Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง สุขสันต์สมโภชพระคริสตสมภพ (มิสซากลางคืน)

ถ้าจะอวยพรให้มีความสุข สุขมาก สุขสุดสุด ก็ไม่มีเทศกาลไหนจะเอื้อได้มากไปกว่าเทศกาลคริสต์มาส

ทางพิธีกรรมแล้ว เทศกาลคริสต์มาสเริ่มต้น เมื่อมีมิสซาเที่ยงคืน และไปจบสัปดาห์ที่ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างในแม่น้ำจอร์แดน

มิสซาเที่ยงคืน (เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำเที่ยงคืน แต่ขอให้ทำตอนกลางคืนของวันที่ 24 ธันวาคม) เริ่มด้วยพระวาจาของพระเจ้าจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ 9 : 1-6 ซึ่งแก่นของเนื้อหาคือ บุตรชายคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา คือ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานมาเพื่อเรา เป็นเรื่องที่น่าพิศวงแท้ๆที่เรื่องการช่วยให้รอดถูกรายงานว่าจะเป็นจริงโดยเด็กผู้หนึ่ง การสถาปนาสันติภาพจะถูกวางไว้ในความรับผิดชอบหรือวางไว้บนบ่าของเด็กผู้นั้น เด็กผู้นั้นจะเป็นประดุจดังนักรบของพระเจ้า ผู้ซึ่งสามารถถอดถอนพลังแห่งความชั่วออกจากจักรวาล เขาจะเป็นผู้ปกครองตลอดไป จะเป็นเจ้าชายแห่งสันติ ซึ่งสันตินี้ไม่เพียงหมายถึงว่า จะไม่มีการสู้รบอีกต่อไป แต่ยังหมายถึงองค์รวม ความครบสมบูรณ์ และความกลมกลืนที่สวยงาม เป็นเหมือนเงื่อนไขที่ขับเคลื่อนให้ทุกสิ่ง ทุกผู้คน ทุกสรรพสัตว์ และพันธุ์พฤกษ์ ติดตามชะตาลิขิตที่พระทรงกำหนดไว้โดยไม่มีสะดุด แม้ว่าเด็กผู้นั้นจะสืบสายพงศ์พันธุ์จากดาวิด แต่ก็เป็นลูกหลานในแบบที่พิเศษมาก การบริหารปกครองของเขาก็คือกิจการช่วยให้รอดของพระเจ้านั่นเอง

ในบทสดุดีที่ 96 ของมิสซาคืนนี้ เชื้อเชิญให้สวรรค์ชื่นชมยินดี ให้ประชากรสรรเสริญพระเจ้าในกิจการแห่งความรอดที่ทรงกระทำอย่างยอดเยี่ยม ผู้นิพนธ์บทสดุดีเรียกร้องให้ร้องเพลงสรรเสริญพระถึง 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกให้เราร้องเพลงบทใหม่ เพราะการช่วยให้รอดเปลี่ยนแปลงให้เราเป็นประชากรใหม่ ครั้งที่สองเป็นการร้องเพลงทั่วทั้งสากล ไม่เพียงเฉพาะชาวอิสราเอล แต่ทั่วทั้งโลกก็ถูกเชิญชวนให้ประกาศข่าวดีแห่งความรอดพ้นโดยไม่สิ้นสุด และครั้งที่สามพร้อมกับการส่งเสียงร้องเพลงคือ การได้รับพระพรในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ในบทอ่านที่สองนักบุญเปาโลเขียนถึงทิตัสบทที่ 2 เน้นถึงพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งปรากฏขึ้น เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น เราไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่มาถึงแล้ว ครบสมบูรณ์แล้ว

แต่ที่น่าขอบคุณที่สุดก็คือ การเล่าเรื่องการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้าโดยนักบุญลูกา 2 : 1-14 ทำให้เรื่องเล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในบรรดาเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพวาดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และดนตรีที่ไพเราะลึกซึ้งเกิดขึ้นมาทุกยุคสมัย แม้เด็กเล็กๆ ก็รู้เรื่องการสำรวจสำมะโนประชากร ผ้าพันพระกุมาร รางหญ้าและคอกสัตว์ พวกชุมพาบาล และเสียงเพลงของบรรดาทูตสวรรค์ แต่รายละเอียดเน้นในจุดประสงค์ 2 ประเด็นด้วยกัน คือ ประการแรก พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมาจริงในศตวรรษที่หนึ่ง และเรื่องได้เชื่อมโยงไว้ว่า มาจากตระกูลดาวิด การบังเกิดมาในโลกที่อาณาจักรโรมันเป็นเจ้าครอบครองชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงบังเกิดมาจริงในเวลานั้น ณ สถานที่นั้น ท่ามกลางประชาชนเหล่านั้น

จุดประสงค์ประการที่สอง คือ การเลือกของพระเจ้าที่คัดบุคคลที่ถูกสังคมมองข้ามให้มาทำให้พระประสงค์สำเร็จเป็นไป ดูเผินๆ แล้ว เด็กคนนี้ถูกปฏิบัติเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับการต้อนรับ ขาดแคลนเครื่องอำนวยความสะดวกสบายที่ควรมีในเวลาเกิดมา ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อแม่ ห่างจากความอบอุ่นและความรักของบุคคลเครือญาติในครอบครัว ไม่มีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมดูด้วยจิตอารี มีแต่เพียงพวกชุมพาบาลซึ่งเป็นชนชั้นที่ไม่สะอาด เพราะอาชีพเขาที่ทำให้ต้องข้องเกี่ยวกับเลือดสัตว์ที่ตายและฝูงสัตว์ของเขา แต่เวทีนี้ของพระเจ้าเลือกให้พวกคนจนๆ คนที่มองข้าม คนที่ถูกลืม ได้ผงาดขึ้นมา เหมือนดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษ ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากคนที่ถ่อมสุภาพ และแม้แต่โดนหยามด้วยซ้ำ

แต่ในการขาดแคลนไปเสียทุกอย่างของโลกมนุษย์นี้ เด็กคนนี้ก็ยังพิเศษจากสิ่งสวรรค์ที่ห้อมล้อม ทูตสวรรค์ประกาศเหตุการณ์ที่สำคัญนี้แก่ชุมพาบาลที่ต้อยต่ำ ทูตสวรรค์อีกมากมายมายืนยันร่วมประกาศข่าวสำคัญ ทำให้คืนนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้า

นี่เป็นเรื่องราวคริสต์มาสที่น่ารักที่สุด ด้านหนึ่งบ่งบอกว่าพระเยซูทรงบังเกิดมาจากตระกูลดาวิด อีกด้านหนึ่งแสดงถึงการเฉลิมฉลองในสวรรค์ในฐานะที่พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

ขอให้เสียงเพลงสรรเสริญพระก้องกังวานอยู่ในจิตใจของเรา สุขสันต์วันคริสต์มาส

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2011)