เมื่อ มากางดูแผนที่ประเทศไทยทางภาคเหนือด้านตะวันตก ติดประเทศพม่า ตรงข้ามอำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เราจะเห็นส่วนที่ยื่นออกไปเสียบแทงเลยเข้าไปถึงแผ่นดินพม่า มองดูแล้วคล้ายกับว่าไม่น่าจะเป็นแผ่นดินของประเทศไทยแล้ว น่าจะเป็นของพม่าเสียมากกว่า แต่แท้ที่จริงแล้วที่นี่ยังเป็นแผ่นดินไทย ประกอบด้วยเขตการปกครองจากส่วนราชการ ๒ ตำบล ได้แก่ ตำบลเสาหินและตำบลแม่คง แต่มักเป็นที่รับรู้กันอย่างดีในนามว่า “แผ่นดินเสาหิน”
พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตปกครองของเขตวัดนักบุญเยนอเวฟา เสาหิน มีคุณพ่อคำมา อำไพพิพัฒน์เป็นเจ้าอาวาส แยกเขตการปกครองออกจากเขตวัดนักบุญเปโตร แม่ลาน้อยเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คริสตชน เป็นชาวปกาเกอะญอ มีจำนวนทั้งหมดราว ๗๐๐ คน ส่วนใหญ่ได้รับศีลล้างบาปแล้ว
ปีนี้มีการจัดค่ายคำสอนเช่นเดียวกับทุก ๆ ปีที่ผ่านมา แต่ระยะเวลาจะยาวกว่า ระหว่างวันที่ ๖-๒๐ เมษายน ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น ๒ สัปดาห์ มีเด็กๆร่วมเข้าค่ายคำสอน ๑๒๔ คน ทั้งนี้เพื่อให้เด็กๆได้รับเนื้อหาคำสอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ปีนี้จัดยาวกว่าทุกปี เพราะต้องการให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้คำสอนอย่างเต็มที่ เนื่องจากพวกเขามีโอกาสเรียนคำสอนน้อยในโอกาสอื่นๆ โดยปีนี้เน้นที่กลุ่มเด็กๆ เพราะอยากจะปูพื้นฐานคำสอนแก่พวกเขาให้แน่น” คุณพ่อคำมา อำไพพิพัฒน์กล่าว
กระบวนการจัดค่ายคำสอน มีการแบ่งเด็กๆ ออกเป็นกลุ่มตามเนื้อหา ได้แก่
๑. กลุ่มเรียนคำสอนพื้นฐาน
๒. กลุ่มรื้อฟื้นคำสอนพื้นฐานและข้อความเชื่อ
๓. กลุ่มเรียนเตรียมรับศีลล้างบาป ศีลอภัยบาป และศีลกำลัง และ
๔. กลุ่มเรียนภาษาปกาเกอะญอเบื้องต้น
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเด็กๆและเยาวชนที่ยังถือประเพณีเดิมเข้ามาร่วมอยู่ในค่ายและเรียนรู้เนื้อหาคำสอนอยู่ด้วยประมาณกว่า ๒๐ คน โดยเป็นความประสงค์ที่มาจากพวกเขาและผู้ปกครองเอง ซึ่งทางเขตวัดก็ยินดีรับพวกเขา และไม่มีความประสงค์แอบแฝงที่จะให้พวกเขาเข้าเป็นคริสตชนแต่อย่างใด ถือเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ฐานะบุตรพระเจ้าเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ เมื่อนานวันเข้าพวกเขามักจะเข้ามาเป็นคริสตชนในที่สุด
นอกจากบรรดาเด็กและเยาวชนแล้ว มีการสอนคำสอนแก่ผู้ใหญ่ที่เตรียมรับศีลล้างบาป ศีลอภัยบาป และศีลกำลังจำนวน ๑๐ คน โดยใช้เวลา ๑ สัปดาห์ก่อนวันปาสกา และในวันปาสกาจัดให้มีการโปรดศีลล้างบาป ให้รับศีลอภัยบาป และศีลมหาสนิท รวมทั้งโอกาสนี้ได้จัดให้มีการอบรมสัมมนาแก่หัวหน้าคริสตชน พ่อบ้าน และแม่บ้านจำนวน ๖๕ คน โดยใช้เวลา ๑ วันในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการเสริมความเชื่อ ความศรัทธา และความรู้ด้านศาสนาให้มีความมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้น โดยศูนย์ประสานงานแพร่ธรรมได้เข้าไปช่วยเสริมในส่วนของการอบรมสัมมนานี้
ผู้ที่ช่วยกันสอนคำสอนแก่เด็กๆนอกจากคุณพ่อ ๑ องค์ ครูคำสอน ๔ คน และบราเดอร์ปีพัก ๑ คนแล้ว ยังมีกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครจากศูนย์คาทอลิกแม่ลาน้อยส่วนหนึ่ง และในหมู่บ้านอีกส่วนหนึ่ง ๖ คน ซึ่งได้รู้คำสอนพื้นฐานมาระดับหนึ่งพอที่จะสอนเด็กๆได้ นับเป็นการร่วมด้วยช่วยกันตามกำลังและความสามารถที่มีอยู่ในเขตวัด และเป็นการฝึกบุคลากรในท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจกรรมต่าง ๆ ของเขตวัดด้วย
“ปีนี้จัดให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการช่วยสอนคำสอน และเนื้อหาอื่นด้วย เพราะเรามีครูคำสอนน้อย เพียง ๔ คนเท่านั้น มีบราเดอร์ปีพักมาช่วยอีก ๑ คน มีเด็กร้อยกว่าคน สอนและดูแลไม่ทั่วถึง ถือเป็นการพัฒนาบุคลากรในเขตวัดภายในตัวด้วย”
คุณพ่อคำมา อำไพพิพัฒน์กล่าวถึงความหวังในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในพื้นที่มาร่วมงานในเขตวัด เยาวชนเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยินดีให้ความร่วมมือกับคุณพ่อและครูคำสอนในการจัดค่ายคำสอนครั้งนี้เป็นอย่างดี นอกจากมาช่วยสอนคำสอนแล้ว ที่มากไปกว่านั้นคือการมาช่วยทำอาหารและดูแลเด็กๆ ตลอดการจัดค่ายคำสอน ๑๔ วัน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ต้องเสียสละ อดทน และทำไปด้วยความรักอย่างแท้จริง
“เราเยาวชนในเขตวัด ๒๕ คนอาสามาเป็นพี่เลี้ยงดูแล และทำอาหารให้เด็กๆ ที่เข้าค่ายคำสอน คุณพ่อและครูคำสอนประสานมายังพวกเรา ขอความร่วมมือจากพวกเราให้มาช่วยงานครั้งนี้ พวกเราก็ยินดีอย่างยิ่ง แม้จะเหนื่อย ต้องตื่นนอนตีสามตีสี่มาทำอาหารทุกวัน ดูแลเด็กๆ บางคนช่วยเหลือตนเองยังไม่ค่อยได้ เราต้องช่วยเขา ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า แต่พวกเราก็ช่วยกันทำจนสำเร็จ ถือเป็นการทำงานให้กับพระและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”
นางสาวเพ็ญพักตร์ กอบกุลปิยการ ผู้นำเยาวชนที่ไปประจำอยู่ที่ศูนย์คาทอลิกแม่ลาน้อย และกลับมาช่วยงานครั้งนี้ในช่วงปิดภาคการศึกษา กล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวเองและเพื่อนๆ ที่ได้ร่วมงานนี้ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการร่วมทำงานกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ความร่วมมืออีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ คือการที่คริสตชนในหมู่บ้านได้ร่วมมือร่วมใจ ร่วมด้วยช่วยเหลือกันด้านอาหาร เพราะลำพังค่าอาหารที่คุณพ่อเจ้าวัดของบประมาณสนับสนุนจากสังฆมณฑลนั้นไม่เพียงพอ คริสตชนในหมู่บ้านต่างๆ จึงได้ร่วมกันบริจาคอาหารตามกำลังความสามารถ
บ้างให้เป็นข้าวสาร บ้างให้เป็นเงิน บ้างให้เป็นพืชผัก พืชผล เช่น ฟักทอง ฟักเขียว เผือก มัน ขนุนอ่อน พริก เป็นต้น และบ้างออกแรงไปหาอาหารป่า เช่น หน่อหวาย หน่อบอน หยวกกล้วยป่า ปลีกล้วยป่า ผักกูด ดอกกระเจียว เป็นต้น ซึ่งคุณพ่อคำมา อำไพพิพัฒน์ได้กะว่าการร่วมด้วยช่วยกันของคริสตชนนี้คิดเป็นร้อยละ ๕๐ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเดียว สำหรับสองวันสุดท้าย คือวันที่ ๑๙ และ ๒๐ เมษายน วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันปาสกา มีคริสตชนจากหมู่บ้านบ้านต่างๆมาร่วมฉลองวันปาสกาจำนวนกว่า ๕๐๐ คน ในการนี้ชาวบ้านที่เป็นเจ้าภาพได้ช่วยกันจัดเตรียมอาหารสำหรับพี่น้องจากต่างหมู่บ้านรวม ๓ มื้อ พร้อมทั้งจัดข้าวห่อสำหรับพี่น้องต่างหมู่บ้านที่ต้องเดินทางกลับหลังพิธีมิสซาวันอาทิตย์ปาสกา เพราะระยะทางไกลมาก และส่วนใหญ่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านอาหารส่วนนี้ชาวบ้านที่เป็นเจ้าภาพจะช่วยเหลือกันเอง โดยพี่น้องต่างหมู่บ้านจะร่วมสมทบตามกำลังความสามารถ
เมื่อทุกส่วนของคริสตชนในเขตวัด ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ผู้หญิง และผู้ชาย ทั้งฆราวาส ครูคำสอน หัวหน้าคริสตชน คริสตชน และบาทหลวงได้ร่วมด้วยช่วยกันจัดงานค่ายคำสอนและงานปาสกาประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้สำเร็จลุล่วงไปอย่างดีเช่นนี้ นับได้ว่าคริสตชนเขตวัดเสาหินได้ดำเนินชีวิตคริสตชนไปตามวิถีทางของพระศาสนจักรแห่งเอเชียที่ได้วาดหวังเอาไว้ วิถีทางแห่งชุมชนคริสตชนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทุกๆมิติของชีวิต ทั้งด้านศาสนา ความเชื่อ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ วิธีทางที่พระศาสนจักรเรียกว่า “วิถีชุมชนวัด” (BEC = Basic Eoclesial Community) อย่างแท้จริง