Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก”

มีเรื่องเล่าถึงเด็กชายระดับมัธยมผู้หนึ่งเดินเข้าไปที่ห้องอาจารย์ที่ปรึกษา ใบหน้าของเขาค่อนข้างชื่นมื่น ดูเหมือนเขากำลังตื่นเต้นกับเรื่องอะไรบางเรื่องอยู่

อาจารย์ที่ปรึกษาทักทายเขา และถามว่าวันนี้ทำไมเขาดูร่าเริงจัง เขาตอบว่า “ที่ผมดูร่าเริงเช่นนี้ เพราะคุณพ่อของผมได้ทำให้ผมประทับใจในตัวท่านมาก เหตุเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เอง ขณะที่ผมกำลังรับประทานอาหารเช้า พ่อเข้ามาเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยเช่นกัน พ่อเดินมาพร้อมกับกระเป๋าทำงาน พอเดินมาถึงผมก็มาโอบกอดแล้วบอกว่า ให้วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่โรงเรียนนะลูก จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ ผมเกิดคิดขึ้นมาได้ว่าพ่อยังไม่ต้องเริ่มงานจนกว่าจะถึงเวลาเก้าโมงเช้า แต่ตอนนั้นเพิ่งจะ 7.45 เท่านั้นเอง ดังนั้นผมจึงถามไปว่า ทำไมพ่อรีบไปที่ทำงานเช้าขนาดนี้ จริงๆ แล้วงานพ่อเริ่มเก้าโมงเช้า และใช้เวลาเดินทางไป 10 นาทีก็ถึงแล้ว”

พ่อตอบว่า “ลูกก็พูดถูก แต่พ่อพยายามจะไปให้ทันมิสซาแปดโมงเช้าที่วัดพระตรีเอกภาพก่อนจะไปทำงาน”

“สิ่งนี้ประทับใจผมมาก ผมไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าท่านไปร่วมมิสซาทุกๆ เช้า ท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย และสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจไปมากกว่านั้น คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้เอาสถิติเกี่ยวกับคนที่ไปวัดในวันอาทิตย์มาให้พ่อดู แต่พ่อก็ไม่เคยพูดกับผมว่า “ดูพ่อสิ พ่อไปวัดทุกๆ วัน นี่มันน้อยที่สุดแล้วที่ลูกทำ คือไปวัดอาทิตย์ละครั้ง” พ่อไม่เคยกดดันผมเลย แล้วเขาก็ลงท้ายว่า “บางทีผมอาจจะไปร่วมมิสซาประจำวันบ้าง แล้วจะทำให้ผมมีมุมมองใหม่ต่อมิสซาวันอาทิตย์”

เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้สมบูรณ์แบบและสวยงามในการที่พ่อคนหนึ่งถือตามคำสอนของพระเยซูเจ้า พ่อของเด็กคนนี้ได้ใช้วิธีที่ดีที่สุดในการสอนลูก คือไม่ใช้ด้วยคำพูด แต่ด้วยกิจการ และที่ทำให้มีพลังมากขึ้น คือผู้เป็นพ่อไม่ได้นำสิ่งดีที่ทำมาจาระไนให้ลูกฟัง เขาทำมันแบบติดดิน นั่นแหละจึงเป็นสิ่งที่ลูกกระทบใจมาก หรือจับใจมากในการกระทำของพ่อ

จริงๆ ในโลกนี้ ทุกยุคทุกสมัย มีผู้ทำความดีจนเป็นเหมือนเกลือดองแผ่นดิน ที่ทรงคุณประโยชน์เฉพาะตัว ตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอน และยังมีคนอีกมากมายที่เป็นเหมือน แสงสว่างส่องโลก เป็นเหมือนเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่มีถูกปิดบัง เป็นเหมือนตะเกียงที่จุดและตั้งไว้บนเชิงตะเกียง กิจการแห่งความดีที่เขากระทำจะส่องแสงรุ่งโรจน์ต่อทุกคนที่ได้พบเห็น

เช่นในแต่ละปี มีการคัดเลือกคนที่ควรยกย่องสิบคนให้เป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรีของ CNN ปีที่ผ่านไปก็มีคนผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นจำนวนหมื่น แล้วคัดลงมาจนเหลือสิบคน ตัวอย่างคนหนึ่งเป็นชาวกัมพูชา พ่อแม่ถูกเขมรแดงฆ่าตายตั้งแต่เขาอายุ 10 ขวบ เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยเขมรแดงที่ฆ่าพ่อ-แม่เขา ในช่วงเด็กๆ มีหน้าที่ต้องไปฝังลูกระเบิดในดินแดนเขมรเป็นหมื่นๆ ลูก แต่บัดนี้ เขากลับมาช่วยกอบกู้ระเบิดที่ฝังไว้ในที่ต่างๆ และตัวเองก็กลับมาดูแลพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมระเบิดที่กอบกู้มาให้กับนักท่องเที่ยว

ยังมีอีกมากมายครับสำหรับคนดีๆ ที่ทำกิจการดีๆ ที่ช่วยส่องแสงของโลกเราให้สว่างไสวขึ้น เราเองทุกคนก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะกิจการดีแม้เล็กๆ น้อยๆ พระเจ้าก็ทรงตอบแทนเกินขนาดเสมอ

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year A
By : Mark Link, SJ. )

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี A

"ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน"

“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน”
.
พระวรสารของอาทิตย์ที่แล้ว (อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดาปี A) สอนเรื่องของบุญลาภ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นสมาชิกแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเช่นไร อาทิตย์นี้เป็นพระวรสารตอนต่อจากเรื่องบุญลาภ นักบุญมัทธิวพูดถึงเรื่องของผู้นำของพระอาณาจักรของพระเจ้าว่า ต้องเป็นเหมือน
.
1) เกลือดองแผ่นดิน
2) เป็นแสงสว่างส่องโลก
3) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่ไม่อาจปิดบังได้
.
เราจะพูดถึงเรื่อง “เกลือ” ก่อนแล้วกัน ความหมายพิเศษของการเป็นเกลือคือ
.
1) เกลือให้รสชาติ หรือเพิ่มรสชาติ
2) เกลือรักษาอาหารไม่ให้เน่าเสีย
3) บางครั้งเปรียบเกลือกับความบริสุทธิ์ เพราะสีขาวของเกลือ
.
กล่าวคือคริสตชนถูกเรียกโดยพระคริสตเจ้าให้มาอยู่กับพระองค์ แต่ก็ยังอยู่ในโลก พวกเขาจึงต้องออกไปเป็นคนๆหนึ่งที่นำพระคริสตเจ้าไปให้กับชาวโลก เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขามีรสชาติ มีชีวิตชีวา มีคุณค่า คริสตชนต้องไปผสม(ปะปน)กับคนอื่นๆ เพื่อให้เกิดคุณค่าขึ้นมา พวกเขาต้องรับใช้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
.
มีเกร็ดเกี่ยวกับเรื่องของเกลือดังนี้
.
1) ในการประชุมของพวกรับบี (อาจารย์สอนศาสนายิว) ราวปี ค.ศ. 90 มีบันทึกไว้ว่า “ไม่มีทางที่กฎหมายใหม่ใดๆ จะมาแทนที่ของเก่า เพราะว่าเกลือไม่เคยสูญเสียความเค็มของตน”
2) ตรงข้าม สมัยกงสุล Pliny ได้มีรายงานบันทึกว่า เกลือที่ไม่บริสุทธิ์จากทะเลตาย สูญเสียความเค็มของตน นี่คือสิ่งที่อาจจะทำให้เราเข้าใจที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “ถ้าเกลือจืดไปแล้ว…เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย่ำ” คือโดยปกติแล้ว เกลือจะไม่สูญเสียความเค็ม แต่เกลือในปาเลสไตน์บางทีเป็นไปได้ เพราะบางครั้งมีเกลือที่คุณภาพต่ำและใช้ส่วนผสมของแมกนีเซียมมากไป อย่างเช่น ปูนขาว เป็นต้น
.
“ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก”
.
ในบทอ่านที่หนึ่ง ประกาศกอิสยาห์ได้พูดถึงเรื่องความสว่างว่าจะปรากฏขึ้น ถ้าชาวอิสราเอลรู้จักแบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ไม่มี และไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง ถ้าทำกิจการกุศลต่างๆดังนี้แล้ว พวกเขาทูลขออะไร องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ภูมิหลังของเรื่องนี้อยู่ที่บรรดาผู้ที่กลับจากแดนเนรเทศ ได้บ่นว่าพระเจ้าว่า “ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายต้องจำศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอดพระเนตร ทำไมข้าพเจ้าต้องละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ” แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า แม้พวกเขาจำศีล แต่ก็ยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน ยังข่มเหงคนงาน ยังทะเลาะโต้เถียงชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม (อสย 58:3) คือประกาศกอิสยาห์ได้เผยความจริงว่า การจำศีลที่แท้จริงไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ส่วนตนกับพระเจ้าเท่านั้นเอง แต่ต้องทำกิจการดีต่อเพื่อนพี่น้องด้วย การกระทำดีแบบนี้แหละจะทำให้ความสว่างของพวกเขาปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของพวกเขาจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน
.
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบอกให้สานุศิษย์เป็น “แสงส่องสว่างโลก” นับเป็นคำชมอย่างยิ่ง เราลองมาดูความหมายพิเศษของคำว่า “แสงสว่าง”
.
1) ก่อนอื่น พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวผู้ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริง เราพบข้อความที่บ่งบอกเช่นนี้มากมายทั้งในพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่
2) แสงสว่าง หมายถึง สิ่งที่ต้องมองเห็น สานุศิษย์ต้องเป็นคนที่ถูกมองเห็นได้ เหมือนเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่ไม่อาจปิดบังได้ ไม่มีสานุศิษย์ลับๆ การเป็นคริสตชนต้องถูกมองเห็นโดยทุกคน การดำรงชีวิตคริสตชนต้องเป็นในทุกๆที่ไม่ใช่เฉพาะในวัด ไม่ใช่หยุดแค่ประตูวัด ซึ่งจะไม่มีประโยชน์อะไรนัก เหมือนของมีค่าที่ไม่ถูกใช้
3) แสงสว่าง เป็นเหมือน การนำทาง คริสตชนต้องเป็นแสงสว่าง ชี้ให้เห็นหนทางเดินกับผู้คนอื่นๆ คือมีหลายคนขาดความกล้าหาญที่จะทำสิ่งดีๆ นอกจากจะมีคนเริ่มก่อน
4) และในเวลาอันตราย เราต้องการไฟเตือน
.
“ท่านทั้งหลายจงเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่ไม่อาจปิดบังได้”
.
ในบทสดุดีพูดถึงคนที่ดีครบครันต้องเป็นคนใจดี เห็นใจผู้อื่น มีความยุติธรรม และมั่นคงไม่หวั่นไหว เมื่อเราทำกิจการดีสม่ำเสมอ ผู้คนก็จะเห็นกิจการดีที่เรากระทำ แต่ต้องระวังไม่ให้ทำไปเพราะความโอ้อวด เหมือนนักบุญเปาโลบอกว่า ท่านจะไม่โอ้อวดเรื่องอื่นใด นอกจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน ดังนั้น กิจการดีที่เราทำก็เพื่อนำความสนใจของคนให้ไปสู่พระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ที่ตัวเราเอง
.
ตัวอย่างของนักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา ท่านยอมจากชีวิตที่สบายกว่าในอารามแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป มาทำงานท่ามกลางคนยากจนมากๆในประเทศอินเดีย ท่านไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนมาชื่นชมยกย่อง แต่ทำเพื่อตอบสนองคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงรักกันและกัน ดังที่เรารักท่าน” การกระทำด้วยความรักเช่นนี้เองกลายเป็น “แสงสว่างสำหรับโลกของเรา” เป็นความรักเช่นนี้เองที่เป็นแรงจูงใจ เป็นแรงผลักดันให้ผู้คนมองลึกลงไปถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ ขอยกคำกล่าวของดาราทีวีชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Malcolm Muggeridge ดังนี้ “ผมบอกไม่ได้ว่าเป็นหนี้คุณแม่เทเรซามากเท่าไร เธอแสดงถึงความเป็นคริสตชนในการกระทำ เธอแสดงให้ผมเห็นความรักที่อยู่ในการกระทำ และเธอแสดงให้ผมเห็นว่าความรักของคนๆหนึ่งสามารถก่อให้เกิดคลื่นที่แผ่กระจายออกไปทั่วโลกได้อย่างไร”

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020
Based on : 1) Sunday Seeds for Daily Deeds, by Francis Gonsalves, S.J. ;
2) Illustrated Sunday Homilies – Year A, by Mark Link, S.J.)