Skip to content

สาส์นเทศกาลมหาพรต ปี 2016
ของ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา (มธ 9:13)

 

งานพระเมตตาบนเส้นทางแห่งปีศักดิ์สิทธิ์

  1. มารีย์ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระศาสนจักรที่ทำการประกาศข่าวดีเพราะพระแม่ได้รับข่าวดี

ในสมณโองการว่าด้วยปีศักดิ์สิทธิ์พิเศษแห่งเมตตาธรรม  ข้าพเจ้าขอร้องให้  “ตลอดเทศกาลมหา-พรตในปีแห่งพระเมตตานี้ ทุกคนจงดำเนินชีวิตอย่างเข้มข้น ในฐานะที่เป็นเวลาพิเศษที่จะทำการเฉลิม-ฉลองและมีประสบการณ์กับพระเมตตาของพระเจ้า” (Misericordiae Vultus, 17)  โดยเรียกร้องให้ตั้งใจฟังพระวาจาของพระเจ้าและสนับสนุนให้ริเริ่ม “24 ชั่วโมงเพื่อพระเจ้า”  ช้าพเจ้าตั้งใจเน้นถึงความสำคัญในการสวดภาวนาพร้อมกับการฟังพระวาจาของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวาจาที่เป็นคำพยากรณ์ของพระองค์  พระเมตตาของพระเจ้าเป็นการประกาศที่มอบให้กับโลก เป็นพระเมตตาที่เรียกร้องให้คริสตชนทุกคนมีประสบการณ์ด้วยตนเอง เพราะเหตุนี้ ในช่วงเทศกาลมหาพรต ข้าพเจ้าจะส่งบรรดาธรรมทูตแห่งพระเมตตาออกไปถึงทุกคน เพื่อเป็นเครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมของความใกล้ชิดและพระเมตตาของพระเจ้า

หลังจากได้รับข่าวดีจากอัครทูตสวรรค์คาเบรียลแล้ว ในบท Magnificat พระแม่มารีย์ก็ขับร้องสรรเสริญเชิงทำนายถึงพระเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงเลือกพระแม่  สาวพรหมจารีแห่งนาซาเร็ธที่หมั้นกับชายที่ชื่อโจเซฟ จึงกลายเป็นรูปจำลองครบครันแห่งพระศาสนจักรซึ่งทำการประกาศข่าวดี  เพราะพระแม่ได้เป็นและยังคงเป็นผู้ที่ได้รับการประกาศข่าวดีจากพระจิตเจ้า ผู้ทรงบันดาลให้ครรภ์พรหมจรรย์ของพระนางบังเกิดผล  ในการตีความตามรากศัพท์ ความเมตตาจะมีความเชื่อมโยงกับครรภ์มารดา (rahamim) และความดี (hesed) ที่หมายถึงความใจกว้าง ความซื่อสัตย์ และความเห็นอกเห็นใจ ที่แสดงออกในการแต่งงานและความสัมพันธ์ในครอบครัว

  1. พันธสัญญาของพระเจ้ากับมนุษย์: ประวัติศาสตร์แห่งความเมตตา

พระธรรมล้ำลึกพระเมตตาของพระเจ้า ได้รับการเปิดเผยในประวัติศาสตร์แห่งพันธสัญญา   ระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอลประชากรของพระองค์  พระเจ้าทรงแสดงพระองค์เป็นผู้ใจกว้างในพระ-เมตตาเสมอ  พร้อมเสมอที่จะปฏิบัติต่อประชากรของพระองค์ด้วยความเมตตาอ่อนโยน โดยเฉพาะอย่าง-ยิ่งในช่วงวิกฤตเมื่อความไม่ซื่อสัตย์ของมนุษย์ ทำให้สายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาขาดสะบั้น ซึ่งเมื่อถึงเวลาความยุติธรรมและความจริงจำต้องปรากฏ นี่เป็นเรื่องราวของความรักแท้ ที่พระเจ้าทรงแสดงบทบาทเป็นบิดาและสามีที่ถูกทรยศ ในขณะที่ชนชาติอิสาเอลแสดงบทบาทเป็นลูกและเจ้าสาวที่ไม่ซื่อสัตย์ เฉกเช่นกรณีของประกาศกโฮเชยา(เทียบ ฮชย 1-2) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะผูกพันพระองค์เองกับมนุษย์ขนาดไหน

เรื่องราวของความรักบรรลุถึงจุดสูงสุด ด้วยการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์แห่งพระบุตรของพระเจ้า ในพระคริสต์เจ้า พระบิดาประทานพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ จนถึงขนาดที่ทรงทำให้พระองค์เองเป็น “พระเมตตาที่เสด็จมาบังเกิด” (Misericordiae Vultus, 8)  ในฐานะมนุษย์พระเยซูแห่งนา-ซาเร็ธทรงเป็นบุตรแท้จริงแห่งชนชาติอิสราเอล    พระองค์ทรงกอปรด้วยคุณสมบัติเป็นผู้รู้จักฟังครบครัน อันเป็นคุณสมบัติที่ชาวยิวทุกคนต้องมีตามบัญญัติแห่ง Shema ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นหัวใจแห่งพันธสัญญาของพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล “อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณและสุดกำลังของท่าน” (ฉธบ 6:4-5)  ในฐานะที่ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นเจ้าบ่าวที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจเจ้าสาว ซึ่งพระองค์ทรงมีความผูกพันด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข จนกระทั่งเราสามารถเห็นได้ในงานเลี้ยงมงคลสมรสนิรันดร

นี่คือหัวใจของการประกาศเรื่องราวของพระเยซู (Kerigma)  ซึ่งพระเมตตาของพระเจ้าต้องเป็นศูนย์กลางและเป็นพื้นฐาน   เป็น “ความสวยงามและความรักช่วยให้เรารอดของพระเจ้า ที่ปรากฎในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้สิ้นพระชนม์และเสด็จกลับคืนชีพจากความตาย” (Evangelii Gaudium, 36)   เป็นการประกาศครั้งแรกที่ “เราต้องฟังครั้งแล้วครั้งเล่าในรูปแบบต่างๆ และเป็นสิ่งที่เราต้องทำการประกาศด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ตลอดเวลาแห่งช่วงที่มีการสอนคำสอนในทุกระดับและทุกกาลเวลา” (ibid., 164)  ความเมตตา “แสดงให้เห็นถึงหนทางของพระเจ้าที่ต้องการเอื้อมพระหัตถ์มายังคนบาป ทรงมอบโอกาสให้คนบาปพิจาณาตนเอง  กลับใจและเชื่อ” (Misericordiae Vultus, 21)  นั่นคือ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ของตนกับพระเจ้า  ในพระเยซูผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระเจ้าทรงแสดงความปราถนาของพระองค์ที่จะอยู่ใกล้ชิดกับคนบาป แม้เขาจะอยู่ห่างไกลจากพระองค์สักเท่าใดก็ตาม  ด้วยวิธีนี้พระองค์ทรงหวังที่จะทำให้ใจแข็งกระด้างแห่งเจ้าสาวของพระองค์อ่อนลง

  1. งานเมตตาธรรม

พระเมตตาของพระเจ้าเปลี่ยนใจมนุษย์ อาศัยประสบการณ์แห่งความรักที่ซื่อสัตย์  เราก็จะเป็นคนที่มีใจเมตตาเช่นเดียวกัน   ในอัศจรรย์ใหม่ต่างๆ พระเมตตาของพระเจ้าจะฉายแสงสว่างออกมาในชีวิตของเรา จะดลใจให้เราแต่ละคนรักเพื่อนบ้าน และยอมอุทิศชีวิตให้กับประเพณีปฏิบัติของพระศาสนจักร ที่เรียกร้องให้เรากระทำเมตตากิจทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต  งานเมตตากิจเหล่านี้เตือนใจเราว่าความเชื่อที่แสดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรมทุกวันนั้น หมายถึงการให้ความสงเคราะห์เพื่อนบ้านทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต โดยการให้อาหาร เยี่ยมเยียน ให้ความบรรเทาใจและให้คำแนะนำ  เราจะถูกพิพากษาด้วยการกระทำเหล่านี้  เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงหวังว่า “คริสตชนจะไตร่ตรองพิจารณาเรื่องงานเมตตาทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต  นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่น ซึ่งบ่อยครั้งเย็นชาท่ามกลางความยากจน อีกทั้งจะช่วยให้เราเข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจแห่งพระวรสาร ซึ่งคนจนมีประสบการณ์พิเศษในพระเมตตาของพระเจ้า” (ibid.,15)  เหตุว่า ในคนจนนั้นเราสามารถเห็นพระวรกายของพระคริสตเจ้าที่ถูกทรมาน ถูกเฆี่ยน ไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอ และถูกเนรเทศ ซึ่งจะต้องเป็นที่รับทราบ ได้รับการสัมผัส และการเอาใจใส่ดูแลจากเรา”(ibid.) เป็นรหัสธรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นที่สะดุดแห่งกาลเวลาอันยืดยาว สำหรับความทุกข์ทรมานของชุมพาน้อยผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นดุจพุ่มไม้ที่กำลังลุกไหม้แห่งความรักที่ทรงให้เปล่า ต่อความรักนี้เราสามารถทำดุจโมเสส คือถอดรองเท้าของเราออก (เทียบ อพย 3:5)  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนจนคือพี่-น้องชายหญิงของเราในพระคริสต์เจ้าที่ต้องทนทุกข์เพราะความเชื่อของตน

ในพลังแห่งความรักซึ่งเข้มแข็งดุจความตาย (เทียบ พซม 8:6)  คนจนที่ถูกเผยให้เราทราบคือคนที่ไม่ยอมมองตนเองอย่างที่ตนเป็น  พวกเขาถือว่าตนเองเป็นคนร่ำรวย แต่ความจริงก็คือพวกเขาเป็นคนที่ยากจนที่สุดในบรรดาคนจนทั้งหลาย นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นทาสของบาป ซึ่งนำพวกเขาให้ใช้ความมั่งมีและอำนาจไม่รับใช้พระเจ้าและผู้อื่น แต่เพื่อเพิ่มความแข็งกระด้างของจิตใจจนขาดสำนึกไปว่าพวกเขาเป็นแค่เพียงขอทานที่ยากจน  ยิ่งจะมีอำนาจและเงินทองเพิ่มขึ้นเท่าไร ความหน้ามืดตามัวก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้น และความหลงผิดก็ยิ่งจะเพิ่มเป็นทวีคูณ จนถึงขั้นตาบอดต่อลาซารัสที่นั่งขอทานอยู่ที่ปากประตู (เทียบ ลก  16:20-21)  ลาซารัสคนจนเป็นรูปแบบของพระคริสตเจ้าผู้ที่ทรงขอให้เรากลับใจโดยอาศัยคนจน  เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์จึงทรงแสดงให้เราเห็นว่าเป็นไปได้ที่เราจะกลับใจ ซึ่งพระเจ้าทรงเสนอหนทางที่เราอาจมองข้าม  อาการตาบอดดังกล่าวมักตามมาด้วยความเย่อหยิ่ง ด้วยภาพหลอนที่หลงว่าเรามีอำนาจทุกอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมของปิศาจ “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า” (ปฐก  3:3)  ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งบาปทั้งหลาย  เช่นเดียวกันความหลงผิดนี้อาจมาในรูปแบบของสังคมและการเมือง ดังที่ปรากฏในระบบทุนนิยมแห่งศตวรรษที่ยิ่สิบ  ในยุคสมัยของเราด้วยอุดมการณ์แห่งการผูกขาดโดยอาศัยเทคโนโลยี ซึ่งมองว่าพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับลดฐานะมนุษย์ให้เหลือเป็นเพียงวัตถุที่ใครๆ ก็สามารถเอารัดเอาเปรียบได้  เรายังสามารถเห็นความหลงผิดนี้ได้ ในโครงสร้างชั่วร้ายที่เอาไปเชื่อมโยงกับรูปแบบของการพัฒนาจอมปลอม ที่ตั้งสมมุติฐานไว้กับการบูชาเงินทอง ซึ่งทำให้ปัจเจกชนและสังคมที่มีมากกว่าไม่สนใจใยดีในชะตากรรมของคนจน  พวกเขาปิดประตูลั่นกลอนไม่ยอมแม้แต่ที่จะเห็นหน้าคนจน

เพราะฉะนั้น เทศกาลมหาพรตในปีศักดิ์สิทธิ์นี้ สำหรับเราจึงเป็นเวลาเหมาะสมที่จะเอาชนะต่อความเพิกเฉยของเรา โดยการฟังพระวาจาของพระเจ้าและโดยการปฏิบัติเมตตากิจ  ในงานเมตตากิจฝ่ายกาย เราสัมผัสกับพระวรกายของพระคริสตเจ้าในพี่น้องชายหญิงที่ต้องการอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ การเยี่ยมเยียน ส่วนฝ่ายจิตนั้นได้แก่การให้คำแนะนำ สั่งสอน ให้อภัย ตักเตือน และอธิษฐานภาวนาให้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้เราสัมผัสกับความบาปของเราได้โดยตรงมากกว่า  เราต้องไม่แยกงานเมตตากิจฝ่ายกายและฝ่ายจิตออกจากกัน  อาศัยการสัมผัสกับพระวรกายของพระเยซูผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยความทุกข์ทรมาน คนบาปสามารถได้รับพระพรที่จะเข้าใจว่า พวกเขาก็เช่นเดียวกันล้วนเป็นผู้ที่ยากจนและต้องการความช่วยเหลือ  ด้วยการเดินในหนทางนี้ คน “เย่อหยิ่งจองหอง” “คนที่มีอำนาจ” และ “คนร่ำรวย” ที่ถูกกล่าวถึงใน Magnificat สามารถจัดอยู่ในจำพวกคนที่ได้รับความรัก แม้ไม่สมควรที่จะได้รับจากพระผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ซึ่งยอมสิ้นพระชนม์และเสด็จกลับคืนชีพเพื่อพวกเขาด้วย   ความรักนี้เท่านั้นคือคำตอบสำหรับการแสวงหาความสุข และความรักอันหาขอบเขตมิได้ที่เราคิดว่าเราสามารถพบได้จากความรอบรู้ อำนาจ และความมั่งมี  แต่มันก็มีอันตรายอยู่เสมอในการไม่ยอมเปิดประตูแห่งหัวใจให้กับพระคริสต์-เจ้าผู้ทรงเคาะประตูแห่งหัวใจเราในคนจน  คนเย่อหยิ่ง คนรวย และคนที่มีอำนาจ จะลงเอยด้วยกาทำร้ายตนเองพร้อมกับดิ่งลงไปในเหวนิรันดรแห่งความโดดเดี่ยวซึ่งได้แก่นรก  คำคมของอับราฮัมหมายถึงพวกเขาทุกคนและเราด้วย “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว  ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด”(ลก 16 : 29)การฟังอย่างตั้งใจดังกล่าวจะช่วยให้เราเตรียมตัวได้อย่างดีที่สุด ที่จะทำการฉลองชัยชนะเหนือบาปและความตายของเจ้าบ่าว ซึ่งเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ และทรงปรารถนาที่จะชำระคู่หมั้นของพระองค์ให้สะอาด ซึ่งกำลังรอคอยการเสด็จมาของพระองค์

เราจงอย่าทำให้เทศกาลมหาพรตนี้สูญเปล่า เพราะเป็นเทศกาลเหมาะสมยิ่งที่จะกลับใจ เราวิงวอนทั้งนี้ โดยอาศัยการทูลเสนอของพระแม่มารีย์พรหมจารี ผู้ทรงได้รับพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระ-เจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระองค์แรกที่ยอมรับความต่ำต้อยของพระแม่ (เทียบ ลก 1:48) และทรงเรียกพระแม่ว่าเป็นข้ารับใช้ต่ำต้อยของพระเจ้า (เทียบ ลก 1:38)

จากนครรัฐวาติกัน  วันที่ 4 ตุลาคม 2015
วันสมโภชนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

n1

สัมมนาเตรียมรณรงค์จิตตารมณ์มหาพรตในเทศกาลปี 2016  วันที่ 26-28 มกราคม  2016  หน้า 1

พิจารณาไตร่ตรองประเด็นเด่น
สาส์นมหาพรตของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ปี 2016/2559
“เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา” (มธ 9:13)
งานพระเมตตาบนเส้นทางแห่งปีศักดิ์สิทธิ์
โดย คพ.เฉลิม  กิจมงคล

  1. มารีย์ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระศาสนจักรที่ทำการประกาศข่าวดี เพราะพระแม่ได้รับข่าวดี
    • ความสัมพันธ์ของสาส์นมหาพรตกับพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
  • พระองค์ท่านทรงมีพระประสงค์ให้เทศกาลมหาพรตปีนี้ดำเนินไปในบริบทปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม “ทุกคนจงดำเนินชีวิตอย่างเข้มข้น ในฐานะเป็นเวลาพิเศษที่จะทำการเฉลิมฉลองและมีประสบการณ์กับพระเมตตาของพระเจ้า” (MV 17)
  • เป็นการดีอย่างยิ่งที่จะไตร่ตรองสาส์นมหาพรตปีนี้ ควบคู่กับสาส์นของพระองค์ท่าน โอกาสวันเยาวชนโลกครั้งที่ 31 ปี 2016 ภายใต้หัวข้อในทำนองเดียวกันคือ “ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มธ 5:7)
  • พระองค์ท่านขอให้เราตั้งใจฟังพระวาจาของพระเจ้า และสนับสนุนให้ฉลอง “24 ชั่วโมงเพื่อพระเจ้า” ในวันศุกร์และเสาร์ก่อนสัปดาห์ที่สี่ของเทศกาลมหาพรต ซึ่งควรปฏิบัติกันในทุกสังฆมณฑล โดยเชิญชวนให้ผู้คนและเยาวชนได้หันกลับเข้าหาศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการอภัย เป็นการมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูเจ้าผ่านทางบาทหลวง ณ ที่แก้บาป
  • พระองค์ท่านจะส่งบรรดาธรรมทูตแห่งพระเมตตาออกไปถึงทุกคน เพื่อเป็นเครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมของความใกล้ชิดและพระเมตตาของพระเจ้า
  • พระแม่มารีย์ผู้มีประสบการณ์ตรงกับพระเมตตาของพระเจ้า
  • พระแม่ทรงเป็นบุคคลแรกที่ได้รับประสบการณ์ตรงกับพระเมตตาของพระเจ้า ผู้ทรงเลือกพระแม่ให้เป็นพระมารดาของพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นข่าวดีที่มวลมนุษย์รอคอยมาเป็นเวลานาน
  • ในบทวิญญาณข้าพเจ้าถวายสดุดี พระแม่ได้กลายเป็นรูปจำลองอันครบครันของพระศาสนจักร ที่ขับร้องประกาศถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
  • พระแม่ได้เป็นและยังคงเป็นทั้งผู้ได้รับการประกาศข่าวดีจากพระจิตเจ้า และเป็นผู้ประกาศข่าวดีดังกล่าวด้วย
  1. พันธสัญญาของพระเจ้ากับมนุษย์ : ประวัติศาสตร์แห่งความเมตตา
    • ในพันธสัญญาเดิม
  • พระเมตตาของพระเจ้าเป็นพระธรรมล้ำลึก ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยในประวัติศาสตร์แห่งพันธสัญญาระหว่างพระองค์เองกับชนชาติอิสราเอลประชากรของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่เริ่มต้นประทานพระเมตตาแก่มนุษย์ ด้วยการแสดงพระองค์เป็นผู้มีใจกว้างและเมตตาเสมอ
  • ในแผนการแห่งการสร้าง พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างมนุษย์ “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นเป็นมนุษย์ และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต” (ปฐก 1:7)
  • พระเจ้าได้ทรงกระทำพันธสัญญากับมนุษย์ดังนี้ “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงนำมนุษย์มาไว้ในสวนเอเดน เพื่อเพาะปลูกและดูแลสวน แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงบัญชามนุษย์นั้นว่าท่านจะกินผลไม้ทุกต้นในสวนได้ แต่อย่ากินจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว วันใดที่ท่านกินผลจากต้นนั้น ท่านจะต้องตาย” (ปฐก 2:17)
  • ในเหตุการณ์ช่วยให้รอดพ้น พระเจ้าทรงมีพระเมตตา โดยเป็นผู้เริ่มต้นก่อนเช่นเดียวกัน พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา….บัดนี้ เราจะส่งท่านไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ เพื่อนำชาวอิสราเอลประชากรของเราออกจากอียิปต์”    (อพย 3:7-10)   เมื่อนำประชากรของพระองค์ถึงภูเขาซีนายแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสว่า “แผ่นดินทั้งหมดเป็นของเรา บัดนี้ ถ้าท่านเชื่อฟังเราและรักษาพันธสัญญาของเราไว้ในบรรดาประชาชาติทั้งมวล ท่านจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา” (อพย 10:5)

2.2  ในพันธสัญญาใหม่

  • พระบิดาประทานพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ จนถึงขนาดที่ทรงทำให้พระองค์เองเป็น “พระเมตตาที่เสด็จลงมาบังเกิด” ( 8) พระเมตตาของพระองค์ทรงรับสภาพเป็นมนุษย์ในองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงทำให้พระเมตตาของพระองค์สัมผัสได้อย่างเป็นจริงเป็นจังและทำให้เราสามารถมีประสบการณ์ตรงได้
  • พระเยซูแห่งนาซาแร็ททรงเป็นบุตรแท้จริงของชนชาติอิสราเอล ทรงกอปรด้วยคุณสมบัติของผู้รู้จักฟังที่ครบครัน อันเป็นสาระสำคัญของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำต่ออิสราเอล ซึ่งประชากรของพระเจ้าจะต้องตระหนักเสมอว่า “องค์พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระเจ้าของท่านสุดจิตสุดใจ สุดวิญญาณและสุดกำลังของท่าน” (ฉธบ 6:4-5)
  • ในการประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสตเจ้า พระเมตตาของพระเจ้าจึงเป็นศูนย์กลางและหลักการที่สำคัญ “ความงดงามในความรักที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นคือ พระเยซูคริสต์เจ้า ได้สิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ” (EG 36) ความจริงดังกล่าวนี้ต้องได้รับการประกาศในการสอนคำสอนทุกระดับและทุกวันเวลา
  • ความเมตตาดังกล่าวนี้ “แสดงให้เห็นถึงหนทางของพระเจ้า ที่ต้องการเอื้อมพระหัตถ์มายังคนบาป ทรงมอบโอกาสให้คนบาปพิจารณาตนเองกลับใจและเชื่อ” (MV:21) แม้มนุษย์จะอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเนื่องด้วยบาป แต่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วยพระเมตตาของพระองค์
  1. งานเมตตาธรรม
    • งานเมตตากิจทั้งฝ่ายกายและจิตใจ
  • ผู้ที่มีประสบการณ์ตรงกับพระเมตตาของพระเจ้า จิตใจจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เขาจะกลายเป็นผู้ซึ่งมีความรักที่ซื่อสัตย์และจะมีเมตตาเช่นเดียวกัน เขาสามารถดำเนินชีวิตเชิงประจักษ์ได้ ส่วนผู้ที่ขาดประสบการณ์ตรง เพียงแต่ได้ชี้แนะหรือบอกให้ผู้อื่นกระทำเท่านั้น
  • ผู้ที่มีใจเมตตาก็จะแสดงออกด้วยงานกิจเมตตาทั้งฝ่ายกายและจิตใจ ซึ่งต้องดำเนินควบคู่กันไปเช่น การให้อาหาร เยี่ยมเยียน ให้ความบรรเทาใจ ให้คำแนะนำ ฯลฯ
  • ในการกระทำกิจเมตตานั้น ต้องไม่ลืมว่าเราจะถูกพิพากษาด้วยการกระทำเหล่านี้ “พระองค์จะตรัสตอบว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ที่ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร” (มธ 25:45-46)
  • สาส์นมหาพรตปีที่แล้ว พระสันตะปาปาทรงห่วงใยเกรงว่า คริสตชนจะติดเชื้อโรคโลกา ภิวัตน์แห่งความเย็นชา และเพิกเฉย ด้วยว่าขณะนี้ ความไม่ใสใจใยดี การไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความเป็นไปในชีวิตของผู้อื่น การไม่อนาทรร้อนใจในความทุกข์ของผู้อื่นกำลังแพร่หลายไปทั่วโลก เช่นเดียวกัน ปีนี้พระองค์ท่านทรงเชิญชวนให้เราไตร่ตรองพิจารณาเรื่องงานเมตตาทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตใจ เพื่อปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นจากความเย็นชาท่ามกลางความยากจน
  • อันตรายที่อาจเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
  • ในยุคปัจจุบัน ผู้คนตกเป็นทาสของบาป ไม่ใช้ความมั่งมีและอำนาจในการรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น จิตใจกลับแข็งกระด้างจนขาดสำนึกว่าพวกเขาเป็นเพียงขอทานที่ยากจน
  • คนจนคือคนที่ไม่ยอมมองตนเอย่างที่ตนเป็น เขาเข้าใจผิดถือว่าตนเองร่ำรวย แท้ที่จริงเขาเป็นคนยากจนที่สุดในบรรดาคนจนทั้งหลาย
  • ยิ่งมีอำนาจและเงินทองเพิ่มขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดหน้ามืดตามัว และหลงผิดจนถึงขั้นตาบอด ดังเช่นเศรษฐีที่มองไม่เห็นลาซารัสซึ่งนั่งขอทานที่ปากประตู (เทียบ ลก 16:20-21)
  • อาการตาบอดข้างต้น มักทำให้ผู้คนเย่อหยิ่งด้วยภาพหลอนที่หลงว่าตนมีอำนาจทุกอย่าง ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมของปีศาจที่หลอกว่า “ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า”  (ปฐก 3:3)
  • ระบบทุนนิยมแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ โดยอาศัยความเจริญด้านเทคโนโลยีทำให้มองว่าพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับชีวิต อีกทั้งลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุ ที่ใครๆ ก็สามารถเอาเปรียบได้ รูปแบบการพัฒนาที่จอมปลอม ซึ่งบูชาเงินทองเป็นพระเจ้า ทำให้ไม่สนใจใยดีในชะตากรรมของคนจน
  • เทศกาลมหาพรตในปีศักดิ์สิทธิ์นี้
  • เป็นเวลาเหมาะสมที่จะเอาชนะต่อความเพิกเฉยของเรา โดยการฟังพระวาจาของพระเจ้า และปฏิบัติกิจเมตตา
  • งานเมตตากิจฝ่ายกาย คือ การสัมผัสกับพระวรกายของพระคริสตเจ้าในพี่น้องที่ต้องการอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การเยี่ยมเยียน ฯลฯ
  • งานเมตตาฝ่ายจิตใจ คือ การให้คำแนะนำ สั่งสอน ให้อภัย ตักเตือนและอธิษฐาณภาวนาให้
  • คน “เย่อหยิ่งจองหอง” “คนที่มีอำนาจ” และ “คนร่ำรวย”  ที่ได้รับการกล่าวถึงในบทวิญญาณข้าพเจ้าถวายสดุดี แม้ไม่สมควรได้รับความรักจากพระเยซูผู้ถูกตรึงบนกางเขน ซึ่งยอมสิ้นพระชนม์และเสด็จกลับคืนชีพเพื่อพวกเขาด้วย แต่ก็ได้รับการจัดอยู่ในจำพวกคนที่ได้รับความรัก
  • การไม่ยอมเปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเคาะประตูหัวใจเราในคนจน คนเย่อหยิ่ง คนรวย และคนมีอำนาจ จะลงเอยด้วยการทำร้ายตนเอง พร้อมกับดิ่งลงไปในเหวนิรันดรแห่งความโดดเดี่ยว ซึ่งได้แก่นรก
  • สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสเตือนว่า อย่าทำให้เทศกาลมหาพรตปีนี้สูญเปล่าไร้ประโยชน์ หรือผ่านไปเฉยๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ต้องถือว่าเป็นเทศกาลที่เหมาะสมยิ่งเพื่อการกลับใจ
  • เสียงเรียกจากพระเจ้าให้กลับใจนั้น เป็นเสียงแห่งความรัก “จงเป็นทุกข์กลับใจและใช้โทษบาปเถิด” หากเราไม่ตระหนักสำนึก เราก็จะเดินห่างจากเสียงเรียกแห่งความรัก จนกระทั่งเราไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ยังทรงเรียกเรา คำคมของอับราฮัมที่กล่าวกับเศรษฐี นับเป็นคำกล่าวแก่เราทุกคนด้วย “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” (ลก 16:29)
  • ในที่สุดให้เราเจริญชีวิตเฉกเช่นพระแม่มารีย์ ผู้ทรงเป็นบุคคลแรกที่ยอมรับความต่ำต้อยของตน และเรียกตนเองว่าเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมตน (เทียบ ลก 1:38)