Skip to content

บทรำพึงที่เนินเขากัลวารีโอ

“แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส” (ฟป 2:6-7)
.
อาทิตย์มหาทรมาน เริ่มด้วยอาทิตย์ใบลาน ฉันอยากทำให้มหาทรมานของพระองค์เป็นความทรมานของฉัน อย่าให้ฉันเพียงแต่ยินดีที่ได้โบกกิ่งใบปาล์มและโห่ร้องต้อนรับพระองค์เท่านั้น ขอให้ใบปาล์มของฉันถูกกดทับเหมือนถูกตะปูที่ตอกตรึงฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ จนกระทั่งพระโลหิตของพระองค์หลั่งมาชำระล้างบาปของฉัน เพื่อให้ร่องรอยแห่งมหาทรมานของพระองค์สลักลึกในใจฉัน
.
โอ้ว่าสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ โอ้ว่าความรักของพระเจ้า ที่ทรงทุ่มเทให้อย่างไม่มีอั้น ไม่มีข้อจำกัด ได้เผยธรรมล้ำลึกนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาของฉัน มหาทรมานของพระองค์เกิดจากความรักเมตตาของพระองค์ ตลอดพระชนมชีพของพระองค์คือประจักษ์พยานมหัศจรรย์ของความรักที่พระเจ้าทรงสละองค์จนหมดสิ้น มิได้ทรงถือว่ามีศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้า แต่ทรงยอมรับสภาพดุจทาส ทาสที่ยอมรับใช้ผู้อื่น มิใช่ให้ผู้อื่นมารับใช้พระองค์
.
ขณะที่ฉันจ้องดูผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ของพระเจ้านี้ ในความเงียบสงัดแห่งดวงใจฉัน ฉันได้ยินพระองค์ทรงกระซิบว่า “และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้กับผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาท และถ่มน้ำลายรด” ผู้รับใช้นี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทรงกล่าวเพิ่มว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า” ฉันสงสัยว่า พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยจริงหรือ
.
ฉันยืนอยู่ที่นั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ในขณะที่ฝูงชนส่งเสียงร้อง “โฮซานนา โฮซานนา” รวมทั้งเสียงที่ว่า “เอาเขาไปตรึงกางเขน เอาเขาไปตรึงกางเขน” ความกลัวของฉัน และความต้องการที่จะมีเพื่อนทำให้ฉันต้องล้างมือ แต่พระโลหิตของพระองค์จะไม่มีวันล้างออก พระองค์ทรงผินพระพักตร์มาหาฉัน ฟกช้ำ เลือดท่วม และแตกยับเยิน “เจ้าเป็นเพื่อนกับเขาใช่ไหม” สาวคนใช้ถามฉัน “ไม่” ฉันรีบตอบไป “ฉันไม่รู้จักชายผู้นี้”
.
พระองค์ทรงจ้องมองฉัน ทรงตกตะลึงที่ฉันตอบปฏิเสธ ดวงพระเนตรของพระองค์เหมือนแฝงไว้ด้วยคำถาม “เจ้าไม่รู้จักเราหรือ” ฉันตอบซ้ำอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ พระองค์เองทรงทำให้ฉันแย่ถึงเพียงนี้ ฉันต้องการกษัตริย์ แต่พระองค์กลับเป็นเพียงแค่คนรับใช้ที่ทนทุกข์ ฉันคิดว่าพระองค์จะทรงนำดาบออกมา แต่พระองค์ทรงกำลังแบกไม้กางเขน ฉันต้องการสร้างพลับพลาบนภูเขาทาบอร์ แต่พระองค์กลับทรงมุ่งไปเนินเขากัลวารีโอ เสียใจด้วยจริงๆ ฉันไม่รู้จักพระองค์” แล้วพระองค์ก็เสด็จผ่านฉันไป เศร้าสร้อย และเงียบงัน
.
ฉันรีบเร่งผ่านฝูงชนที่อึกทึกวุ่นวาย – เด็กที่พระองค์ทรงปลุกให้คืนชีพ เหล่าคนโรคเรื้อนที่ได้ทรงรักษาเยียวยา บรรดาสหายที่กินเลี้ยงด้วยกันกับพระองค์ ฝูงชนทั้งชายหญิงที่ได้กินขนมปังและปลาเมื่อทรงทวีอาหารเลี้ยงพวกเขา ฉันจะพูดได้อย่างไรว่าพระองค์คือเพื่อนของฉัน การรู้จักพระองค์เป็นเรื่องอันตรายเกินไป ความมืดมิดอยู่ล้อมรอบตัวฉัน และอยู่ภายในใจฉัน
.
บ่ายวันศุกร์ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น ดวงอาทิตย์ดูจะอับแสง ฉันรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ฉันกำลังหยุดนิ่งอยู่ที่เนินเขากัลวารีโอ เสียงตอกตะปูและเสียงร้องของผู้ถูกตรึงดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในแก้วหูของฉัน ฉันไม่กล้าเข้าไปใกล้พระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์อาจจะทรงถามอีกว่า “เจ้ารู้จักเราไหม” แล้วฉันก็จะต้องตอบว่า “ไม่” – ฉันปรารถนาจะเห็นพระองค์ที่มีความงดงาม ความเข้มแข็ง ความปรีชาฉลาด ความมหัศจรรย์” แล้วฉันก็ได้ยินผู้คนพากันตะโกนว่า “ลงมาจากกางเขนสิ” ฉันปรารถนาเหลือเกินที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น แต่ไม่ทรงทำอะไรเลย
.
พระวรกายของพระองค์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า” ฉันไม่เข้าใจเสียงร้องคร่ำครวญนั้น แต่ มันกลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญของฉันเอง มันเหมือนผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของใจฉัน เสียงร้องนั้นดังก้องสะท้อนกลับไปมาเหนือแผ่นดิน และดังกระหึ่มเพิ่มมากขึ้นเป็นพันๆเสียง คือเสียงของผู้สูญเสีย ผู้ต่ำต้อย และผู้ถูกโดดเดี่ยว เสียงร้องดังเหล่านั้นเป็นประดุจคำถามว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า… ทำไม… ทำไม”
.
อาทิตย์อัสดงแล้ว บรรดาผู้คนถูกกลืนหายไปในราตรีกาล แต่ฉันยังยืนอยู่คนเดียว… ไม่ใช่สิ ยังมีมารีย์อีกสองคนที่ยังคงอยู่ที่นั่น คือ มารีย์พระมารดา กับ มารีย์ชาวมักดาลา พระมารดาทรงชี้มาที่ฉันและทรงถามพระบุตรว่า “ลูกไม่รู้จักเขาหรือ” พระองค์ทรงพยักหน้ารับ แล้วตรัสกับมารีย์มักดาลา และฉันด้วยว่า “ลูกๆเอ๋ย นี่คือแม่ของพวกเจ้า” และกับพระมารดา “แม่ นั่นคือพวกลูกๆของท่าน” น้ำตาฉันไหลหลั่งออกมา พระองค์ทรงรู้จักฉัน ทรงรักฉัน
.
ทันใดนั้น เนินเขากัลวารีโอแบกรับกางเขนอีกมากมายมหาศาล รวมทั้งเสียงร้องที่ท่วมท้น เสียงร้องของบรรดาผู้ถูกตรึงกางเขนของโลกนี้ ฉันรู้สึกได้ถึงเสียงเร่งเร้าภายในให้พูดว่า “ฉันไม่สามารถช่วยพระองค์ได้เลยหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์แปลกพระทัย “ในที่สุด เจ้าก็จำเราได้แล้วหรือ” น้ำตาฉันหลั่งไหลเหมือนสายธาร ฉันกระซิบว่า “จำได้แล้ว พระเจ้าข้า”
.
“เจ้าช่วยเราได้” พระองค์ตรัสอย่างอ่อนโยน “เพื่อนเอ๋ย รับไปกินเถิด นี่คือกายของเรา จงรับไป และดื่มเถิด นี่คือโลหิตของเรา จงทำสิ่งนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ฉันจำได้ว่าพระองค์ทรงกำลังหักปัง กำลังยื่นถ้วยให้ กำลังล้างเท้า พร้อมทั้งกล่าวว่า “เจ้ามีบุญ ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่เราได้ทำ” คืนนั้นเอง ฉันเห็นแสงสว่างแล้ว
.
“มันจบบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงร้องดังด้วยเสียงแห่งชัยชนะ แต่ฉันรู้ว่ามันเพิ่งเป็นเพียงการเริ่มต้น สำหรับฉัน และสำหรับคุณ
(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Sunday Seeds For Daily Deeds
โดย Francis Gonsalves, S.J.,
ลงวันที่ 23 มีนาคม 2018)