Skip to content

เมื่อเช้าวันที่ 9 กรกฎาคม 2016 บิชอปฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณโอกาสฉลองวัด น.ยอแซฟกรรมกร แม่ริม และโปรดศีลมหาสนิทครั้งแรกให้กับสัตบุรุษและเยาวชนจำนวน 10 คนและโปรดศีลกำลังจำนวน 6 คน โดยมีบาทหลวง นักบวช และสัตบุรุษมาร่วมงานประมาณ 400 คน

ก่อนพิธีมิสซาทางวัดได้ต้อนรับท่านพระครูปัญญาวิเชียร เจ้าคณะอำเภอแม่ริม พร้อมด้วยภิกษุ สามเณรจากวัดลัฎฐิวัน บ้านขอนตาล และพี่น้องพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในพิธี นำโดยคุณมานพ แสงเขียว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ที่นำผ้าป่ามาร่วมทำบุญด้วย พระครูปัญญาวิเชียรเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนพระวิสุทธิวงศ์ ซึ่งแต่เดิมโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนของสังฆมณฑลแต่ได้ปิดกิจการ และเปลี่ยนเป็นศูนย์คำสอนแม่ริมในปัจจุบัน ท่านพระครูได้กล่าวปราศรัยความตอนหนึ่งว่า ท่านรู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้ แม้เราจะนับถือต่างศาสนากันแต่เราก็มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน ชาวบ้านพุทธคริสต์ไปมาหาสู่ร่วมกิจกรรมในชุมชน เพื่อความดีของส่วนรวมพระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์ได้เป็นผู้แทนฝ่ายคาทอลิก กล่าวต้อนรับพระภิกษุ สามเณร และพี่น้องทุกท่านที่มาร่วมงานและมอบกระเช้าที่ระลึกให้กับท่านเจ้าคณะอำเภอแม่ริมด้วย

ในระหว่างมิสซา พระคุณเจ้าวีระได้เทศน์เตือนใจว่า ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้เรามาร่วมฉลอง การฉลองก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีหลายคนที่ปีที่แล้วมีโอกาสมาฉลองแต่ปีนี้อาจจะเจ็บป่วยหรือไม่ได้มาฉลอง ในพระคัมภีร์มีพูดถึงนักบุญยอแซฟไม่มากนัก เราทราบว่า ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเป็นช่างไม้ เป็นผู้ชอบธรรมเพราะความดีและความซื่อสัตย์ ท่านทำหน้าที่ดูแลครอบครัวอย่างดี เวลาเดียวกันท่านก็เป็นช่างไม้ที่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ปัจจุบันมีหลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งเป็นผลมาจากการกิน ดังคำพูดที่ว่า You are what you eat หรือแปลเป็นไทย ว่า คุณกินอะไรเข้าไป คุณก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มีสารเคมีเยอะในอาหาร เราควรกินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินกล้วยน้ำว้าทุกวันและออกกำลังกาย แล้วชีวิตจะยืนยาว ขอให้ชีวิตของเราเป็นการปฎิบัติความรักตามพระวาจาพระเจ้า เหมือนบทเพลงที่เราร้องในวันนี้ว่า อย่าให้เราพูดเพียงเท่านั้นแต่ให้เราปฎิบัติในชีวิตจริงด้วย

หลังมิสซา ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหน่ำสำราญ ทั้งพี่น้องพุทธคริสต์ ได้นำอาหารมาเลี้ยงร่วมกันในบรรยากาศครอบครัว

อนึ่ง กลุ่มคริสตชนที่แม่ริม เริ่มต้นเมื่อ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 พร้อมกับคริสตชนกลุ่มแรกที่กลับใจรับศีลล้างบาปจำนวน 29 คน ปัจจุบันมีสัตบุรุษจำนวน 70 กว่าครอบครัว ประกอบไปด้วยกลุ่มคริสตชนล้านนา คริสตชนปกาเกอะญอ คริสตชนอาข่า คริสตชนโม้ง คริสตชนชาวต่างชาติ และคริสตชนคนไทยผู้รับการอภิบาลซึ่งย้ายถิ่นมาจากที่อื่น โดยมีบาทหลวงคณะซาเลเซียนดูแลในเขตวัดนี้ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน​​​​​​​​​​​​​​