิ้นสุด
กำลังจะยกตัวอย่างสุภาพสตรีผู้หนึ่งชื่อ คอรี่ (Corrie) เธออยู่ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวของเธอมีร้านขายนาฬิกา เมื่อนาซีเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ได้ ครอบครัวของเธอได้เริ่มช่วยเหลือพวกยิวไม่ให้ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันหรือค่ายมรณะ ต่อมามีคนไปฟ้องเจ้าหน้าที่ เธอและน้องสาวถูกส่งไปค่ายกักกันที่หนึ่งด้วย แต่เป็นค่ายที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง
หลังจากประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส คอรี่รอดตายมาได้ ส่วนน้องสาวไม่รอด หลังสงครามเธอได้เดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อพูดเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย และการกลับคืนดีกัน
ครั้งหนึ่งหลังจบคำปราศรัยของเธอที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ชายคนหนึ่งเข้ามาหาเธอเพื่อขอบคุณเธอสำหรับการพูดครั้งนั้น คอรี่แทบไม่เชื่อสายตาว่า ชายผู้นั้นคือยามคนหนึ่งของพวกนาซี ที่เคยยืนประจำหน้าที่ที่ห้องอาบน้ำของพวกผู้หญิงที่ค่ายราเวนสบรุค ที่เธอถูกกักกันอยู่
ห้องอาบน้ำคือห้องอะไร เขาแยกเป็นหญิงและชาย บังเอิญเพิ่งอ่านเรื่อง ยิว ที่เขียนโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่าดังนี้
“นาซีคนหนึ่งได้ทดลองแก๊สซึ่งผลิตได้ในราคาถูกอย่างหนึ่งมีชื่อว่า ไซคลอนบี เป็นส่วนผสมระหว่างไฮโดรเจนกับไซยาไนด์ ภายในเวลาไม่กี่นาที เชลย 600 คนก็ตายเรียบ ตั้งแต่นั้นมา วิธีการฆ่าคนเป็นล้านๆ อย่างสะดวกรวดเร็วและประหยัดก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น…
ตามค่ายกักกันทั่วไปนั้นได้มีการสร้างห้องใหญ่ขึ้น พอที่จะบรรจุคนได้หลายร้อยคนในครั้งเดียวกัน ห้องเหล่านี้เรียกว่า ห้องอาบน้ำ พอยิวที่ถูกจับส่งตัวมาค่ายกักกันมาถึง ก็จะได้รับคำสั่งให้เปลื้องเสื้อผ้าออกทั้งหมด เพื่ออาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ก่อนจะเข้าสู่ค่ายกักกันต่อไป
ทุกคนถูกต้อนเข้าไปอยู่ใน “ห้องอาบน้ำ” อย่างเบียดเสียดกัน เด็กทารกตัวเล็กๆ ก็จะถูกโยนตัวตามเข้าไปด้วย ครั้งแล้วประตูเหล็กก็จะปิดเข้าหากัน ธาตุไซคลอนบีก็ร่วงลงมาจากบัวอาบน้ำเป็นเมล็ดเล็กๆ สีฟ้า พอหล่นถึงพื้นเมล็ดสีฟ้าก็จะปล่อยแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ จึงจะค่อยๆ ลอยขึ้นสู่เพดาน คนที่อยู่ในห้องนั้นก็จะหายใจเอาแก๊สนั้นเข้าไป และจะชักดิ้นชักงอ อาเจียนจนตายไปช้าๆ และทรมานที่สุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูจัด และมีจุดเขียวๆ ขึ้นตามตัวทั่วไป กว่าจะตายได้ก็ต้องชักกระตุกอยู่อีกนาน ตามผนังห้องนั้นมีรูบุกระจกใสสำหรับเจ้าหน้าที่นาซีมายืนดูยิวตายอย่างทรมาน…”
ย้อนกลับมาที่เรื่องของคุณคอรี่ ชายผู้นั้นยื่นมือมาจะขอจับมือเธอ แต่เธอกลับมือแข็งทื่อไม่สามารถยื่นออกมาได้ ความหวาดกลัวขณะที่อยู่ในค่ายและความตายของน้องสาวผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนในความทรงจำ เธอเต็มไปด้วยความขมขื่นใจและรังเกียจเขาอย่างรุนแรง คอรี่ไม่อยากเชื่อตัวเองเลย เธอเพิ่งพูดเรื่องการให้อภัยอย่างน่าจับใจ แต่บัดนี้เธอเองไม่สามารถให้อภัยคนๆหนึ่ง เหมือนกับความรู้สึกของเธอถูกปิดกั้นจนไม่สามารถยื่นมือออกไปให้เขาสัมผัสได้
สิ่งที่คอรี่ประสบก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเราประสบเป็นช่วงๆ ในชีวิตของเรา เราพบว่าเราไม่อาจให้อภัยคนบางคน เรารู้สึกว่าอารมณ์เราถูกปิดกั้นต่อคนบางคนที่ทำร้ายต่อเรา
ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะทำอย่างไร เราจะสามารถถือตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารของวันนี้ได้อย่างไร เราลองมาดูว่าคอรี่แก้ปัญหานี้เช่นไร
เธอเริ่มสวดวอนขอเงียบๆ ในใจ “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกไม่สามารถให้อภัยผู้ชายคนนี้ได้ โปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเทอญ” ในขณะนั้นเอง เธอรู้สึกว่ามีพลังที่มาจากนอกตัวเธอทำให้มือเธอยื่นไปจับชายคนนั้นด้วยการให้อภัยอย่างแท้จริง ในเวลานั้น เธอเองค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่
ดังนั้น ให้เราเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสอนให้รักศัตรู พระองค์ก็จะทรงให้พระหรรษทาน ให้เราสามารถทำตามที่ทรงสั่งสอนนั้นจนได้
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2011
Based on : (1) Illustrated Sunday Homilies – Year A ; by Mark Link, SJ
(2) ยิว เขียนโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)
ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A
การสุมความโกรธไว้
อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาคนที่ 16 ได้รับเลือกเข้ามาในตำแหน่งในช่วงต่อต้านการมีทาส ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง (Civil War) ในปี 1863 ลินคอล์นออกคำประกาศให้บรรดาทาสที่อยู่ทางใต้เป็นอิสระ และในอีก 2 ปีต่อมาได้ห้ามการมีทาสทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นได้ต่อต้านการเป็นทาสในทุกๆรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การที่คนเรายอมเป็นทาสความโกรธแค้นและความขุ่นเคืองของตนเอง
เลขานุการด้านสงครามของลินคอล์น ชื่อ เอ็ดวิน สแตนตัน (Edwin Stanton) ได้รับความลำบากใจกับนายพลคนหนึ่ง ซึ่งกล่าวหาเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายว่าเป็นคนขี้ประจบ สแตนตันบ่นเรื่องนี้กับลินคอล์น ท่านแนะนำให้เขียนจดหมายถึงนายพลคนนั้นด้วยถ้อยคำที่บาดใจ สแตนตันทำตามทันที และนำมาให้ประธานาธิบดีดูว่าใช้คำรุนแรงแค่ไหน ท่านปรบมือให้กับถ้อยคำภาษาที่ทรงพลัง พร้อมทั้งถามว่า “แล้วคุณจะทำอะไรต่อไป” สแตนตันแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น จึงตอบไปทันทีว่า “ส่งไปให้เขาสิครับ” ลินคอล์นสั่นศีรษะแล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องส่งจดหมายนั้นไปหรอก ทิ้งมันลงบนเตาเผานั่นแหละ นี่คือสิ่งที่ฉันทำในเวลาโกรธ ฉันจะเขียนระบายลงไปในจดหมาย แม้มันเป็นจดหมายที่ดีก็จริง ให้ถือว่าคุณมีเวลาที่ดีในการได้เขียนมันและก็รู้สึกดีขึ้น แล้วนั้น ก็จงเผามันทิ้ง และเขียนอันอื่นแทน”
ลินคอล์นอาจจะทำตามคำแนะนำของพระวาจาของพระเจ้าในบทอ่านที่ 1 ของวันอาทิตย์นี้ ที่เน้นถึงเรื่องการสุมความแค้นไว้ว่าดังนี้
“ถ้าผู้ใดสุมความโกรธต่อผู้อื่นไว้
เขาจะขอให้องค์พระผู้เจ้าเจ้าทรงรักษาเขาให้หายได้อย่างไร
ถ้าเขาไม่มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขาจะกล้าอธิษฐานภาวนาขออภัยบาปของตนได้อย่างไร”
การสุมความโกรธไว้ หรือการเพิ่มไฟแค้นไว้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของตัวเราเอง จริงๆแล้วถึงตายเลยทีเดียว เพราะมันทำให้เราพิกลพิการและขาดเกราะกำบังเมื่อเราต้องการให้บาปของเราได้รับการอภัยนั่นเอง
การให้อภัยอย่างไม่มีขีดจำกัด
พระวรสารของนักบุญมัทธิววันนี้ยังพูดต่อเนื่องในเรื่องความสัมพันธ์ของคริสตชน เน้นถึงความจำเป็นของการให้อภัยระหว่างสมาชิกของประชาคม นักบุญเปโตรถามพระเยซูเจ้าว่า เราต้องยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อเรากี่ครั้ง แล้วก็ชิงตอบเองด้วยคำถามว่า “ถึง 7 ครั้งไหม” ตามธรรมประเพณียิวสอนกันมาว่าพระเจ้าทรงให้อภัย 3 ครั้ง และจะทรงลงโทษครั้งที่ 4 (นำความคิดนี้มาจากหนังสือประกาศกอามอส 1 : 3.6.9.11.13; 2 : 1.4.6.) ไม่เชื่อกันว่าคนที่ถูกทำร้ายจะสามารถมีคุณธรรมสูงไปกว่าพระเจ้าได้ ดังนั้น การให้อภัยจึงถูกจำกัดอยู่แค่ 3 ครั้ง ถ้าดูตามมาตรฐานนั้นสิ่งที่นักบุญเปโตรเสนอไปถือว่าใจดีมากที่สุดแล้ว แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ พระองค์ทรงตอบโดยให้คำตอบกลับกันกับเรื่องการแก้แค้นที่เคยเขียนไว้ในพันธสัญญาเดิม กล่าวคือ “ถ้ากาอินจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดเท่า ลาเมคจะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดสิบเท่า” (ปฐก 4 : 24) เพียงเพราะว่าในยุคเก่าก่อนความเกลียดชังและการแก้แค้นเป็นเรื่องไม่มีข้อจำกัด ดังนั้น สำหรับคริสตชนก็ต้องไม่มีข้อจำกัดเรื่องความเมตตากรุณา และการให้อภัย
อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตาทรงมีจุดประสงค์เพื่อเน้นถึงความจำเป็นในการรู้จักให้อภัย เมื่อกษัตริย์ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้คนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาเป็นหนี้อยู่พันล้านบาท จำนวนที่มากเช่นนี้เป็นการขยายความให้เยอะเข้าไว้ เพื่อจะเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างตรงกันข้ามกับจำนวนน้อยนิดที่เขานั้นได้เป็นเจ้าหนี้คนๆหนึ่ง เมื่อกษัตริย์สั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยา และทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ เขาวิงวอนขอผัดผ่อนเงื่อนของเวลา กษัตริย์ทรงสงสารจึงปล่อยเขาไปและยกหนี้ให้ แต่ชายคนนี้กลับลืมบทเรียนที่ชีวิตเขาผ่านประสบการณ์นี้มา เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนที่เป็นหนี้เขาผัดหนี้ไว้ก่อน และให้นำไปขังคุกไว้ เมื่อมีรายงานเรื่องความแล้งน้ำใจของชายผู้นี้ไปถึงกษัตริย์ สิ่งที่เขาเคยได้รับก็ถูกเรียกกลับคืน และเขาต้องไปทนทรมานจนกว่าจะชำระหนี้จนหมดสิ้น
จงจดจำไว้ถึงเรื่องของการให้อภัย
มากกว่านั้น ลูกหนี้ไร้เมตตาคนนั้นถูกประณาม เพราะเขาสูญเสียความจดจำ การลืมบาปของเราเองจะทำให้เราขาดความเมตตาต่อผู้อื่น จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงกรุณามิลงโทษบาปผิดของเราอย่างไร จงให้สิ่งนั้นนำทางเราให้อภัยแก่คนอื่นอย่างนั้นด้วย ถ้าเราไม่จดจำพระเมตตาของพระเจ้าไว้ สุดท้ายเราอาจจะเป็นคนใจร้ายต่อคนอื่น นี่แหละที่ทำไมตอนเริ่มต้นพิธีมิสซาเราได้รับการเชิญชวนให้สำนึกถึงบาปของเรา เพราะเมื่อเราทำเช่นนี้แล้ว เราจะสามารถสวดบท “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” ได้เต็มที่ว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น”
จุดประสงค์ที่ให้เราสำนึกว่าเป็นคนบาปไม่ใช่เพื่อทำให้เราเป็นอัมพาต แต่เพื่อเตือนใจว่าเราทุกคนต่างมีชีวิตในพระกรุณายิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ทรงให้อภัยเรา
สรุป : อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา ซึ่งมีเขียนไว้แต่นักบุญมัทธิวผู้เดียวเท่านั้น แม้ไม่ใช่เป็นตัวอย่างของการให้อภัยก็จริง แต่ทำให้เราทราบเหตุผลมากกว่า ว่าทำไมเราจึงควรให้อภัย ดังนี้ :
1) เราได้รับการให้อภัยมาก่อน
2) เราได้รับการให้อภัยมากอย่างยิ่ง มากกว่าที่เราเคยให้อภัยไป
3) ถ้าเราไม่รู้จักให้อภัย เราจะไม่ได้รับการอภัยด้วย
(เขียนโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 13 กันยายน 2017
Based on : 1) Seasons of the WORD โดย Denis McBride ;
2) Sunday Seeds for Daily Deeds โดย Francis Gonsalves, S.J.)