Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี C

“ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”

นักบุญ ยอห์น ฟิชเชอร์ (St John Fisher) ในขณะที่เดินออกจากหอแห่งกรุงลอนดอน (ซึ่งเป็นที่คุมขังของท่าน) ไปยังสถานที่ประหารที่ซึ่งท่านจะต้องถูกตัดศีรษะ ท่านสุ่มเปิดหนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พร้อมภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าพบความคิดปลอบประโลมใจสำหรับวันนี้ด้วยเทอญ” เมื่อท่านมองหน้าหนังสือที่เปิด ก็พบว่าเป็นข้อความของนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร มีใจความว่าดังนี้

“เราประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงชีวิตนิรันดร ซึ่งอยู่กับพระบิดา และปรากฏให้เราเห็น… เราประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย… เพื่อท่านจะได้สนิทสัมพันธ์กับพระบิดาและกับพระบุตรของพระองค์คือ พระเยซูคริสตเจ้า” (1 ยน 1:2-3) ท่านปิดหนังสือพระคัมภีร์ตอนนี้ลงอย่างอ่อนโยน กล่าวกับตัวเองว่า “นี่คือปรีชาญาณที่เพียงพอสำหรับฉันจะก้าวไปสู่วาระสุดท้ายของชีวิต” (F.H. Drinkwater)

ในขณะที่ชาวเมืองนาซาเร็ธซึ่งตอนแรกๆ ก็นิยมยกย่องพระเยซูเจ้า ประหลาดใจในคำตรัสของพระองค์ แต่ต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย และไม่เชื่อในที่สุด อะไรทำให้ความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมของฝูงชนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ถึงขั้นจะผลักพระองค์ลงไปจากหน้าผาของเนินเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่เลยทีเดียว

เป็นไปได้ว่า ชาวนาซาเร็ธโกรธที่พระองค์ไม่ยอมทำอัศจรรย์ในหมู่บ้านของตน ถ้าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์จริงก็น่าจะทำเครื่องหมายหรืออัศจรรย์อย่างที่โมเสสได้เคยทำ พวกเขาหวังว่าพระองค์จะเป็นบุตรของพระเจ้า แต่กลับพบว่าเป็นเพียงลูกช่างไม้ ช่างน่าผิดหวังอะไรเช่นนี้ เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเรียกร้องขออัศจรรย์ของพวกเขา คิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อของพวกเขาหรือไม่ แต่สำหรับพระเยซูเจ้า นี่เป็นเรื่องตรงข้ามกับความเชื่อด้วยซ้ำ พระองค์มิได้เสด็จลงมาไถ่โลกด้วยการทำอัศจรรย์ แม้ว่าพวกมนุษย์พยายามบีบบังคับให้พระองค์ทำ รวมทั้งปีศาจก็ชอบเล่นบทนี้กับพระองค์ด้วย แต่พระเยซูเจ้าทรงใช้วิธีไปประกาศข่าวดีตามหมู่บ้านและมอบชีวิตพระองค์เป็นค่าไถ่

บางทีเราหันมาหาพระเยซูเจ้า มาสวดภาวนาเข้มข้นมากขึ้น เพราะเราต้องการขอโน่นขอนี่จากพระเป็นพิเศษ เมื่อเราไม่ได้รับตามคำขออย่างทันท่วงที เราก็ปฏิเสธพระองค์ หลายคนวิ่งไปหาหมอดู ไปหาพระเท็จเทียมอื่นๆ ละทิ้งพระองค์ไป เราเคยตระหนักหรือไม่ว่า วัดไม่ใช่เป็นตลาดสำหรับการอัศจรรย์ (the market of miracles) ที่เราสามารถซื้อขายเอาได้ตามใจชอบ แต่หมายถึง สถานที่สำหรับฟังพระวาจา

ที่ชาวเมืองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอีกเรื่องหนึ่ง คือคำตรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน” พระองค์ยังทรงยกตัวอย่างประกาศกเอลียาห์ที่ไปช่วยหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัท และประกาศกเอลีชาที่ได้รักษานาอามานชาวซีเรียให้หายจากโรคเรื้อน ทั้งๆ ที่มีชาวอิสราเอลเองเป็นโรคเรื้อนแต่ก็ไม่ได้รับการรักษา เหมือนกับพระองค์จะทรงสอนพวกเขาว่า การช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้าไม่ได้เป็นสิทธิพิเศษที่สงวนไว้สำหรับอิสราเอลเท่านั้น ชาวเมืองเข้าใจดีว่าพระองค์ทรงต้องการหมายถึงอะไร และเป็นสิ่งที่พวกเขายอมรับไม่ได้ พวกเขาเริ่มรู้สึกรำคาญและขุ่นเคืองใจจนคิดจะกำจัดพระองค์

นี่เป็นช่วงแรกๆ ในการประกาศเทศนาของพระเยซูเจ้า ยังถูกปฏิเสธหรือต่อต้านถึงเพียงนี้ และโดยเฉพาะมาจากเมืองที่ทรงเจริญวัยมาเสียด้วย จึงไม่น่าแปลกใจอะไรในช่วงท้ายของการเทศนา ประชาชนที่กรุงเยรูซาเล็มจะร้องตะโกนว่า “เอาไปตรึง เอามันไปตรึงกางเขน”

ก่อนจบ อยากให้เปรียบเทียบชาวเมืองนาซาเร็ธที่ขาดความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า โดยที่ติดอยู่กับความคิดคับแคบของตนเองว่านี่เป็นแค่ลูกช่างไม้ กับนักบุญยอห์น ฟิชเชอร์ ซึ่งเป็นความเชื่อมั่นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงที่พระบิดาทรงส่งมา และความเชื่อเช่นนี้ในพระองค์ทำให้ท่านได้รับชีวิตนิรันดร

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2013)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี C

“ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”

พระวรสารที่เล่าโดยนักบุญลูกาสำหรับสัปดาห์นี้ เรื่องยังคงอยู่ที่นาซาเร็ธ ขณะที่พระองค์แสดงธรรมในศาลาธรรมของเมือง ในช่วงแรกดูเหมือนผู้คนชื่นชมสรรเสริญยกย่องพระองค์ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทำไว้ที่เมืองคาเปอรนาอุม ชาวเมืองจึงอยากชมบุญญาบารมีของพระองค์ และโดยเฉพาะพวกเขาคิดว่าพระองค์ควรจะกระทำอัศจรรย์ที่นี่ ซึ่งเป็นที่ทรงเจริญวัย ให้มากกว่าที่อื่นๆ

แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงปรารถนาที่จะให้คนยอมรับพระองค์ด้วยการทำอัศจรรย์ ทรงปรารถนาจะประกาศข่าวดีว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังมาถึงแล้ว พระองค์ทรงทราบความคิดของพวกเขาดี แต่มิได้ทรงตอบสนองความต้องการของเขาในเรื่องอัศจรรย์ แถมยังตรัสแทงใจดำของพวกเขาด้วยว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน” คำตรัสของพระองค์เช่นนี้ เหมือนไปจุดประกายความโกรธในใจของพวกเขาให้ลุกโชนขึ้น

ถ้าเราจะพักเรื่องของพระเยซูเจ้าไว้ก่อน ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นกับประกาศกเยเรมีห์ (ประมาณห้าร้อยกว่าปีก่อนคริสตศักราช) ก็จะรู้ซึ้งถึงชีวิตของประกาศกที่ถูกประชาชนชาวเมืองของตัวเองปฏิเสธ มีคำกล่าวถึงประกาศกไว้ว่า คือคนที่ทำความสบายให้กับคนยากลำบาก และทำความยากลำบากให้กับคนสบาย มิน่าเล่า คนที่อยู่สบายอยู่แล้ว ไม่ค่อยจะชอบประกาศก ท่านประกาศกเยเรมีห์มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ชาติอิสราเอลกำลังจะล่มพินาศ ทั้งจากการฉ้อโกงของพวกเขาเอง และจากมหาอำนาจทางทหารจากชาติอื่น ท่านเจ็บปวดมากกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะท่านรักประเทศและรักประชาชนทุกคน ที่จริงท่านรับหน้าที่ประกาศกจากพระเจ้าด้วยความลังเล ท่านรู้ถึงความยากลำบากที่รอท่านอยู่ในการที่จะเป็นประกาศกของประเทศนี้ ท่านเริ่มประกาศ ประชาชนก็พากันปฏิเสธท่าน เขากล่าวกันว่า “เยเรมีห์มันคิดว่ามันเป็นใคร จึงมาตัดสินเรา ตัดสินประเทศของมัน” สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นถึงขั้นที่ว่า ผู้มีอำนาจได้จับเยเรมีห์เฆี่ยนด้วยหวายต่อหน้าสาธารณะ อีกครั้งหนึ่งท่านเคยถูกจับขังไว้ในคุก นี่ล่ะหนอ ชีวิตของประกาศกที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า

กลับมาสู่เหตุการณ์ที่เมืองนาซาเร็ธ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธเรื่องการทำอัศจรรย์ แล้วอะไรจะมาพิสูจน์ได้เล่าว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือคนอื่น หรือทรงได้รับการเจิมเป็นพิเศษจากพระเจ้า ก็เป็นลูกช่างไม้จนๆ คนหนึ่งไม่ใช่หรือ ชาวเมืองนั้นต้องคิดกันว่า “เขาก็เหมือนๆ เรานั่นแหละ เขาคิดว่าเขาคือใคร หรือสวมบทเสแสร้งว่าเป็นประกาศก และไหนล่ะที่จะพิสูจน์ให้พอเชื่อได้ว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งเขาจริง ไม่ใช่เขาแต่งตั้งตัวเองขึ้นมา” จนกระทั่งอารมณ์ของประชาชนพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เขาจะผลักพระองค์ให้ตกจากหน้าผาที่เมืองเขาตั้งอยู่ แต่พระองค์เสด็จจากไปได้

นี่เป็นการเทศนาช่วงแรกๆ ของพระเยซูเจ้า ยังถูกปฏิเสธหรือต่อต้านถึงเพียงนี้ และโดยเฉพาะมาจากเมืองที่ทรงเจริญวัยมาเสียด้วย ชาวเมืองของพระองค์ยังคิดจะฆ่าพระองค์ โดยผลักให้ตกหน้าผา จึงไม่น่าแปลกใจอะไรในช่วงท้ายของการเทศนา ประชาชนที่กรุงเยรูซาเล็มจะร้องว่า “เอาไปตรึง เอามันไปตรึงกางเขน”

เราเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เราได้รับมอบหน้าที่ให้ประกาศข่าวดี ให้เป็นประกาศก อย่ากลัวการทำดี แม้จะถูกต่อต้าน พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “ถ้าโลกได้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ไว้เถิดว่า โลกเกลียดชังเราก่อนแล้ว” (ยน 15:18) ดังนั้น จงทำตามกระแสเรียกที่เราได้รับมอบจากพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ให้เราถือคติที่นักบุญเปาโลได้ให้ไว้คือ “ในโลกที่มืดมิด พวกเราคริสตชนถูกเรียกจากพระเจ้าให้ส่องแสงเช่นดวงดารา” (เทียบ ฟป 2:15)

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2010)