Skip to content

วันที่ 1 มิถุนายน ระลึกถึงนักบุญยุสติน มรณสักขี

(St. Justin, Martyr, memorial)

นักบุญยุสตินเกิดที่ฟลาวีอา เนอาโปลิส (Flavia Neapolis) ปัจจุบันคือเมือง Nablus ในแคว้นสะมาเรีย ประเทศซีเรีย ประมาณปี ค.ศ.100 พ่อแม่ของท่านเป็นคนต่างศาสนา ท่านได้รับการศึกษาอย่างดี ตั้งแต่ยังหนุ่มท่านได้เสาะหาข้อคำสอนจากนักปรัชญาชาวต่างศาสนามากหน้าหลายตา แต่ไม่มีใครเลยที่ดับความกระหายอันรุนแรงของท่านเพื่อเข้าถึงความจริง ไม่มีใครบอกท่านได้ชัดเจนในเรื่องคำนิยามของพระเจ้า วันหนึ่ง ขณะที่เดินเล่นบนชายฝั่งของเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ท่านได้สนทนากับคริสตชนอาวุโสที่น่าเคารพผู้หนึ่ง ทั้งสองได้สนทนาเรื่องทางปรัชญาอย่างยาวนาน ผลจากครั้งนี้ ทำให้ท่านลงมือศึกษาเกี่ยวกับบรรดาประกาศกทั้งหลาย เพราะท่านได้รับการบอกว่า จิตวิญญาณของเราจะไม่มีวันเข้าถึงความหมายรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้าได้เลย ถ้าเพียงใช้วิธีการทางความรู้ประสามนุษย์อย่างเดียว

นักบุญยุสตินได้เห็นเป็นพยานต่อการไต่สวนและใช้วิธีทรมานต่อพวกมรณสักขีคริสตชนในช่วงการเบียดเบียนหลายๆครั้ง ท่านแปลกใจต่อความไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดและความตาย ที่เห็นได้บนใบหน้าของพวกเขา ซึ่งอธิบายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าท่านได้ข้อสรุปที่ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่มีวันนำเราไปสู่ชีวิตที่ชั่วร้ายเลวทราม หรือความสุขทางเนื้อหนัง และเป็นเพราะความเชื่อที่มีชีวิตของบรรดามรณสักขีเหล่านั้น ผนวกเข้ากับการที่ท่านศึกษาพระคัมภีร์อย่างดี จึงทำให้ท่านกลับใจมาเป็นคริสตชนเมื่ออายุ 30 ปี

ท่านดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัดและศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางไปยังเอเซียน้อย (Asia Minor) คือประเทศตุรกีปัจจุบัน โดยที่ยังสวมเสื้อคลุมของการเป็นนักปรัชญาอยู่ ต่อมาได้รับการบวชเป็นสังฆานุกร และได้เทศน์สอนความจริงเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า ได้เดินทางไปเยือนกรุงโรมสองครั้งด้วยกัน และใช้เวลาอยู่ที่นั่นพอสมควร บ้านที่ท่านอยู่ที่โรมจัดเป็นเหมือนโรงเรียนฝึกฝนผู้ปกป้องข้อคำสอนคริสตชน ต่อมาเพื่อคัดค้านความคิดแนวใหม่ๆของเฮเรติ๊ก Marcion ซึ่งกำลังทำความยุ่งยากให้กับพระศาสนจักรในขณะนั้น ท่านจึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อปกป้องโดยอธิบายอย่างชัดเจน ซึ่งข้อเขียนเหล่านั้นได้รับความชื่นชมอย่างสูงจากนักบุญเยโรม น่าเสียดายที่สูญหายไปแล้ว ยังคงเหลือแค่หนังสือป้องกันความเชื่อคริสตชน (apologia) เพียงสองเล่มเท่านั้นเอง ซึ่งท่านต้องการเขียนถึงจักรพรรดิ Anotoninus Pius และ Marcus Aurelius และยังมีอีกเล่มที่มีชื่อเสียงคือ “Dialogue with the Jew Tryphon” ที่ยังเหลือรอดมาได้

หนังสือป้องกันความเชื่อเล่มแรกมีเนื้อหางดงามและเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับศีลมหาสนิท ซึ่งได้เริ่มมีการเฉลิมฉลองในกรุงโรม และถือเป็นการอธิบายเรื่องที่ครบสมบูรณ์มากที่สุดที่ตกทอดมาถึงเรา จากเรื่องราวความเป็นอยู่ของพระศาสนจักรในยุค 300 ปีแรก ผลจากงานเขียนนี้ทำให้จักรพรรดิ Anotoninus Pius ในปี ค.ศ. 147 ออกกฤษฎีกาว่าคริสตชนจะต้องไม่ถูกต่อต้านหรือกลั่นแกล้งอีกต่อไป

ประมาณปี ค.ศ.160 นักบุญยุสตินเดินทางกลับไปเมืองเอเฟซัส ณ ที่นั้นวันหนึ่งท่านได้พบกับรับบี Tryphon ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นชาวอิสราเอลที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสมัยนั้น และเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ทั้งสองได้สนทนาโต้เถียงกันเป็นเวลาสองวันเต็ม โดยมีผู้มาเฝ้าชมและรับฟังเพื่อเป็นพยานจำนวนมาก นักบุญยุสตินได้อ้างถึงบรรดาประกาศกเพื่อพิสูจน์ว่าพันธสัญญาเดิมจะต้องถูกพันธสัญญาใหม่เข้ามาแทนที่ ผลตามมาคือ ท่านรับบียอมรับว่า ตามคำของประกาศกต่างๆ เวลาแห่งการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์น่าจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังยืนยันว่าพระคริสต์ยังไม่ได้แสดงพระองค์เองให้เป็นที่ปรากฏ

ท่านเขียนไว้ว่า “พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันปรารถนาให้ท่านได้รับ คือท่านจะได้ตระหนักถึงปรีชาญาณที่ได้มอบให้มนุษย์ทุกคนในหนทางเดินของชีวิต และสักวันหนึ่งท่านจะได้มามีความเชื่อเหมือนพวกเรา ว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ของพระเจ้า” แต่ประการแรกควรจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความจริงกับความเชื่อ ดังนั้น ในหนังสือป้องกันความเชื่อเล่มสอง ซึ่งน่าจะเขียนราวปี ค.ศ.166 บรรจุข้อความแสดงออกถึงความเชื่อที่งดงาม เป็นการตอบคำถามของนักปรัชญาต่างศาสนาที่ชื่อ Diognetus ซึ่งเคยเป็นผู้แนะนำให้กับจักรพรรดิ Marcus Aurelius ผลก็คือ ดังที่นักบุญยุสตินได้เห็นล่วงหน้า กล่าวคือจากสมุดบันทึกเล่าเรื่องการไต่สวนคดีของท่านฉบับแท้ที่บันทึกไว้โดยศาลของโรมันอย่างเป็นทางการ ว่าท่านได้ถูกจับและถูกบั่นศีรษะเมื่ออายุ 67 ปี

นักบุญยุสตินเป็นนักป้องกันความเชื่อของคริสตชนที่ยิ่งใหญ่คนแรก และเป็นองค์อุปถัมภ์ของปรัชญาคาทอลิก ท่านกับนักบุญเอเฟรมเป็นปิตาจารย์ของพระศาสนจักรเพียงสองท่านที่ไม่ได้เป็นบรรดา พระสงฆ์ สังฆราช หรือ พระสันตะปาปา

(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)