
ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ปี C
“ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน”
เราอาจจะเคยได้ยินเพลง “Tie a Yellow Ribbon round the Old Oak Tree” (จงผูกโบว์สีเหลืองรอบๆ ต้นโอ้คเก่า) ซึ่งเป็นเพลงดังในยุคปี ค.ศ.1970 ที่เล่าเรื่องนักโทษชายคนหนึ่งที่พ้นโทษแล้ว กำลังออกจากคุกจะกลับไปที่บ้าน แต่เขาไม่แน่ใจว่าภรรยาของเขาจะยังยินดีต้อนรับเขาหรือไม่ เขาจึงแจ้งข่าวบอกกับภรรยาว่า ถ้ายังต้อนรับเขาก็ให้ผูกโบว์สีเหลืองรอบๆ ต้นโอ้คเก่าที่อยู่ในสวนหน้าบ้านเป็นสัญลักษณ์ เมื่อรถแล่นเข้ามาใกล้บ้าน เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นโบว์สีเหลืองพันอยู่รอบๆ ต้นโอ้คจริงๆ และไม่ใช่เพียงเส้นเดียว แต่โบว์สีเหลืองเป็นร้อยๆ เส้นที่พันรอบต้นไม้นั้น
นี่เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ได้ทำผิดไป ได้ประกอบอาชญากรรม แล้วก็ถูกจับเข้าคุก รับใช้โทษทัณฑ์จนหมด กลับอกกลับใจเป็นคนดี แต่ก็เกรงว่าคนที่เคยรักใคร่ชอบพอกันจะรังเกียจหรือไม่ จะให้อภัยหรือเปล่า จะยอมคืนดีไหม ปรากฏว่า เรื่องราวในบทเพลงจบลงอย่างมีความสุข ภรรยาให้อภัยสามีที่เป็นคนขี้คุกมาก่อน และพร้อมต้อนรับอย่างเต็มที่ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้ามนุษย์เรียนรู้ในการให้อภัยต่อกัน ดุจดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยมนุษย์เสมอมา มนุษย์ก็จะพบกับความสุขอย่างแท้จริงได้
ตลอดกระแสประวัติศาสตร์แห่งความรอด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องมนุษย์ทั้งที่เป็นหมู่คณะ ทั้งเป็นรายบุคคลให้เป็นทุกข์กลับใจเสมอๆ ให้กลับมาหาพระองค์ ให้รื้อฟื้นตัวเองเสียใหม่
ในบทอ่านแรก พระเจ้าได้ทรงเรียกโมเสสจากพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ แต่ไม่มอดไหม้ โมเสสซึ่งเหมือนกับนักโทษ ได้ฆ่าชาวอียิปต์แล้วหนีมาเพราะกลัวจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่พระองค์ทรงบัญชาให้โมเสสลืมเรื่องในอดีต แล้วกลับไปช่วยประชาชนให้พ้นจากการเป็นทาส พระองค์ทรงฟังเสียงร้องด้วยความระทมทุกข์ของชาวอิสราเอล จึงจะทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสไปสู่อิสรภาพ
ในบทอ่านที่สองนักบุญเปาโลเตือนชาวโครินธ์ที่มีความเชื่อผิดๆ คิดว่าการได้รับพิธีล้างและพิธีเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท จะทำให้พวกเขาได้รับความรอดโดยอัตโนมัติ ท่านยกตัวอย่างชาวอิสราเอลสมัยอพยพ ซึ่งได้กินอาหารฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน ได้ดื่มเครื่องดื่มฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน แม้กระนั้น พระเจ้าก็มิได้พอพระทัยคนส่วนใหญ่เหล่านั้น (ซึ่งเอาแต่บ่นว่า) พวกเขาจึงล้มตายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างให้เราลงมือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า มากกว่าการอยู่เฉยๆ และเอาแต่ไว้ใจว่าจะได้รับการช่วยให้รอด
เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เล่าไว้ในพระวรสารของนักบุญลูกาในอาทิตย์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเล่าไว้ที่ไหนเลย และนักประวัติศาสตร์ไม่ทราบเรื่องทั้งสองนี้เลย เรื่องหนึ่งคือการที่ปีลาตสั่งประหารชีวิตชาวกาลิลี และอีกเรื่องคือการที่คนงาน 18 คนถูกหอสิโลอัมพังทับจนเสียชีวิต สำหรับนักบุญลูกาประเด็นประวัติศาสตร์ไม่ได้มีความสำคัญนัก แต่ข้อคิดเตือนใจที่พระเยซูเจ้าทรงสอนไว้สำคัญกว่าหมดคือ “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน” ทรงตรัสซ้ำเช่นนี้ทั้งสองครั้งลงท้ายในแต่ละเรื่อง
ยิ่งกว่านั้นยังตรัสอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่ขึ้นในสวนองุ่น ที่จริงที่นี่เป็นที่เหมาะมากที่สุดที่ต้นมะเดื่อจะเจริญเติบโตงอกงาม ถ้าต้นมะเดื่อไม่สามารถไปเติบโตในสวนองุ่นที่มีดินดีที่สุดแล้ว ก็จะไม่สามารถไปเติบโตที่อื่นได้เลย แต่ดูเถิด แม้ต้นมะเดื่อที่ไม่เติบโตและควรจะถูกตัดทิ้งไป แต่พระเยซูเจ้าซึ่งเปรียบพระองค์เป็นชาวสวนก็ยังขอให้โอกาสมันอีก 1 ปี จะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย เพื่อให้โอกาสในการออกผล จะได้ไม่ถูกตัดทิ้งไป
พี่น้องครับ เราทราบดีว่าเราเป็นคนบาป และอันที่จริงเราสมควรต้องตาย แต่พระเยซูเจ้าทูลขอพระบิดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับเรา จะทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยเราให้รอด ทรงออกแรงกับเราแต่ละคน ทรงพรวนดิน และรดน้ำให้ต้นไม้แห่งชีวิตของเรางอกงามและเติบโตขึ้น และทรงหวังว่า เราจะเกิดดอกออกผลได้ เพื่อเราจะได้ไม่พินาศไป (เรียบเรียงเนื้อหามาจาก Francis Gonsalves, S.J., Sunday Seeds For Daily Deeds, pp.313-315)
ข้อคิดข้อรำพึง สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ปี C
บทอ่านแรกของสัปดาห์ที่สามในเทศกาลมหาพรตนำมาจากหนังสืออพยพตอนที่เล่าเรื่องของท่านโมเสส พระเจ้าได้ตรัสเรียกโมเสสให้ไปเป็นผู้นำชนอิสราเอลออกจากอียิปต์
เรื่องราวของโมเสสเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าได้ทรงนำพาชีวิตของท่านให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กนัก ได้เจริญวัยโดยได้อยู่ในรั้วในวัง กินดีอยู่ดี และมีการศึกษา
เมื่ออยู่ในวัยหนุ่ม เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ได้พยายามคิดจะช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวอิสราเอลกลับมา โดยใช้กำลังฆ่าคนอียิปต์ที่ข่มเหงคนอิสราเอล และใช้วาจาว่ากล่าวตักเตือนคนอิสราเอลด้วยกันไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่การกระทำโดยใช้พลังและความสามารถของตนเองนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ท่านต้องหนีระเห็จเตร็ดเตร่ไปอยู่ห่างไกล ไปเลี้ยงแพะแกะของเยโธรผู้เป็นพ่อตา และคงจะปลงเสียแล้วในภารกิจกอบกู้อิสรภาพให้ชาวอิสราเอล อีกทั้งพลังความหนุ่มแน่น ความใจร้อนผลีผลามก็แห้งเหือดไป กลายเป็นคนที่มีอายุ และคงจะอยู่ๆ ไปรอให้สิ้นอายุขัย
แต่พระเจ้าทรงมาปรากฏกับโมเสสเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ แต่พุ่มไม้ไม่มอดไหม้ และตรัสสั่งให้โมเสสไปนำชาวอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ พาไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ ไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ในขณะที่โมเสสได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า และไปเฝ้าฟาโรห์เพื่อทูลขอให้ปล่อยชาวอิสราเอลนั้น โมเสสมีอายุแปดสิบปี
แปดสิบปีไม่ได้หมายถึงขิงแก่ (แล้วทำอะไรไม่เป็น) แต่หมายถึงกิจการช่วยกู้อิสราเอลมาจากพระเจ้า มิใช่เป็นฝีมือของเรามนุษย์
เมื่อโมเสสพาชาวอิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาสในดินแดนอียิปต์ มาสู่ดินแดน แห่งพันธสัญญา ต่อมาภายหลังพระเยซูเจ้าทรงพามนุษย์ทั้งมวลอพยพจากโลกของความน่าสะพรึงกลัวและความเกลียดชัง มาสู่โลกของความรักและสันติภาพ
แต่การจะหลุดรอดพ้นจากการเป็นทาสของบาป การจะหลุดพ้นจากอำนาจของปีศาจ หรืออำนาจของความมืดนั้นต้องการการกลับใจ และพระเยซูเจ้าก็ทรงเรียกร้องให้เรากลับใจ ในพระวรสารตอนสั้นๆ ของวันอาทิตย์นี้ พระองค์ได้ตรัสย้ำถึงสองครั้งว่า
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน”
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน”
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2007)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- ปีพิเศษมอบแด่นักบุญโยเซฟ
- บทสัมภาษณ์บิชอป โรเบิร์ต บาร์รอน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคาทอลิกท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา