Skip to content

การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปกับพระสันตะปาปาฟรานซิส วันพุธที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2020

การภาวนาเป็นการเชื้อเชิญที่งดงามมากที่ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงพวกเรา

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงสอนคำสอนรำพึงไตร่ตรองถึงการสวดภาวนาตามแบบฉบับของยาก็อบ

วันพุธที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2020 การเข้าเฝ้าแบบทั่วไป เริ่มเวลา 9.30 น. ถ่ายทอดสดจากห้องสมุดวาติกัน ในการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาฟรานซิสยังคงเกี่ยวกับการสวดภาวนาโดยเน้นไปที่ “การสวดภาวนาของยาก็อบ” (ปฐก. 32: 25-30)

        หลังจากสรุปคำสอนด้วยหลายภาษาแล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกล่าวต้อนรับประชาสัตบุรุษ แล้วพระองค์ทรงวอนไปยังสถาบันต่างๆที่ทำงานต่อต้านแรงงานเด็กในวันเด็กสากล ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน

        การเข้าเฝ้าแบบทั่วไปสิ้นสุดลงด้วยการขับร้องเพลงข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามด้วยการอวยพรของสมเด็จพระสันตะปาปา

***

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก

        วันนี้ขอให้พวกเราเรียนคำสอนกันต่อไปเรื่อง “การสวดภาวนา” จากพระคัมภีร์หนังสือปฐมกาล โดยอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงในอดีตอันแสนไกลเล่าให้พวกเราฟังถึงเรื่องราว ซึ่งพวกเราสามารถนำมารำพึงไตร่ตรองในชีวิตยุคสมัยของพวกเรา ในแวดวงของของบรรดาปิตาจารย์พวกเราพบว่ามีชายคนหนึ่งที่ฉลาดหลักแหลมพัฒนาภูมิปัญญาของตน บุคคลนั้นคือยาก็อบ  เรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอนพวกว่ายาก็อบเผชิญปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนในความสัมพันธ์ของเขากับเอเซาพี่ชาย เรียกว่าทั้งสองคนเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็กซึ่งไม่เคยมีทางออก ทั้งสองคนเป็นคู่แฝด แต่ยาก็อบเกิดทีหลัง แต่โดยอาศัยความหลักแหลมยาก็อบสามารถได้รับการอวยพร และสิทธิเป็นบุตรหัวปีของอิซาอักผู้บิดา (เทียบ ปฐก´25: 19-34)  นี่เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาความหลักแหลมแบบฉลาดแกมโกงที่ชายผู้นี้ได้กระทำอย่างมโนธรรมบิดเบือน แม้แต่ชื่อ “ยาก็อบ” ก็ยังหมายถึง บุคคลที่ฉลาดแกมโกงในการกระทำของเขา

        เมื่อถูกบังคับให้ต้องหนีจากพี่ชาย  เขาดูเหมือนจะประสบกับความสำเร็จกับทุกสิ่งที่เขาทำในชีวิต  เขาเก่งมากในเรื่องุรกิจ เขาสร้างตนเองจนร่ำรวยมั่งคั่ง เขาสามารถแต่งงานกับลูกสาวที่สวยที่สุดของลาบันที่เขารักมาก หากเราจะพูดกันด้วยวาจาสมัยใหม่ ยาก็อบเป็นคน “ที่สร้างฐานะชีวิตขึ้นมาด้วยลำแข้งของตนเอง” ด้วยภูมิปัญญาและด้วยชั้นเชิง เขาสามารถได้ทุกสิ่งที่เขาอยากได้ แต่เขาก็ขาดอะไรไปบางอย่าง เขาขาดความสัมพันธ์ทรงชีวิตกับรากเหง้าของเขา

อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ยินเสียงเรียกจากทางบ้าน ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนดั้งเดิมของเขา  เอเซายั้งมีชีวิตอยู่และเป็นคู่ขัดแย้งของเขาโดยตลอด ยาก็อบออกเดินทางไกลพร้อมคาราวาน ที่มีข้าบริวารและสัตว์มากมายจนมาถึงแม่น้ำจั๊บบอค ณ ตรงนี้พระคัมภีร์จากหนังสือปฐมกาล ได้เล่าเรื่องที่น่าในใจมาก (เทียบ ปฐก. 32: 23-33) ได้เล่าถึงผู้เฒ่ายาก็อบหลังจากที่ข้าบริวารและฝูงสัตว์เลี้ยงข้ามแม่น้ำไปแล้ว เขานั่งอยู่บนฝั่งตามลำพังในซีกที่เป็นดินแดนต่างชาติ เขาคิดว่าอะไรรอเขาอยู่ในวันรุ่งขึ้น? เอเซาจะมีทัศนคติกับเขาอย่างไร  เพราะยาก็อบขโมยสิทธิบุตรหัวปีไป? จิตใจยาก็อบสับสนไปด้วยความคิดร้อยแปด… ขณะที่กำลังมืดค่ำลงทันใดนั้นก็มีคนแปลกหน้ากระโดดเข้ามาปล้ำเขา  คำสอนอธิบายว่า “ประเพณีฝ่ายจิตของพราะศาสนจักรถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสวดภาวนา ดุจเป็นสงครามแห่งความเชื่อ และเป็นชัยชนะของความยืนหยัดมั่นคง (CCC ข้อ 2573)

ยาก็อบต่อสู้กับชายแปลกหน้าทั้งคืนโดยไม่ยอมปล่อยให้ศัตรูหลุดมือไป แต่ในที่สุดเขาก็แพ้ เส้นประสาทใหญ่ของเขาถูกกดทับโดยคู่ต่อสู้ ซึ่งหลังจากนั้นเขาต้องเดินกะเผกไปจนตลอดชีวิต นักปล้ำคู่ต่อสู้ันำร้นลับนั้นขาต้องเดินกะเผกไปจนตลอดชีวิต็แกพ้แดนดินทางไกลพร้อมคาราวานที่มีล

ขาทำในชิแวดวงของังเร้นลับนั้นถามชื่อผู้เฒ่า แล้วบอกว่า “ท่านจะไม่ชื่อยาก็อบอีกต่อไป แต่จะชื่ออิสราเอล เพราะท่านมีความมุ่งมั่นทั้งกับพระเจ้าและกับมนุษย์แล้วท่านก็มีชัย” (ปฐก. 32: 28) ราวกับบอกว่า ท่านจะไม่มีวันเดินบนเส้นทางเดิมอีกต่อไป ท่านต้องเดินในหนทางตรง เขาจึงเปลี่ยนชื่อ เขาเปลี่ยนชีวิต เขาเปลี่ยนทัศนคติของตนเอง ท่านจะมีชื่อว่าอิสราเอล แล้วยาก็อบถามว่า “บอกหน่อยได้ไหม ขอร้องเถอะ ท่านชื่ออะไร” ทว่าบุคคลนั้นไม่ยอมบอกชื่อ แต่อวยพรเขา แล้วยาก็อบก็เข้าใจ เขาได้พบกับพระเจ้าแบบซึ่งๆหน้า (ข้อ 29-30)

การปล้ำต่อสู้กับพระเจ้าเป็นอุปมาของการสวดภาวนา  ในเวลาต่างๆยาก็อบแสดงตนเองว่าเขาสามารถที่จะเสวนากับพระเจ้า เขาสัมผัสกับพระองค์ในฐานะมิตร และการที่มีความใกล้ชิดกัน แต่ในคืนนั้นโดยอาศัยการต่อสู้ที่ยืดเยื้อที่ทำให้เขาเกือบยอมแพ้  ทว่าผู้เฒ่ากลับเปลี่ยนไป เปลี่ยนชื่อ เป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตและบุคลิกภาพของเขา เขากลายเป็นอีกคนหนึ่ง เพราะเมื่อเขาไม่ได้เป็นเจ้านายแห่งสถานการณ์  แล้วเล่ห์เหลี่ยมก็ไม่มีประโชน์อีกต่อไปสำหรับเขา เขาไม่ได้เป็นนักวางแผนหรือนักคำนวณอีกต่อไป  พระเจ้าทำให้เขาเข้าสู่ความจริงของพระองค์ในฐานะบุคคลที่มีคุณธรรมซึ่งตัวสั่นและกลัว เพราะในการต่อสู้กันนั้นยาก็อบมีความกลัว เพราะก่อนหน้านั้นยาก็อบมีแต่ความอ่อนแอ ไม่มีพลัง และยังมีบาปอีกด้วยที่จะมอบให้กับพระเจ้า และเป็นยาก็อบนี้เองที่ได้รับการอวยพรของพระเจ้า ซึ่งเขาเดินขากะเผกสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาทั้งๆที่อ่อนแอและมีบาดแผล แต่ด้วยหัวใจใหม่ พอพ่อได้ยินผู้สูงวัยซึ่งเป็นคนดีเป็นคริสตชนที่ดี  แต่เป็นคนบาปที่มีความไว้ใจยิ่งใหญ่ในพระเจ้าที่กล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงช่วยฉัน พระองค์จะไม่ปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพัง ฉันจะขึ้นสวรรค์แม้ว่าจะต้องเดินแบบขาเป๋ไปแต่ฉันจะไปสวรรค์” ข้อคิดประการแรก ยาก็อบเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง เขาไว้ใจในความฉลาดที่มีเล่ห์เหลี่ยมของเขา เขาเป็นคนที่ขาดพระหรรทาน ไม่ได้รับพระเมตตา เขาไม่ทราบด้วยซ้ำไปด้วยว่าพระเมตตาเป็นอะไร “ฉันอยู่นี่ไง ฉันเป็นผู้บังคับบัญชา”  เขาไม่เคยคิดว่ามเขาต้องการความเมตตา แต่พระเจ้าทรงช่วยเหลือสิ่งที่ยาก็อบขาดหายไป พระองค์ทำให้เขาเข้าใจว่าเขามีขอบขีดจำกัด เขาเป็นคนบาปที่ต้องการพระเมตตา และพระองค์ก็ทรงช่วยให้เขารอด

        พวกเราทุกคนมีการนัดกับพระเจ้าในเวลากลางคืน ในยามราตรีแห่งชีวิตของพวกเรา ในหลายๆราตรีแห่งชีวิตของพวกเรา เวลาที่มืดสนิท เวลาแห่งความทุกข์ระทมในความบาป เวลาที่พวกเราไม่รู้แหล่งท่อธารจะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน นั่นแหละพวกเราจะมีนัดกับพระเจ้าเสมอ  พระองค์จะทรงทำให้พวกเราประหลาดใจในเวลาที่พวกเราไม่คาดฝัน เมื่อพวกเราอยู่ตามลำพัง  ในค่ำคืนนั้นการต่อสู้กับผู้ที่เราไม่รู้จัก  พวกเราจะรับรู้ว่าพวกเราเป็นคนที่น่าสงสาร พ่อกล้าพูดว่า ณ เวลานั้น ในวินาทีนั้นที่พวกเรากำลังรู้สึกว่า พวกเราเป็นคนที่น่าสงสาร พวกเราไม่ต้องกลัว เพราะพระเจ้าจะทรงประทานชื่อให้พวกเราใหม่ ซึ่งจะมีความหมายสำหรับทั้งชีวิตของพวกเรา พระองค์จะทรงเปลี่ยนหัวใจของพวกเรา  แล้วพระองค์จะทรงประทานพระพรแก่พวกเราที่สงวนไว้สำหรับผู้ที่ยอมให้พระองค์เปลี่ยนแปลง  นี่เป็นการเชื้อเชิญที่งดงามที่พวกเราจะต้องยอมให้ตัวเราได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า  พระองค์ทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะพระองค์รู้จักพวกเราแต่ละคนเป็นอย่างดี “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักลูก” พวกเราอาจกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา พระองค์ทรงรู้จักลูกอย่างดี โปรดเปลี่ยนแปลงลูกด้วยเถิด”

คำขอร้องของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

วันศุกรที่ 12 มิถุนายนนี้เป็นวันสากลเพื่อต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก เป็นความจริงที่มีผู้ขโมยความเป็นเด็ก ทั้งของทั้งเด็กชายและเด็กหญิงไป และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาแบบองค์รวมของพวกเขา เมื่อพูดถึงวิกฤตเรื่องสุขภาพอนามัยในปัจจุบันในประเทศต่างๆ เด็กจำนวนมากถูกบังคับให่ต้องทำงานที่ไม่เหมาะสมสำหรับอายุของพวกเขาเพื่อที่จะช่วยครอบครัวซึ่งมีสภาพยากจนอย่างสุดๆ ยังมีหลายกรณีเด็กตกเป็นทาสและการถูกกักขังจนเป็นเหตุให้ต้องทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายกายและใจ พวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบกับประเด็นนี้็น็

พ่อขอร้องให้พวกเราใช้ความพยายามทุกอย่างในส่วนที่เป็นสถาบันเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้เยาว์ด้วยการช่วยกันทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีอยู่ในพลวัติที่เบี่ยงเบนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเด็กเหล่านั้น  เด็กคืออนาคตของครอบครัวมนุษย์ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันส่งเสริมการเจริญเติบโต สุขภาพ และความสงบสุขของพวกเขา

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)