Skip to content

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A

“ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”

บางทีเราชอบละครน้ำเน่า

บางทีผู้จัดชอบทำละครน้ำเน่า อ้างว่ามีผู้ชมเยอะดี

“น้ำเน่า” เป็นคำขยายที่บ่งบอกว่า เนื้อหาของเรื่องไม่มีสาระอันใด นอกจากเรื่องชิงรักหักสวาท อิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย และอะไรๆ ประมาณนี้

ที่คนดูชอบก็เพราะว่า นี่เป็นนิสัยของมนุษย์แท้ๆ เป็นเรื่องของมนุษย์แท้ๆ ซึ่งต่างกับเรื่องของพระเป็นอย่างมาก

ในบทอ่านแรกจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ได้ให้เนื้อหาสาระว่าพระเจ้าเป็นพระที่เมตตาสงสารประชากร เป็นพระที่ประทานอภัยให้มนุษย์อย่างมากมาย เพียงแต่ถ้าเขาละทิ้งความคิดของตน และกลับมาหา พระเจ้า

ทั้งยังบอกถึงความแตกต่างระหว่างพระกับมนุษย์อีกว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา”

ถ้าเราหันมาดูพระวรสารของวันนี้จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างความคิดของพระเยซูเจ้า กับความคิดของพวกคณะสงฆ์ ธรรมาจารย์ และฟาริสี พระองค์ทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาชอบต่อว่า วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ว่าสนใจและเอาใจใส่มากไปกับพวกคนบาป คนชั้นต่ำในสังคม แทนที่จะสนใจคนที่น่าเคารพยกย่องในสังคมเช่นพวกเขา

ดังนั้น เรื่องอุปมานี้ ที่บอกว่าพ่อบ้านออกไปว่าจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่นของตน โดยตกลงค่าจ้างกันเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ลูกจ้างก็ไปทำงานตามนั้น พ่อบ้านออกไปหาคนงานถึงสี่ครั้งด้วยกัน ในเวลาที่ต่างกัน ก็จ้างคนงานทุกคนให้มาทำงานในสวนองุ่น เพราะถ้าคนงานคนใดคนหนึ่งไม่ถูกใครจ้าง วันนั้น ครอบครัวของเขาจะไม่มีอะไรกิน ดังนั้น แม้กลุ่มสุดท้ายมีเวลาทำงานแค่ชั่วโมงเดียว พ่อบ้านก็ยังใจดีว่าจ้างให้มาทำงานด้วย

คนกลุ่มสุดท้ายก็คือคนกลุ่มที่เป็นคนบาป คนเก็บภาษี และหญิงโสเภณีที่พระเยซูเจ้าทรงคบค้าสมาคมด้วย และจะเห็นว่าพระเจ้าพระทัยดียิ่งนัก โดยเฉพาะในเวลาจ่ายค่าจ้างตามสัญญา ทรงเรียกคนที่มาทำงานทีหลังสุดมาจ่ายเงินให้ก่อน และให้มากเท่ากับพวกอื่นๆ ที่มาก่อนด้วย

ตรงนี้แหละที่วิสัยมนุษย์ทำให้ความรู้สึกนึกคิดสั่นคลอนไป ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพ่อบ้านที่จ่ายเงินให้เขาที่ทำมาตั้งแต่เก้าโมงเช้า โดยให้เท่ากัน มนุษย์ไม่ยอมเข้าใจเรื่องง่ายๆ ว่าพระเจ้าพระทัยดีต่อทุกคน พระเยซูเจ้าทรงถูกส่งมา เพื่อตามหาแกะที่หายไปหรือพลัดฝูง มนุษย์ก็คิดเรื่องความยุติธรรมตามแบบของมนุษย์ ทั้งๆ ที่พ่อบ้านก็ไม่ได้ผิดความยุติธรรมต่อคนงานกลุ่มแรกๆ เลย แต่พวกเขาก็ไม่พอใจอยู่ดี ความไม่พอใจของมนุษย์เกิดจากการเปรียบเทียบ เมื่อเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ก็จะคิดดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ถ้าเห็นว่าด้อยกว่าตัว และจะอิจฉาผู้อื่น ถ้าเห็นว่าดีกว่าตัว เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าความคิดของมนุษย์แตกต่างกับของพระอย่างสิ้นเชิง

อย่างน้อยจากพระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ก็ชี้ให้เห็นความแตกต่างนี้อย่างชัดเจน กล่าวคือ
พระเจ้าทรงเป็นผู้พระทัยดี
เราต่างหากที่มักจะเป็นคนอิจฉาริษยา
พระเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่เรามากจนน่าแปลกใจ และต่างมากทีเดียวจากการคาดหวังของเรา
“เราต้องไม่ไปคาดหวังในสิ่งต่างๆ แต่ควรพึงพอใจในทุกสิ่ง” (We must not expect anything but be satisfied with everything)

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2011)

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี A

โดยส่วนตัวแล้วชอบเพลง My Way และร้องได้ด้วยโดยเฉพาะตอนที่ลงท้ายว่า “I did it my way” [ฉันทำตามทาง(แบบ)ของฉัน]

มนุษย์โดยรวมแล้วมักจะคิดว่าเป็นสิทธิของตนที่จะร้อง I did it my way แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราได้ยินพระเจ้าทรงร้อง I did it my way ของพระองค์บ้าง เราจะยอมให้พระองค์ทรงมีอิสระในการกระทำอะไรตามแบบของพระองค์เองได้หรือไม่ หรือว่าเราโกรธข้องหมองใจเมื่อพระองค์ทรงกระทำด้วยวิธีการที่ผิดแผกไปจากเรา

พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาว่า อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น เขาออกมาอีกตอนสามโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมง และที่สุดประมาณห้าโมงเย็น ก็กระทำเช่นเดียวกัน พอหมดวันก็จ่ายเงินค่าจ้างให้คนที่มาทีหลังสุดคนละหนึ่งเหรียญ แล้วก็จ่ายให้ทุกคนที่มาในเวลาต่างๆกัน แต่จ่ายเท่ากับพวกที่มาสุดท้าย คือคนละหนึ่งเหรียญ การทำเช่นนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ที่มาก่อนทั้งหลายอย่างยิ่ง เขาพากันบ่นว่าเจ้าของสวน ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชอบใจว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย… ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”

โลกของพระวรสารเป็นแบบที่สวนทางกับวิธีคิดของคนที่เป็นคนของโลกนี้ บุคคลที่อยู่ในโลกของพระวรสารเป็นผู้ที่มาทีหลังกว่าคนอื่นๆ บางทีเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา พวกเขาเป็นเหมือนลูกช่างผลาญ พวกที่ต่ำต้อย พวกที่ถูกมองข้าม พวกที่ถูกดูหมิ่น แต่เราจะพบพวกเหล่านี้ในศูนย์กลางของพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงแสดงออกอย่างเด่นชัดที่จะเมตตาต่อคนพวกนี้ ความเมตตารักและพระพรที่ทรงมอบให้แก่คนพวกนี้ ไม่ได้มาจากความดีของเขา หรือการคำนวณสูตรของการตอบแทนตามวิธีการของมนุษย์ เหลือบมองในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือประกาศกอิสยาห์สิครับ จะพบว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา”

คำอุปมานี้มีต้นกำเนิดมาจากพวกที่ฟาริสีบ่นว่าพระเยซูเจ้า ที่ทรงใจดีต่อคนบาป และกระทำดีต่อคนบาป และนั่นหมายความว่าการที่ทรงปฏิบัติต่อคนบาป หรือคนที่มาสายด้วยความเมตตาเท่าๆกับผู้ที่เคร่งครัดถือตามพระบัญญัติ เป็นสิ่งที่พวกฟาริสียอมรับไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าเป็นวิธีการที่ผิดเพี้ยนไป แต่พระเยซูเจ้าทรงเผยและเชื้อเชิญให้เราพิจารณาถึงความรักของพระเจ้า ซึ่งไม่มีขอบเขตใดๆ มาจำกัดได้ ที่จริงทุกๆคนก็ได้รับพระกรุณาจากพระเจ้าทั้งนั้น เราทุกคนได้รับประโยชน์จากพระกรุณาของพระเจ้าทั้งนั้น อันความกรุณาปรานีของพระเจ้านั้น “หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน”

เกี่ยวกับความใจดีอย่างมากล้นที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์นั้น Ralph Seager ได้อธิบายเป็นเชิงบทกวีว่าดังนี้ :

“(พระเจ้าทรงให้…)
ผืนฟ้าที่มากกว่ามนุษย์อาจแลเห็นได้
น้ำทะเลที่มากกว่ามนุษย์อาจแล่นเรือได้
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้ากว่ามนุษย์อาจจ้องมองได้
ดวงดาราที่มากกว่ามนุษย์อาจนับได้
ลมหายใจที่มากกว่ามนุษย์อาจหายใจได้
พืชผลที่มากกว่ามนุษย์ได้หว่านไถไว้
พระหรรษทานที่มากกว่ามนุษย์สามารถเข้าใจได้
ความรักที่มากกว่ามนุษย์สามารถล่วงรู้ได้”

หรือบางคนอาจจะเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่า
“This is how Ralph Seager poetically describes the extravagance of God :
More sky than man can see,
More seas than he can sail.
More sun than he can bear to watch,
More stars than he can scale.
More breath than he can breathe,
More yield than he can sow,
More grace than he can comprehend,
More love than he can know.”

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2008
และปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2017 :
Based on : (1) Seasons of the Word ; by Denis McBride)
(2) Your Words, O Lord, Are Spirit, and They Are Life, Year A ; Fr. James Valladares)