Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ปี B

ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง

เรื่องราวในพระวรสารของนักบุญมาระโกประจำสัปดาห์นี้ เน้นถึงเรื่องพระเยซูเจ้าทรงเป็นนายชุมพาบาลที่ดี ดังที่บรรดาประกาศกได้เคยทำนายไว้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เช่น ประกาศกเยเรมีย์ (ยรม 23) เอเสเคียล (อสค 34) และอิสยาห์ (อสย 63 : 11) ซึ่งต่างจากบรรดากษัตริย์ของอิสราเอล และของเผ่ายูดาห์ ที่โดยองค์รวมและภาพกว้างแล้วไม่ได้ทรงทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับผู้ใต้ปกครอง กลับแสวงหาผลประโยชน์เข้าตน แต่พระคริสตเจ้าทรงยอมสละชีวิตเพื่อชาวเรา ทรงเอาใจใส่ดูแลเรา และโดยเฉพาะทรงแสวงหาแกะที่สูญหายไป
 
พระเยซูเจ้าทรงเป็นนายชุมพาบาลที่ดี โดยทรงฝึกบรรดาอัครสาวกให้เป็นนายชุมพาบาลที่ดีด้วย พวกเขาถูกเรียกให้มาอยู่กับพระองค์ ให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์ ให้มาเรียนรู้จากพระองค์ และทำตามแบบอย่างของพระองค์
 
สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากพระองค์ พวกเขาจะนำไปบอกเล่าให้ผู้อื่นได้ทราบ พวกเขาถูกส่งไปเป็นคู่ๆ เพื่อเทศน์สอน ทำการเยียวยารักษา และขับไล่ปีศาจได้ บัดนี้พวกเขาพากันกลับมาแล้ว
 
พระเยซูเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นนายชุมพาบาลที่ดี ทรงต้องการให้บรรดานายชุมพาของพระองค์ได้หยุดพักผ่อน ถ้าได้หยุดพักสักเล็กน้อย พวกเขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหลังจากนั้น
 
ในที่นี้พิสูจน์ได้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นนายชุมพาที่ดียิ่ง ทั้งๆ ที่ทรงต้องการพาอัครสาวกไปในที่สงบ เพื่อการพักผ่อนและทบทวนผลงาน แต่เมื่อเห็นประชาชนมากมายพากันมาแสวงหาพระองค์ ก็ทรงเปลี่ยนแผนทันที ทรงสงสารและใช้เวลาเทศน์สั่งสอนและอยู่กับประชาชนอีกหลายชั่วโมง ทั้งนี้ เพราะทรงเห็นว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง
 
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิการเป็นพลเมืองของประเทศอเมริกาในห้วงทศวรรษที่ 50 และ 60 เขาเป็นผู้นำของชาวอเมริกันผิวสี(ดำ) เป็นจำนวนล้านๆ คน เขาเป็นวีรบุรุษของคนพวกนั้น เขาเป็นกระบอกเสียงของคนพวกนั้น อาจเปรียบได้ว่าเขาเป็นนายชุมพาของคนเหล่านั้น ถ้าไม่มีเขา พวกชาวอเมริกันผิวสีในสมัยนั้นจะเป็นเหมือนผู้คนในพระวรสารของวันนี้ คือพวกเขาจะเป็นเหมือนดังฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง
 
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง และผู้ติดตามใกล้ชิด ก็เป็นเหมือนพระเยซูเจ้าและอัครสาวกในทางใดทางหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถจะอยู่ด้วยกันในสถานที่เงียบๆ อย่างมีสันติได้
 
คืนหนึ่ง หลังจากภารกิจมากมายตลอดทั้งวันในเมืองมอนท์โกเมอรี มลรัฐอลาบามา แล้ว เขาเพิ่งจะขึ้นเตียงนอน กำลังจะม่อยหลับไป ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเขารับสายก็ได้ยินเสียงกร้าวขู่ทางโทรศัพท์ว่า “ฟังนะ ไอ้ดำ เราจะเอาทุกอย่างที่เราต้องการจากแกก่อนอาทิตย์หน้า แล้วแกจะเสียใจที่ได้เคยมาเมืองมอนท์โกเมอรี” แล้วก็วางสายไป
 
ทันใดนั้น ความกลัวก็ถาโถมเข้ามาหาเขาเหมือนตึกที่กำลังจะล้ม ความกล้าหาญของเขาหายไปหมด เขาลุกขึ้นลงไปในครัว อุ่นกาแฟ แล้วนั่งลงครุ่นคิดวิธีการที่จะไปให้พ้นจากเมืองนี้โดยไม่ให้เสียหน้า ไม่ให้ใครมาตราหน้าว่าขี้ขลาด แต่คิดไม่ออก วินาทีนั้น เขาก้มศีรษะลงภาวนาต่อพระเจ้าว่า
 
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมยังยืนหยัดในสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นความถูกต้อง แต่ขณะนี้ ผมหวาดกลัว กลัวมากด้วย ผู้คนพากันหวังว่าผมจะนำทางเขา ถ้าปรากฏออกไปว่าผมตกใจกลัว พวกเขาจะพลอยพากันหวาดกลัวไปด้วย ผมมาถึงทางตันแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมไม่สามารถเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบนี้ด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป”
 
คำพูดของเขาทำให้นึกถึงสภาพของฝูงแกะที่จะกระจัดกระจายไปเพราะขาดผู้เลี้ยงที่ดี
 
สำนึกความรับผิดชอบเช่นนี้น่าจะมีในบรรดาคุณพ่อเจ้าวัดต่อสัตบุรุษของตน คุณครูต่อนักเรียนของตน ผู้ที่เป็นพ่อแม่ต่อลูกๆ ของตน ฯลฯ
 
มันจะมีเวลาที่วิกฤตเช่นนี้ในชีวิต จะมีเวลาที่เรารู้สึกว่าความรับผิดชอบมันหนักหน่วงเหลือเกิน เมื่อมันเกิดขึ้น เราจะทำเช่นไรดี เราควรทำอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้เราเห็นเป็นแบบอย่าง ทำเหมือนที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้กระทำ และทำเหมือนบรรดาคริสตชนที่มักจะทำกันเสมอ คือการหันเข้าหาพระด้วยคำภาวนา
 
พระเยซูเจ้าเมื่อทรงภาวนาที่สวนเกธเสมนีขอให้กาลิกษ์นี้พ้นไปเถิด แต่ถึงกระนั้นก็ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า หลังจากนั้น นักบุญลูกาบันทึกไว้ว่า “ทูตสวรรค์จากสรวงสวรรค์ได้มาปรากฏตัวต่อพระองค์และช่วยให้ทรงเข้มแข็งขึ้น”
 
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เมื่อภาวนาต่อพระเจ้าแล้ว กล่าวว่า เขารู้สึกเข้มแข็งขึ้นจากการประทับอยู่ของพระเจ้า โดยที่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย
 
พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าทรงเป็นนายชุมพาที่ดี และทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับชีวิตของเราจริงๆ
( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2012
Based on : Illustratrated Sunday Homilies, Year – B ; by Mark Link, SJ )

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ปี B

เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง

ในขณะที่บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้า และกำลังทูลรายงานถึงความสำเร็จของงานประกาศข่าวดีที่พระองค์ทรงมอบหมายให้พวกเขาไปทำ ผู้คนมากมายก็พากันมาหาพระเยซูเจ้าและบรรดาสาวกจนพวกเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินอาหาร เมื่อทรงเห็นดังนี้ จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด”

คำเชื้อเชิญให้รู้จักใช้เวลาอยู่ตามลำพังกับพระองค์ในที่สงัด ยังคงมีความสำคัญเรื่อยมา และโดยเฉพาะในห้วงปัจจุบันนี้ เพราะบางทีเราไม่มีเวลาอยู่ตามลำพังกับพระองค์เสียเลย อย่าลืมว่า ถ้าเราทำงานของพระองค์ เราก็ต้องการพละกำลังจากพระองค์ เราต้องการแรงดลใจจากพระองค์ เราต้องการชีวิตพระที่มาจากพระองค์

พูดไปแล้ว คนในสมัยเราน่าอายกว่าผู้คนในฉากของพระวรสารวันนี้ ที่นั่นผู้คนมากมายแสวงหาพระเยซูเจ้า อยากจะอยู่กับพระองค์ อยากฟังพระวาจา อยากให้พระองค์สัมผัสพวกเขาให้หายจากโรคต่างๆ และเมื่อเห็นพระองค์กับบรรดาอัครสาวกลงเรือแล่นออกไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็ยังเดินเท้าติดตามไปอย่างไม่ลดละ ไม่ยอมแพ้ ไม่ละความพยายาม จนกว่าจะได้พบพระเยซูเจ้า

เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาหลายเรื่อง เราจะเห็นชัดเจนในที่นี้ว่า พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานและเมตตาสงสาร ไม่ทรงทอดทิ้งประชาชนที่แสวงหาพระองค์ ไม่ได้ทรงบอกให้บรรดาสาวกหันหัวเรือกลับเมื่อพบกับประชาชนมากมายที่มารุกรานความเป็นส่วนตัว แต่กลับเต็มตื้นพระทัยด้วยความสงสาร

คำเปรียบเทียบที่ว่าเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง หมายความถึงแกะที่ไม่มีผู้นำทาง มีแต่จะหลงไป หมายความถึงแกะที่ไม่รู้จักแหล่งอาหารและน้ำที่บริบูรณ์ เพราะไม่มีคนนำพาไป และยังหมายถึงแกะที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จากศัตรูที่เข้ามาจู่โจม

พระวรสารของวันนี้สอนให้เราเสาะแสวงหาพระเยซูเจ้า มีเวลาอยู่กับพระองค์ ให้พระองค์ทรงนำชีวิตเรา ให้พระองค์ทรงเป็นนายชุมพาบาลส่วนตัวของเรา เพื่อเราจะได้ใช้พลังที่ได้รับมาจากพระองค์ประกาศพระนามของพระองค์ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ทุกประการ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2009)