
บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันหนึ่งของเดือนธันวาคม เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ชื่อ แกรี่ ชไนเดอร์ กับเพื่อนอีก 2 คน เริ่มต้นการเดินทางสี่วันเพื่อปีนเขาสูงชื่อ Mt Hood (เป็นภูเขาสูงที่สุดของออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา = Oregon, U.S.A. – ผู้แปล) เมื่อขึ้นไปถึงแค่ระดับความสูง 9,000 ฟุต ก็เกิดพายุหิมะพัดมาและตกลงมาไม่ลืมหูลืมตาจนท่วมตัวชายหนุ่มทั้งสาม เขาเริ่มขุดอุโมงค์ในหิมะ เพื่อใช้กำบังลม และเพื่อรอพายุหิมะให้จบสิ้นไป
สิบเอ็ดวันล่วงไป พายุหิมะยังไม่มีท่าทีจะหยุด เบาะนอนของเด็กๆ เปียกปอน อาหารที่เตรียมไปเหลือน้อยจนต้องจำกัดวันละไม่เกินสองช้อนโต๊ะ ความบรรเทาใจอย่างเดียวที่มีคือหนังสือพระคัมภีร์เล่มเล็กๆ ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งติดกระเป๋าไปด้วย พวกเขาจัดเวรกันอ่านพระคัมภีร์วันละแปดชั่วโมง มันเป็นภาพแห่งความฝันร้าย ที่ชายหนุ่มทั้งสามต้องเบียดเสียดกันอยู่ภายในถ้ำเล็กๆ ที่หนาวเย็นยะเยือก พวกเขาต้องปลอบใจกันชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า พลางฟังพระวาจาของพระท่ามกลางเสียงประกอบของเสียงลมพายุที่ดุดัน
หนังสือบทสดุดีในพระคัมภีร์ดูเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ของเด็กเหล่านี้ได้ดีมากทีเดียว กษัตริย์ดาวิดได้เขียนบางบทขึ้นมาในขณะที่พระองค์ติดกับอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากพวกเขา – คือหิวโหย โดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น มีเพียงความไว้ใจในพระเจ้าเท่านั้น
ถ้าความช่วยเหลือจะมาถึงได้ ก็คงต้องมาจากพระเจ้านั่นเอง
การรอคอยแบบนี้ไม่ง่ายเลย สิ่งที่ชายหนุ่มสามคนทำได้คือ การภาวนา หวังว่าพายุหิมะจะจบลง และความช่วยเหลือจะมาถึงพวกเขา….. ในที่สุด วันที่ 16 ของการติดอยู่ในพายุหิมะก็สิ้นสุด อากาศแจ่มใส และชายหนุ่มทั้งสามก็คลานออกมาจากถ้ำหิมะ แต่พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงพอ จึงต้องค่อยๆก้าวไปทีละก้าวสองก้าว แล้วก็หยุดพัก แต่ในที่สุดพวกกู้ภัยก็มองเห็นพวกเขา และเข้ามาช่วยพวกเขา การทดสอบที่ยาวนานของการรอคอยจึงสิ้นสุดลงในที่สุด
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเมืองไทยนี่เอง คงยังจำกันได้ดีถึงชื่อวนอุทยานถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย เหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เยาวชนชายซึ่งเป็นนักฟุตบอลทีมหมูป่า อะคาเดมี แม่สาย จำนวน 12 คน มีอายุตั้งแต่ 11-16 ปี กับโค้ชอีก 1 คน (รวมเป็น 13 คน) ได้เข้าไปเที่ยวในถ้ำ แต่เกิดฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมในถ้ำ พวกเขาไม่สามารถออกมาทางปากถ้ำได้ แต่กลับถูกภัยธรรมชาติผลักดันให้หนีเข้าไปลึกๆ มากขึ้นๆ เรื่อยๆ เมื่อข่าวนี่แพร่ไป นักกู้ภัยทั้งในไทยและต่างประเทศก็ร่วมมือกันปฏิบัติการช่วยเหลือ เด็กๆเหล่านั้นต้องรอคอยด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก มองไม่เห็นหนทางว่าจะออกมาจากถ้ำได้เมื่อไร ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะทนอีกนานเท่าใด จะมีใครมาช่วยไหม ทุกๆวันต้องเกาะกลุ่มกันไว้ ต้องค่อยๆแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะต้องต่อสู้กับความหิว ความกระหาย การรอคอยที่เนิ่นนาน
จนถึงวันที่ 9 ของการติดถ้ำ นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ 2 คน เป็นกลุ่มแรกที่พบเด็กทั้งหมด แม้แต่พบตัวแล้ว แต่ก็ยังนำออกมาไม่ได้ ต้องมาปรึกษากันทุกๆฝ่ายว่าจะหาวิธีใดที่สามารถช่วยให้ทุกคนออกมาได้อย่างปลอดภัย และค่อยๆทำตามแผนจนกระทั่งวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ก็สามารถช่วยเหลือลำเลียงเด็กออกมาจากถ้ำได้สำเร็จครบถ้วนและปลอดภัย รวมระยะเวลาตั้งแต่แรกจนจบภารกิจใช้เวลา 17 วัน (ข้อมูลจาก Wikipedia – ผู้แปล)
เรื่องของเด็กๆ สองกลุ่มจากสองเหตุการณ์นี้ ต่างก็พูดถึงการที่พวกเขาเกาะกลุ่มกัน รอคอยให้พายุสงบลง รอคอยให้น้ำที่ปากถ้ำลดลง ซึ่งถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ดีถึงเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ชาวอิสราเอลต่างรอคอยอย่างยาวนานให้พระเมสสิยาห์เสด็จมา พวกเขาไม่สามารถที่จะไปเร่งเร้าการเสด็จมาของพระองค์ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือ “การรอคอย” และ “การภาวนา” เหมือนเด็กกลุ่มแรกที่ทำได้เพียงไว้วางใจในพระ ว่าพระองค์จะทรงมาช่วยเหลือ พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับชาวเราที่กำลังรอคอยการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า คือใช้พระวาจาของพระองค์หล่อเลี้ยงชีวิตปัจจุบันของเรา และมอบความไว้วางใจทั้งครบในพระองค์ และให้เราใช้เวลาแห่งการรอคอยรับเสด็จพระองค์อย่างมีคุณค่า เช่น การประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าให้คนมาเป็นศิษย์ของพระองค์ การเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงพระองค์โดยการปฏิบัติจริง ด้วยการให้อาหารแก่ผู้หิวโหย ให้น้ำดื่มแก่ผู้ที่กระหาย ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่เปลือยเปล่า ให้การต้อนรับแขกแปลกหน้า ทำงานเพื่อให้มีสันติสุขและความรักต่อกัน ดังที่พระเยซูเจ้าทรงรักเรา สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เราปฏิบัติจริง จะเป็นการเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าอย่างดีที่สุด และเป็นการก้าวเดินที่ถูกทางแล้ว เราจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน และก็สอดคล้องกับคำเตือนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ที่ว่า “จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร”
บทเทศน์บทรำพึง อาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือ สายตาของเธอจับจ้องไปที่เส้นขอบฟ้าไกลโพ้นในทะเล ในขณะที่กำลังรอคอยเรือลำที่จะนำสามีของเธอกลับมาบ้าน คุณพ่อคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อมองดูได้ไกลขึ้น เขากำลังรอคอยลูกชายคนเล็กที่จะกลับมาบ้านในไม่ช้า คู่แต่งงานที่ยังหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังรอคอยด้วยความคาดหวังถึงพัฒนาการการเจริญเติบโตของบุตรที่กำลังจะลืมตามาดูโลก ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่บริเวณระเบียงบ้านพักของคนชรา กำลังรอคอยวันเวลาที่ครอบครัวของเขาจะพากันมาเยี่ยม ทุกคนเหล่านี้กำลังรอคอย เป็นการรอคอยที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง พวกเขาไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะมาทำให้ความหวังของเขามาบรรจบกับความจริง สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่การรอคอย
การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีชีวิตหนึ่งชีวิตใดที่ไม่ต้องรอ เรารอเวลาที่จะเกิดมา รอที่จะได้รับการฟูมฟัก รอเวลาที่จะได้รับความรัก เราเรียนรู้ในเวลาต่อมาว่า ชีวิตเรามีอะไรต้องเยอะแยะ และคนเรามีอะไรอีกมากมาย ที่เราไม่สามารถจัดการให้บรรลุในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเราก็ต้องรอคอย
เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า คือ ช่วงเวลาที่เรารอคอยองค์พระมหาไถ่ เราไม่สามารถเข้าใจพระเจ้า เราไม่สามารถเป็นเจ้าของพระเจ้า เราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า เราได้แต่เพียงรอคอยให้พระเจ้าทรงเผยพระองค์ให้เราทราบ และในขณะที่เรารอคอยพระองค์ เราต้องสารภาพว่าเรามีความอ่อนแอ ไม่ครบครัน เหมือนประกาศกอิสยาห์ในบทอ่านแรก ท่านได้กระตุ้นให้ชาวอิสราเอลมีความหวังต่อไป อย่าไปท้อแท้กับชีวิต แม้สถานการณ์ต่างๆดูเหมือนไม่น่าหวังอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็สอนให้พวกเราระลึกถึงตัวเองว่าเป็นคนบาป “พระองค์ทรงกริ้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ยังขืนทำบาปต่อไป ข้าพเจ้าทั้งหลายทำบาปมาแต่ครั้งโบราณแล้ว พวกเราทั้งหมดทำบาป” ดังนั้น ในการรอคอยพระองค์เสด็จมา ขอให้การรอคอยของเราเป็นประดุจคำภาวนา ซึ่งทำให้เราตระหนักถึงความยากจนแห่งจิตใจของเรากับความยิ่งใหญ่ของพระองค์
จงอย่าปล่อยให้ความหวังของเราสูญสิ้นไป มนุษย์เป็นจำนวนมากจดจำองค์พระมหาไถ่ไม่ได้เมื่อพระองค์เสด็จลงมาบังเกิด ทรงพระนามว่า “พระเยซู” ส่วนพวกเราทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นคริสตชน เราต้องเฉลิมฉลองพระนามของพระองค์ เพราะพระนามของพระองค์จะทรงนำความรอดพ้นมาสู่เรา พระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ทรงเป็นพระบุตรสุดที่รัก พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาเพื่อตอบสนองเสียงร่ำร้องรอคอยของประชากรของพระองค์ ดังนั้น การรอคอยของเรา และของมวลมนุษยชาติ ถูกทำให้เติมเต็มโดยการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูเจ้านั่นเอง
เราอยู่ในยุคสมัยระหว่างสมัยที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดแล้วในประวัติศาสตร์ กับกำลังรอคอยการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ พระวรสารของอาทิตย์นี้โดยนักบุญมาระโก ได้ให้คำสอนของพระเยซูเจ้าที่มีต่อบรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด” ดังนั้น เราจงดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าตามแบบที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน
นักบุญเปาโล เน้นว่า ในการดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงพระคริสต์อย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะพระคริสต์จะทรงประทานพระพรทุกด้านให้กับเรา จนกระทั่งเราไม่ขาดพระคุณใดๆ เลย ในขณะที่รอคอยการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า (เทียบ 1 คร. 1:5-8)
( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008
Based on : Seasons of the Word ; by Denis McBride)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมณลิขิต (Apostolic Letter) ของสันตะปาปาฟรานซิส โอกาสครบ 1600 ปีหลังการมรณภาพของนักบุญเจโรม
- พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงยืนยันว่า
เลบานอนคือประเทศต่อไปที่พระองค์จะเสด็จไปเยือน - คำปราศรัยของพระสันตะปาปา “ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus)”
ณ วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล เมืองการากอซ (Qaraqosh) - สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- สมณลิขิตจากพระสันตะปาปาฟรานซิส
ถึงอาร์ชบิชอป ริโน ฟิสิเกลลา (Archbishop Rino Fisichella)