Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี A

“การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า”

นักบุญโธมัส อไควนัส (ค.ศ.1225-1274) เป็นนักปรัชญาและนักเทววิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบคมมาก แม้จะมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก แต่ก็เขียนหนังสือไว้เป็นจำนวนมากและคุณภาพคับแก้ว งานเขียนของท่านมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเฉพาะในสมัยของท่านเท่านั้น แต่ต่อเนื่องยาวนานมาอีกหลายศตวรรษหลังจากความตายของท่าน

ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.1273 ในขณะที่ท่านถวายมิสซา ท่านได้เห็นภาพนิมิตแห่งสวรรค์ หลังจากนั้นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงผู้นี้ได้แขวนปากกา และประกาศว่า “ฉันจะไม่เขียนอะไรอีกต่อไป สิ่งที่ได้เผยแสดงให้ฉันเห็นนั้น ทำให้ฉันได้รู้ว่าข้อเขียนทั้งหมดของฉันนั้นเป็นเหมือนแค่ฟางเท่านั้น” อีกสองเดือนต่อมาท่านก็เสียชีวิต

อะไรคือสิ่งที่ท่านได้เห็นในภาพนิมิต แล้วทำให้ท่านตระหนักว่า งานเขียนที่ท่านทำด้วยสติปัญญา และความอุตสาหะทั้งหมดกลายเป็นสิ่งไม่มีความหมาย

อะไรคือสิ่งที่ท่านได้เห็น ซึ่งทำให้งานเขียนของท่านมีน้ำหนักเบา เหลือเท่ากับฟางเท่านั้น

อะไรที่ท่านเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทางด้านฝ่ายจิตที่ไม่อาจพรรณนาได้ ทำให้สิ่งของแห่งโลกนี้ไร้ค่าความหมายไปเลย

สิ่งที่ท่านเห็นในวันนั้นคงจะคล้ายๆ กับที่อัครสาวกทั้งสาม คือเปโตร ยากอบ และยอห์นได้เห็นบนภูเขาทาบอร์ ที่แสดงให้เห็นถึงการประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า โดยมีโมเสส และประกาศกเอลียาห์อยู่เคียงข้างกำลังสนทนากับพระองค์

อัครสาวกทั้งสามถึงกับตาสว่าง อันที่จริงตาของเขาเหนื่อยล้ามานาน เขาอยู่กับพระองค์มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เดินทางไปกับพระองค์ทุกที่ เห็นพระองค์ทรงภาวนา ประกาศข่าวดี ทำอัศจรรย์ สั่งสอน ฯลฯ เขาคิดว่าพระองค์เป็นประกาศกคนหนึ่ง ยังไม่เห็นหรือคิดอะไรเกินกว่านั้น หลายครั้งที่พระองค์ทรงพาเขาไปในบางเหตุการณ์ แต่เขาก็เหน็ดเหนื่อยเกินไป ตาของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนปิดลงไป แต่เหตุการณ์ประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ของพระองค์ทำให้ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความยินดี เขารู้แล้วว่าพระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นประกาศกทั่วๆ ไป แต่พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพระบุตรสุดที่รักของพระบิดา ผู้ที่เขาจะเชื่อฟัง

ในสาส์นมหาพรตของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ของปี ค.ศ. 2011 ได้พูดถึงพระวรสารตอนนี้ไว้ว่า

“ดังเช่นกรณีของอัครสาวกเปโตร ยากอบ และยอห์น ผู้ซึ่งขึ้นไปบนภูเขาสูงด้วยตัวของพวกเขาเอง เพื่อรับพระหรรษทานขององค์พระคริสตเจ้า… มันเป็นการเชื้อเชิญให้เราอยู่ห่างไกลจากเสียงรบกวนในชีวิตประจำวัน เพื่อปลีกตัวเองให้ไปอยู่ท่ามกลางการประทับอยู่ของพระเจ้า ทุกวันพระองค์ทรงปรารถนาที่จะมอบพระวาจาซึ่งเจาะทะลุทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณเรา ณ ที่ซึ่งเราสามารถแยกแยะความดีจากความชั่วได้ (เทียบ ฮบ 4:12) อีกทั้งจะเพิ่มพูนความตั้งใจของเราในการติดตามพระองค์ไป”

ขอถามว่า ในการเริ่มต้นเดินทางในเทศกาลมหาพรตของปีนี้ เราได้พยายามหรือยังที่จะออกห่างจากเสียงรบกวนต่างๆ ของโลกนี้ เพื่อผลักดันตัวเราให้ไปอยู่ใกล้กับพระเจ้า และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์ โดยพร้อมจะพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะทำตามพระวาจาของพระองค์”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2011
Based on : John’s Sunday Homilies – Cycle A ; by : John Rose)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี A

การก้าวเดินสู่โลกใหม่

พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน ดูเหมือนเป็นการก้าวเดินออกจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่

เรื่องราวของการเดินทางไปสู่อิสรภาพใหม่ เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยของท่านอับราม เมื่อครั้งที่ท่านยังอาศัยอยู่กับพ่อที่เมืองอูร์ พ่อได้พาท่านและโลทอพยพออกจากเมืองอูร์ แม้ในพระคัมภีร์ตอนนี้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมทำเช่นนั้น แต่ในหนังสือของชาวยิวที่ชื่อว่า The Book of Jubilees ได้บอกเหตุผลว่า พ่อของอับรามต้องออกจากเมืองนั้นเพราะอับรามได้ต่อต้าน หรือจริงๆ แล้ว ได้เผารูปเทพเจ้าท้องถิ่น จึงพากันไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เมืองนี้ก็นับถือเทพเจ้าเดียวกับเมืองที่จากมา ในที่สุดอับรามก็ถูกพระเจ้าทรงเรียก ให้ออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าจะทรงชี้ให้ท่าน อับรามก็เดินทางไปตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง และพระองค์ก็ทรงอวยพรเขาเพราะความเชื่อของเขา

พระเยซูเจ้าทรงพาสานุศิษย์ทั้งสามปีนขึ้นไปบนภูเขา ค่อยๆ ห่างไปจากโลกที่อาศัยอยู่ โลกที่เต็มไปด้วยการทำธุรกิจ การทะเลาะวิวาท การแข่งขัน ความอิจฉาริษยา ความละโมบ และการเรียงลำดับความสำคัญที่แปลกๆ ต่างๆ กันไป ทรงพาพวกเขาผ่านข้ามไป พาให้สูงขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งพวกเขาไปอยู่จุดที่เหนือสิ่งเหล่านี้

แล้วนั้น พระเยซูเจ้าผู้ทรงพาพวกเขาก้าวเดินจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่ ก็ทรงเริ่มฉายแสง ค่อยๆ สว่างไสวบรรเจิดจ้า เหมือนดวงจันทรา เหมือนดวงดารา และที่สุดเหมือนดวงสุริยา แล้วท้องฟ้าเปิดออก และมีมหาบุรุษที่มากล้นด้วยประสบการณ์สองท่านประจักษ์มาสนทนาธรรมกับพระองค์ นั่นคือ ท่านโมเสสผู้ได้นำประชาชนออกจากการกดขี่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศาสนา และการเมืองของอียิปต์ และท่านเอลียาห์ ผู้ได้นำประชาชนให้พ้นจากเงื้อมมือของบรรดาเทพเจ้าที่ครอบงำชาวอิสราเอล

เรื่องราวการก้าวเดินสู่ความเป็นอิสระในโลกใหม่ของทั้งสี่แบบที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นแบบของอับราม โมเสส เอลียาห์ และของพระเยซูเจ้า โดยรวมแล้วคือการก้าวผ่านจากโลกเก่าๆ และค่านิยมของคนชาวโลกนี้ ไปสู่โลกใหม่ที่มีอิสรภาพที่แท้จริง ที่สว่างไสวบรรเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง

พวกเราคงตระหนักดีว่า เราเองก็ถูกโลกครอบงำในเรื่องการเรียงลำดับคุณค่าแบบผิดๆ เช่น เราชอบความร่ำรวยมากกว่าการยึดมั่นในคุณธรรม เราชอบการบริโภคมากกว่าความยุติธรรม เราชอบสิ่งเสพติดมากกว่าความเป็นจริง เราชอบความสนุกทางเพศมากกว่าเคารพชีวิตความเป็นมนุษย์

นอกจากนี้ในโลกใบเก่าของเรานี้ยังนิยมคุณค่าผิดๆ อีกหลายประการ เช่น คนจำนวนหยิบมือที่กดขี่คนจำนวนมาก ปริมาณน้ำมันที่บริโภคได้ 80% อยู่ในมือของบริษัทเดียว พืชผลการเกษตรของโลกอยู่ในมือของห้าบริษัทยักษ์ใหญ่ ยังมีเรื่องการแข่งกันสะสมอาวุธ ฯลฯ

อับรามได้ก้าวเดินจากโลกเก่า และได้รับชื่อใหม่เป็น อับ-รา-ฮัม พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงพาพวกสาวกก้าวข้ามโลกเก่า ไปสู่โลกใหม่ที่สว่างไสวเจิดจ้า เต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พวกเราก็เช่นเดียวกันต้องก้าวตามพระเยซูเจ้าไปด้วยความเชื่อ และเปี่ยมไปด้วยความหวัง ให้เรามุ่งตรงไปในทิศทางที่แสงใหม่เริ่มส่องสว่างบนภูเขานั้น

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008)