Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ ปี A

บทอ่านแรกจากหนังสือประกาศกอิสยาห์วันนี้พูดถึงเรื่อง “การรักษาราชวงศ์ของดาวิดให้คงอยู่” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยกษัตริย์อาคัส ซึ่งเป็นกษัตริย์ของแคว้นยูดาห์ ย้อนไปประมาณ 800 ปีก่อนคริสตศักราช เรื่องของสงครามซีโร-เอฟราอิม กับยูดาห์ กล่าวคือ อาณาจักรทางเหนือของยูดาห์ทั้งสองผนึกกำลังกันจะมาโจมตียูดาห์ คืออาณาจักรซีเรีย กับอาณาจักรอิสราเอล(= เอฟราอิม) เคยมาโจมตียูดาห์ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงรวมตัวกันอีกครั้งจะยกกองทัพมาตียูดาห์ กษัตริย์อาคัสแห่งยูดาห์จึงคิดขอความช่วยเหลือจากมหาอำนาจเวลานั้น คืออาณาจักรอัสซีเรีย แต่ประกาศกอิสยาห์ออกมาหากษัตริย์อาคัส บอกว่าวิธีจะทำให้ราชวงศ์ดาวิดคงอยู่ต่อไปนั้น ไม่ต้องไปพึ่งมหาอำนาจใดๆ แต่ให้ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงช่วยให้รอดพ้นได้ แต่กษัตริย์อาคัสไม่เชื่อ ประกาศกอิสยาห์ถึงกับเสนอให้กษัตริย์ขอเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่กษัตริย์ก็ไม่ขอ อิสยาห์จึงให้คำพยากรณ์ล่วงหน้าดังนี้ ” หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และนางจะเรียกเขาว่า ‘อิมมานูเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้าสถิตกับเรา’ “

ส่วนในพระวรสารของวันนี้ นักบุญมัทธิวได้นำคำพยากรณ์ของประกาศกอิสยาห์มาเป็น “หัวข้อสำคัญ” (Theme) ในการเขียนพระวรสารของท่าน นั่นคือคำว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” คำนี้จึงมาปรากฏตั้งแต่เริ่มต้นพระวรสารของท่าน โดยนักบุญมัทธิวถือว่าคำพยากรณ์ของประกาศกมาเป็นจริงตอนที่ ” หญิงพรหมจารี(= พระนางมารีย์) จะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า ‘อิมมานูเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้าสถิตกับเรา’ “

ที่น่าสังเกต คือนักบุญมัทธิวเริ่มพระวรสารด้วยหัวข้อที่ว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” และท่านก็จบพระวรสารของท่านด้วยหัวข้อเดียวกันนี้ : “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้กับท่าน แล้วจงรู้ไว้เถิดว่าเราจะอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:19-20)

พระวรสารของวันนี้ยังเล่าเรื่องการประสูติของพระเยซูเจ้า โดยเล่าถึงพระนางมารีย์ ขณะหมั้นอยู่กับนักบุญโยเซฟ ปรากฏว่าพระนางทรงครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อาจทำให้เราเข้าใจธรรมเนียมของชาติต่างๆในเรื่องการแต่งงาน เรื่องนี้มาจากนักเขียนชาวจีนที่ไปเกิด และอาศัยอยู่ประเทศอเมริกา เขาชื่อ John Wu เขียนหนังสือเรื่อง “Beyond East and West” เขาเล่าว่า ก่อนแต่งงานกับภรรยาของเขา ทั้งคู่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เนื่องจากพ่อแม่ชาวจีนของทั้งคู่จับพวกเขาหมั้นกันตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ตอนเรียนมัธยม เขาบังเอิญรู้ว่าบ้านเจ้าสาวในอนาคตอยู่ที่ไหน เขาพยายามผ่านไปมาที่บ้านหลังนั้น เพื่อจะได้เห็นหน้าเธอสักแว่บก็ยังดี แต่ปรากฏว่าโชคไม่ดีเอาเสียเลย กว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าสาวก็เป็นวันแต่งงานนั่นเอง เพื่อนๆของเขาที่เป็นอเมริกันแปลกใจเรื่องนี้มาก พวกเขาถือว่า เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ John Wu ต้องถามกลับพวกเพื่อนๆว่า “ตอนเกิดมาเราเลือกคนมาเป็นพ่อแม่ได้ไหม” เพื่อนตอบว่า “ไม่ได้” เขาถามต่อว่า “แล้วเลือกคนมาเป็นพี่น้องเราได้ไหม” พวกเขาตอบว่า “ไม่ได้” เขาจึงถามคำถามสุดท้าย “แล้วทำไมพวกแกรักพ่อแม่พี่น้องของตัวเองเล่า”

การแต่งงานของชาวยิวก็มีทั้งหมด 3 ขั้นตอน

1) การหมั้น อาจทำโดยพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย หรือโดยคนจับคู่ (Matchmaker)ชาวยิว โดยที่หญิงชายอาจจะไม่รู้จักกัน

2) ระยะเวลาที่เป็นคู่หมั้นกัน ช่วงนี้กินระยะเวลาประมาณ 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้หญิงชายมาทำความรู้จักกัน แต่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน โดยกฎหมายแล้วถือเทียบเท่ากับการเป็นสามีภรรยากัน ถ้าจะเลิกกันในขั้นนี้ ต้องทำหนังสือหย่าร้างกัน

3) การแต่งงาน (มีพิธีแต่งงาน)

แม่พระและนักบุญโยเซฟอยู่ในขั้นที่สองนี้ตอนที่โยเซฟรู้ว่าพระนางตั้งครรภ์แล้ว โยเซฟเป็นผู้ชอบธรรม (หนังสือ Jerusalem Bible แปลว่านักบุญโยเซฟเป็นผู้ที่มีเกียรติ – Man of Honour) ท่านไม่ต้องการฟ้องหย่าอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นแบบเงียบๆ แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเข้าฝัน แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระนางมารีย์ให้ท่านทราบ ขอให้ท่านรับพระนางไว้ เพราะบุตรที่จะเกิดมานั้นมาจากพระจิตเจ้า ให้ท่านตั้งชื่อบุตรนี้ว่า เยซู เขาจะเป็นผู้ช่วยประชากรให้รอด ดังนั้น โดยผ่านทางโยเซฟ พระเยซูเจ้าจึงทรงถูกนับเนื่องว่า เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด สมดังคำพยากรณ์

เราต้องมาพิจารณากันว่านักบุญโยเซฟได้ต้อนรับองค์พระผู้เสด็จมาอย่างไร แม้ว่าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ไม่มีคำพูดของท่านเลย แต่ท่านก็ตอบรับคำว่า “Fiat” = “Yes” เช่นเดียวกับที่แม่พระทรงตอบรับ เพียงแต่มิใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยการกระทำ และมิใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ท่านตอบรับทุกๆครั้งที่เป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านทางทูตสวรรค์ที่มาหาท่านในความฝัน นอกจากรับพระนางมารีย์แล้ว ยังพาหลบหนีภัยไปอียิปต์ และพากลับเมื่อสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว เราจึงเห็นบทบาทที่ชัดเจนของท่าน คือ

1. เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์

2. เป็นผู้เลี้ยงดู จัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับครอบครัว

3. เป็นผู้ให้ความรู้ สอนวิถีดำเนินชีวิตที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า สอนอาชีพให้พระเยซูเจ้า

ดังนั้นตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่ดีเลิศของแม่พระ และของนักบุญโยเซฟ จะสอนเราว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรในการต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ ที่จริงการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระบุตร เป็นการที่พระเจ้าทรงเข้ามาแทรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกิจการแห่งความเชื่อ (Act of Faith) ทั้งแม่พระ และนักบุญโยเซฟ เป็นบุคคลตัวอย่างของผู้ที่เชื่อ และนอบน้อม ยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำให้แผนการแห่งความรอดของพระองค์เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ตัวอย่างเรื่องของเด็กชาย 6 ขวบที่ชื่อ พอล จากเมืองเดนเวอร์ เขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง หนังสือพิมพ์ลงข่าวของหนูน้อย และบอกด้วยว่า ความฝันสูงสุดของเขาคือการได้พบประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ไม่กี่วันต่อมาประธานาธิบดีบอกเจ้าหน้าที่ของทำเนียบว่า เอารถลิโมซีนของประธานาธิบดีออกมา เราจะไปเยี่ยมเด็กชายพอลกัน เมื่อรถไปถึงบ้าน ท่านเดินไปเคาะประตูเอง พ่อของพอล มาเปิดประตู เห็นคนแต่งตัวดียืนอยู่ แต่ไม่รู้เป็นใคร จึงถามว่า “Can I help you” ท่านบอกว่ามาขอพบลูกชายคุณ พอลเดินออกมาพอดี และจำประธานาธิบดีได้ทันที ท่านเข้าไปจับมือ พูดคุยกับเขา พาไปนั่งบนรถของประธานาธิบดี ก่อนจากไปท่านสวมกอดพอลอีกครั้ง และจับมือกับเขา รวมทั้งให้พ่อของพอลจับมือด้วย ต่อมาภายหลังพ่อของพอลเล่าเรื่องการที่ประธานาธิบดีมาเยี่ยมลูกชายเขาอย่างไม่คาดฝัน เขามักจะพูดว่า “วันนั้น ผมใส่กางเกนยีนส์เก่าๆ และเสื้อยืดสกปรกตัวหนึ่ง ยืนจับมือกับประธานาธิบดีของสหรัฐ ถ้าเพียงผมรู้ล่วงหน้า ผมจะเตรียมตัวต้อนรับดีกว่านี้

เรื่องนี้สะท้อนความคิดมาถึงเรานะครับ เราเตรียมตัวรับเสด็จองค์พระมหาไถ่อย่างไร พระองค์มิได้ทรงเป็นเพียง “โอรสกษัตริย์ดาวิด” เท่านั้น ยังทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” ด้วย เราจะแค่สวมกางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆ และเสื้อยืดสกปรกๆ ไปยืนรับเสด็จ เท่านั้นจริงๆหรือ

(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เรียบเรียงใหม่ลงวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.2019

Based on : 1) Illustrated Sunday Homilies – Year A, by : Mark Link, SJ

2) Ignite Your Spirit ; by : Fr John Pichappilly)