ขณะที่การปราบปรามพระศาสนจักรคาทอลิกในนิการากัวยังคงดำเนินต่อไป ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกา (Daniel Ortega) ก็ประกาศว่าคณะเยสุอิตทำผิดกฎหมายและสั่งให้ริบทรัพย์สินทั้งหมด

แม้จะมีการประท้วงและการประณามทั่วโลก แต่การปราบปรามของระบอบซานดินิสตา (Sandinista) ต่อพระศาสนจักรคาทอลิกและการต่อต้านยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ

หลังจากขับไล่ชุมชนบาทหลวงคณะเยสุอิตออกจากบ้านพักส่วนตัวใกล้กับมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลอเมริกัน (UCA) ในเมืองมานากัว (Managua) และยึดมหาวิทยาลัย ในวันพุธที่ 23 สิงหาคม เจ้าหน้าที่นิการากัวสั่งห้ามคณะเยสุอิตทั้งหมดออกจากประเทศและสั่งให้ริบทรัพย์สินทั้งหมด โดยอ้างว่าคณะนักบวชไม่ปฏิบัติตามการรายงานภาษี

UCA ที่ดำเนินการโดยคณะเยสุอิตถูกยึด และคณะเยสุอิตถูกขับออกจากที่อยู่อาศัยของพวกเขา

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รัฐบาลปิด UCA ที่ดำเนินการโดยคณะเยสุอิตในเมืองมานากัว ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการประท้วงต่อต้านระบอบการปกครองของประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกา ในปี 2018 โดยให้เหตุผลว่าที่นี่เป็น “ศูนย์กลางของการก่อการร้าย”

การยึดดังกล่าว ซึ่งเพิ่มมหาวิทยาลัยนิการากัวประมาณ 26 แห่งที่รัฐบาลซานดินิสตาปิดตัวลงตั้งแต่ปี 2021 ตามมาด้วยอีก 3 วันต่อมาด้วยการขับไล่ชุมชนบาทหลวงคณะเยสุอิตออกจากที่พักใกล้เคียง

มาตรการดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงจากคณะเยสุอิตทั่วโลก รวมถึงอธิการใหญ่ของคณะ คุณพ่ออาร์ตูโร เด โซซา, เอสเจ (Father Arturo de Sosa, SJ)

ในแถลงการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขตปกครองในอเมริกากลางของคณะแห่งพระเยซูเจ้า กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ “มุ่งเป้าไปที่การรวมรัฐเผด็จการเข้าด้วยกัน”

การประณามครั้งใหม่จากเขตปกครองเยสุอิตในอเมริกากลาง

ในแถลงการณ์ใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 23 สิงหาคม เขตปกครองเยสุอิตประณาม “การรุกรานครั้งใหม่ต่อคณะเยสุอิตในนิการากัว” และร้องขออีกครั้งให้รัฐบาลนิการากัวยุติ “การปราบปรามอย่างเป็นระบบ” และการละเมิดต่อมนุษย์โดยทันที สิทธิที่นำประเทศไปสู่รัฐเผด็จการ

คำแถลงดังกล่าวยังกระตุ้นให้ประธานาธิบดีออร์เตกาและภริยา รองประธานาธิบดีโรซาริโอ มูริลโล (Rosario Murillo) พยายามหา “แนวทางแก้ไขที่มีเหตุผล” สำหรับข้อโต้แย้ง “ซึ่งก็คือความจริง ความยุติธรรม การเสวนา การเคารพสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม” ขณะเดียวกันก็ขอให้ “การเคารพในเสรีภาพและความซื่อสัตย์สุจริต” ของคณะเยสุอิตที่ทำงานในประเทศและผู้ร่วมงาน

ในที่สุด เขตปกครองเยสุอิตในอเมริกากลางแสดงความใกล้ชิดกับ “เหยื่อหลายพันราย” ของการปราบปรามของรัฐบาลในประเทศนิการากัว “ที่รอความยุติธรรมและการชดใช้” และความขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและความสามัคคีทั่วโลกที่ได้รับในช่วงวิกฤตนี้

ความสัมพันธ์ที่ถดถอยระหว่างรัฐบาลซานดินิสต้าและพระศาสนจักร

ความสัมพันธ์ระหว่างระบอบการปกครองของประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกาและพระศาสนจักรคาทอลิกเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ทางการนิการากัวปราบปรามการประท้วงต่อต้านการปฏิรูปที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหลายครั้งในปี 2018 โดยออร์เตกากล่าวหาว่าบิชอปหลายท่านวางแผนที่จะโค่นล้มเขา

ตั้งแต่นั้นมา พระศาสนจักรตกเป็นเป้าของการโจมตี การดูหมิ่นศาสนา และการข่มขู่หลายครั้ง และสมาชิกสถาบันนักบวชและนักบวชหลายคนถูกขับไล่หรือจับกุม หนึ่งในนั้นคือบิชอปโรลันโด อัลวาเรซแห่งมาตากัลปา (Bishop Rolando Álvarez of Matagalpa) ซึ่งรับโทษจำคุก 26 ปีในข้อหากบฏอย่างสูง บ่อนทำลายความสมบูรณ์ของชาติและเผยแพร่ข่าวเท็จ ในปี 2019 บิชอปผู้ช่วยมานากัว ซิลวิโอ โฮเซ่ บาเอซ (Managua Auxiliary Bishop Silvio José Báez) ถูกบังคับให้ออกจากอัครสังฆมณฑล หลังจากได้รับการขู่ฆ่าหลายครั้ง และปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ในปี 2022 พระอัครสมณทูตประจำนิการากัว อาร์คบิชอปชาวโปแลนด์ วัลเดมาร์ สตานิสลอว์ ซอมเมอร์ทาก (Polish Archbishop Waldemar Stanislaw Sommertag) ถูกขับออกจากตำแหน่งในฐานะ “บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา” และในเดือนเมษายนปีนี้ สันตะสำนักปิดเอกอัครราชทูตในมานากัว หลังจากที่รัฐบาลนิการากัวเสนอให้ระงับความสัมพันธ์ทางการทูต

การปราบปรามฝ่ายค้าน

การขับไล่ การปิด และการริบทรัพย์สินไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พระศาสนจักรคาทอลิกเท่านั้น นิการากัวได้ออกกฎหมายหรือปิดกลุ่มพลเมืองและองค์กรพัฒนาเอกชนมากกว่า 3,000 กลุ่ม ในเดือนพฤษภาคมรัฐบาลสั่งให้ปิดสภากาชาดนิการากัว โดยกล่าวหาว่ากาชาด “โจมตีสันติภาพและเสถียรภาพ” ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2018

ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลได้ยึดทรัพย์สินของบุคคลฝ่ายค้าน 222 คน รวมถึงนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ นักข่าว และนักกฎหมาย ซึ่งถูกบังคับให้ลี้ภัยในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากถูกคุมขังโดยระบอบการปกครองของออร์เตกา