ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ปี C
“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย”
หญิงสองคนถูกนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของยุวกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เธอทั้งสองเป็นหญิงโสเภณี และอยู่บ้านเดียวกัน ทั้งสองได้คลอดลูกออกมา แต่ทารกหนึ่งในนั้นตายไป บัดนี้ทั้งสองต่างอ้างว่า ทารกที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของตน ใครจะบอกได้เล่าว่าคนไหนพูดความจริงกันแน่ (ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการตรวจ DNA)
.
พระมหากษัตริย์ได้ให้คำตัดสิน โดยให้นำดาบมาผ่าเด็กเป็นสองซีก ตรัสให้หญิงทั้งสองนำไป คนละครึ่ง
.
ปฏิกิริยาตอบสนองของหญิงทั้งสองจะเป็นสิ่งที่ยืนยันความจริงออกมา หญิงคนหนึ่งเห็นชอบกับคำตัดสิน แต่อีกคนหนึ่งร้องขอให้เด็กนั้นมีชีวิตต่อไป แม้คู่แข่งของเธอจะได้เด็กนั้นไปครอบครองก็ตาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนไหนคือแม่ที่แท้จริง
.
กษัตริย์องค์นั้นก็คือ กษัตริย์โซโลมอนนั่นเอง ดังเรื่องที่เล่าไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ เล่มที่ 1 บทที่ 3 ข้อ 16-28 และนี่ก็เป็นที่มาของความเลื่องชื่อทางด้านสติปัญญาของพระองค์
.
ส่วนเรื่องของหญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณีถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้า โดยบรรดา ธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพื่อให้พระองค์ทรงตัดสินว่าจะทุ่มหินเธอตามบทบัญญัติของโมเสสหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้พระเยซูเจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปในศตวรรษแรกๆ เช่นเดียวกัน
.
ที่จริงน่าจะเติมเรื่องให้ยาวและเข้าใจได้ถูกต้องมากขึ้นว่า หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับในขณะล่วงประเวณี ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้า พร้อมกับพวกผู้ชาย(ที่ฉุดกระชากลากถูเธอมา) ซึ่งเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลด้วย
.
คำตัดสินของพระเยซูเจ้าเป็นการแสดงออกถึงพระปรีชาญาณของพระองค์ ซึ่งเปรียบเหมือน ที่ประชาชนคาดหวังว่ากษัตริย์ของเขาจะมีความปรีชาฉลาดเช่นนี้ [โปรดอย่าลืมว่าตลอดพระวรสารที่นักบุญยอห์นเขียนได้เน้นตอบปัญหาที่ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์(กษัตริย์ที่แท้จริง) หรือไม่]
.
เรื่องที่เล่าก็เป็นที่พวกเขาจ้องจับผิดพระเยซูเจ้า เขาหมายจะให้พระองค์บอกกับหญิงนั้นว่าบาปของเจ้าถูกยกให้แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าพระองค์ทรงสอนให้ประชาชนละเลยกฎหมายของโมเสส
.
ในขณะที่อุณหภูมิของสถานการณ์เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความโกรธของพระเยซูเจ้าที่เห็นพวกเขา นำหญิงคนหนึ่งมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีต่อพระองค์ รวมทั้งการทำเช่นนี้พวกเขามีความสุขที่เห็นว่าพวกเขามีมาตรฐานทางด้านศีลธรรมที่สูงกว่าหญิงคนนี้มากมายนัก และผลพลอยได้คือการต้อนพระองค์ให้จนมุมจนยากจะฉากหนีออกมาได้
.
ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงก้มหน้าลงและได้ขีดเขียนอะไร ในสมัยโบราณที่ยังไม่มีกระดานที่ใช้ชอล์กเขียน หรือเครื่องมือที่ทันสมัยในปัจจุบัน อาจารย์มักจะเขียนลงบนพื้นดิน เราอาจจะเดาว่าพระองค์ทรงเขียนรายชื่อบาปอื่นๆ รวมทั้งบาปหน้าไหว้หลังหลอก หรือบาปมือถือสากปากถือศีลด้วย
.
แต่คำตอบของพระองค์ที่ว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แม้จะเสี่ยงถ้ามีคนบ้าหรือคนที่หยิ่งผยองในตัวสักคนทุ่มหินนาง ก็จะเกิดความเสียหายมาก แต่ไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสว่ากฎของโมเสสนั้นผิด เพียงแต่ว่า ถ้าเราจะเข้มกับเรื่องนี้จริงจัง ก็จะพบว่าเราเองก็มีความผิดด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงเดินจากไปทีละคน… ทีละคน… จนหมด
.
“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
.
ไม่ใช่บาปที่เราทำไปไม่ผิด ที่จริงแล้วผิด แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร และจะทรงอภัยโทษให้เรา เมื่อเราสำนึกตัวกลับใจเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2010)
ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ปี C
เรื่องที่เราได้ฟังในพระวรสารของอาทิตย์นี้บันทึกไว้โดยนักบุญยอห์น เป็นเรื่องของหญิงที่ทำผิดประเวณีและถูกพวกผู้ชายจับได้ นำขบวนมาโดยพวกธรรมาจารย์และฟาริสีที่ได้พาหญิงนั้นให้มาอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้า เพื่อมาทดสอบพระองค์ โดยใช้ผู้หญิงคนนี้เป็นเครื่องมือ
.
“อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร”
.
พวกผู้ชายเหล่านี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก นำเสนอบาปของคนอื่นที่เห็นได้อย่างเปิดเผย แต่กลับครอบงำบาปของตนเก็บไว้ในที่ลับๆ ในจิตใจ และตีหน้าแสดงว่าตนใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งยังมีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าตนมีมาตรฐานทางด้านศีลธรรมสูงส่งกว่าหญิงคนบาป พูดง่ายๆ ว่าสามารถข่มคนอื่นได้สบายๆ และอีกความรู้สึกหนึ่งก็มีความสะใจที่สามารถต้อนพระเยซูเจ้าเข้าไปอยู่ในมุมที่ยากจะหลุดพ้นออกมาได้ง่ายๆ
.
ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูเจ้าเอาพระหัตถ์เขียนอะไรอยู่บนดิน เป็นธรรมดาที่อาจารย์สมัยก่อนเวลาสอนก็จะขีดเขียนลงบนดิน เพราะยังไม่มีกระดานชนวน หรือเครื่องมือทันสมัยเหมือนในสมัยนี้ พระองค์อาจจะเขียนรายชื่อบาปอื่นๆ รวมเข้าไปกับบาปเรื่องการผิดประเวณี เช่น พวกชอบเสแสร้ง พวกหน้าไหว้หลังหลอก หรือพระองค์อาจจะเทียบให้เห็นถึงบาปที่ทำด้วยความปรารถนาทางตาและใจ (ดังที่ระบุไว้ในมัทธิว 5:28 “แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนาง ในใจแล้ว”) หรือพระองค์อาจจะเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ให้ความสำคัญกับคำถามที่ชวนสังเวชนี้ แต่เมื่อพระองค์เงยพระพักตร์และตรัสตอบว่า
.
“ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
.
ปรากฏว่าคนเหล่านั้นค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส พวกเขาคงเพิ่งจะคิดได้ว่า เมื่อชี้นิ้วชี้ไปกล่าวหาว่าคนนั้นเป็นคนผิด อีกสามนิ้วก็ชี้กลับมาที่ตัวเอง
.
จะเห็นว่าคำตอบของพระเยซูเจ้าเป็นคำตอบที่ชาญฉลาด เป็นคำตอบของความมีปรีชาญาณ ที่กษัตริย์ที่แท้จริงพึงมี กษัตริย์ซาโลมอนทรงเคยตัดสินเรื่องหญิงโสเภณีสองคนที่แย่งลูกกันจนได้รับคำชมเชยว่าฉลาดปราดเปรื่องมาแล้ว อย่าลืมว่าพระวรสารโดยภาพรวมของนักบุญยอห์นต้องการจะตอบคำถามหลักที่เป็นแก่นแท้ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือกษัตริย์ที่แท้ใช่หรือไม่
.
นอกจากนี้ถ้าอ่านบริบทของพระวรสารนักบุญยอห์นทั้งบทที่ 7 และบทที่ 8 (ซึ่งตอนที่นำมาเล่าในอาทิตย์นี้อยู่ช่วงต้นของบทที่ 8) ก็จะรู้ว่าพวกยิวที่ต้องการจะทุ่มหินหญิงคนนั้นก็เพื่อปูทางที่จะหาทาง ทุ่มหินพระองค์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพราะพระเยซูเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มีกำเนิดเป็นพระ และมาจากพระ แต่พวกเขาไม่เชื่อ “ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะต้องตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน” (ยน 8 : 24)
.
พี่น้องครับ เรื่องในพระวรสารวันนี้น่าจะชื่อเรื่องว่า หญิงที่ผิดประเวณีและพวกผู้ชายที่หน้าไหว้ หลังหลอก ไม่มีใครดีกว่ากันสักเท่าไหร่ ทุกคนต้องพึ่งพระเมตตารักจากพระเจ้าทั้งนั้น จงกลับใจและเชื่อ ในพระวาจาของพระองค์เถิด
.
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2007)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สาส์นจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสครบรอบ 58 ปี ของวันภาวนาสากลเพื่อกระแสเรียก
- สมเด็จพระสันตะปาปาในคืนคริสต์มาส: พระเยซูเจ้าทรงแสดงทางจากความเล็กน้อยไปสู่ความยิ่งใหญ่
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมเด็จพระสันตะปาปาทรงนำบทเพลงขอบพระคุณพระเป็นเจ้า (Te Deum):
ขอให้คริสต์มาสนำไปสู่ความกตัญญูและความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน - สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”