Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่าน และพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น
บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า”

นักบุญอิกญาซีโอ แห่งโลโยลา ได้เขียนหนังสือเพื่อเป็นการแนะแนวทางแก่ผู้อื่นในการแสวงหาพระเยซูเจ้าให้พบด้วยตนเอง หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “การฝึกจิต” หรือ “การออกกำลังจิต” (The Spiritual Exercises) ในหนังสือเล่มนี้ตอนหนึ่งได้เขียนถึงพระวรสารตอนที่อ่านสำหรับวันอาทิตย์นี้ โดยเสนอความคิดแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนด้วยกัน

ขั้นตอนแรกให้เราจินตนาการสภาพของโลกก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงบังเกิดมา ว่าเป็นเช่นไร เช่นประชากรเอาใจออกห่างจากพระ ความชั่วแผ่ลุกลามไปทั่วเหมือนเชื้อของโรคมะเร็ง โลกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง อาการน่าเป็นห่วง

ขั้นที่สองให้เราจิตนาการถึงทูตสวรรค์กาเบรียลที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อมาประกาศแด่พระนางมารีย์ว่าจะเป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า ลองสมมุติว่าเราล่องลอยมาพร้อมกับเทวดา เราจะเห็นโลกเป็นจุดเล็กนิดเดียวในท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาราที่ส่องแสงระยิบระยับ เมื่อเข้ามาใกล้โลกมากขึ้น ก็มุ่งไปที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใกล้เข้าไปอีกพบเมืองเล็กๆ ชื่อนาซาเร็ธ ที่เมืองนี้เราจะเห็นบ้านของพระนางมารีย์ตั้งอยู่ ที่สุดก็เห็นเด็กสาวที่ชื่อมารีย์อยู่ในบ้านหลังนั้น กำลังคุกเข่าภาวนาอยู่เงียบ ๆ

ขั้นที่สาม ให้เราเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างทูตสวรรค์กับมารีย์ มีสองประโยคที่เราต้องตั้งใจฟังดีๆ ประโยคแรกที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์คือ “พระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้นบุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” คำที่สำคัญและใช้น้อยมากในพระคัมภีร์คือคำ “แผ่เงาปกคลุม” ที่สำคัญคือคำนี้เคยใช้ครั้งหนึ่งในหนังสืออพยพ เพื่ออธิบายถึงเมฆลึกลับที่มาแผ่ปกคลุมเต้นท์ที่ซึ่งชาวอิสราเอลเก็บรักษาหีบพันธสัญญาไว้ “ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต้นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น” (อพย.40:34)

นักบุญลูกาเลือกใช้คำ “แผ่เงาปกคลุม” มิใช่ด้วยบังเอิญ แต่ตั้งใจให้สื่อสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งมากๆ เพื่อเปรียบเทียบพระวรกายของพระแม่มารีย์กับเต้นท์ที่เก็บรักษาหีบพันธสัญญา เพื่อเปรียบเทียบครรภ์ของพระแม่ที่จะบรรจุพระเยซูเจ้าไว้ กับหีบพันธสัญญาที่เก็บรักษาศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการไว้นั่นเอง ดังนั้น พระอานุภาพของพระเจ้าแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ พระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏอยู่เต็มในพระแม่นั่นเอง

ประโยคที่สองที่น่าพิจารณา คือ “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” ถ้าเราคิดย้อนไปก่อนที่อานุภาพของพระจะแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ โลกนี้หมดหวัง บาปและความรุนแรงมีอยู่ทั่วไป ก่อนพระอานุภาพของพระมาแผ่ปกคลุมพระแม่มารีย์ เธอไม่มีหวังจะบังเกิดบุตร เพราะเป็นพรหมจารี แต่เมื่อพระอานุภาพนั้นแผ่มาปกคลุมแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป (Change)

พี่น้องครับ ก่อนหน้านี้ หรือเวลานี้ เราอาจหมดหวัง ชีวิตอาจวุ่นวายสับสน บางคนบอกว่าดวงไม่ดี แต่บัดนี้เรามีความหวังแล้ว เพราะพระอานุภาพของพระเจ้าผู้สูงสุดได้เข้ามาแผ่ปกคลุมโลกนี้ไว้ ในพระบุคคลขององค์พระเยซู เราทุกคนจะเปลี่ยนไปในแบบที่ดีกว่าเดิมมาก

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2008
Based on : Illustrated Sunday Homilies – Year B ; by Mark Link, SJ)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B

“เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”

“เมื่อพระเจ้าทรงต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทรงเริ่มจากความยากลำบาก เมื่อพระเจ้าทรงต้องการทำสิ่งที่พิเศษสุด ทรงเริ่มจากความเป็นไปไม่ได้”

นี่เป็นถ้อยคำที่อธิบายเรื่องราวของคริสต์มาสว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุการณ์ทั้งมวลแขวนอยู่ที่คำว่า “ค่ะ” หรือ “จงเป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ของสุภาพสตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่ เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายด้วยอำนาจขององค์พระผู้สูงสุด ถ้าเราคิดแค่ตามประสามนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี เธอได้ตอบรับและส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ “เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”

ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก หรือที่เป็นไปไม่ได้อันใด พระแม่มารีย์ได้ทรงสอนหนทางให้แก่เราในเรื่องนี้ จงไว้เนื้อเชื่อใจในองค์พระเจ้า ถ้าสังคมที่ใหญ่ขึ้นของเรา เช่น ครอบครัว หรือ ประเทศชาติของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ พระแม่มารีย์ทรงสอนให้เรายืนหยัดในความเชื่อต่อไป เราต้อง เชื่อ หวัง และไว้ใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และนี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคริสต์มาส

ขอยกตัวอย่างของคนที่เคยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากคนหนึ่ง ชายคนนั้นคือ คนขี้เมาคนหนึ่ง แต่บัดนี้เขากลับใจมาเป็นคริสตชน เขามีความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาพบเขา และถามคำถามเขาว่า “ผมได้ยินว่าคุณกลับใจมาเป็นคริสตชน คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าบ้าง”

“ไม่มากนักหรอกครับ” คนเคยเมาตอบ
“คุณรู้หรือไม่ว่าทรงบังเกิดที่ไหน”
“ไม่ครับ ผมไม่รู้”
“คุณรู้ไหมว่าทรงยกนิทานเปรียบเทียบมาสอนกี่เรื่อง”
“ไม่รู้ครับ”
“คุณรู้ไหมครับว่าทรงทำอัศจรรย์กี่ครั้ง”
“ผมยังเขลาเบาปัญญาอยู่ครับ”
“เอาล่ะ อย่างน้อย คุณรู้ไหมว่ามีพระวรสารกี่ฉบับ ในหนังสือพระคัมภีร์”
“เอ่อ…ไม่ทราบซิครับ”
ชายคนนั้นจึงว่า “สำหรับคนที่กลับใจใหม่ ถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าเลย ก็เปล่าประโยชน์”

คนที่เคยเมาตอบว่า “คุณครับ ผมเสียใจจริงๆ ที่โง่เขลาเบาปัญญาในหลายสิ่งที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ผมอายจริงๆ ครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ ย้อนหลังไปหกเดือนที่แล้ว ผมเป็นคนบาปหนา เป็นไอ้ขี้เมา ครอบครัวของผมอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ลูกเมียผมพากันหวั่นวิตกเมื่อเห็นผมกลับมาบ้านในตอนเย็น แต่หลังมามีความเชื่อในพระเยซูเจ้า และยอมรับให้พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่แล้ว ผมปฏิรูปชีวิตเสียใหม่ และบัดนี้ครอบครัวของผมมีความสุข รุ่งเรือง และร่มเย็น

ฟังเรื่องนี้แล้วเป็นอย่างไรครับ เราอาจจะไม่รู้มากในเรื่องของพระเยซูเจ้า เหมือนนักพระคัมภีร์ หรือพวกที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพระองค์ เราอาจจะ ไม่เฉลียวฉลาดเท่าพวกเขา และที่จริง ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เราอาจจะไม่รู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ แต่ถ้าเรารู้สิ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว คือ รู้ว่าเราเป็นคนบาป และพระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้ไถ่ของชาวเรา

( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2011
Based on : John’s Sunday Homilies, Cycle – B ; by John Rose )