จาริกเพื่อพระคริสต์
วัตถุประสงค์
- เพื่อย้อนรอยมิชชั่นเนรี่แบบเดินเท้าเพื่องานแพร่ธรรม
- เพื่อร่วมฉลอง 50 ปี คณะภคนีแพร่ธรรมแห่งพระนางมารีย์นิรมล
หลักการคือ เดินท้า 5 วัน แต่ใครจะเริ่มต้นที่ที่ไหนวันไหนก็ได้ ระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม 2558
การจาริกเริ่มต้นในวันที่ 3 ธันวาคม 2558 ที่บ้านห้วยโปงเลา ต.แม่กิ๊ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน วันแรกของการจาริก มีผู้เข้าร่วม 9 ท่าน คือ พ่อสมพงษ์ เจ้าของโครงการ คุณพ่อบุญเลิศ คุณพ่อวศิน คุณพ่อศักดิ์ชัย พร้อมกับคุณพ่อไพโรจน์หนึ่งเดียวจากเบธาราม มีซิสเตอร์คณะแม่ปอน 2 ท่านคือ ซิสเตอร์ศรีออน และซิสเตอร์พิสมัย ครูคำสอนและชาวบ้านอีกหนึ่งท่าน โดยมีผู้นำทางจากหมู่บ้านห้วยโปงเลาอาสาไปส่งครึ่งทาง การเดินทางเริ่มต้นประมาณ 08.30 น. ช่วงแรกของการเดินทางนั้นเป็นการเดินทางในป่าจริง ๆ เพราะต้องขึ้นเขาลงห้วย ลุยแม่น้ำลำธาร ระหว่างการเดินทางเราก็จะสวดสายประคำร่วมกัน วันละ 3 สาย ส่วนสวดส่วนตัวนั้นกี่สายก็ได้ เช้านี้ใช้เวลาประมาณสี่ชั่งโมงก็ถึงหมู่บ้านทุ่งวางกว้าง จึงตัดสินใจทานอาหารเที่ยง ซึ่งชาวบ้านได้เตรียมข้าวและกับสำหรับมื้อเที่ยงให้กับเรา โดยที่แต่ละคนรับผิดชอบแบกมาเอง หลังอาหารเที่ยงผู้นำทางก็กลับไป พวกเราก็เดินต่อ แต่ครึ่งหลังของวันนี้เราต้องเดินตามทางรถยนต์ช่วงแรกเป็นการเดินทางแบบถนนที่เป็นมีฝุ่นบ้างประมาณ 5 กิโลเมตร หลังจาก 5 กิโลเมตรผ่านไป ก็เป็นถนนคอนกรีตอีก 16 กิโลเมตรเป้าหมายคือค้างคืนที่บ้านแม่โถ ซึ่งคุณพ่อเจริญได้เตรียมการต้อนรับพวกเราตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว แต่การเดินทางวันแรกที่ใช้ระยะทางมากกว่า 30 กิโลเมตรก็ทำให้สมาชิกหลายคนเหนื่อยล้าอย่าง บางคนถึงกับต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์ (พ่อวศิน) แต่นึกได้ว่าต้องซื่อสัตย์ต่อจิตตารมณ์การเดินเท้า จึงต้องนั่งรถย้อนกลับมาที่เดิมเพื่อที่จะเดินเท้าอีกครั้งหนึ่ง วันนี้กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงแม่โถ(เห็นแก่ตัวหน่อยไม่รอเพื่อน) คือ คุณพ่อบุญเลิศและพ่อไพโรจน์ (18.00 น) กลุ่มที่สองที่มาถึงคือซิสเตอร์ 18.45 น.และกลุ่มสุดท้ายมาถึงคือพ่อสมพงษ์ 19.00 น. หลังจากอาบน้ำเราก็ร่วมมิสซากับชาวบ้าน (มิสซาทุกวันก็เป็นมิสซาตอนเย็น เพราะชาวบ้านที่เราไปค้างคืนที่หมู่บ้านก็จะต้อนรับเราด้วยอาหารและร่วมมิสซาด้วยกัน) วันแรกผ่านไปด้วยความยากลำบากสำหรับพ่อบางองค์ ถึงกับต้องหาหมอนวดสมัครเล่นมาทำหน้าที่ทีเดียว แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีปัญหา
วันที่สองของการจาริก จากการคำนวณแล้ววันนี้เป็นระยะทางที่สั้นที่สุดประมาณ 25 กิโลเมตร การเดินทางของเราก็พยายามเดินตามเส้นทางของมิชชั่นเนรีสมัยก่อนให้มากที่สุด เพราะเป็นทางลัด แต่จากการที่มีถนนแล้ว ไม่มีการใช้เส้นทางเดิมเป็นเวลาหลายสิบปี ร่องรอยของเส้นทางจึงหายไปบ้าง จึงต้องหาผู้นำทางที่รู้เส้นทางอย่างดีมานำทางเรา วันนี้เราสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 3 ท่านโดยคุณพ่อเจริญร่วมเดินทางไปด้วย เริ่มเดินทางประมาณ 08.00 น. ด้วยเส้นทางลัดเลาะตามป่าแบบสมัยก่อน แต่เมื่อไปได้สักพักหนึ่งร่องรอยก็เริ่มหายไป ประกอบกับการเดินทางที่ความเร็วไม่เท่ากัน กลุ่มที่หนึ่งเดินตามผู้นำทาง ส่วนกลุ่มที่เดินทีหลังจึงหลงทางไปนอกเส้นทาง แม้ว่ากลุ่มแรกจะรอกลุ่มหลังมากกว่าชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่มา กลุ่มแรกทานอาหารเที่ยงเวลา 12.30 น. เมื่อรอกลุ่มสองไม่ไหวก็เลยเอาข้าวและกับสำหรับมื้อเที่ยงใส่ในย่ามและแขวนไปบนต้นไม้ตรงเส้นทางที่คาดว่าจะมาโผล่มาทางนั้น แล้วกลุ่มแรกก็เดินทางต่อไปจนถึงหมู่บ้านประมาณ 15.30 น. หลังจากได้สักพักแล้วมีคนโทรมาบอกว่าให้ไปรับคุณพ่อคนหนึ่งด้วย เพราะหลงทางออกไปไกลกลับมาไม่ไหว ส่วนคนที่เหลือกลัวเสียจิตตารมณ์จึงแข็งใจเดินทางมาถึงหมู่บ้านประมาณ 19.00 น. เท่ากับเมื่อวานและก็เป็นกลุ่มเดิม ชาวบ้านได้เตรียมอาหารรอตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วเช่นกัน หลังมิสซาเจ้าวัดพ่อสมพงษ์ได้แนะนำสมาชิกพร้อมกับแบ่งปันนิดหน่อย พ่อเจริญบอกว่าเป็นวันแรกและวันเดียวที่ตั้งใจเดินซึ่งซึ่งเกิดความผิดพลาดต้องใช้เวลาถึง 11 ชั่วโมงงานเป็นประธานวันพ่อที่วัดของพ่อในเย็นวันนั้นก็ยกเลิกไปโดยปริยาย ส่วนพ่อสมพงษ์ได้บอก เปรียบตัวเองเหมืองลิงลม ยิ่งตี ยิ่งมีพลัง (มีคนบอกว่า ลิงลมนั้นตีด้วยไม้แข็งมันจะไม่ตาย แต่ถ้าตีด้วยไม่ผุ ๆ ก็จะตายง่าย ฟังไว้ไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน)
วันที่ 3 ของการจาริก วันนี้เป้าหมายไกลพอ ๆ กับวันแรกจึงต้องเดินทางแต่เช้าประมาณ 07.00 น. ที่น่าเสียดายวันนี้พ่อคนหนึ่งก็ต้องจากเราไป (ไม่ได้ตายนะครับเพียงแต่สู้เต็มที่แล้วพ่อบอกว่าไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องเดินทางกลับวัด (พ่อวศิน) เพราะเป็นฝีด้วย การเดินทางวันนี้ก็มีผู้ร่วมทางเพิ่มขึ้นอีก 4 คน โดยคนหนึ่งอายุ 74 ปี เดินทางจากขุนแม่ลา ผ่านบ้านห้วยเฮี๊ยะ ไปทางลัดผ่านยังบ้านส้มป่อย ที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 5 คน โดยมีผู้ชาย 1 แม่บ้าน 2 และเด็กผู้หญิงอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 13 ขวบ ผ่านหมู่บ้านนี้แล้วไปหมู่บ้านอมลานก่อนที่จะขึ้นดอยสูงก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น มีลุงคนหนึ่งเป็นคนขี้เมา มีความตั้งใจที่จะไปกับพวกเรา แต่หลายคนรู้ว่าถ้าคนนี้เมาแล้ว ไม่ได้สติ จะโวยวาย ถอดเสื้อผ้า จึงกลัวกันว่าถ้าไปกับพวกอาจจะทำให้เกิดปัญหาเวลาที่เราพักค้างคือตามหมู่บ้าน พ่อสมพงษ์จึงออกคำสั่งไม่ให้ชายคนนี้ไปกับเรา ซึ่งก็จ้างคนไปส่งที่บ้านเขา จากบ้านอมลานนี้เราต้องขึ้นดอยสูงขนาดที่เราต้องยอมแพ้ จึงต้องทางอาหารเที่ยงกลางดอยเลยทีเดียว เพราะความชันและความสูงยาวหลายกิโลเมตร สูงขนาดทานอาหารเที่ยงท่ามกลางหมอกเลยทีเดียว (จริงครับไม่ได้โม้) จากตรงนี้ต้องไปที่หมู่บ้านกองเบาะ (ที่จริงคืนนี้แผนแรกนั้นจะต้องนอนในป่า แต่เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกหนัก จึงเปลี่ยนแผนไปนอนที่หมู่บ้านแทน เพราะนอนในป่าคงไม่สะดวก ฝืนที่พักก็จะชื้นแฉะมากเกินไป) ส่วนผมก็แยกตัวไปหมู่บ้านดินขาว เพื่อทำมิสซาในเช้าวันอาทิตย์
กลุ่มที่พักที่หมู่บ้านกองเบาะ เป้าหมาต่อไปคือหมู่บ้านแม่แลก การเดินทางในวันที่ 4 นี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 1 คนคือ พ่อศตวรรษ หรือพ่อดอย ซึ่งนัดกันว่าหลังมิสซาสายที่บ้านดินขาวแล้ว ผมจะนั่งรถไปดักรอที่แม่แจ่ม ที่ดินขาวนี้มาเซอร์อักแนสอธิการโรงเรียนเซนต์โยเซฟแม่แจ่ม ได้ให้เด็กนักเรียน 3 คนร่วมเดินทางกับผม โดยมาเซอร์ให้คนขับรถไปส่งเราที่แม่แจ่ม เท่ากับว่าวันนี้เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้น 4 คน พอไปถึงแม่แจ่มสมาขิกเก่าก็ถอนตัวไปอีก 2 คน เพราะขาแพลง บวมมากจึงไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ การเดินทางของเรากลุ่มก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน จากแม่แจ่มไปที่หมู่บ้านแม่แลกนั้นสมาชิกในขบวนไม่มีใครรู้เส้นทางเลยแม่แต่คนเดียว จึงต้องอาศัยการสอบถามจากชาวบ้านกลางทาง และที่แม่แลกนี้เองสมาชิกในกลุ่มของเราเองก็ไม่รู้จักชาวบ้านด้วย แต่เชื่อไหมครับ ขึ้นชื่อว่าปกาเกอะญอด้วยกัน ยังไงเขาก็ต้อนรับ แม้จะโชคไม่ดีที่เราไปถึงหมู่บ้านค่ำมากแล้ว จึงไม่รู้จะติดต่อกับใคร แต่ที่โชคดีคือที่นี่มีคริสตชนครอบครัวหนึ่งและเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย การเจรจาไม่ถึงนาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย ทั้งยังมีครอบครัวอื่นรับเราไปนอนที่บ้านด้วยความรู้ชื่นชมยินดี ผมกับพ่ออีกคนหนึ่งและซิสเตอร์ 2 ท่าน ไปนอนที่บ้านครอบครัวหนึ่งที่ไม่ใช่คริสตชน เขาได้เตรียมอาหารต้อนรับเราอย่างดี ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความมีน้ำใจดีของชาวบ้านเหล่านี้ คืนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
และแล้วก็ถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง เป้าหมายคือหมู่บ้านแม่ปอน ไม่เกินบ่ายสี่โมง เพราะได้แจ้งพระคุณเจ้ามารอรับขบวนผู้จาริกที่นั่น เช้าวันที่ 5 ของการเดินทางนี้ มีสมาชิกมาสมทบจากบ้านป่าจึงอีก 4 คน พวกเราก็เริ่มเดินทาง 07.00 น. เพราะกังวลว่าจะไม่ทันกับอีก 2 กลุ่มที่จะมารวมกันก่อนหมู่บ้านแม่ปอน คือกลุ่มที่มาจากเขตห้วยตอง และเขตแม่ปอนตะวันออกซึ่งนำโดยพ่อธินากรหรอืพ่อแชะ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็มาจากเขตแม่ปอนฝั่งตะวันตกนำโดยครูคำ ซึ่งระยะทางทั้งสองกลุ่มหลังนี้สั้นกว่าของพวกเรา และพวกเขาจะเดินแค่วันเดียวด้วย ส่วนพวกเราที่เริ่มออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่จะข้ามเทือกเขาอินทนนท์ฝั่งตะวันตกมาทางฝั่งตะวันออกโดยที่ไม่ใช้เส้นทางรถยนต์นั้น จำเป็นต้องมีผู้ที่รู้เส้นทางจริง ๆ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะหลงอยู่ในป่าทืบอาจจะหาทางออกไม่ได้ก็เป็นได้ แต่ทุกอย่างหายกังวลเพราะมีชาวบ้านคนหนึ่งอาสามาพาเราไป เหนือความคาดหมาย เพราะเส้นทางที่ผู้นำทางเราพาไปนั้น ผมยอมรับว่า สุดยอดจริง ๆ ผมคนหนึ่งที่ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ไม่ว่าทางฝั่งสาละวิน หรือทางฝั่งอมก๋อยแม่กระทั่งดอยหลวงเชียงดาวก็เคยขึ้นไปถึงยอดมาแล้ว วันนี้ผมรู้สึกว่า ภูเขาที่ผมเคยผ่านมานั้นชิดขอบเลย อาจจะด้วยการที่พวกเราเดินทางมา 4 วันแล้ว ฉะนั้นวันนี้ก็ถือว่าเป็นการอออกแรงเฮือกสุดท้ายนี้ หรือจะเรียกว่าแข็งใจสู้ เพราสมาชิกหลายท่านที่ปวดเข่า เจ็บเท้า เพราบางคนมีแผลใต้ฝ่าเท้าด้วย แต่ทุกคนไม่บ่น นอกนั้นยังไม่พอ พ่อสมพงษ์ยังนำเราสวดสายประคำขึ้นดอยด้วย พี่น้องครับถ้าเราหายใจไม่ทั่วท้อง เราจะสวดให้สุดได้อย่างไร แต่ด้วยความพยายามทุกคนก็รวมพลังไม่มีใครบ่น ปกติผมจะดื่มน้ำหลังอาหารเที่ยงเป็นต้นไป แต่วันนี้ผมขึ้นยังไม่ถึงยอดดอยเลย น้ำ 1 ขวดเล็กที่เตรียมไว้ก็ไม่เหลือแล้ว แต่ก็ยังมีลำธารที่เย็นประมาณน้ำในตู้เย็นเลยที่เดียว อากาศเย็นขนาดที่เราขึ้นดอยแม้จะร้อนเหงื่อจะออก พักแค่นาทีเดียวก็หนาวแล้ว ฉะนั้นเวลาพักทานอาหารเที่ยงกลางป่าหลายคนต้องใส่เสื้อกันหนาว การเดินทางกว่าจะฝ่าเทือกเขานี้ไปถึงถนนอีกฝากหนึ่งได้ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมง เมื่อมาถึงถนนฝั่งอินทนนท์ตะวันออก คนนำทางก็กลับไป จากนี้เป็นต้นไปก็เหลือแต่พวกเรา ซึ่งเป้าหมายข้างหน้านั้นอีกยาวเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้ แม่แต่พ่อสมพงษ์ เจ้าของโครงการนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วจะถามกันเสียเวลาทำไม ทุกคนก็มุ่งหน้าไปข้างหน้า พร้อมกับติดต่อประสานกับกลุ่มอื่นไปรอนัดพบ ขณะที่พวกเราพึ่งจะข้ามเทือกเขามา พวกเขาก็ถึงจุดนัดพบแล้ว เวลาประมาณ 14.30 น. แต่พวกเราเหลืออีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พอเดินไปได้สักพัก ก็เห็นป้ายบอกเส้นทางว่าหมู่บ้านนี้กี่กิโลเมตร เราก็คำนวณกันว่าอีก 11 กิโลเมตร ใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ด้วยความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวด การเดินทางเริ่มช้าลง เพราะต้องรอคนอื่นที่อ่อนแรง แม้จะใจสู้ก็ตาม สุดท้ายผู้นำจึงตัดสินใจให้สมาชิกคนหนึ่งนั่งรถมอเตอร์ไป เพราะปวดเข่ามาก แม้เขาอยากจะเดินเท้าไปถึงหมู่บ้านก็ตาม การเดินทางในช่วงสุดท้าย จากเป้าหมายบ่ายสี่โมงที่เรานัดพบกัน เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว จึงติดต่อกับกลุ่มที่รออยู่ก่อนว่า ถ้าไม่อยากรอก็ให้เข้าไปก่อน พี่น้องครับน้ำใจไม่มีซื้อขาย พวกเขาตัดสินใจที่จะรอพวกเรา (ที่จริงพวกเขารอเรามากว่า 3 ชั่วโมงแล้ว) แม้จะมาถึงมืดก็ตาม โชคดีที่พวกเราได้เตรียมไฟฉายมากัน เพราะเราเดินทางกันมาหลายวัน ฉะนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่มเราก็พบกัน จากนั้นเราก็ร่วมขบวนกันไปยังที่วัด เพราะข้อตกลงคือว่า เมื่อเรามาถึงที่แล้ว เราจะไปที่วัดก่อน เพื่อสวดภาวนาโมทนาคุณพระเจ้า เนื่องจากเย็นนั้นมีพิธีมิสซารับเข้าโนวิสของคณะ ซึ่งได้จัดที่เวทีสำหรับงานฉลองในวันรุ่งเช้า ที่วัดไม่มีคนจึงเข้าไปสวดภาวนารวมกัน หลังจากสวดแล้วพ่อสมพงษ์ถามสมาชิกว่า จะให้ทำมิสซาเมื่อไหร่ สมาชิกเสนอว่าให้ทำมิสซาไปเลย ฉะนั้นการจาริกครั้งนี้จบลงด้วยมิสซาขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับพระพรที่พระองค์ประธานให้กับเราตลอดการเดินทาง ซึ่งพ่อสมพงษ์กล่าวในบทเทศน์ว่า แม้เราที่เดินทาง 5 วัน กับคนที่เดินทางวันเดียวก็ได้หนึ่งตาแลนต์เท่ากัน พระเจ้ามีเมตตาเสมอ
(ยังมีเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายในช่วงการเดินทาง มีพ่อคนหนึ่งช่วยแบกเป้ให้ป้าที่เจ็บเท้า มีเด็ก ๆ เยาวชนที่ช่วยแบกเป้ให้พ่อสมพงษ์ มีสมาชิกคอยเพื่อที่เดินช้า มีการแบ่งปันอาหาร น้ำให้กัน มีคำพูดให้กำลังใจกัน มีความรู้สึกดี ๆ มากมาย การเดินทางที่มีเป้าหมายชัดเจนไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยเงิน ทุกอย่างทำด้วยน้ำใจ) ขอบทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการเดินทางจาริกครั้งนี้ ไม่ว่าคุณพ่อเจ้าวัดในเขตวัดต่าง ๆ ชาวบ้านที่ต้อนรับและให้ที่พักอาศัย สำหรับข้าวทุกมื้อที่ให้เราอิ่มและน้ำทุกหยดที่ดับกระหาย (เจอกันโอกาสหน้าครับ)