บทเทศน์วันจันทร์ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2020 เทศกาลปัสกา
ณ วัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน
“หลังโรคระบาดขอให้พวกเราหันกลับเข้าสู่ชิวิตที่ไม่มุ่งแต่เรื่องเงินตรา”
พระเจ้าทรงเริ่มต้นพันธกิจผ่านทางสตรีเสมอ
มารีย์ มักดาเลน และมารีย์อีกคนหนึ่งรีบวิ่งจากคูหาศพทั้งกลัวและชื่นชมยินดีปะปนกัน เพื่อนำข่าวดีไปประกาศให้กับบรรดาศิษย์” (มธ. 28: 8)
นี่คือการเปิดคำพูดของพระวรสารสำหรับเช้าวันจันทร์หลังปัสกา และเป็นหัวข้อของบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาวันนี้ ณ วัดน้อยภายในสถานพำนักซางตามาร์ธา นครรัฐวาติกัน กลุ่มสตรีตัดสินใจทันทีต้องประกาศการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ เพื่อแบ่งปันความจริงและเพื่อแสดงถึงความเชื่อของตนในพระเจ้า
“พระเจ้าทรงเริ่มต้นพันธกิจด้วยสตรีเสมอ” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัส “พวกเขาเป็นผู้ที่เปิดหนทาง พวกเขาไม่มีความสงสัย พวกเขารับรู้ พวกเขาเห็นพระองค์ พวกเขาได้สัมผัสพระองค์ พวกเขาพบคูหาศพที่ว่างเปล่า”
เป็นเรื่องจริงว่าบรรดาศิษย์ไม่เชื่อจึงกล่าวว่า “บางทีสตรีเหล่านี้อาจจินตนาการมากเกินไปกันเอาเอง หรือมโนภาพเอาเอง… ข้าพเจ้าไม่ทราบ พวกศิษย์พากันสงสัย แต่ในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจ พวกเขาติดตามหนทางนี้จนกระทั่งทุกวันนี้: พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่และประทับท่ามกลางพวกเรา (เทียบ มธ. 28: 9-10)
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเปรียบเทียบการที่กลุ่มสตรีตัดสินใจ เมื่อพวกเธอต้องเผชิญกับคูหาศพที่ว่างเปล่า และพวกเราต้องตัดสินใจขณะที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโคโรนา บรรดาสตรีประกาศความจริง ส่วนพวกทหารยามรับเงินมาแล้วไม่พูดความจริง
“วันนี้ก็เช่นเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์การแพร่โรคระบาดโควิด19 ซึ่งหวังว่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้าพวกเราก็มีทางเลือกแบบเดียวกัน นั่นคือพวกเราจะเลือกชีวิตเพื่อการกลับฟื้นขึ้นมาของประชาชน หรือเลือกเงินทอง: การหวนกลับไปยังหลุมศพหรือความหิวโหยของการเป็นทาส ของสงคราม ของโรงานผลิตอาวุธ ของเด็กที่ไม่มีการศึกษา… หลุมศพอยู่ที่นั้น”
บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาแพร่โดยสำนักข่าววาติกัน (ฉบับเต็ม)
พระวรสารวันนี้ชี้ทางเลือกให้พวกเราทุกวัน เกี่ยวกับการเลือกทีมีมาตั้งแต่วันนั้น คือการเลือกระหว่างสองอย่าง “ความชื่นชมยินดีและความหวังในการเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์” หรือ “การฝันร้ายของคูหาฝังศพ”
บรรดาสตรีมุ่งมั่นยังคงทำการประกาศข่าวดีต่อไป (เทียบ มธ. 28: 8) พระเจ้าทรงเริ่มต้นพันธกิจจากสตรีเสมอ พวกเธอเป็นผู้เบิกหนทาง พวกเธอไม่มีความสงสัยใดๆ พวกเธอรับรู้อย่างดี พวกเธอได้เห็นพระองค์ พวกเธอยังเห็นคูหาฝังศพที่ว่างเปล่าด้วย นี่เป็นเรื่องจริงที่บรรดาศิษย์ไม่เชื่อจึงกล่าวว่า “บางทีสตรีเหล่านี้จินตนาการมากเกินไปหน่อย มโนภาพเอาเอง” … ข้าพเจ้าไม่ทราบ พวกศิษย์อื่นๆมีความสงสัย แต่พวกเขาก็แน่ใจในที่สุด…พวกเขาจึงติดตามหนทางนี้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ พระเยซูคริสต์ทรงกลับเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ยังคงมีชีวิตและสถิตท่ามกลางพวกเรา (เทียบ มธ. 28: 9-10)
แต่ว่าก็ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือมัวแต่ผวาคิดถึงแต่เรื่องความตายเมื่อเผชิญคูหาฝังศพที่ว่างเปล่า ณ คูหาฝังศพที่ว่างเปล่านำมาให้พวกเราขบคิดปัญหาหลายประการ การตัดสินใจจึงเลือกที่จะปิดบังความจริง ชีวิตมักเป็นเช่นนี้เสมอ พวกเราคงยังจำได้สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัส คือการรับใช้เจ้านายสองคน “พระเจ้าและเงินตรา” เมื่อพวกเราไม่รับใช้พระเจ้า พวกเราก็รับใช้พระเจ้าเทียมอีกองค์คือเงินตรา พวกเราจะรับใช้ทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกันไม่ได้ ยังมีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับความจริงนี้ว่าพวกสมณะ นักกฎหมายเลือกหนทางที่สองที่มีคนเอาเงินมามอบให้เพื่อที่จะให้พวกเขาปิดปากเงียบ (เทียบ มธ. 28: 12-13) นี่เป็นการปิดปากพยาน หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ทหารยามคนหนึ่งสารภาพว่า “แท้จริงแล้ว ชายผู้นี้คือบุตรของพระเจ้า” (มก. 15: 39)
พวกน่าสงสารน่าสมเพชเหล่านี้ไม่เข้าใจ พวกเขากลัวตาย … จึงไปหาสมณะและนักกฎหมาย พวกเขาจึงจ่ายเงินเพื่อปิดปากเขาเหล่านั้น นี่ไม่ใช่ลักษณะการสินบนดอกหรือ? นี่คือคอรัปชั่น คอรัปชั่นสายตรงเลย หากท่านไม่ประกาศพระเยซูคริสต์าว่าเป็นพระเจ้า ท่านลองคิดและพิจารณาดูซิว่าเพราะเหตุใด ตราประทับหลุมศพของท่านอยู่ที่ไหน คอรัปชั่นอยู่ที่ไหน เป็นความจริงว่าคนจำนวนมากไม่นับถือในพระเยซูคริสต์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ เพราะพวกเราไม่ได้ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระองค์อย่างจริงจัง และนี่คือความผิดพลาดของพวกเรา แต่ในเมื่อต้องใช้วิธีเช่นที่กล่าวมาแล้วสำหรับเป็นพยานหลักฐานนั่นเป็นวิธีการของปิศาจ เป็นวิธีของพวกคอรัปชั่น เมื่อจ่ายเงินทองแล้วเรื่องราวก็จะเงียบปิดฉากจบกันไป ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกันพวกเรากำลังเผชิญกับโรคระบาดโควิด19 ซึ่งพวกเราหวังว่าภัยนี้จะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ ในแง่มุมนี้พวกเราก็มีทางเลือกแบบเดียวกัน คือ 1) เลือกเพื่อที่จะมีชีวิต เลือกเพื่อการกลับฟื้นชีพของประชาชน หรือ 2) เพื่อเงินตรา เพื่อกลับไปยังหลุมฝังศพ การเป็นทาส สงคราม โรงงานผลิตอาวุธ ไม่ใส่ใจต่อเด็กที่ไม่มีการศึกษา เห็นแก่ตัว… หลุมฝังศพอยู่ทีนั่นแหละ
ขอให้พระเยซูคริสต์าทำนุบำรุง รักษาพวกเราเสมอไปไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัวของพวกเราหรือชีวิตสังคมโดยให้เลือกเอาการประกาศข่าวดี การประกาศนั้นเป็นขอบฟ้าใหม่ที่เปิดกว้างเสมอ ที่นำพวกเราไปสู่การเลือกความดีอันเป็นประโยชน์สุขของประชาชน และปฏิเสธที่จะเลือกหรือยึดถือเงินตรามาเป็นพระเจ้า
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงจบการเทศน์ด้วยการอวยพรศีลมหาสนิทพร้อมกับเชื้อเชิญสัตบุรุษให้ร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันภาวนากับพระองค์
ต่อไปนี้เป็นบทสวดภาวนาของสมเด็จพระสันตะปาปา
ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ลูกเชื่อว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในศีลมหาสนิทบนพระแท่นอย่างแท้จริง ลูกรักพระองค์เหนือทุกสิ่งและลูกปรารถนาที่จะรับพระองค์มาประทับอยู่ในดวงวิญญาณของลูก เนื่องจากขณะนี้ลูกไม่สามารถที่จะรับพระองค์โดยตรงทางศีลมหาสนิทได้ โปรดเสด็จมาประทับในดวงวิญญาณของลูกทางจิตใจ ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงเสด็จมาแล้ว ลูกขอสวมกอดพระองค์และขอถวายตนเองทั้งครบเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ โปรดอย่าให้ลูกต้องพรากไปจากพระองค์เลย พระเจ้าข้า อาแมน
ก่อนจากวัดน้อยซึ่งอุทิศให้กับพระจิตเจ้ามีการขับร้องเพลงแม่พระเก่าแก่ “Regina Caeli” หรือ “ราชินีแห่งสวรรค์” ซึ่งนิยมร้องกันในเทศกาลปัสกา
Regina caeli laetare, alleluia.
Quia quem meruisti portare, alleluia.
Resurrexit, sicut dixit, alleluia.
Ora pro nobis Deum, alleluia.
(Queen of Heaven, rejoice, alleluia.
For He whom you did merit to bear, alleluia.
Has risen, as He said, alleluia.
Pray for us to God, alleluia.
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความคิดที่จะปฏิรูปพระศาสนจักร
- สมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ แนวคำสอนใหม่คือ “เหตุการณ์น่าชื่นชมในชีวิตพระศาสนจักร”
- สมณลิขิตในรูปแบบพระสมณอัตตาณัติ (Motu Proprio) ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “ANTIQUUM MINISTERIUM”
- ศีลมหาสนิท – บูชามิสซาขอบพระคุณ: บทพระสิริรุ่งโรจน์ และ บทภาวนาเปิด
- บทเทศน์วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน