Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ปี A

“นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนี้แก่ดิฉันบ้าง”

พระวรสารของอาทิตย์นี้ค่อนข้างยาว แต่น่าประทับใจมาก เป็นการเขียนโดยนักบุญยอห์น ซึ่งมักจะแฝงเรื่องราวที่ลึกซึ้งไว้มากมาย ในเรื่องเล่าที่ดูเหมือนธรรมดา

ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับนั่งที่ขอบบ่อน้ำของยาโคบ ซึ่งอยู่ในแคว้นสะมาเรีย บรรดาศิษย์ของพระองค์พากันไปซื้ออาหารในเมือง มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสนทนากับหญิงผู้นั้น

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเป็นเพียงนักเทศนาผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้อุทิศตนเป็นอย่างมากอีกด้วย

เพราะทั้งบุคคล และสถานที่ ขนบประเพณีที่คนยึดมั่น รวมทั้งความรู้สึกเป็นศัตรูและอคติภายใน ไม่เอื้อให้พระองค์ทรงเริ่มบทสนทนาเพื่อให้คู่สนทนาได้เข้าใจอัตถ์ความจริงที่ลึกซึ้งได้เลย เหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวของหญิงชาวสะมาเรียในพระวรสารตอนนี้

แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเสี่ยง แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเสี่ยง สิ่งที่คนอื่นๆ ไม่คิดจะพยายามเลย แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเพียรพยายาม สิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นการยากที่จะทำได้สำเร็จ แต่พระองค์ทรงทำได้สำเร็จ

ลองมาดูกันนะครับ ว่าอะไรในเรื่องที่มันไม่สอดคล้องและไม่เอื้อให้เทศนาให้คนกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มจาก เรื่องของเวลา -มันเป็นเวลาเที่ยงวัน- อากาศร้อน และพระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ที่จริงพระองค์ทรงต้องการการพักเหนื่อยและอยู่เงียบๆ มากกว่าสนทนากับคนแปลกหน้า

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของสถานที่ -บ่อน้ำ- อุแม่เจ้า ใครจะคิดไปเทศนาที่บ่อน้ำ

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของบุคคลตามท้องเรื่อง -ผู้หญิง- และยิ่งกว่านั้น เป็นหญิงชาวสะมาเรียเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นรับบีคนไหนก็ตามจะไม่มีทางพูดกับหญิงสะมาเรียเป็นอันขาด ขอบอกว่าไม่แม้แต่จะคิด และรับบีใดๆ ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับหญิงชาวสะมาเรียในที่สาธารณะ

แต่พระเยซูเจ้าทรงแตกต่างไปจากบุคคลอื่น ทรงมองหาโอกาส และทำให้โอกาสนั้นนำเอาการปลอบประโลมใจและการรักษาเยียวยาไปสู่ผู้นั้น พระองค์ทรงทำการสนทนากับผู้หญิงต่างชาติ 2 ครั้ง คือครั้งนี้กับหญิงชาวสะมาเรีย และอีกครั้งกับหญิงชาวซีโร-ฟีเนเชีย ทั้งสองครั้งนี้ทำตอนที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก แต่ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคทั้งนั้นในการที่พระองค์จะทรงช่วยเหลือคน

ณ ที่นี้ เราจะพูดแต่เรื่องของหญิงชาวสะมาเรียว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเธอบ้าง

ประการแรก พระองค์ทรงยกเธอขึ้นมาจากชีวิตที่น่าสงสาร หญิงคนนี้มาตักน้ำตอนเที่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะหญิงคนอื่นๆ บางทีอาจเป็นเพราะชื่อเสียงของเธอที่เสื่อมศีลธรรม แต่เมื่อสนทนากับพระเยซูเจ้าแล้ว ทรงเปลี่ยนให้เธอเป็นคนใหม่ เธอกลายเป็นคนไปหาคนอื่น ๆ เพื่อประกาศข่าวดีอันน่าตื่นตาตื่นใจ

ประการที่สอง พระองค์ทรงเปลี่ยนความรู้สึกเป็นศัตรู และอคติที่อยู่ภายในใจของเธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่เชื่อ และไว้ใจในองค์พระเยซูเจ้า แถมยังไปชักชวนคนอื่นให้มาเชื่อด้วย

ประการที่สาม พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนเธอ และทำให้เธอได้รับความพอใจ พระองค์ทรงเติมเต็มความกระหายในใจของเธอ

พี่น้องครับ โมเสสในบทอ่านแรกใช้ไม้เท้าตีหินทำให้มีน้ำไหลออกมาให้ประชาชนได้ดื่มในถิ่นทุรกันดาร แต่แล้วพวกเขาก็ยังกระหายอีก แต่ถ้าเราแสวงหาน้ำนั้นจากพระเยซูเจ้า โดยการเข้าไปอยู่ใกล้ชิดและสนทนากับพระองค์ เราจะพบว่าจิตวิญญาณของเราจะเอมอิ่มจากน้ำพุนิรันดรซึ่งพระองค์ประทานให้

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2011)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ปี A

พระเยซูเจ้ากับหญิงชาวสะมาเรีย

ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปถึงเมืองสิคาร์ ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับนั่งบนขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด” ตามปกติ ชายชาวยิวที่ศรัทธาส่วนมากจะระมัดระวังมิให้ตนอยู่ตามลำพังกับผู้หญิง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็จะต้องเลี่ยงการนำเข้าสู่บทสนทนา เพราะเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อการเป็นมลทิน การถูกนินทาว่าร้าย และอาจจะนำไปสู่การผิดศีลธรรม แต่ในที่นี้ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตามลำพังกับหญิงคนนี้ เนื่องจากบรรดาศิษย์เข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออาหาร และพระเยซูเจ้าทรงพูดกับหญิงนี้โดยทรงเริ่มก่อนเสียด้วย

ยิ่งกว่านั้นชาวยิวกับชาวสะมาเรียไม่ถูกกัน แต่ทำไมพระองค์กลับมาขอน้ำดื่มจากชาวสะมาเรียเล่า หรือว่าพระองค์ไม่ทรงสนใจเรื่องในอดีต จึงเปิดฉากพูดคุยกับนาง และเมื่อนางได้พูดคุยกับพระองค์แล้ว ดูเหมือนว่าพระองค์กลับจะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นผู้ขออีกต่อไป และที่พระองค์จะทรงมอบให้ก็เป็น ”น้ำที่ให้ชีวิต” ที่ดื่มแล้วจะไม่กระหายอีกเลย

หญิงชาวสะมาเรียเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ที่กระหายหาพระเจ้า การที่พระองค์ตรัสถึงน้ำที่ให้ชีวิต หมายถึง ชีวิตใหม่ที่ทรงเสนอให้ทุกคน โดยไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นชนชาติไหน เพศอะไร หรือมีภูมิหลังทางศีลธรรมเป็นอย่างไร

หญิงนั้นได้ฟังพระองค์ แม้ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งในคุณค่าสูงส่งของสิ่งที่พระองค์ตรัส เธอเพียงแต่เข้าใจแบบพื้นๆ และบางทีเข้าใจผิด เพราะคิดแค่ในระดับโลกนี้เท่านั้น แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เธออยากรู้มากขึ้น และเมื่อพระองค์ทรงทำนายเรื่องอดีตของเธออย่างถูกต้อง เธอก็ประกาศว่าพระองค์คือประกาศก นอกนั้น เธอยังชวนสนทนาเรื่องการนมัสการพระเจ้า และพูดถึงพระเมสสิยาห์อีกด้วย ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับผู้หญิงที่ใครๆ ดูหมิ่น เยาะเย้ย ว่าเป็นคนไม่ดี จะเปิดหัวข้อสนทนากับพระเยซูเจ้าได้มากถึงเพียงนี้ และล้วนแต่เป็นเรื่องที่เธอกระหายอยู่ในใจ

พี่น้องครับ เราทุกคนก็กระหายหาพระเจ้า เราทุกคนต้องการน้ำที่ให้ชีวิต ที่พระองค์จะประทานให้ ใครก็ตามที่ได้ดื่มน้ำนั้น ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงทุกอณูของชีวิต

หญิงนั้นรีบกลับไปบอกชาวเมืองให้มาหาพระองค์ เพราะทรงบอกทุกอย่างที่เธอเคยทำ โดยประชาสัมพันธ์อย่างชาญฉลาดว่า “เขาเป็นพระคริสต์กระมัง” ชาวเมืองก็ออกมาหาพระองค์ เมื่อสนทนากับพระองค์จนยืดเวลาไปอีกสองวัน พวกเขาก็มีความเชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพราะคำที่หญิงนั้นบอกอีกต่อไป แต่เพราะได้สนทนากับพระองค์และได้ยินด้วยหูของพวกเขาเอง

เราเองก็เช่นกัน เมื่อได้ดื่มน้ำที่ให้ชีวิตที่พระองค์ทรงมอบให้กับเราแล้ว ก็ต้องกระตือรือร้นที่จะประกาศพระนามของพระองค์ เพื่อทำให้คนเป็นจำนวนมากได้เข้ามาพึ่งพาท่อธารแห่งพระหรรษทานซึ่งจะหลั่งไหลมาสู่คนบาปทั้งหลาย

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008)