Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์

(Good Friday of The Passion of The Lord)

เวลาของพระองค์มาถึงแล้ว

เราได้มาถึงจุดสูงสุดในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว เวลาของพระองค์มาถึงแล้ว

“เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว” (ยน 12:23)

“พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา” (ยน 13:1)

“เวลา” ของพระองค์ไม่เพียงแต่หมายถึง “เวลาแห่งการรับทรมาน” เท่านั้น แต่หมายถึง “เวลาแห่งการรับทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพ” ด้วย คือเป็นเวลาที่จะ “ผ่าน” จากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา จะเป็นการผ่านที่แท้จริงของพระองค์ เป็นปัสกาแท้ (คำว่า ปัสกา แปลว่า ผ่าน) พระทรมานจึงเป็นเวลาที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของพระเยซูเจ้าโดยแท้ ดังที่พระองค์ได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น” (ยน 8:28)

พระทรมานของพระเยซูเจ้าในมุมมองของนักบุญยอห์น

เราไม่อาจเข้าใจพระเยซูเจ้าได้ ถ้าไม่รำพึงเรื่องพระทรมานของพระองค์ ผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่องค์ก็เขียนเล่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาว นักบุญยอห์นนำเสนอเรื่องราวพระทรมานแตกต่างจากผู้นิพนธ์พระวรสารคนอื่นๆทั้งสามคน และพระทรมานที่เล่าโดยนักบุญยอห์นนี้ พระศาสนจักรกำหนดให้อ่านในคืนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ของทุกๆปี หัวข้อหลักของเรื่องพระทรมานของพระเยซูเจ้ากลับไม่ได้เน้นไปที่พระทรมานที่ทรงได้รับ แต่เป็นเรื่องชัยชนะของพระองค์ต่างหาก เหมือนกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยว่า “และเมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ยน 12:32) กล่าวคือนักบุญยอห์นไม่ได้เล่าทุกฉากของพระทรมาน เช่นว่า ไม่เล่าตอนที่ทรงเข้าตรีทูต ไม่เล่าตอนที่ยูดาสทรยศพระองค์ด้วยการจูบ ไม่เล่าเรื่องการถูกตัดสินประหารชีวิต การถูกเยาะเย้ย ถูกถ่มน้ำลายรด และความรุนแรงอื่นๆที่เกิดขึ้นกับพระองค์ แต่นักบุญยอห์นเล่าเรื่องการถูกสวมมงกุฎหนาม ซึ่งสื่อความหมายถึง ความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้า ต่อจากนั้นนักบุญยอห์นเขียนไว้สั้นๆว่า พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยน และทรงถูกตรึงกางเขน

ถ้าสังเกตเรื่องของนักบุญยอห์นที่เล่าถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้า จะเห็นว่า พระองค์ทรงสงบมาก เช่นว่า พระองค์ทรงต้อนรับเจ้าหน้าที่ที่พากันมาจับกุมตัวพระองค์ และทรงออกคำสั่งราวกับว่าทรงเป็นผู้บังคับบัญชาพวกเขา ในการถูกสอบสวนต่อหน้าอันนาส พระองค์ทรงรักษาความสง่างามได้เป็นอย่างดี ในการถูกสอบสวนต่อหน้าปีลาต มีการประกาศอย่างเป็นทางการถึงฐานะกษัตริย์ของผู้ถูกกล่าวหาว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย” (ยน 19:14) เมื่อเราอ่านพระทรมานของพระเยซูเจ้าตามที่ท่านยอห์นบันทึกไว้ เราจะรู้สึกได้ว่า หนทางกางเขน เป็นหนทางแห่งชัยชนะ เราจะมาพิสูจน์เรื่องนี้กัน โดยพิจารณาบางส่วนจากข้อเขียนของท่าน

ข้อความแรกที่เราจะพิจารณาคือข้อความที่นักบุญยอห์นบันทึกไว้ว่า “พระองค์เสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง” ตำแหน่งของบรรดาศิษย์คืออยู่ข้างๆพระเยซูเจ้า ห้วยขิดโรนนั้นมีน้ำไหลมาจากพระวิหาร ส่วนเรื่อง “สวนแห่งหนึ่ง” นี่น่าสนใจ นักบุญยอห์นเริ่มเรื่องพระทรมานด้วยการพูดถึงสวนแห่งหนึ่ง เหมือนสวนสวรรค์ในพันธสัญญาเดิม และก็จบเรื่องพระทรมานด้วยสวนอีกแห่งหนึ่ง “สถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น” (ยน 19:41-42) น่าเสียดายที่บรรดาศิษย์ที่ควรจะอยู่เคียงข้างพระองค์ แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับพระองค์ พวกเขาพากันละทิ้งพระองค์ เหมือนกับว่า การรู้จักพระองค์เป็นเรื่องอันตรายเกินไป เป็นเรื่องที่น่าอับอาย นักบุญเปโตรที่ได้ตามพระเยซูเจ้าไปห่างๆ ก็ได้ปฏิเสธการรู้จักพระองค์ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้งด้วยกัน แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงหันมามองเปโตรด้วยสายพระเนตรแห่งความรักและเมตตา จิตใจของศิษย์ผู้ไม่ซื่อสัตย์นั้นเจ็บช้ำมาก นักบุญเปโตรร้องไห้เสียใจมากมายในบาปของตน นักบุญเปโตรเป็นข้อพิสูจน์ถึงพระวาจาที่ว่า

“ความรักปกคลุมบาปจำนวนมากมาย”

ข้อความที่สองที่เราจะพิจารณาคือ นักบุญยอห์นเน้นว่า “พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่เรียกว่า “เนินหัวกะโหลก เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่น” กางเขนกลายเป็นการประกาศความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้า เพราะปีลาตเขียนป้ายประกาศติดไว้บนไม้กางเขนเป็นข้อความว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” ป้ายนั้นเขียนไว้ถึงสามภาษาคือ ฮีบรู ละติน และกรีก เหตุการณ์ต่อมาคือบรรดาทหารนำฉลองพระองค์มาแบ่งกัน “ส่วนเสื้อยาวของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บ” รายละเอียดตรงนี้หมายถึงตำแหน่งสมณะของพระเยซูเจ้า เพราะอาภรณ์ของมหาสมณะนั้นทอโดยไม่มีตะเข็บ

และฉากที่ทำให้เราสะเทือนใจมากที่สุดคือ พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนกางเขน แทบพระบาทของพระองค์มีมารีย์อยู่สามคน แต่ขอพูดเฉพาะถึงมารีย์สองคน คือมารีย์ผู้บริสุทธิ์(พระมารดา) กับมารีย์คนบาป(ชาวมักดาลา) ในระหว่างหญิงสองคนนี้น่าจะมีที่สำหรับเราแต่ละคนด้วย “ศิษย์ที่รักของพระเยซูเจ้า” คือตัวแทนของเราทุกคน พระเยซูเจ้าตรัสกับพระมารดาว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือลูกของแม่” คำว่า “หญิงเอ๋ย” ทรงต้องการหมายความว่าพระมารดาทรงเป็น “เอวา” คนใหม่ พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนกางเขน ทรงยากจนที่สุด สมบัติเดียวและสุดท้ายที่ทรงเหลืออยู่ คือ พระมารดาและพระองค์ทรงมอบให้ชาวเรา “นี่คือแม่ของท่าน” นับแต่นั้นมา ศิษย์นั้นก็รับพระมารดามาเป็นมารดาของตน

และสุดท้าย คือเรื่องพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” นักพระคัมภีร์ยืนยันว่า ความทรมานที่สาหัสที่สุดของการถูกตรึงกางเขนคือความกระหายน้ำ พระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ไม่ได้ดื่มอะไรเลยตั้งแต่อาหารค่ำมื้อสุดท้าย และทรงเสียเลือดไปมากจากการถูกเฆี่ยนและการสวมมงกุฎหนาม ท่ามกลางอากาศร้อนอันทารุณของเดือนเมษายน ซึ่งถือว่าเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เป็นความกระหายอย่างรุนแรงนี่เองที่ทำให้พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ อย่างไรก็ตาม ความกระหายทางกายก็มิอาจเปรียบได้กับความกระหายอีกอย่างหนึ่ง ที่รุนแรงกว่ามากนัก คือ พระองค์ทรงกระหายที่จะช่วยพวกเราให้รอดพ้น นั่นเอง

“สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” เหมือนคนงานที่ดี พระองค์จะไม่ทรงจากไปจนกว่าจะได้ตรวจตราว่างานของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี “อาหารของเราคือทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา และประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป” แล้วพระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2020
Based on : “รำพึงและเข้าใจพระวรสารนักบุญยอห์น” แปลโดย คณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร
จากบทเทศน์ของ Fr. Andre Gelinas, SJ)