Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ปี A

พระสงฆ์องค์หนึ่งได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นจิตตาธิการสำหรับบรรดาทหารเรือ ประจำการอยู่บนเรือลำใหญ่ซึ่งมีทหารจำนวนมากในเรือลำนี้ ครั้งหนึ่งเรือลำนี้กำลังจะนำบรรดาทหารเรือที่ประจำการที่ญี่ปุ่นกลับไปยังสหรัฐอเมริกา พระสงฆ์องค์นี้ได้จัดกิจกรรมหนึ่งขึ้นมา คือตั้งกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ วันหนึ่งมีการอ่านพระวรสารตอนนี้ คือตอนที่พระเยซูเจ้าทรงปลุกลาซารัสให้กลับคืนชีพ หลังจากที่มีการแบ่งปันพระวาจาตอนนี้กันแล้ว มีทหารเรือคนหนึ่งขอพบพระสงฆ์องค์นั้นเป็นการส่วนตัว แล้วเริ่มเล่าเรื่องของเขาดังนี้ “ดูเหมือนพระเจ้าทรงต้องการบอกอะไรกับผมผ่านเรื่องเล่าการปลุกลาซารัสขึ้นมาจากคูหา คือว่าวันหนึ่งผมพบกับปัญหาที่ยุ่งยากมากๆ ในระหว่างที่อยู่ที่ญี่ปุ่น แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครล่วงรู้เลย แต่ความผิดในเรื่องนี้เกาะกินใจผมตลอดเวลา จนผมคิดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อมารวมกลุ่มกันอ่านพระวรสารตอนนี้แล้ว ผมเริ่มตระหนักว่าพระเยซูเจ้าทรงเข้าใจในสถานการณ์ของผม เพราะพระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วย แต่มากกว่านั้น ผมตระหนักว่าพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย พระองค์จะทรงสามารถช่วยผมด้วยพลังอำนาจที่มิอาจจินตนาการได้ พระองค์จะทรงสามารถปลุกผมขึ้นมาเป็นคนใหม่ได้ มามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เหมือนที่ทรงทำกับลาซารัส”
.
พระวาจาทั้งสามบทอ่านของอาทิตย์นี้พูดเรื่องการกลับคืนชีพมามีชีวิตใหม่ ในบทอ่านแรกประกาศกเอเสเคียลกล่าวคำทำนายเหนือกองกระดูกแห้ง และพระเจ้าทรงทำให้มีชีวิตขึ้นมา ภูมิหลังในเรื่องนี้เล่าว่า เอเสเคียลถูกนำมาที่หุบเขา ที่นั่นมีกระดูกแห้งเต็มไปหมด พระองค์ตรัสกับเอเสเคียลว่า “จงประกาศพระวาจาเหนือกระดูกเหล่านี้ว่า กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวาจาของพระเจ้าเถิด พระเจ้าตรัสแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูซิ เราจะนำจิตเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอีก” เอเสเคียลประกาศพระวาจาตามพระบัญชา จิตก็เข้ามาในร่างเหล่านั้น เขามีชีวิตและยืนขึ้นเป็นกองทัพใหญ่มหึมาจริงๆ คำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศไปอยู่บาบิโลน ประกาศกเอเสเคียลก็อยู่และทำงานในถิ่นเนรเทศนี้ด้วย คือท่านอยู่ในช่วงประมาณปี 593-570 ก่อนคริสตศักราช แต่ท่านก็ได้พูดถึงการฟื้นฟูอิสราเอลขึ้นมาใหม่ คือพูดถึงพันธสัญญาใหม่ การกลับคืนชีพ และภาพนิมิตถึงอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า
.
ส่วนในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้ประกาศว่า “ถ้าพระจิตทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระองค์ก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิตด้วย”
.
และที่สำคัญเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ในพระวรสารของวันนี้ ถ้าในสัปดาห์ที่แล้วพระเยซูเจ้าทรงเน้นว่า พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก โดยพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นเมื่อทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้กลับมามองเห็น สัปดาห์นี้พระองค์ทรงต้องการบอกว่า “เราเป็นชีวิต” ด้วยการที่ทรงเรียกลาซารัสที่ตายไปได้สี่วันแล้ว ให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา
.
ที่จริงการปลุกลาซารัสให้กลับเป็นขึ้นมา เป็นบทสรุปพระชนมชีพเปิดเผยของพระองค์ และเป็นบทนำไปสู่พระทรมานของพระองค์ด้วย เพราะจากเหตุการณ์นี้ ผู้มีอำนาจในขณะนั้นได้ตัดสินใจจะฆ่าพระองค์ ซึ่งก็จะเป็นการทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์นั่นเอง เราลองมาดูรายละเอียดในเรื่องเล่าพระวรสารตอนนี้กันนะครับ เรื่องก็คือลาซารัสป่วย น้องสาวทั้งสองจึงส่งคนไปบอกพระเยซูเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแต่แรกว่า “โรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” คำตรัสนี้ในพระวรสารของนักบุญยอห์นมีความหมายสองชั้น คือถ้าเป็นประชาชนทั่วไปจะคิดว่าพระเยซูเจ้าจะทรงไปช่วยรักษาให้หาย แต่สำหรับพระองค์แล้วทรงหมายถึง (1) อัศจรรย์ของการคืนชีพของลาซารัสจะทำให้พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ (2) กล่าวคือ การกลับคืนชีพของลาซารัสจะนำพระเยซูเจ้าไปสู่ความตาย แต่แล้วพระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ และจะทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
.
ธรรมเนียมทางตะวันออกจะฝังศพวันที่ตายเลย เพราะศพจะเน่าเร็ว สำหรับชาวอิสราเอลก็ทำเช่นนี้ แต่เพื่อนๆและคนอื่นๆจะยังคงมาอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจผู้เป็นญาติสนิทของผู้ตายประมาณเจ็ดวัน เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึง เธอรีบออกไปรับเสด็จ เธอตัดพ้อว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” แต่มารธาเข้าใจไปว่าเป็นการกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพ และเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต” มารธาเชื่อในพระองค์และไปเรียกมารีย์ให้มาเฝ้าพระองค์ เมื่อมารีย์ออกมาจากบ้านเพื่อมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ก็มีกลุ่มคนที่มาปลอบใจนางตามมาด้วย พอมาถึงพระเยซูเจ้า เธอกราบพระบาท พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนางกำลังร้องไห้ พวกชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง พระองค์ทรงสั่งให้ยกหินปิดคูหาฝังศพออก มารธาทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาสี่วันแล้ว” แต่พระองค์ทรงภาวนาต่อพระบิดา และเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือ พันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออก และให้เขาไปเถิด”
.
อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ในที่นี้คือว่า ในขณะที่ลาซารัส แม้เป็นผู้ที่ตายไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินพระวาจาของพระเยซูเจ้า เขาก็นอบน้อมเชื่อฟัง และทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นจริงตามที่พระเยซูเจ้าได้เคยตรัสไว้ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นจะมาถึง และขณะนี้กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงพระบุตรพระเจ้า และผู้ได้ยินแล้วจะมีชีวิต” (ยน 5:25)
.
นอกจากพระวาจาของอาทิตย์นี้จะเน้นเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิต ทรงเป็นการกลับคืนชีพ แต่ยังมีข้อคิดอีกหลายอย่างที่เตือนใจเรา
.
(1) การที่พระเยซูเจ้าทรงกันแสงให้กับผู้ที่พระองค์ทรงรัก ยังหมายถึงว่า พระองค์มิได้ทรงเป็นแต่เพียงผู้เยียวยารักษาความเจ็บปวดให้เราเท่านั้น แต่ทรงรู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกับเรา เมื่อเราบาดเจ็บ ทรงบาดเจ็บด้วย เมื่อเราเศร้า ทรงเศร้าด้วย เมื่อเราร้องไห้ ทรงกันแสงด้วย เราไม่ได้ทนทุกข์เพียงคนเดียว ทรงร่วมทนทุกข์กับเรา เราเลียนแบบพระองค์ได้ โดยการร่วมทนทุกข์ทุกอย่างกับเพื่อนพี่น้องของเรา
.
(2) ความจริงที่ว่าพระองค์ทรงปลุกคนตายให้คืนชีพนั้น พระองค์ยังทรงทำต่อมาทุกวันนี้ ทรงยกประชาชนขึ้นมาจากการตายทางด้านอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ พระองค์ทรงเรียกเราให้ลุกขึ้นมาฟังพระวาจา ลุกขึ้นมาจากหลุมที่ฝังและจำจองเราไว้ ทรงต้องการให้เราเริ่มต้นใหม่ ใช้โอกาสใหม่ๆ มีชีวิตแบบใหม่ มีความหวังใหม่ เรื่องนี้น่าจะปลุกให้เราตื่นจากความหลับใหล ลุกขึ้นมาตระหนักว่ายังมีสิ่งมีชีวิตชีวาอีกมากมายที่จะทำ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2020)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ปี A

พระสงฆ์องค์หนึ่งได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นจิตตาธิการสำหรับบรรดาทหารเรือ ประจำการอยู่บนเรือลำใหญ่ซึ่งมีทหารจำนวนมากในเรือลำนี้ ครั้งหนึ่งเรือลำนี้กำลังจะนำบรรดาทหารเรือที่ประจำการที่ญี่ปุ่นกลับไปยังสหรัฐอเมริกา พระสงฆ์องค์นี้ได้จัดกิจกรรมหนึ่งขึ้นมา คือตั้งกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ วันหนึ่งมีการอ่านพระวรสารตอนนี้ คือตอนที่พระเยซูเจ้าทรงปลุกลาซารัสให้กลับคืนชีพ หลังจากที่มีการแบ่งปันพระวาจาตอนนี้กันแล้ว มีทหารเรือคนหนึ่งขอพบพระสงฆ์องค์นั้นเป็นการส่วนตัว แล้วเริ่มเล่าเรื่องของเขาดังนี้ “ดูเหมือนพระเจ้าทรงต้องการบอกอะไรกับผมผ่านเรื่องเล่าการปลุกลาซารัสขึ้นมาจากคูหา คือว่าวันหนึ่งผมพบกับปัญหาที่ยุ่งยากมากๆ ในระหว่างที่อยู่ที่ญี่ปุ่น แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครล่วงรู้เลย แต่ความผิดในเรื่องนี้เกาะกินใจผมตลอดเวลา จนผมคิดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อมารวมกลุ่มกันอ่านพระวรสารตอนนี้แล้ว ผมเริ่มตระหนักว่าพระเยซูเจ้าทรงเข้าใจในสถานการณ์ของผม เพราะพระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วย แต่มากกว่านั้น ผมตระหนักว่าพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย พระองค์จะทรงสามารถช่วยผมด้วยพลังอำนาจที่มิอาจจินตนาการได้ พระองค์จะทรงสามารถปลุกผมขึ้นมาเป็นคนใหม่ได้ มามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เหมือนที่ทรงทำกับลาซารัส”
.
พระวาจาทั้งสามบทอ่านของอาทิตย์นี้พูดเรื่องการกลับคืนชีพมามีชีวิตใหม่ ในบทอ่านแรกประกาศกเอเสเคียลกล่าวคำทำนายเหนือกองกระดูกแห้ง และพระเจ้าทรงทำให้มีชีวิตขึ้นมา ภูมิหลังในเรื่องนี้เล่าว่า เอเสเคียลถูกนำมาที่หุบเขา ที่นั่นมีกระดูกแห้งเต็มไปหมด พระองค์ตรัสกับเอเสเคียลว่า “จงประกาศพระวาจาเหนือกระดูกเหล่านี้ว่า กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวาจาของพระเจ้าเถิด พระเจ้าตรัสแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูซิ เราจะนำจิตเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอีก” เอเสเคียลประกาศพระวาจาตามพระบัญชา จิตก็เข้ามาในร่างเหล่านั้น เขามีชีวิตและยืนขึ้นเป็นกองทัพใหญ่มหึมาจริงๆ คำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศไปอยู่บาบิโลน ประกาศกเอเสเคียลก็อยู่และทำงานในถิ่นเนรเทศนี้ด้วย คือท่านอยู่ในช่วงประมาณปี 593-570 ก่อนคริสตศักราช แต่ท่านก็ได้พูดถึงการฟื้นฟูอิสราเอลขึ้นมาใหม่ คือพูดถึงพันธสัญญาใหม่ การกลับคืนชีพ และภาพนิมิตถึงอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า
.
ส่วนในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้ประกาศว่า “ถ้าพระจิตทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระองค์ก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิตด้วย”
.
และที่สำคัญเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ในพระวรสารของวันนี้ ถ้าในสัปดาห์ที่แล้วพระเยซูเจ้าทรงเน้นว่า พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก โดยพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นเมื่อทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้กลับมามองเห็น สัปดาห์นี้พระองค์ทรงต้องการบอกว่า “เราเป็นชีวิต” ด้วยการที่ทรงเรียกลาซารัสที่ตายไปได้สี่วันแล้ว ให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา
.
ที่จริงการปลุกลาซารัสให้กลับเป็นขึ้นมา เป็นบทสรุปพระชนมชีพเปิดเผยของพระองค์ และเป็นบทนำไปสู่พระทรมานของพระองค์ด้วย เพราะจากเหตุการณ์นี้ ผู้มีอำนาจในขณะนั้นได้ตัดสินใจจะฆ่าพระองค์ ซึ่งก็จะเป็นการทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์นั่นเอง เราลองมาดูรายละเอียดในเรื่องเล่าพระวรสารตอนนี้กันนะครับ เรื่องก็คือลาซารัสป่วย น้องสาวทั้งสองจึงส่งคนไปบอกพระเยซูเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแต่แรกว่า “โรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” คำตรัสนี้ในพระวรสารของนักบุญยอห์นมีความหมายสองชั้น คือถ้าเป็นประชาชนทั่วไปจะคิดว่าพระเยซูเจ้าจะทรงไปช่วยรักษาให้หาย แต่สำหรับพระองค์แล้วทรงหมายถึง (1) อัศจรรย์ของการคืนชีพของลาซารัสจะทำให้พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ (2) กล่าวคือ การกลับคืนชีพของลาซารัสจะนำพระเยซูเจ้าไปสู่ความตาย แต่แล้วพระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ และจะทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
.
ธรรมเนียมทางตะวันออกจะฝังศพวันที่ตายเลย เพราะศพจะเน่าเร็ว สำหรับชาวอิสราเอลก็ทำเช่นนี้ แต่เพื่อนๆและคนอื่นๆจะยังคงมาอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจผู้เป็นญาติสนิทของผู้ตายประมาณเจ็ดวัน เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึง เธอรีบออกไปรับเสด็จ เธอตัดพ้อว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” แต่มารธาเข้าใจไปว่าเป็นการกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพ และเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต” มารธาเชื่อในพระองค์และไปเรียกมารีย์ให้มาเฝ้าพระองค์ เมื่อมารีย์ออกมาจากบ้านเพื่อมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ก็มีกลุ่มคนที่มาปลอบใจนางตามมาด้วย พอมาถึงพระเยซูเจ้า เธอกราบพระบาท พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนางกำลังร้องไห้ พวกชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง พระองค์ทรงสั่งให้ยกหินปิดคูหาฝังศพออก มารธาทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาสี่วันแล้ว” แต่พระองค์ทรงภาวนาต่อพระบิดา และเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือ พันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออก และให้เขาไปเถิด”
.
อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ในที่นี้คือว่า ในขณะที่ลาซารัส แม้เป็นผู้ที่ตายไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินพระวาจาของพระเยซูเจ้า เขาก็นอบน้อมเชื่อฟัง และทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นจริงตามที่พระเยซูเจ้าได้เคยตรัสไว้ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นจะมาถึง และขณะนี้กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงพระบุตรพระเจ้า และผู้ได้ยินแล้วจะมีชีวิต” (ยน 5:25)
.
นอกจากพระวาจาของอาทิตย์นี้จะเน้นเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิต ทรงเป็นการกลับคืนชีพ แต่ยังมีข้อคิดอีกหลายอย่างที่เตือนใจเรา
.
(1) การที่พระเยซูเจ้าทรงกันแสงให้กับผู้ที่พระองค์ทรงรัก ยังหมายถึงว่า พระองค์มิได้ทรงเป็นแต่เพียงผู้เยียวยารักษาความเจ็บปวดให้เราเท่านั้น แต่ทรงรู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกับเรา เมื่อเราบาดเจ็บ ทรงบาดเจ็บด้วย เมื่อเราเศร้า ทรงเศร้าด้วย เมื่อเราร้องไห้ ทรงกันแสงด้วย เราไม่ได้ทนทุกข์เพียงคนเดียว ทรงร่วมทนทุกข์กับเรา เราเลียนแบบพระองค์ได้ โดยการร่วมทนทุกข์ทุกอย่างกับเพื่อนพี่น้องของเรา
.
(2) ความจริงที่ว่าพระองค์ทรงปลุกคนตายให้คืนชีพนั้น พระองค์ยังทรงทำต่อมาทุกวันนี้ ทรงยกประชาชนขึ้นมาจากการตายทางด้านอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ พระองค์ทรงเรียกเราให้ลุกขึ้นมาฟังพระวาจา ลุกขึ้นมาจากหลุมที่ฝังและจำจองเราไว้ ทรงต้องการให้เราเริ่มต้นใหม่ ใช้โอกาสใหม่ๆ มีชีวิตแบบใหม่ มีความหวังใหม่ เรื่องนี้น่าจะปลุกให้เราตื่นจากความหลับใหล ลุกขึ้นมาตระหนักว่ายังมีสิ่งมีชีวิตชีวาอีกมากมายที่จะทำ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2020)